Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

‘Geely’ ผู้ผลิตรายใหญ่ในจีน เตรียมลงทุน 10,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ภายใต้แบรนด์ Radar

(2 ส.ค. 66) หลังการบ่าไหลเข้ามาปักหลักลงทุนของบิ๊กรถยนต์จีนและกลุ่มคลัสเตอร์กว่าแสนล้านบาท ในช่วงที่ผ่านมาไม่นาน จนส่งให้ไทยกลายเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ล่าสุดนั้นจีลี่กรุ๊ป ซึ่งเป็นอีกค่ายที่ถูกจับตาว่าจะขยับแผนลงทุนอย่างไรได้เคลื่อนไหวครั้งใหญ่

แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ล่าสุดนั้น จีลี่กรุ๊ป (Geely Group) เตรียมเปิดแผนลงทุนผลิตรถยนต์ในประเทศไทย มูลค่าการลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท ณ นิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก มีกำลังการผลิตต่อปีเบื้องต้น 100,000 คัน โดยรูปแบบการลงทุนจะสามารถสรุปรายละเอียดชัดเจนได้หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของประเทศไทยเสร็จสิ้น เพื่อรอความชัดเจนของนโยบายส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

เบื้องต้นมีรายงานข่าวระบุว่า Geely เตรียมแผนรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก และรถกระบะไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์เรดาร์ (Radar)

“Geely Group มีแบรนด์ภายใต้การดูแลหลากหลายยี่ห้อ ดังนั้นการตัดสินใจอาจต้องใช้เวลาว่าจะเลือกรถรุ่นใดเข้าสู่ตลาดไทยเพื่อสามารถแข่งขันได้ ขณะเดียวก็ต้องรองรับการส่งออกได้อีกหลายประเทศ”

โดย Geely เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน 5 ราย ที่ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการสำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทย (BOI) และคณะ ได้จัดหารือ เมื่อเดือน เม.ย.66 ที่ผ่านมา ส่วนอีก 4 รายที่เหลือคือ บีวายดี (BYD) ฉางอัน (Changan) จีเอซี มอเตอร์ส (JAC Motors) และเจียงหลิง มอเตอร์ส (Jiangling Motors) ซึ่งเกือบทุกรายได้ประกาศแผนลงทุนไปก่อนหน้านี้ จากความมั่นใจในนโยบายของไทยในการพัฒนาฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในระดับภูมิภาค และห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้าแบบบูรณาการ

ปี 2022 ที่ผ่านมา Geely Group ประกาศยอดขายประจำปีรวมกว่า 2.3 ล้านคัน เติบโตโดยรวมกว่า 5 % มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 675,000 คัน คิดเป็น 29% ของยอดขายรวม

ในส่วนแผนพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย (Roadmap 30@30) มีเป้าหมายในปี 2573 จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ล่าสุดรัฐบาลกำลังเร่งผลักดันมาตรการสนับสนุนรถอีวีเพิ่มเติม หรือมาตรการ EV 3.5 ต่อเนื่องจากมาตรการ EV 3 ที่จะหมดอายุภายในสิ้นปี 2566 นี้  เพื่อผลักดันให้ไทยก้าวสู่ความเป็นฮับอีวีในภูมิภาค

แหล่งข่าวจากที่ประชุมครม.ชุดรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 16 พ.ค.66 ที่ผ่านมา ระบุว่ามาตรการส่งเสริม EV 3.5 เบื้องต้น คือ

1. เงินอุดหนุนรถยนต์และรถกระบะคันละ 50,000-100,000 บาทต่อคัน
2. ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และรถกระบะเป็น 0%
3. ลดอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศและนำเข้าทั้งคัน (CBU) สูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ถึงปี 2567-2578

พร้อมทั้งเปิดทางให้มีการนำเข้ารถ EV จากยุโรปให้สามารถ นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าล้วน BEV  ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท แบตเตอรี่ 10kWh ขึ้นไป ต้องผลิตรถยนต์นั่ง หรือรถยนต์กระบะ ประเภท BEV รุ่นใดก็ได้ เพื่อชดเชยการนำเข้า ส่วนรถราคา 2 - 7 ล้านบาท แบตเตอรี่ 30kWh ขึ้นไป ต้องผลิตชดเชยรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่นำเข้า กรณีผู้ขอรับสิทธินำเข้ารถรุ่นที่ได้รับสิทธิและผลิตชดเชยรุ่นเดียวกัน แม้จะมีเลขซีรีส์ต่างกัน ถือว่าได้ผลิตชดเชยรถรุ่นเดียวกับที่ได้รับสิทธิ

