Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

'โซเชียล' หน่าย!! สารพัดแคมเปญส้มเหยียดคนไทย จังหวัดไหนที่ไม่ได้ สส. 'ถูกรุมด่าโง่-แบน-ล่าแม่มด'

เมื่อไม่นานมานี้ ‘อาจารย์ฟลุค’ นักพยากรณ์โหราศาสตร์ไทย เจ้าของช่องติ๊กต็อก ‘Flukepat smile’ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอตอบกลับคอมเมนต์ติ่งส้มท่านหนึ่งที่บอกว่า ‘งดเที่ยวราชบุรี’ โดยระบุว่า..

“ผมเห็นแคมเปญของด้อมส้มแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่โคตรเหยียดคนไทยด้วยกันเลยนะ บอกว่าตัวเองรักประชาธิปไตย แต่พอจังหวัดไหนที่ตัวเองไม่ได้ อย่างเช่น พะเยา เพชรบูรณ์ ราชบุรี หรือภาคใต้ ก็ไปด่าเขาโง่บ้าง หรือไปแบนเขาบ้าง อย่างล่าสุด สว. ก็โดนล่าแม่มด บุกไปดูว่า สว. มีธุรกิจอะไรบ้าง จะแบนธุรกิจอะไรดี หรือแม้กระทั่งแบนทรู แบน CP อย่างงี้มันเหมือนรายการ The Mask เลยนะ ชื่อจริงคือชื่อเผด็จการ แต่ใส่หน้ากากประชาธิปไตย ไม่เคยให้เกียรติคนไทยด้วยกันเลย”

ทั้งนี้ อาจารย์ฟลุค ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่มีแม่ค้าขายของออนไลน์ท่านหนึ่งได้เปิดเผยทั้งน้ำตาว่าตนนั้นขายของไม่ได้เลย ทั้งที่ตนเลือกพรรคก้าวไกล แต่ด้วยกระแสแบนจังหวัดทำให้ตนนั้นพลอยโดนไปด้วย เพราะว่าตนเป็นคนพะเยา 

“บอกว่าตัวเองนั้นเคารพในระบอบประชาธิปไตย แต่พอผลการเลือกตั้งออกมาไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ก็ไปด่าเขา พอเขตไหนตัวเองได้ ก็บอกยุติธรรม แต่ถ้าคุณแน่จริงนะ เริ่มแบนจากการไม่ใช้ไฟฟ้า…แต่คงจะไม่ได้ เพราะพอไม่ใช้ไฟฟ้าแล้วทําไอโอไม่ได้ เรามองส่วนเสียเขาแล้ว แต่เราก็ต้องมองส่วนดีด้วย ซึ่งประเทศเราเป็นประชาธิปไตยนะ คุณจะแบนอะไรก็เรื่องของคุณ แต่การชักชวนคนอื่นให้เขาไปแบนด้วย มันเป็นพฤติกรรมที่เลวร้ายในรูปแบบเผด็จการจิตวิทยา”

‘แจ็ค The Ghost’ แชร์ทริกสังเกต ‘สถานที่มีผี’ พร้อมเผย “เป็นคนกลัวผีมาก แต่ชอบฟังเรื่องผี”

(3 ส.ค. 66) พิธีกร และดีเจรายการเล่าเรื่องผีชื่อดัง ‘แจ็ค The Ghost Radio’ หรือ ‘แจ็ค-วัชรพล ฝึกใจดี’ เปิดหมดเปลือกสิ่งผิดพลาดที่สุดในชีวิต ฟังเรื่องหลอน ๆ มาทั้งชีวิตแต่เกิดมาไม่เคยเจอผีแม้แต่ครั้งเดียว และเรื่องเล่าลี้ลับในรายการคัดกรองยังไง อันไหนเรื่องจริงหรือแต่งใน WOODY FM ดำเนินรายการโดย วุฒิธร มิลินทจินดา

>> ผมไม่กล้าฟังรายการคุณเลยเพราะกลัวผีมาก?

แจ็ค The Ghost : ผมก็กลัวผีครับ

>> ทำไมคนกลัวผีถึงทำรายการผี อย่างพี่ป๋องก็กลัวผี ผมไม่เข้าใจ ?

