Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

นราธิวาส-ผบ.พล.ร.15/ผบ.บก.ควบคุมสุริโยทัย  ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งมอบกำลังใจ แก่กำลังพล และครอบครัว ผู้ประสบเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด 

ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่ บ้านเลขที่ 43/2 หมู่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 /ผู้บังคับกองบังคับการควบคุมสุริโยทัย พร้อมกับ คุณสมฤดี ขำเขียว ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองพลทหารราบที่ 15 และกำลังพลจิตอาสา เดินทางลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งมอบกำลังใจ และมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ตลอดจนถุงยังชีพ ให้แก่กำลังพล และครอบครัว จำนวน 1 ครัวเรือน  คือ พลทหาร ซูไฮดี  สามานุง ตำแหน่ง พลปืนเล็ก หมู่ชุดควบคุมป้องกันชายแดนที่ 2 หมวดชุดควบคุมป้องกันชายแดนที่ 2 สังกัด กองร้อยชุดควบคุมป้องกันชายแดนที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ประสบเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ในพื้นที่ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566  ที่ผ่านมา ซึ่งบ้านพักอาศัยได้รับความเสียหาย แต่ครอบครัวไม่มีผู้เสียชีวิต โดย พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ได้สอบถาม ความเป็นอยู่ ของกำลังพล และครอบครัว ตลอดจน สอบถามความต้องการที่จะให้ หน่วยงานรัฐเข้าให้ความช่วยเหลือ  พร้อมทั้งกล่าวว่า “เพราะ พวกเรา คือ ครอบครัวเดียวกัน เราจะไม่ทิ้งกัน ในสถานการณ์ ที่กำลังพล และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน“

จากนั้น พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ได้เดินต่อไปยังบ้านของ นาย เด่น ดาโอ๊ะ โดยป็นผู้แทน ดร. สุธาสินี นิติสาครินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิล์มมาสเตอร์ จำกัด/ที่ปรึกษา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น พร้อมทั้งถุงยังชีพ ให้กับทายาท ของ นาย เด่น ดาโอ๊ะ ผู้ประสบเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ในพื้นที่ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จำนวน 1 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ซึ่งเบื้องต้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวในพื้นที่หมู่ 1 บ้านมูโนะ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส มีประชาชนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทั้งบ้านเรือน ทรัพย์สิน รถยนต์พังเสียหาย และร้านค้า เกิดความเสียหาย จำนวน 427 ครัวเรือน 1,935 ราย และเบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 209 ราย รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จำนวน 10 ราย เสียชีวิต 12 ราย โดยในจำนวนนี้รอพิสูจน์อัตลักษณ์อีก 2 ราย

ทั้งนี้ พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ได้เน้นย้ำให้หน่วยทหารทุกหน่วยในพื้นที่ ได้เตรียมความพร้อม ในการให้ความช่วยเหลือ บรรเทาสาธารณภัย ให้แก่ผู้ประสบภัยในทุกรูป  บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน ตอดจน เน้นย้ำกำลังพล และเครื่องมือยุทโธปกรณ์ ต้องมีความพร้อม ในการประสานการปฏิบัติตลอด 24 ชั่วโมง

‘รองโฆษกฯ’ วอนปชช.อย่าแชร์ ข่าวลือ ‘กองทุนประกันสังคม’ เสี่ยงล้ม ยัน!! สถานะยังแกร่ง เงินสะสม 2.3 ล้านล้านบาท ไม่ล้มละลายแน่นอน

(2 ส.ค. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีมีข่าวปลอมแพร่ระบาดโดยอ้างว่ากองทุนประกันสังคม เสี่ยงล้มละลายภายใน 30 ปี เนื่องจากค้างจ่าย 7 หมื่นล้านบาท ว่า สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง กองทุนประกันสังคม มีเสถียรภาพมั่นคง สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง และเพียงพอ มีการบริหารสภาพคล่องโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการถือครองหลักทรัพย์ในระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่กองทุน

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนประกันสังคม มีเงินสะสม 2.3 ล้านล้านบาท สถานะของกองทุนมีเม็ดเงินที่เพียงพอสำหรับการจ่ายสิทธิประโยชน์ในทุกกรณี ไม่ได้เสี่ยงล้มละลายหรือค้างจ่าย จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งต่อ หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานประกันสังคม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญและห่วงใยผู้ประกันตน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการใช้เงินกองทุนประกันสังคมให้เกิดประโยชน์ ตอบสนองผู้ประกันตน และปรับปรุงแก้ไขสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน โดยปรับปรุงแก้ไขสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ ให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ก่อน 3 รูปแบบ ขอเลือก ขอคืน และขอกู้ และยังเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีอื่น เช่น เพิ่มเงินทดแทนกรณีขาดรายได้จากการทุพพลภาพ เพิ่มการจ่ายเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร และขยายอายุขั้นสูงของผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้าง จากเดิมอายุ 60 ปีบริบูรณ์ เป็น 65 ปีบริบูรณ์ เพื่อพัฒนาระบบประกันสังคมให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ตอบโจทย์ของทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกันตนให้ดีขึ้น 

'หลวงพ่อสงวน' นักบุญผู้สร้างคน เลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสมานานถึง 25 ปี  ถึงแม้วันนี้จะอาพาธเดินไม่ได้ แต่ไม่คิดที่จะเลิกทำ