สวนสัตว์เฉลย!! หลังชาวจีนโวยใช้คนแต่งชุดหมีหลอกนักท่องเที่ยว ชี้!! หมีจริงๆ และร้อน 40 องศา ไม่น่ามีใครกล้าใส่ชุดหนาๆ มาโชว์

กลายเป็นข่าวที่มีกระแสไวรัลไปทั่วโลกแล้วในขณะนี้ เมื่อมีชาวจีนได้โพสต์คลิปหมีตัวหนึ่งที่สวนสัตว์หังโจว ในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน มีอากัปกิริยาคล้ายมนุษย์ ยืนสองขา ตัวตรง แถมยังโบกมือให้นักท่องเที่ยวที่มาชมสวนสัตว์ได้ด้วย ทำให้ชาวจีนเข้าใจว่านี่ไม่ใช่หมี แต่เป็นคนที่สวมชุดหมีไว้หลอกนักท่องเที่ยวว่าเป็นหมีจริง

และกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในโลกออนไลน์ของจีน เมื่อมีผู้คนมาชมคลิปนับล้านครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นหมีจริง หรือ หมีปลอมกันแน่ เพราะรูปร่างของหมีนั้นตัวเล็ก ดูจะต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ ผิดวิสัยหมี

ต่อมาทางสวนสัตว์หังโจว ได้ออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษร ยืนยันว่าหมีที่อยู่ในคลิป เป็นหมีจริง มีชื่อว่า ‘แองเจลลา’ เป็นหมีพันธุ์ Malayan Sun Bear คนจีนเรียกว่า 马来熊 หรือ ‘หมีมาเลย์’ ซึ่งคนไทยเรียกว่า ‘หมีหมา’ หรือ ‘หมีคน’ เพราะมีรูปร่างสันทัด และมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหมีทั่วไป

ทางสวนสัตว์กล่าวว่า “เมื่อพูดถึงหมี สิ่งที่คนจีนทั่วไปคิด คือหมีต้องมีรูปร่างสูงใหญ่ มีพละกำลัง แต่ไม่ใช่ว่าหมีทุกตัวจะมีลักษณะแบบนั้น อย่างเช่น หมีมลายูพันธุ์นี้ ที่จัดว่าเป็นหมีที่ตัวเล็กที่สุดในโลก" 

ข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ ของหมีมลายู หรือ ‘หมีหมา’ ในชื่อไทย มักพบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นในเมียนมา, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย หรือทางภาคใต้ของไทย มีขนาดตัวเพียง 100 - 140 เซนติเมตร ชอบนอนตามต้นไม้สูง เมื่อได้กลิ่นแปลกปลอม น่าสงสัย มันจะยืน 2 ขา ชูจมูกสูดดมกลิ่น และยังมีเสียงคล้ายสุนัขเห่า จึงถูกเรียกว่าหมีหมา ปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์

แต่ทั้งนี้ จะหาว่าคนจีน ขี้ระแวง คิดมาก ก็ไม่ได้ เพราะสวนสัตว์จีนบางแห่งเคยมีประวัติย้อมแมว หลอกนักท่องเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง อาทิ สวนสัตว์แห่งหนึ่งในเมืองลั่วเหอ มณฑลเหอหนาน เคยนำสุนัขพันธุ์ ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ มาจัดแสดงในกรงที่ระบุว่าเป็นสิงโตแอฟริกามาก่อน  หรือสวนสัตว์ในเมืองซีชาง ในเสฉวน ก็เคยนำสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ มาจัดแสดงในกรงสิงโตอาฟริกาเช่นกัน

มาคราวนี้ ทางสวนสัตว์หังโจว จึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อแก้ข่าวที่สะพัดในโลกออนไลน์ ว่าภาพที่เห็นเป็นหมีมาเลย์จริงๆ ไม่ใช่สุนัข และ ไม่ใช่คนปลอมเป็นหมี เพราะคงไม่มีใครสามารถทนใส่ชุดหมียืนกลางแจ้งในอุณหภูมิที่ร้อนจัดถึง 40 องศาในช่วงหน้าร้อนนี้ได้ โดยทางสวนสัตว์ยินดีให้สื่อเข้ามาสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ได้แบบตัวต่อตัว งดการสัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์

แต่ถ้าใครยังข้องใจ ก็ลองตีตั๋วเข้ามาชมกับตาดูได้ ว่าคุณจะเห็นหมีจริงหรือเปล่า

ได้เวลานับหนึ่งรัฐบาลข้ามขั้ว 'ไม่แตะ 112' หมากบังคับต้องมีลุง...ลุ้น 4 ส.ค.จบหรือเลื่อน?