แจ็ค The Ghost : ชอบครับ ชอบฟังเรื่องผี ชอบดูหนังผี ชอบดูว่าเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่ผีจะออกมา จากหนังที่ดูเราจะรู้สึกว่าเขาจะหลอกเรายังไง หรือฟังเรื่องผีก็เหมือนกัน ผีจะออกมาน่ากลัวแบบไหนที่ทำให้ตัวเองกลัว 

>> คุณชอบเทคนิคและการร้อยเรียงของเรื่อง ความน่าสนใจของการมาการไปแต่โดยรวมแล้วกลัว ?

แจ็ค The Ghost : ใช่ครับ กลัวมากครับ

>> ที่เคยเจอด้วยตัวเองเล่าให้ฟังได้ไหม ?

แจ็ค The Ghost : ผมไม่เคยเจอผีพี่วู้ดดี้ ทั้งชีวิตเกิดมาไม่เคยเจอผี 

>> ผีคืออะไร ?

แจ็ค The Ghost : คือคนที่เคยมีชีวิตอยู่หลังจากนั้นตายไป ทั้งหมดเลยมันเป็นความเชื่อที่ว่าคน ๆ นั้นตายไปแล้วก็จะกลายเป็นผี แล้วก็จะมีนิสัยเหมือนที่เคยมีชีวิตมาก่อน ผีคือสิ่งที่สามารถจะพึ่งพิงทางใจได้ ซึ่งบางคนเลือกที่จะไปพึ่งผี เช่นขอโน้นขอนั่นขอนี่ ทุกวันนี้คนขอผีเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอันดับ 1 ขอให้ถูกหวย ขอให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมา แล้วก็มีหลาย ๆ ที่ เพราะมีคนว่ากันว่าพอไปบนบานศาลกล่าวกับที่นี่แล้วจะได้ เขาก็จะออกมาบอกว่าเขาได้ แต่ความเป็นจริงเขาอาจจะไป 100 คนแล้วได้แค่คนเดียว ก็กลายเป็นกระแสฮือฮาที่คนจะไปบอกกันต่อ 

>> มีสิ่งที่คนอยากรู้มาก และนี่คือคำถามแทนใจพี่น้องชาวไทยทุกคนคือ คุณรู้ได้ยังไง คัดกรองยังไงว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องไม่จริง ?  

แจ็ค The Ghost : คำถามนี้มีคนถามผมเยอะมากพี่วู้ดดี้ แล้ววันนี้ผมก็จะตอบให้ชัด ๆ เลยว่า ผมไม่สนใจเลยว่าเรื่องที่โทรมาเล่าอันไหนคือเรื่องจริงอันไหนคือเรื่องแต่ง ทั้งหมดเลยคือการฟังเรื่องผีนอกจากสิ่งที่มันจะซ่อนอยู่ในเนื้อหามันคือความบันเทิง มันคือความตื่นเต้น คือความสนุก ผมจะบอกคนฟังของผมทุกคนว่าคุณไม่ต้องสนใจว่าเรื่องนั้นเขาจะแต่งมาเล่าหรือเขาจะเอาเรื่องจริงมาเล่า แค่ฟังแล้วคุณต้องการฟังเรื่องผีเพื่ออะไรก่อน คุณต้องการฟังเรื่องผีเพื่อความตื่นเต้น คุณอยากจะรู้ว่าผีจะออกมาหลอกยังไง คุณจะกลัวแบบไหน คุณจะลุ้นไปกับตัวละครที่เขาเล่าแบบไหนนั่นคือการฟังเรื่องผีที่สนุกที่สุด เมื่อไหร่ก็แล้วแต่เมื่อคุณเอากำแพงมาตั้งว่าเรื่องนี้มันจะต้องเป็นเรื่องจริง เรื่องไม่จริงมาเล่าได้ยังไงมันไม่สมเหตุสมผลเลย มันจะฟังเรื่องผีไม่สนุกครับ การฟังเรื่องผีที่ดีคือฟังให้จบแล้วได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง เช่นเรื่องของคติเตือนใจ เรื่องของบาปบุญคุณโทษที่ซ่อนอยู่ในเรื่อง 

>> คุณเชื่อเรื่องเซ้นส์ไหม ?