(2 ส.ค. 66) ‘หลวงพ่อสงวน’ นักบุญผู้สร้างคน เลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสมานานถึง 25 ปี ถึงแม้วันนี้จะอาพาธเดินไม่ได้ แต่ไม่คิดที่จะเลิกทำ

25 ปี แห่งความเมตตาของ ‘หลวงพ่อสงวน’ หรือ พระครูวิบูลประชากิจ เจ้าอาวาสวัดบ้านอ้อ อายุ 76 พรรษา พระนักบุญแห่งเมืองเก่าอยุธยา รับเด็กด้อยโอกาสในพื้นที่ชายขอบมาเลี้ยงดู ส่งเสียจนจบปริญญา ถึงวันนี้แม้ท่านจะอาพาธเดินไม่ได้ แต่ยังไม่ลดละความพยายามที่จะดูแลเด็กเหล่านี้ต่อไป ด้วยเชื่อว่า ‘การสร้างคน คือ การสร้างชาติ’

“อยากจะสร้างคน... คนนี้สำคัญนะ ตามหลักพระพุทธเจ้า ถ้าคนมีคุณภาพทุกอย่างดีหมด เมื่อเราสร้างคนแล้ว คนก็จะไปสร้างบ้าน พอเขาสร้างบ้านเขาได้ เขาก็ไปจะสร้างประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง”

การเลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสของ ‘หลวงพ่อสงวน’ ได้เริ่มขึ้นภายหลังที่ ‘หลวงพ่อสงวน’ ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดบ้านอ้อ ทดแทนพระครูประดิษฐ์ศีลาคุณ หรือ ‘หลวงพ่อเติม’ ที่มรณภาพไปเมื่อปี 2541

โดยตลอดระยะเวลา 56 พรรษา แห่งการถือเพศบรรพชิตของ ‘หลวงพ่อสงวน’ นั้นท่านได้สนใจใผ่เรียนรู้ ทั้งปริยัติและปฏิบัติจนแตกฉาน นำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาเผยแพร่เกื้อกูลสังคมมาอย่างต่อเนื่องและที่สำคัญคือส่งเสริมการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาส

“เด็กพวกนี้หลวงพ่อฯ ไปรับมาจากอุ้มฝาง จังหวัดตาก เป็นชนเผ่าม้ง พ่อแม่เด็กเขาทำไร่ หาเช้ากินค่ำ บางคนก็อยู่กับย่า กับยาย จะไปโรงเรียนทีก็ลำบาก เพราะเดินทางไกล เงินทองก็ไม่มี หลวงพ่อก็ไปรับมา เด็กสุดตอนนี้ก็ 3 ขวบได้มั้ง...อยู่ที่นี่ก็มีอาหารให้ 3 มื้อ มีที่นอนให้ มีค่าขนมให้ไปโรงเรียนทุกคน ใครรักเรียนหน่อยก็จะส่งให้เขาจนจบปริญาตรี ไปเป็นครู เป็นวิศวะก็มี”

เด็กๆ ที่มาอยู่ที่วัดนี้ จะได้รับการศึกษากันทุกคน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษา ที่โรงเรียนวัดบ้านอ้อ (บ้านอ้อวิทยาคาร) แล้วไปต่อในระดับที่สูงขึ้น ตามความสนใจทั้งในด้านวิชาชีพและปริญญาตรี โดย ‘หลวงพ่อสงวน’ จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจนจบการศึกษา

“ตอนนี้เด็กที่หลวงพ่อดูแล มี 135 คนตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญา ไปเรียนราชภัฎฯ เวลาไปเรียนหลวงพ่อต้องมีค่าขนมให้ทุกคน เด็กโตที่ไปเช่าพักข้างนอกหลวงพ่อก็มีค่าเช่าหอให้ มีค่าขนมให้ใช้จ่ายกันทุกคน"

ส่วนมาของเงินที่ใช้จ่ายในการดูแลสงเคราะห์เด็กนั้นล้วนมาจากผู้ใจบุญที่ศรัทธาในตัว ‘หลวงพ่อสงวน’

"เงินที่เอามาใช้กับเด็กๆ หลวงพ่อฯ ก็เอามาจากที่โยมมาทำบุญบ้าง ไปเทศน์มาบ้าง นิมนต์งานบุญบ้าง ไม่เคยของงบหลวง เราทำของเราเอง ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน หรือมาทำให้หม่นหม่อง”

นอกจากการเลี้ยงดูเด็กจำนวนนับร้อยชีวิตต่อเนื่องยาวนานแล้ว ‘หลวงพ่อสงวน’ ยังมีเมตตาช่วยเหลือสนับสนุนพัฒนาโรงเรียนวัดบ้านอ้อ (บ้านอ้อวิทยาคาร) โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วัด ให้เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพในระดับชุมชน ตลอดไปจนถึง การหาเงินทุนงบประมาณมาสนับสนุนก่อสร้างอาคารเรียน ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง โดย นางสาวมณฑา มงคลแพร ผู้อำนวยการของโรงเรียน เล่าให้ฟังว่า