ยังไม่ฟังคำแถลงโดยละเอียด แต่อ่านแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยก็ชัดเจนว่า ได้บอกเลิกพรรคก้าวไกลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหตุเพราะพรรคการเมืองส่วนใหญ่ และ สว.ส่วนมากที่พรรคเพื่อไทยไปพูดคุย 'ไม่เอาพรรคก้าวไกล' เหตุผลหลักก็เรื่องมาตรา 112 นั่นแหละ...

สรุปว่า ณ วันที่ 2 ส.ค.66 (เพื่อไทย-ก้าวไกล) สิ้นสุดทางเลื่อน...เลื่อนต่อไปไม่ได้แล้ว พรรคเพื่อไทยต้องไปต่อ ร่วมจัดตั้งพรรครัฐบาลโดยสูตร 'ผสมข้ามขั้ว' แต่จะมีพรรคลุง...หรือไม่มีพรรคลุง หรือเป็นไปตามสูตรดีลลับฮ่องกง 'ไม่มีก้าวไกล ไม่มีลุง' ที่ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกลบินไปพูดคุยกับคนแดนไกล เมื่อ 24-25 ก.ค.66 ดังที่ 'เล็ก เลียบด่วน' ได้รายงานไปเมื่อ 4-5 วันก่อน...หรือไม่? ต้องรอการแถลงอีกครั้งจากพรรคเพื่อไทยพรุ่งนี้

แต่ดูตามสถานการณ์แล้ว...อุตส่าห์หาญกล้าฝ่าข้ามเรื่องมาตรา 112 มาได้ จะด้วยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม พรรคเพื่อไทยก็คงไม่โง่พอที่จะไปติดกับดักกับวาทกรรม...มีเราไม่มีลุง…เพราะถ้าไม่เอาลุงเลยเสียงสนับสนุนจะหายไปถึง 76 เสียง...คือ พลังประชารัฐ 40 รวมไทยสร้างชาติ 36 ในขณะที่พอสลัดก้าวไกลออกไป เสียงจะหายไปมากถึง 151 เสียง

ดังนั้นนาทีนี้ในเชิงคณิตศาสตร์การเมือง เมื่อสลัดก้าวไกลออกไป อีก 2 พรรคที่น่าจะติดตามไปด้วยก็คือ ไทยสร้างไทย 6 เสียง / เป็นธรรม 1 เสียง รวม 3 พรรค 157 เสียง และตัวเลขที่จะเหลืออยู่ในมือเพื่อไทยจะมีแค่ 154 เสียง ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องหาเพิ่มอีกจำนวนมาก เพื่อให้ได้ 375 ผ่านโหวตนายกฯ  และมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎรเพียงพอที่จะบริหารประเทศไปได้...

เป็นงานหิน...โดยแท้!!

- ต้องหาเสียงทั้ง สว.และ สส.อีก 211 เสียง เพื่อโหวตผ่านนายกฯ
- ต้องหาเสียง สส.อีกอย่างน้อย 100 เสียงเพื่อให้เสียงในสภาล่างเกิน 250 พอประคองตัวไปได้ไม่กี่วัน - แต่หากจะให้มีเสถียรภาพต้องหา สส.เพิ่ม อีก 150 เสียง..