แจ็ค The Ghost : ผมเชื่อครับ ผมเชื่อแว๊บแรกของตัวเอง ผมฟังเรื่องผีมาเยอะ เวลาผมไปพักตามโรงแรม ผมจะมีแว๊บแรกก่อน จากโรงแรมที่เราเลือกเอาไว้หน้าปกมันสวยแต่พอเราเห็นแล้วมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ผมก็ย้ายครับไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ผมกลัวที่จะเจอ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าวันหนึ่งที่เจอผีขึ้นมา ผมจะเป็นยังไง ผมไม่รู้ ผมกลัวจริง 

ผมฟังเรื่องผีมาเยอะ ผมจะรู้ว่าถ้าสมมุติโรงแรมที่เราเข้าไปพัก ประตูห้องครั้งแรกที่เราเปิดเข้าไปมันมีกลิ่นอับเข้ามาแว๊บเดียวผมจะไม่พักเลยครับ แสดงว่าห้องนั้นอาจจะทำความสะอาดมาไม่ดีหรือไม่เคยเปิดให้ใครพัก หรือการเข้าไปในห้องแล้วของต่าง ๆ จัดวางไว้แบบแปลก ๆ เช่นของบางอย่างที่ไม่ควรอยู่ในห้องถ้ามันมีผมก็จะไม่พัก เช่น กระถางธูป ดอกไม้ พวงมาลัย เหรียญ หรือแม้กระทั่งข่าวที่ออกมาล่าสุดศาลที่อยู่ตรงหลังห้อง 

มันไม่ควรที่จะอยู่ในห้องของโรงแรม ถ้าเจอพวกนี้ย้าย แล้วถ้าเรา Walk-in เข้าไปแล้วมันเต็มเราควรไปเลย ไม่ต้องยื้อไม่ต้องตื้อ เพราะตามสถิติเรื่องเล่า 90% จะเจอผีครับ หลาย ๆ โรงแรมมีห้องบางอย่างที่ไม่เปิดให้ใครเช่า สถิติห้องที่เจอผีบ่อยที่สุดคือห้องติดบันไดหนีไฟไม่รู้เหมือนกันเพราะอะไรแต่เป็นเรื่องเล่าที่ผมฟังมาเป็นหมื่น ๆ เรื่อง ห้องติดบันไดหนีไฟมักจะมีเรื่องเล่าแล้วจะอยู่ที่ชั้น 3 หรือไม่ก็ชั้น 4 แล้วก็ห้องที่เข้าไปปุ๊บโต๊ะกระจกเครื่องแป้งอยู่ปลายเตียงพอดีสถิติ 100% จะเป็นความเชื่อว่าผีหรือวิญญาณตอนกลางคืนเขาจะออกมาทางกระจก แล้วบางทีเราตื่นขึ้นมากลางดึกก็จะเห็นใครไม่รู้ยืนอยู่หน้ากระจกบ้าง เห็นใครไม่รู้หวีผมอยู่หน้ากระจกบ้าง สถิติจะเป็นอย่างงี้หมดครับ

>> แล้วที่ฟังมาสมมุติว่านอนอยู่ในห้อง ถ้าเราตื่นมากลางดึกจะทำยังไงต่อจากนี้ ?

แจ็ค The Ghost : สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลครับ เหมือนกับเขาต้องการแค่นั้นเพื่อให้คน ๆ นี้รู้ว่าเขามีอยู่จริง บางทีมีคนแกล้งหลับไม่สนใจ เขาจะมาทำให้สนใจ เช่น เรานอนอยู่แล้วเอามือมาผ่านแว๊บ ๆ หรือทำเสียงอะไรบางอย่างให้เราสนใจเขา

>> มีคนบอกว่าส่วนมากที่เจอผีเขาบอกว่าให้แช่ง ?