“โรงเรียนเราได้รับการอุปการะจากหลวงพ่อฯ ในหลายด้าน ไม่ว่าจะขาดเหลืออะไร ท่านจะคอยใส่ใจมาถามตลอด อย่างเรื่องห้องดนตรีไทย หลวงพ่อฯ ท่านก็ช่วยหาอุปกรณ์ที่ขาดแคลนมาให้ ทำให้ที่นี่เด็กจะเด่นเรื่องดนตรีไทยมาก เพราะอุปกรณ์เราพร้อม ครูดนตรีไทยเราก็เป็นคนที่มีความรู้ ที่ผ่านมา ครูเขาเคยพาเด็กนักเรียนไปแข่งขันดนตรีไทย ประเภทฆ้องวงเล็กได้รางวัลระดับชาติ ดนตรีวงปี่พาทย์จากพระเทพฯ ซึ่งทักษะดนตรีเหล่านี้ เด็กจะสามารถไปต่อยอดหารายได้ช่วยที่บ้านได้ เพราะเวลาชุมชนมีงานศพ งานบวช เขาก็จะไปเล่นได้ค่าจ้างเป็นกำลังใจนำไปส่งให้ผู้ปกครอง”

ปัจจุบันสุขภาพของ ‘หลวงพ่อสงวน’ เริ่มเสื่อมถอย ด้วยหลายโรคที่รุมเร้า ล่าสุด ป่วยอาพาธด้วยเส้นเลือดในสมองตีบ ส่งผลให้ท่านจำเป็นต้องลดกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำในแต่ละวันลงไป

“หลอดเลือดสมองตายไปข้างนึง เป็นเมื่อพฤษภาฯ ที่ผ่านมา ตอนนี้เดินไม่ได้ ซีกซ้ายไม่รู้สึกเลย จะไปไหนก็ลำบากหน่อย กิจนิมนต์ก็รับไม่ไหว จะออกไปแค่ข้างหน้ากุฏิก็หน้ามืดแล้ว เวียนหัวไปหมด...แต่ก็คิดอยู่ในใจว่า หลวงพ่อฯ จะต้องทำให้เด็กมีกินให้ได้ โชคดีที่หลวงพ่อฯ พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่นี่ก็ลดลงไปมากแล้วเหมือนกัน เวลาไม่มีก็ต้องหามาหมุนเอา (ถ้าไม่ไหวหลวงพ่อฯ คิดว่าจะหยุดไหมครับ?) ไอ้หยุด ไม่หยุดหรอก เพราะถ้าหยุดเด็กจะลำบาก...แต่ก็อาจจะต้องลดค่าขนมเด็กลง ส่วนอาหารต้องมีให้เขาครบ 3 มื้อ ไม่หยุด ไม่ท้อหรอกโยม”

สำหรับเด็กที่นี่ อย่างโชคชัย เหล่าภักดี เด็กชายวัย 16 ปี เด็กชาวเขาเผ่าม้งที่มาอาศัยกับหลวงพ่อฯตั้งแต่ยังเล็ก เขารับรู้ดีว่า ถ้าไม่มี ‘หลวงพ่อสงวน’ ชีวิตเขาและเด็กๆ ที่นี่คงจะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ

“ครอบครัวผมยากจนมาก ถ้าไม่มีหลวงพ่อฯ คงไม่ได้เรียน ไม่รู้ชีวิตจะเป็นอย่างไร ผมเลยคิดว่าอยากขอบคุณหลวงพ่อฯ ที่เมตตากับผมกับน้องๆอีกหลายคนมาก ผมอยากให้หลวงพ่อฯ หายป่วยไวๆ ส่วนผมก็จะตั้งใจเรียน จบมาก็จะส่งเงินมาช่วยหลวงพ่อฯครับ”

หากต้องการร่วมบริจาคทำบุญกับ ‘หลวงพ่อสงวน’ สามารถโอนเงินไปได้ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาผักไห่ ชื่อบัญชี พระครูวิบูลประชากิจ เลขบัญชี 1021115452 หรือติดต่อได้ที่ 081-913-8383

'ในหลวง ร.10' ไม่ทอดทิ้ง 'ประชาชน-ผู้เดือดร้อน' เหตุพลุระเบิด ทรงรีบจัดหาโรงครัว-รับผู้บาดเจ็บทุกคนไปอยู่ในความดูแล

(2 ส.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ปริม พาดาฤดี' ได้โพสต์ข้อความถึงการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุพลุระเบิดที่นราธิวาส โดยในหลวง ร.10 ทรงรีบให้การช่วยเหลือประชาชนของท่านทันที ระบุว่า...

ในวันที่พลุระเบิด มีคนตายนับสิบ บาดเจ็บนับร้อย ก็มีแต่พระเจ้าอยู่หัวนี่แหละ ที่ทรงรีบจัดหาโรงครัวไปช่วยเหลือ รับผู้บาดเจ็บทุกคนไปอยู่ในความดูแล

ส่วนนักการเมืองนั้น เขาห่วงพวกคุณได้แค่หน้าเฟสหรือบนทวิตเตอร์ ไข่สักฟองเขายังไม่สละมาช่วยเลย

‘สส.สะถิระ’ ชงตั้ง กมธ.ศึกษาแนวทางโอนย้ายบริการไฟฟ้าของ ‘ชาวสัตหีบ’ จากสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือไปให้ กฟภ. หวังแก้ปัญหา ‘ไฟดับ-ไฟแพง’ 