เบื้องหน้าที่พอมองเห็น ภูมิใจไทย 71 / ชาติไทยพัฒนา 10 / ชาติพัฒนากล้า 2 / พรรคเล็ก 4 รวมได้แค่ 87 เสียง...ซึ่งพอรวมกับเสียงในมือเพื่อไทย 154 ก็ได้เพียง 241 เสียงเท่านั้น...เช่นนี้แล้วพรรคเพื่อไทยหนีไม่พ้นจะต้องใช้บริการพรรคลุง...จะทั้ง 'สองลุง' หรือ 'ลุงเดียว' ก็ว่ากันไป...ซึ่งดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้แถลงปิดทางพรรคลุงแต่อย่างใด

ก็ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยสำหรับการจัดสูตรผสม...วันที่ 2 และ 3 ส.ค.ทุกอย่างจะต้องลงตัวคร่าวๆ เพื่อให้วันที่ 4 ส.ค.ม้วนเดียว...เจ็บแต่จบ...ดังที่ 'เล็ก เลียบด่วน' ได้เคยกล่าวเอาไว้...

ส่งท้ายวันนี้...ทั้งหลายทั้งปวง...ต้องไม่ลืมสาระสำคัญที่พรรคเพื่อไทยแถลงไว้ อย่างน้อย 3 ประการคือ..

ประแรกแรก – แยกทางกับพรรคก้าวไกล 

ประการที่สอง – พรรคเพื่อไทยยืนยันรัฐบาลใหม่ไม่แก้ไขมาตรา 112

ประการที่สาม – จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ-การเมืองที่สำคัญๆ จะดำเนินการตั้ง สสร.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วยุบสภาคืนอำนาจประชาชน

ก็ถือว่ามีความชัดเจนในระดับที่น่าจะรับกันได้เป็นการทั่วไป...อาจจะติดใจเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองไม่น้อย ก็อยากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ  เพียงแต่ดีกรีอาจจะไม่เข้มข้นเท่ากับ 'พรรคเพื่อไทย-พรรคก้าวไกล'

ก็สรุปได้ตามนี้ครับ...ถ้าวันที่ 3 ส.ค.ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับเรื่องจากผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีญัตติซ้ำโหวตนายกฯ วันที่ 4 ส.ค.การโหวตนายกฯ ก็คงเดินหน้าไปได้...

อ้อ!! แว่วๆ ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดมตำรวจจากต่างจังหวัดเข้ามาเสริมกำลังเผื่อเหลือเผื่อขาด เพื่อความไม่ประมาทเอาไว้แล้วด้วย ทุกอย่างน่าจะจบ

เพียงแต่สายข่าวแจ้งมาเมื่อตะกี้ว่า ฝั่ง สว.มีเงื่อนไขสำคัญว่าวันที่ 3 ส.ค.นี้พรรคเพื่อไทยต้องจูงมือพรรคร่วมรัฐบาลชุดใหม่มาแถลงให้เห็นตัวเป็นๆ

ไม่งั้นมีโอกาส...เลื่อนกันต่อ!!

‘ยุ้ย’ เปิดใจ เมื่อเห็นสามี ‘เต๋า สมชาย’ สวมกอด ‘นัท มีเรีย’ เผย รู้สึกซาบซึ้งใจ!! หลังได้เห็นมิตรภาพดีๆ เหล่านี้

(2 ส.ค. 66) จบไปแล้วสำหรับคอนเสิร์ตครั้งประวัคิศาสตร์แกรมมี่ - อาร์เอส ซึ่งภายในงานได้มีโมเมนต์สุดประทับใจเรียกเสียงกรี๊ดลั่นสนั่นฮอลล์ เมื่ออดีตคู่รัก ‘นัท มีเรีย เบนเนเดดตี้’ และ ‘เต๋า สมชาย เข็มกลัด’ โผล่เซอร์ไพรส์เดินขึ้นมาบนเวทีร้องเพลง ‘รักไม่ช่วยอะไร’ พร้อมกับปิดท้ายด้วยการร้องเพลง ‘โลกทั้งใบให้นายคนเดียว’ และยังมีช็อตซึ้งๆ สวมกอดกันกลางเวที ให้แฟนๆ ได้เห็นมิตรภาพที่ดีแม้จะเลิกราดันไปแล้ว

ล่าสุด ‘ยุ้ย อัฐมาศ’ ภรรยาของ ‘เต๋า สมชาย’ ได้เคลื่อนไหวออกมาโพสต์ซึ้งรูป ‘เต๋า สมชาย-นัท มีเรีย’ พร้อมได้ระบุข้อความเอาไว้ว่า

“ซาบซึ้ง…ตรึงใจ กับมิตรภาพและความรู้สึกดีๆ” และก็มีทางด้าน ‘นุ๊ก สุทธิดา’ เข้ามาคอมเมนต์ว่า “รักนะคะ”

และอีกโพสต์ ‘ยุ้ย อัฐมาศ’ ได้โพสต์รูปภาพของ ‘เต๋า สมชาย’ และ ‘นัท มีเรีย’ พร้อมได้ระบุแคปชันเป็นภาษาอังกฤษว่า “Music is what feelings sound like…”

อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 สุวรรณภูมิ เสร็จสมบูรณ์ คาดเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบเดือนกันยายนนี้

เมื่อวานนี้ (2 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘HFlight.net’ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า...