แจ็ค The Ghost : นั่นคือไม้ตายขั้นสุดคือการแช่ง เพราะเราคิดกันว่าผีน่าจะกลัวการแช่ง การแช่งที่น่ากลัวที่สุดของผีเราก็คิดกันว่าน่าจะเป็นคำว่า...ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด คนก็เลยเลือกที่จะแช่ง อันนี้ไม่ใช่ว่าไปเจอทุกครั้งแล้วแช่งทุกครั้ง เราก็ต้องดูสถานการณ์ด้วย 

>> เรื่องไหนที่เป็นสิ่งผิดพลาดที่สุดในชีวิต และเป็นบทเรียน ?

แจ็ค The Ghost : ผมคิดว่าตัวเองเจ๋ง ตอนที่เป็น แจ็ค สายสิญจน์ ตอนที่เอาหัวโขน แจ็ค สายสิญจน์ เข้ามาใส่ตัวเอง นั่นคือความผิดพลาดที่สุดในชีวิต ผมทำงานมาเยอะตั้งแต่เป็นเด็กปั้มโน้นนี่นั่นมา ช่วงระยะเวลาที่เราผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มามันคือประสบการณ์ชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่มันผิดพลาดคือเรื่องนี้คิดว่าตัวเองเจ๋งไม่ต้องไปสนใจใคร ไม่ต้องไปง้อใคร เพราะนี่คือมือขวาของ พี่ป๋อง-กพล ทองพลับ  

>> คุณก้าวผ่านจุดนั้นวางอีโก้ยังไง ?

แจ็ค The Ghost : วางอีโก้หลังจากที่ผมออกมาจากพี่ป๋องประมาณสัก 2 ปี ผมก็ไปเป็นพ่อค้าเร่ ผมก็ขายของอยู่ตามตลาดนัด พี่วู้ดดี้เชื่อไหมว่ามีแฟน ๆ รายการที่เขาจำผมได้ เขามาเจอผมแล้วเขาก็บอกว่าพี่ผมดีใจมากเลยที่เจอ ผมขอถ่ายรูปกับพี่หน่อย ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นอะไรแล้วนะครับ แล้วเขาก็พูดมาคำหนึ่งว่าพี่รู้ไหมว่าผมเคยไปหาพี่ที่ร้านหลายครั้งมาก ผมอยากเจอพี่มาก แต่พี่ไม่เคยออกมาหาผมเลย วันนั้นผมรู้เลยว่า อ๋อ! ตอนที่เรานั่งอยู่ในห้องหน้าคอมพิวเตอร์เล่นแต่เกมส์ ไม่ทำอะไร ไม่สนใจอะไร ไม่เคยออกมาหาลูกค้า ไม่เคยออกมาหาแฟนรายการ ตอนนั้นผมแบบไม่น่าเลย ณ วันนั้นเรามีโอกาสเจอเขา เขามาหาเรา เราไม่เคยไปสนใจ แต่วันนี้เราเป็นใครก็ไม่รู้ แล้ววันหนึ่งเขามาหาเรา มาตามหาเราจนเจอ มาหาเราจากที่เราโพสต์ Facebook ว่าวันนี้เราไปขายของที่ไหน เพื่อที่แค่อยากจะมาให้กำลังใจอยากจะมาขอถ่ายรูป ณ วันนั้นอีโก้ผมมันถูกวางลงไปเลยครับ เลิกตอนนั้นที่ผมไม่รู้ต่อไปด้วยนะว่าชีวิตผมจะเป็นยังไง ผมจะได้กลับมาทำงานตรงนี้อีกหรือเปล่าแต่รู้สึกว่าตัวเองต้องหยุดพฤติกรรมแบบนั้น ต้องเป็นคนที่ให้เกียรติคนอื่น

'เสรีพิศุทธ์' กล่อม 'ก้าวไกล' นึกถึงบุญคุณ ‘เพื่อไทย’ ช่วยหนุนโหวต เตือน!! 'ม็อบด้อมส้ม' ผิด กม. ยกเคส 'หยก' เป็นลูกฆ่าทิ้งไปแล้ว