(2 ส.ค. 66) นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.ชลบุรี เขต 10 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ตนได้เสนอญัตติด่วนเพื่อขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการมอบหน้าที่การให้บริการไฟฟ้า อำเภอสัตหีบ จากกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทาน กองทัพเรือ ไปเป็นหน้าที่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดยตรง เพราะในตอนนี้พี่น้องประชาชน อำเภอสัตหีบ ทั้ง 5 ตำบล ตำบลแสมสาร ตำบลพลูตาหลวง ตำบลสัตหีบ ตำบลบางเสร่ และตำบลนาจอมเทียน ประสบปัญหาได้รับความเดือดร้อนจากการให้บริการไฟฟ้า โดยกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ทั้งการขยายเขตไฟฟ้า ไฟดับ ไฟตก ค่าไฟ รวมถึง สิทธิประโยชน์ของผู้ใช้ไฟฟ้าเมื่อเทียบกับไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 

นายสะถิระ กล่าวต่อว่า การขยายเขตไฟฟ้าพี่น้องประชาชนอำเภอสัตหีบ ยังไม่มีไฟฟ้าถาวรใช้อีกหลายครัวเรือน รวมถึงการเพิ่มขนาดกระแสไฟฟ้าในแต่ละครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันกระแสไฟฟ้าในอำเภอสัตหีบตกบ่อยมาก ทำให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ได้รับความเสียหาย ทำให้พี่น้องประชาชนอำเภอสัตหีบ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา

"การให้บริการไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นการให้บริการไฟฟ้าหลักของคนไทยทั้งประเทศ ควรเข้ามาให้บริการไฟฟ้าประชาชนอำเภอสัตหีบ เช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ผมจึงขอเสนอญัตติด่วนดังกล่าว เพื่อตั้ง กมธ.ศึกษาให้ประชาชนอำเภอสัตหีบได้รับการบริการสาธารณะชั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกับคนไทยทั้งประเทศ และเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยด่วน"นายสะถิระ กล่าว
 

‘อี้ แทนคุณ’ เตือนสติ ‘ด้อมส้ม’ หลังก้าวร้าวขึ้นทุกวัน ลั่น!! ยิ่งทำอะไรรุนแรง ‘ก้าวไกล’ ​ยิ่งพังเร็วเท่านั้น

(2 ส.ค. 66) ดร​.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​ พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์ ​กล่าว​ถึง​กรณี​การ​ชุมนุม​คาร์ม็อบ ที่แยกอโศก หลังจากได้ออกมาเคลื่อนไหว​แปรอักษร​ เป็น​ อักษร ห.หีบ และมีการวางตัวหนังสือ​ ค.ควาย เพื่อให้อ่านว่า ห.ค. รวมทั้งมีการโปรยเอกสารด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและได้มีการบุกไปที่ตลาดของสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่งในลักษณะคุกคาม เพื่อไปกดดันด้วยการทำความเสียหายให้กับธุรกิจของเขา และมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันมาก่อนหน้านี้ ทั้งบุกรุก พ่นสีถนน พ่นสีอาคารสถานที่​ ขว้างปาสิ่งของ ทำลายกล้องวงจรปิด เผาทำลายทรัพย์สินทั้งป้อมจราจร สถานีตำรวจ สถานที่ราชการ สถานที่ส่วนบุคคลและอื่นๆ อีกหลายที่

โดยประชาชน​ที่ติดตาม​กระทำของบรรดาผู้ชุมนุมหรือ ‘ด้อมส้ม’ อย่างใกล้ชิด ย่อมสังเกตว่าผู้ชุมนุมที่มีความหลากหลาย​กลุ่ม แต่กลับมีการกระทำที่ไร้วุฒิภาวะโดยสิ้นเชิง โดยเชื่อว่าจากนี้ผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย​ต่างต้องทยอยถูกดำเนินคดี​อาญาตามหลังทั้งสิ้น

โดยปัจจุบัน​ทั้งบรรดาผู้ชุมนุม​และสื่อมวลชนต่างช่วยกันถ่ายทอดสดและถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ​บันทึกไว้เป็นหลักฐานอย่างดี ทำให้สามารถเห็นทั้งใบหน้า พฤติ​กรรมและยืนยันตัวตนของบุคคล​ผู้ที่กระทำความผิดได้อย่างละเอียด​ ซึ่งถือว่า ม็อบ ห.ค.นี้ จงใจสร้างสถานการณ์​และทำให้บ้านเมือง​เสียหาย​โดยไม่สนใจ กฎหมายและกติกาบ้านเมือง รวมทั้งบรรดาแกนนำ ที่มีคดีความ บางคนก็เคยมีข้อมูลว่าร่ำรวยขึ้นจากการเป็นแกนนำม็อบ ทั้งที่เคลื่อนไหว​โดยอิสระและที่มีเชื่อมโยงกับพฤติการณ์ของพรรคก้าวไกล ที่บิดเบือนให้ร้าย และสร้างความแตกแยกไม่รู้จบสิ้น สอดประสาน​ทั้งใน-นอกสภา ทั้ง​การใช้​ความก้าวร้าว​รุนแรง ด้อยค่าว่าร้าย บีบบังคับ​ให้คนอื่นต้องโหวตให้ ทั้งๆ ที่ดูจากสภาพทั้งหัวหน้าพรรค คือ นายพิธา และ สส.หลายๆ คน มีพฤติกรรม​กระทำผิด​กฎหมาย​ซ้ำๆ ทั้งโกหกหลอกลวง​จากนโยบาย​หาเสียง การไม่ให้เกียรติ​ทั้งสถานที่​และคนอื่นคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดเป็นศูนย์กลาง​จักรวาล​ ใครๆ ก็ต้องยอมทำตาม 