ภาพ SAT-1 ล่าสุดวันนี้📷รอเปิดใช้งาน กันยายนนี้‼️

ภาพอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ถ่ายล่าสุดวันนี้ (2 สิงหาคม 2566)🛫

เห็นได้ว่าตัวโครงสร้างอาคารภายนอก รวมถึงพื้นที่โดยรอบ (ทางขับ/taxiway และลานจอด/apron) นั้นดำเนินการแล้วเสร็จเกือบ 100% แล้ว✅ และมีการติดตั้งสะพานเทียบเครื่องบิน (งวงช้าง/aerobridge) แล้ว

ก่อนหน้านี้ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บมจ.ท่าอากาศยานไทย ได้เคยเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า จะมีการเปิดใช้งาน SAT-1 ในเดือนกันยายน 2566 หรือเดือนหน้านี้แล้ว (อ้างอิงจาก ไทยรัฐ วันที่ 10 มิถุนายน 2566)📰

‘จีซู BLACKPINK’ กำลังเดตกับนักแสดงหนุ่ม ‘อันโบฮยอน’ ต้นสังกัดคอนเฟิร์ม!! ทั้งคู่กำลังทำความรู้จักกัน ด้วยความรู้สึกที่ดี

(3 ส.ค. 66) เรียกว่าเป็นข่าวเซอร์ไพรส์แฟนคลับ เมื่อสำนักข่าวเกาหลี อย่าง ดิสแพท รายงานว่า ‘จีซู BLACKPINK’ และนักแสดงหนุ่ม ‘อัน โบฮยอน’ กำลังเดตกันอยู่ โดยได้เปิดเผยภาพที่ทั้งคู่ได้เจอกันที่บ้านของจีซู

ต่อมา วายจี เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ต้นสังกัดของจีซู และ เอฟเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ ต้นสังกัด อัน โบฮยอน ได้ออกมาคอนเฟิร์มข่าวดังกล่าว

“พวกเขากำลังทำความรู้จักกันทีละเล็กละน้อย ด้วยความรู้สึกดีๆ ให้กัน” และว่า “เราขอขอบคุณ หากพวกคุณมองพวกเขาด้วยความอบอุ่น”

‘ปิยบุตร’ ลั่น!! การเมืองไทยต่อไปไม่ใช่สงคราม ‘สีเสื้อ-ต่อสู้ระหว่างพรรค’ แต่เป็นการต่อสู้ ‘อดีต VS อนาคต’ ที่ปชช.ผู้มีอำนาจสูงสุดร่วมกันกำหนด

(3 ส.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ภายหลังพรรคเพื่อไทยประกาศฉีก MOU และไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า

ไม่มีอะไรที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ต้องเสียใจ ต้องเสียหน้า ต้องท้อแท้สิ้นหวัง และไม่มีอะไรที่ต้องคลางแคลงสงสัยว่าตนคิดผิด

นายปิยบุตร ระบุด้วยว่า พวกเขาต่างหากที่ต้องเสียใจที่มองสถานการณ์ระยะสั้น พวกเขาต่างหากที่ต้องเสียหน้า ตอบใครไม่ได้แม้กระทั่งตอบใจตนเอง ต้องแก้ปัญหาในสิ่งที่พูดไปแบบ ‘วัวพันหลัก’ พวกเขาต่างหากที่ต้องท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าในอนาคตจะชนะก้าวไกลได้ด้วยวิธีไหน จะยุบ-จะตัดสิทธิอย่างไร ก็ฆ่า ‘ความคิด’ ไม่ตาย