แต่ในความเป็นจริง ​เมื่อลืมตาตื่นจากฝันแล้วจะพบว่าเทคนิคทางการสื่อสารทางการตลาดที่ได้ผลสำเร็จ​ในโลกโซเชียล​ที่ทำให้ทนงตนคิดว่าเจ๋งที่สุดแล้ว เมื่อมาสู่โลกความเป็นจริงกลับไม่สามารถ​กดดันหรือบีบบังคับคนอื่นรัก เคารพได้ตลอด ด้วยพฤติกรรมของพวกเขาเอง ที่นอกจาก​ไม่มีใครอยากคบ ไม่มีใครอยากทำงานด้วย ยังทำให้บ้านเมือง​มีปัญหา​ต่อเนื่อง​ต่อไปอีกด้วย จึงขอเตือนสติว่า ‘ม็อบยิ่งทำอะไรรุนแรง ก้าวไกล​ยิ่งพังเร็วเท่านั้น’

'รัฐบาลทหารไนเจอร์' ดับเครื่องชนฝรั่งเศส ระงับการส่งออก 'แร่ยูเรเนียม-ทองคำ' แล้ว

(2 ส.ค. 66) กลายเป็นความสัมพันธ์ที่หวานอม ขมกลืนกันไปเสียแล้วระหว่างฝรั่งเศส และ ไนเจอร์ ประเทศที่เคยอยู่ใต้อาณานิคม และเป็นพันธมิตรมาอย่างยาวนาน มาวันนี้ ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นเหมือนเซ็นใบหย่าเสียแล้ว หลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารล้มผู้นำไนเจอร์คนล่าสุด โมฮัมเหม็ด บาซูม โดยคณะปฏิวัติจากสภาพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023 ที่ผ่านมา

สร้างความยุ่งยากใจให้กับรัฐบาลฝรั่งเศสไม่น้อย เพราะ เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เคยฝากความหวังไว้อย่างมากกับ โมฮัมเหม็ด บาซูม ผู้นำไนเจอร์ ว่าจะเป็นเสาหลักให้กับฝรั่งเศสในแอฟริกา หลังจากที่ฝรั่งเศสเสียมาลีไปแล้วจากการรัฐประหารโค่นล้ม รัฐบาลของ อิบราฮิม บูบาการ์ คีตา อดีตผู้นำมาลีศิษย์เก่าฝรั่งเศสในปี 2020

ตามมาด้วยการรัฐประหารที่บูร์กีนา ฟาโซ ที่ได้ยกเลิกข้อตกลงด้านการทหารกับฝรั่งเศสไปแล้วเมื่อต้นปี 2023 โดยกล่าวว่า กองทัพของบูร์กินา ฟาโซ สามารถป้องกันตนเองจากผู้ก่อการร้ายในประเทศได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากองทัพฝรั่งเศสอีกต่อไป

ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องสั่งให้ถอนฐานทัพของตนจากทั้งมาลี และ บูร์กินา ฟาโซ ไปปักหลักใหม่ที่ไนเจอร์ แต่ยังไม่ทันได้ข้ามปี ไนเจอร์ก็หนีไม่พ้นคลื่นกระแสรัฐประหารในภูมิภาคซาเฮลจนได้

และเมื่อไนเจอร์ กลายเป็นประเทศที่ปกครองด้วยรัฐบาลทหาร ขัดกับหลักการของฝรั่งเศส จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ทางฝรั่งเศสต้องแสดงจุดยืนด้วยการประกาศตัดความช่วยเหลือด้านการเงิน และ การทหารที่เคยให้แก่ไนเจอร์ทั้งหมด มีผลทันทีตั้งแต่ประกาศ จนกว่าอดีตผู้นำ โมฮัมเหม็ด บาซูม ที่ตอนนี้ถูกฝ่ายกองทัพคุมตัว จะกลับคืนสู่ตำแหน่งตามเดิม

แต่วันนี้ รัฐบาลทหารของไนเจอร์ก็ประกาศดับเครื่องชนกับฝรั่งเศสเหมือนกัน ด้วยการสั่งระงับการส่งออกแร่ยูเรเนี่ยม และ ทองคำไปยังฝรั่งเศสทันที อย่างไม่มีกำหนด อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมาก ไปรวมตัวประท้วงกันที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศสในกรุงนีอาเม เพื่อขับไล่กองกำลังฝรั่งเศสออกจากประเทศและที่น่าสังเกตคือ มีหลายคนโบกธงชาติรัสเซียเย้ยออกสื่อเสียด้วย

ไนเจอร์เป็นหนึ่งในผู้ผลิต และ ส่งออกแร่ยูเรเนียมมากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยเฉพาะส่งออกไปยังฝรั่งเศส ที่ใช้แร่ยูเรเนียมที่มาจากไนเจอร์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนถึง 17%

ซึ่งกิจการเหมืองแร่ขนาดใหญ่ของไนเจอร์ตั้งอยู่ที่เมืองอาร์ลิท ที่ห่างจากกรุงนีอาเม ประมาณ 1,100 กิโลเมตร โดยบริษัท SOMAÏR แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกิจการของรัฐ แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดคือ AREVA บริษัทด้านธุรกิจพลังงานนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส ถือหุ้นอยู่ถึง 63.4% ส่วนที่เหลือเพียง 36.6% เป็นของรัฐบาลไนเจอร์

ทั้งทองคำ และ ยูเรเนียม เป็นหนึ่งสินค้าส่งออกที่เป็นรายได้หลักของไนเจอร์ทีเดียว โดยกว่า 50% ของแร่ยูเรเนียมที่ผลิตได้ถูกส่งไปเป็นวัตถุดิบในโรงไฟฟ้าของฝรั่งเศส ส่วนอีก 25% ส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรป

แต่ถึงแม้ว่า ไนเจอร์จะตัดการส่งออกยูเรเนียมไปฝรั่งเศส ก็อาจจะยังไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการผลิตพลังงานในฝรั่งเศสมากมายนักในตอนนี้ เพราะโดยปกติทางฝรั่งเศสจะมีสต็อกแร่สำรองตุนไว้เสมอ เผื่อเกิดกรณีที่ไม่คาดฝันอย่าง ภัยธรรมชาติ หรือเหตุผลด้านการเมืองที่ควบคุมไม่ได้อย่างในครั้งนี้ 

ดังนั้น ฝ่ายที่เจ็บก่อนคือ ไนเจอร์ ที่ต้องสูญเสียรายได้จากการส่งออกทั้งยูเรเนียม และ ทองคำ นับพันล้านเหรียญในแต่ละปี และทำให้ไนเจอร์ต้องหาตลาดใหม่มาทดแทน ที่คาดการณ์ว่าคงหนีไม่พ้นจีนอีกเช่นกัน

แต่การเจ็บคราวนี้ของไนเจอร์ ก็อาจเป็นการเจ็บแล้วจบก็ได้ ที่ตอนนี้รัฐบาลไนเจอร์จะได้โอกาสจัดการสัดส่วนการถือครองหุ้นส่วนในธุรกิจทรัพยากรของประเทศใหม่ ให้ยุติธรรมและเหมาะสมกว่าที่เป็นอยู่

และหากไนเจอร์สามารถประคองตัวได้นานพอ ผล กระทบย่อมสะท้อนกลับมายังฝรั่งเศสเมื่อต้องเริ่มมองหาแหล่งที่ซื้อแร่ และ ทองคำใหม่ ถึงจะหามาทดแทนได้ไม่ยาก แต่มันจะไม่ใช่ราคาราคาที่เคยได้จากไนเจอร์แน่นอน และจะส่งผลต่อราคาแร่ยูเรเนียมในตลาดโลก รวมถึงค่าใช้จ่ายพลังงานในฝรั่งเศสอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้

และสิ่งที่ทำให้ฝรั่งเศสเจ็บยิ่งกว่า คือการสูญเสียอิทธิพลที่เคยมีในย่านแอฟริกา ที่ไม่รู้ว่ามหาอำนาจเมืองน้ำหอมจะมีโอกาสได้แก้ตัวอีกไหมในดินแดนกาฬทวีปแห่งนี้ 

ใจหาย!! ‘ช่องบูมเมอแรง’ ประกาศยุติออกอากาศ 1 ก.ย.นี้ หลังอยู่คู่เด็กไทยมานาน 10 ปี เหลือให้ดูต่อแค่ทางออนไลน์

สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่องบูมเมอแรง ซึ่งเป็นช่องการ์ตูนชื่อดัง ประกาศยุติออกอากาศ 1 ก.ย.นี้ หลังออกอากาศมานานถึง 10 ปี พบผลประกอบการรายได้ลดลง จาก 69 ล้าน เหลือ 45 ล้าน แต่กำไรตัวเขียวอยู่ ล่าสุดยังประกาศจัดโรดโชว์ศูนย์การค้าดังตลอดปี 66

(2 ส.ค. 66) เฟซบุ๊ก Boomerang Thailand ของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่องบูมเมอแรง (BOOMERANG) ซึ่งเป็นช่องการ์ตูนชื่อดัง โพสต์ข้อความ ระบุว่า

"เรียนผู้ชมทุกท่าน ช่องบูมเมอแรงจะยุติการออกอากาศตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 66 ขอขอบพระคุณผู้ชมทุกท่านที่ติดตามชมและให้การสนับสนุนสถานีด้วยดีเสมอมา ทางสถานีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ส่งมอบความบันเทิงให้ทุกท่านในโอกาสต่อไป และทุกท่านสามารถรับชมออนไลน์ต่อได้ที่ Facebook : Boomerang Thailand และ Youtube : Boomerang Thailand ขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้"

สำหรับช่องบูมเมอแรง เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมในรูปแบบช่องการ์ตูน เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2556 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ในยุคที่โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมกำลังเฟื่องฟู โดยมีบริษัท เมเจอร์ กันตนา บรอด แคสติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป กับ กันตนา ร่วมทุนกับ บริษัท เทิร์นเนอร์ เอเชีย แปซิฟิค เวนเจอร์ จำกัด ร่วมทุนเปิดบริษัท เอ็ม เทิร์นเนอร์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท แบ่งเป็น เมเจอร์ กันตนา 51% และเทิร์นเนอร์ 49%