สังคมเปลี่ยน ความคิดจิตใจคนเปลี่ยน นักการเมืองและพรรคการเมืองต้องขยับตาม ถ้าไม่นำมวลชน อย่างน้อยก็ต้องเคียงข้างกับความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป หนทางพิสูจน์ม้าและเวลาพิสูจน์คน ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา ดีเสียอีกที่การเมืองไทยได้ขีดเส้นใหม่ แบ่งใหม่ชัดเจน ต่อไปไม่ใช่สงครามสีเสื้อ ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรค แต่คือการต่อสู้ระหว่างอดีต vs อนาคต อดีตแบบทศวรรษ 2520 ขยับทีละคืบไปสู่ทศวรรษ 40 กับอนาคตแบบใหม่ที่ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศร่วมกันกำหนด”

เข็มนาฬิกาเดินหน้า ต่อให้ใครหยุดเข็มนาฬิกาไม่ให้เดิน อย่างไรมันก็จะเดินต่อไป ขอจงยืนตรงอย่างทระนงองอาจ เดินหน้าสู้ต่อภัยทั้งปวง ต่อสู้ตามแนวทางของตน ระลึกถึงแววตา เสียงร้อง อ้อมกอด และน้ำตา ของประชาชนที่ฝากความหวังให้กับพรรคก้าวไกล ตระหนักถึงภาระที่ประชาชนส่งมอบให้พรรคก้าวไกลนับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม จนถึงวันนี้ การเมืองไทยได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สู้จนกว่า…อำนาจสูงสุดจะเป็นของประชาชน

‘แสนสิริ’ ร่อนแถลง ไขข้อกังขา ‘เศรษฐา’ ยัน!! ‘ซื้อ-ขายที่ดิน’ ถูกต้องตามกฎหมาย

(3 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวพาดพิงนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย (พท.) ขณะที่ดํารงตําแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุด และกรรมการของ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) ได้มีส่วนร่วมในการหลีกเลี่ยงภาษีในการซื้อขายที่ดินของแสนสิริเป็นเหตุให้รัฐต้องสูญเสียรายได้เป็นเงินหลายร้อยล้านบาทนั้น

ต่อมาบริษัท แสนสิริฯ ได้ออกหนังสือแถลงการณ์โดยชี้แจงว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวระหว่างแสนสิริกับผู้ขาย กำหนดให้ผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดประกอบกับเป็นหน้าที่ตามกฏหมายของผู้ขายในการเสียภาษีอากรข้างต้นด้วย แสนสิริมีหน้าที่ชำระราคาให้ครบถ้วนตามที่ตกลงกัน และรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น แสนสิริไม่ได้รับรู้หรือเกี่ยวข้องในวิธีการหรือการดำเนินการใดๆ ทางภาษีอากรของผู้ขายตามที่ได้มีการกล่าวอ้างดังกล่าว และไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากการประหยัดภาษีและค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ขาย

แถลงการณ์ ระบุต่อว่า ในการซื้อขายที่ดินของแสนสิรินั้น นายเศรษฐา ขณะที่เป็นผู้บริหารสูงสูดและกรรมการของแสนสิริ จะมีส่วนร่วมเฉพาะในขั้นตอนการอนุมัติจัดซื้อที่ดิน โดยพิจารณาจากตัวเลข และข้อมูลที่ทีมสรรหาที่ดินของแสนสิริได้จัดทำ และนำเสนอ ให้ที่ประชุมผู้บริหารเพื่อพิจารณาและนำเสนอคณะกรรมการของบริษัทเพื่ออนุมัติการซื้อที่ดินและการลงทุนตามลำดับ

นายเศรษฐาในฐานะที่เป็นผู้บริหารสูงสุดและกรรมการของแสนสิริจึงอนุมัติเพียงแค่ราคาและมูลค่าเงินลงทุนเท่านั้น ส่วนการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน การชำระราคา และการโอนกรรมสิทธิ์จะเป็นหน้าที่ของทีมสรรหาที่ดินที่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการและประสานงานทั้งหมด