โดยทางเทิร์นเนอร์ต้องการใช้ช่องบูมเมอแรงเป็นหัวหอกเจาะตลาดแมส เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น จากเดิมที่ทางเทิร์นเนอร์ใช้ช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์ค ที่ออกอากาศทางทรูวิชั่นส์สำหรับเจาะกลุ่มพรีเมียมไปแล้ว โดยมีกลุ่มเป้าหมายอายุ 4-14 ปี นอกจากนี้ ยังเปิดช่องการ์ตูนใหม่อีก 1 ช่อง คือ ช่องทูนามิ (Toonami) ช่องบันเทิงที่รวมเอาการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่จากทั่วโลกไว้ให้ชมกันมากที่สุด โดยจะเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มเดิมของช่องบูมเมอแรง

ที่ผ่านมาช่องบูมเมอแรงได้รับการจัดอันดับเรตติ้งให้เป็นอันดับ 1 ของทีวีดาวเทียมและเคเบิลในประเทศไทย กระทั่งปัจจุบันยังคงติดอันดับเรตติ้งรวมกับทีวีดิจิทัล ในระหว่างอายุ 4-14 ปี โดยการจัดเรตติ้ง เอจีบี เน็ลสัน มีเดีย รีเสิร์ช รวมทั้งมีกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ครอบครัวและเด็ก เช่น งานวิ่ง งาน BOOMERANG RUN & TRAIL COLORFUL JUNGLE ที่สวนนงนุช และล่าสุดมีกิจกรรมโรดโชว์ที่ชื่อว่า BOOMERANG LAND ร่วมกับศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ตลอดปี 2566

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า รายได้ย้อนหลัง 5 ปี บริษัท เอ็ม เทิร์นเนอร์ จำกัด มีดังนี้

ปี 2561 มีรายได้รวม 69,919,465.00 บาท กำไรสุทธิ 13,724,125.00 บาท
ปี 2562 มีรายได้รวม 66,778,770.00 บาท กำไรสุทธิ 11,003,453.00 บาท
ปี 2563 มีรายได้รวม 54,971,573.00 บาท กำไรสุทธิ 3,717,807.00 บาท
ปี 2564 มีรายได้รวม 46,358,021.00 บาท กำไรสุทธิ 5,463,987.00 บาท
ปี 2565 มีรายได้รวม 45,204,671.00 บาท กำไรสุทธิ 4,094,812.00 บาท

อีกด้านหนึ่ง ข้อมูลจากสายงานกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระบุว่า ช่องรายการ BOOMERANG มี บริษัท เอ็มบีทีวี จำกัด เป็นผู้ขอรับใบอนุญาต โดยได้รับอนุญาตเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2564 สิ้นอายุใบอนุญาตวันที่ 3 พ.ย. 2574 รวมทั้งยังมี บริษัท มี บรอดแคสติ้ง จำกัด ผู้ประกอบการ NT IPTV, บริษัท ซุปเปอร์ บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด ผู้ประกอบการ AIS PLAY และ บริษัท ทรี บีบี ทีวี จำกัด ผู้ประกอบการ 3BB GIGATV ได้ขออนุญาตนำช่องรายการ BOOMERANG มาออกอากาศเช่นกัน

'เพื่อไทย' แถลงชัด 'ถอนตัวจาก 8 พรรค-แยกทางก้าวไกล' เหตุ!! ไม่ถอย 112 ส่วน กก.จะโหวตให้ พท.หรือไม่ เป็นเอกสิทธิ์

(2 ส.ค. 66) เมื่อเวลา 14.15 น. ที่พรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงผลการหารือร่วมกับ พรรคก้าวไกล และ 8 พรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ

นายประเสริฐ กล่าวว่า การประชุมเมื่อเช้าที่ผ่านมา 2 พรรค เพื่อไทย-ก้าวไกล ใช้เวลาหารือร่วมกว่า 2 ชม. หลังจากนั้น พรรคเพื่อไทย จึงแจ้งผลการหารือต่างๆ ผ่านทางโทรศัพท์ ให้ 6 พรรคร่วมรัฐบาลแล้ว

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า พี่น้องสื่อมวลชนที่เคารพรักทุกท่าน ขออ่านคำแถลงข่าว เพื่อความเข้าใจดีต่อกัน ร่วมผ่าทางตันหาทางออกให้ประเทศ เนื่องจากการตั้งรัฐบาลครั้งนี้ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล จับมือร่วม 6 พรรคการเมือง รวมเสียง 312 เสียง มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ โดยเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี โดยทั้ง 8 พรรคร่วมฯ มีความเห็นชัดเจน ยึดมั่น ในสถาบัน เป็นกำลังใจให้คนไทย และไม่เห็นด้วยแก้ไข ม.112 ต่อมา แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล รวมเสียงโหวตนายกฯ ไม่ได้ พรรคเพื่อไทยร่วมมืออย่างเต็มที่ โหวตให้ 141 เสียง แต่ สว.ก็ไม่ยอมรับ เพราะมีเรื่องแก้ ม.112 ซึ่ง พรรคก้าวไกล ก็ไม่ยอมถอย ม.112