แถลงการณ์ ระบุด้วยว่า ภายหลังจากที่แสนสิริได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายและวางมัดจำซื้อที่ดินไปแล้วเป็นระยะเวลาหลายเดือน ก่อนถึงกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ขายเป็นผู้แจ้งความประสงค์เกี่ยวกับรายละเอียดวิธีการโอนกรรมสิทธิ์และชำระราคาส่วนที่เหลือให้ทราบว่าต้องการแยกโอนเฉพาะส่วนตามรายชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามที่เป็นข่าว ทีมสรรหาที่ดินซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการตามสัญญาพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และยังคงเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญา อีกทั้งไม่กระทบกระเทือนต่อการที่แสนสิริจะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยสมบูรณ์ตามสัญญาที่ตกลงกัน และไม่ได้ทำให้แสนสิริต้องได้รับความเสียหายหรือมีภาระค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติมจากที่ตกลงไว้แต่อย่างใด ทีมสรรหาที่ดินจึงตัดสินใจดำเนินการตามที่ผู้ขายแจ้งให้ทราบ

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า แสนสิริ ชำระราคาที่ดินแปลงดังกล่าวเกือบทั้งหมด โดยเช็คและแคชเชียร์เช็ค มีการชำระเป็นเงินสดเพียง 301,000 บาท ไม่ได้มีการชำระเงินสดจำนวนมากตามที่ได้มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด การที่เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกว่า การซื้อขายที่ดินมีการชำระด้วยแคชเชียร์เช็ค ส่วนที่เหลือชำระเป็นเงินสดนั้น เป็นเพราะแสนสิริได้ชำระเงินมัดจำให้แก่ผู้ขายตามสัญญาจะซื้อจะขายเสร็จสิ้นไป ก่อนวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหลายเดือนก่อนหน้า ทางปฏิบัติตามปกติของกรมที่ดินจะบันทึกส่วนต่างของค่าที่ดินที่ไม่มีการแสดงสำเนาแคชเชียร์เช็ค ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ว่าเป็นการชำระด้วยเงินสด

แถลงการณ์ ระบุว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นการดำเนินการที่กรมที่ดินโดยเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และได้มีการชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีธุรกิจเฉพาะ/อากรแสตมป์ ตามที่มีการเรียกเก็บเรียบร้อยแล้ว และแสนสิริได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามราคาที่ตกลงซื้อขายกัน

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า จากข้อเท็จจริงที่ชี้แจงมาข้างต้น จะเห็นได้ว่านายเศรษฐา ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุด และกรรมการของแสนสิริในขณะนั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของบริษัทครบถ้วนแล้ว และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและรับรู้ขั้นตอนวิธีการในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่กล่าวข้างต้น เพราะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายหลังการทำสัญญาจะซื้อจะขายและอยู่ในความรับผิดชอบของทีมสรรหาที่ดินที่เป็นฝ่ายปฏิบัติการที่ต้องจัดการให้เป็นไปตามสัญญาและถูกต้องตามกฎหมาย ธุรกรรมการซื้อขายที่ดินของแสนสิริดังกล่าว เป็นการซื้อขายที่ดินตามปกติในธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ได้ดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส และตรวจสอบได้ จึงขอชี้แจงมา ณ ที่นี้

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! ‘กรุงเทพ’ ครองอันดับ 1 ปี 2023 เมืองที่ ‘นทท.ต่างชาติ’ มาเยือนมากที่สุดในโลก

(3 ส.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นอันดับ 1 ในปี 2023 จากเว็บไซต์ travelness มีชาวต่างชาติเดินทางมาทั้งสิ้น 22.78 ล้านคน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยนับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 66 - 24 ก.ค. 66 สร้างรายได้รวม 1,125,072.88 ล้านบาท เฉพาะช่วง 24 - 30 กรกฎาคม 2566 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 563,882 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 80,555 คน

รวมทั้งยังมีผลสำรวจของ The Pew Research Center ของสหรัฐอเมริกา เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เผยว่าอาหารไทย ได้รับการโหวตเป็นอาหารยอดฮิตอันดับ 3 อาหารเอเชียที่ขายดีในอเมริกา ด้วยสัดส่วนร้อยละ 11 เป็นรองเพียงอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น

ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมเมืองท่องเที่ยวของไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย พร้อมชูซอฟพาวเวอร์ ‘อาหารไทย’ ด้วยการท่องเที่ยวเชิงอาหารหรือ ‘Gastronomy Tourism’ ให้อยู่ในกระแสนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้รายงานความคืบหน้า การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย ตามยุทธศาสตร์ชาติ และ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) สู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียนว่า กรมฯ ได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงแรมไทย เป็นต้น

เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ ขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและองค์กรปกครองท้องถิ่นในการบริหารจัดการเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย สอดคล้องมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวของอาเซียน เช่น มาตรฐานโรงแรมสีเขียว (ASEAN Green Hotel Standard) มาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาด (ASEAN Clean Tourist City Standard) ซึ่งผู้ประกอบการโรงแรมในไทยให้ความสนใจ โดยปี 2566 นี้ มีผู้ประกอบการโรงแรมที่พักที่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้นในการขอรับการตรวจประเมินมาตรฐานโรงแรมสีเขียวอาเซียน ถึง 27 แห่งจากทั่วประเทศ

"ประเทศไทยยังคงเป็นปลายทางการท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวยังคงให้ความสนใจเดินทางมาท่องเที่ยวและพักผ่อน เชื่อว่าปี 2566 ทั้งปี การท่องเที่ยวไทยจะสามารถสร้างรายได้ราว 2.38 ล้านล้านบาท และมีสิทธิลุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาไทยไม่น้อยกว่า 25 ล้านคนตามเป้าหมาย" น.ส.รัชดากล่าว

‘ครัวสิทธิเพชร’ เปิดเมนูเด็ด เกาะกระแสการเมือง จัดโปรดีสั่ง 4 เมนูแถมฟรี ‘พิธาเดินเดี่ยว’ ทำลูกค้าแน่นร้าน

ร้านอาหารครัวสิทธิเพชร ตั้งอยู่ริมถนนสายสิงห์บุรี-บางระจัน ตำบลต้นโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ร้านนี้มีเจ้าของร้านเป็นแฟนพันธ์แท้ทีมฟุตบอลหงส์แดง โดยคลั่งไคล้เป็นอย่างมาก จึงได้ตกแต่งบรรยากาศภายในร้านเป็นสัญลักษณ์ของสโมสรลิเวอร์พูล พนักงานในร้านก็สวมใส่เสื้อของทีมหงส์แดง เคยมีข่าวจัดโปรโมชั่น ลดค่าอาหาร 10% ให้แก่ลูกค้า ทุกครั้งที่ทีมรักลงสนามแล้วชนะ แต่ช่วงเวลานี้ พรีเมียร์ลีกของอังกฤษยังไม่เปิดฤดูกาล จึงยังไม่มีลูกค้ามาใช้บริการโปรโมชั่นนี้

ในช่วงนี้ สถานการณ์บ้านเมืองกำลังร้อนแรง ทางร้านจึงเอาใจคอการเมือง ที่เข้ามาใช้บริการ โดยการคิดเมนูอาหารไว้มากมายหลายรายการ เช่น ยำ สว. หรือยำวุ้นเส้นโบราณ, กกต.ลุยสวน หรือปลาช่อนลุยสวน, กระดูกคนละเบอร์ หรือต้มแซ่บกระดูกอ่อน, ตำ MOU หรือตำหมูตกครก, งดออกเสียง หรือต้มแซ่บหมู, ลุงนอนมา หรือปลาทับทิมนึ่งมะนาว, พิธาแค่พิธี หรือกุ้งแช่น้ำปลา, เพื่อนแกงส้ม หรือแกงส้มชะอมไข่กุ้ง, ศึกสองด้าน หรือแจ่วฮ้อน กลมกล่อม/หมาล่า, มันใหญ่มาก หรือตำถาดใหญ่, เป็นต้น

ปรากฏว่าเรียกเสียงฮือฮาจากลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนได้เป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่ต้องการมาทานอาหาร ที่เดิมก็มีรสชาติอร่อย ถูกใจอยู่แล้ว เมื่อได้เห็นเมนูรายการอาหารชื่อแปลกใหม่ จึงต้องการทดลอง โดยเมนูที่ลูกค้าส่วนใหญ่ชื่นชอบเป็นพิเศษ ได้แก่ ยำ สว., และ กกต.ลุยสวน

เมนูที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ นั้นเป็นสีสัน และเข้ากับสถานการณ์ทางการเมือง นอกจากนี้ทางร้านก็ยังได้จัดโปรโมชั่น โดยลูกค้าที่สั่งรายการอาหารทางการเมือง 4 รายการขึ้นไป ทางร้านก็จะแถมอาหารว่างชื่อ “พิธาเดินเดี่ยว” หรือเฟรนด์ฟรายทอด ให้อีก 1 จาน อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top