ดังนั้น ที่ประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาล เห็นชอบ ส่งภารกิจตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทย เมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ พรรคเพื่อไทยจึงเดินหน้าหาเสียงสนับสนุนจาก สว.-สส.จากพรรคการเมือง พบว่า นโยบายแก้ ม.112 เป็นเงื่อนไขหลัก โดยบางคนแสดงเจตนารมณ์ชัดแจ้ง ไม่โหวตให้ 

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยปรึกษาพรรคก้าวไกลแล้ว ขอถอนตัวพรรคร่วม และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ขอยืนยันว่า เราไม่สนับสนุน แก้ไข ม.112 และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะใช้ความสามารถ จัดตั้งรัฐบาลที่เหมาะสม และพรรคก้าวไกลจะไปเป็นฝ่ายค้าน

1. เราจะผลักดันแก้ รธน.ฉบับปัจจุบัน กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยเรื่องจากประชุม ครม.ครั้งแรกให้มีการทำประชามติและจัดตั้ง สสร. เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ รัฐบาลคืนอำนาจประชาชนเลือกตั้งใหม่

2. นโยบายที่เห็นสอดคล้องกัน สุราก้าวหน้า สมรสเท่าเทียม ปฏิรูปทหาร ตำรวจ ยกเลิกการผูกขาด และส่งเสริม การแข่งขับทางการค้า พรรคเพื่อไทยพร้อมร่วมผลักดันจนสำเร็จ พรรคเพื่อไทยขอแสดงความจริงใจทางการเมือง พี่น้องประชาชน นี่คือแนวทางรักษาสถาบันของชาติ ให้ภารกิจนำพาประเทศพ้นวิกฤติ ปลดกลไกไม่ปกติคืนสู่ความปกติ และใช้ความสามารถของพรรคเพื่อไทย แก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อประชาชน

ทั้งนี้ นายแพทย์ชลน่าน ได้กล่าวถึง เรื่องโหวตนายกฯ รอบ 3 ในวันที่ 4 ส.ค. ซึ่ง 2 พรรคเพื่อไทย-ก้าวไกลได้ตกลงกัน โดยเป็นเอกสิทธิ์ของพรรคก้าวไกล ว่าจะลงคะแนน หรือไม่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยก็ได้ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ ขออนุญาตมีความคืบหน้าให้ผู้สื่อข่าวพรุ่งนี้ (3 ส.ค.)

ขณะที่คำถาม สว.โหวตให้หรือไม่ นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า ข่าวที่แถลงในวันนี้ และมีเจตนาชัดเจน เงื่อนไขเดิม ลดเงื่อนไขลงทั้งหมด ม.112 น่าจะเป็นผลให้ สว.ลงมาร่วมโหวตให้กับเพื่อไทยได้
 

‘NASA’ รุกตลาดสตรีมมิ่ง เตรียมเปิดตัว NASA+ ปลายปีนี้  เล็งเสนอเรื่องราวภารกิจบนอวกาศ แถมดูฟรี!! ไม่มีโฆษณาคั่น

เมื่อไม่นานมานี้ NASA องค์กรอวกาศจากสหรัฐอเมริกากำลังเตรียมตัวเข้าสู่วงการสตรีมมิ่ง โดยเปิดตัว NASA+ สตรีมมิ่งที่จะนำเสนอภารกิจและเรื่องราวบนอวกาศแบบไม่มีโฆษณาหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ภายในปลายปีนี้

บริการสตรีมมิ่งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง NASA และ เอเจนซี่สัญชาติสหรัฐรายหนึ่งเพื่อผลิตสารคดีหรือซีรีส์ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจและเรื่องราวต่างๆ บนอวกาศขององค์กร NASA 

บริการสตรีมมิ่งนี้ NASA+ ยังเป็นบริการในรูปแบบ On-Demand นั่นคือสามารถเลือกและเริ่มชมเนื้อหาที่ต้องการในเวลาที่ต้องการโดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาที่มีการถ่ายทอดสด หรืออาจจะไม่จำกัดเวลาการดูตามกำหนด

การเข้ามาในวงการสตรีมมิ่งของ NASA จึงเป็นการตบเท้าเข้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กรและยกระดับบริการสื่อของตนเองให้ก้าวทันโลกและเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น

นี่จึงเป็นถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญนับตั้งแต่ NASA ใช้ NASA TV ถ่ายทอดเนื้อหาวิดีโอ เพื่อการศึกษาสาธารณะ และถ่ายทอดสด การปล่อยจรวดโดยถ่ายทอดในลักษณะของสถานีโทรทัศน์ ตลอด 24 ชั่วโมงและทุกวันทั้งบนเว็บไซต์ NASA และ YouTube การออกอากาศในปัจจุบัน มีการถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่องบน YouTube ตั้งแต่ปี 2018

“การทำให้เว็บไซต์หลักของเราอัปเดตเทคโนโลยีและการปรับปรุงกระบวนการที่ประชาชนเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ของเราเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการทำให้ข้อมูลของหน่วยงานเราเข้าถึงได้ง่าย และมีความปลอดภัย” Jeff Seaton ประธานกรรมการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของ NASA กล่าว

บริการ NASA + จะผูกรวมเข้ากับแอปพลิเคชัน NASA ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดบน iOS และ Android อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับเว็บไซต์และคลังข้อมูลของ NASA ในส่วนของสตรีมมิ่งบนทีวีจะให้บริการใน กล่องสตรีมเช่น Apple TV, Roku และ Fire TV


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top