(3 ส.ค. 66) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนทางการเมืองว่า มีจุดยืนเดิมคือร่วมกับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะไม่สามารถนำพรรคก้าวไกลมาร่วมได้ เราก็ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจะออกไป ก็ไม่ใช่ปัญหา ยังเห็นเป็นเหมือนน้อง ด้วยความปรารถนาดีอยากให้จัดรัฐบาลได้

เมื่อถามว่าถ้ามีพรรค 2 ลุงมาร่วมรัฐบาลด้วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนเคยตอบไปแล้วว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะเป็นคนรัฐประหาร แต่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตนรับได้ แต่ถ้าจะเหมารวม พล.อ.ประวิตร เป็นคนปฎิวัติด้วย อย่างนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภาฯ เป็นผู้สนับสนุน ก็ต้องถือว่ารวมด้วย ฉะนั้นตัวหลักที่ตนไม่เอาคือ พล.อ.ประยุทธ์

“พรรคเพื่อไทยเขาจัดตั้งรัฐบาลถ้าเขาเอา พล.อ.ประวิตร แต่ผมไม่เอา ผมก็อยู่ไม่ได้ จะให้ผมไปอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้ จะให้ไปอยู่ตรงไหน ก็ต้องลาออกจากการเป็น ส.ส. ผมแนะทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลไปแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกแล้ว ไม่มีลุงแล้ว ก็เหลือแต่พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคก็ไม่ใช่คนปฎิวัติ แล้วทำไมจะต้องแข็งตัว จนไปร่วมกับรวมไทยสร้างชาติไม่ได้ ถ้าให้ผมเป็นคนตัดสินใจไม่ว่าผมจะอยู่ก้าวไกลหรือเพื่อไทยก็ร่วมได้” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการโหวตนายกฯ วันที่ 4 ส.ค.นี้ อาจจะมีปัญหาต้องเลื่อนออกไปอีกเพราะมีเหตุไม่ลงตัวว่า บ้านเมืองวุ่นวายมานาน 8-9 ปี เมื่อมีการเลือกตั้งมาแล้ว และ สว. ที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกฯ ต้องสามัคคีกัน จะไปเอาคำพูดตรงนั้นตรงนี้มาเป็นประเด็น อย่างที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย เคยพูดให้แก้มาตรา 112 มันไม่ใช่ประเด็น ส่วนที่พรรคเพื่อไทยเคยพูดว่าไม่เอาพรรคพลังประชารัฐต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่สัญญา ยังไม่ถึงขั้นทำเอ็มโอยูด้วยซ้ำ เป็นการพูดบนเวทีเพื่อหาเสียงเท่านั้น เพื่อให้ประชาชนลงคะแนนให้ ถ้าคิดว่าผิดคำพูดไปเสียหมดก็ไม่ต้องจัดแล้วรัฐบาล

เมื่อถามว่ามีการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลใหม่หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ไม่มี ตนไม่เคยสนใจตำแหน่ง ตนอยากจะช่วยให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้ และตนไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้น เพราะพล.อ.ประยุทธ์ไปแล้ว

“เห็นพรรคก้าวไกลบอกว่า จะไม่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย อยากฝากให้ก้าวไกลคิดใหม่ ครั้งก่อนที่ก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยก็ลงคะแนนให้ ครั้งนี้เพื่อไทยจัด ก้าวไกลจะตอบแทนบุญคุณไม่ได้หรือ ถึงแม้จะเป็นจะไปเป็นฝ่ายค้านแต่ก็มี 150 เสียง ถ้าลงให้ทั้งหมดก็สิ้นเรื่อง ถ้าลงทั้งหมดจะทำให้ประเทศชาติเดินหน้าได้ สิ่งที่ก้าวไกลจะได้คือแมนจริงๆ เลือกตั้งครั้งหน้าจะทำให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนมากยิ่งขึ้น ถึงเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลแต่ก็ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งก้าวไกลไม่ใช่จะเป็นฝ่ายค้านไปตลอด รับรองสนับสนุนคะแนนเสียงไปก่อน 3-4 เดือนมีการปรับคณะรัฐมนตรี อาจเอาพรรคอื่นออกเอาพรรคก้าวไกลเข้าไปได้ ดังนั้นขอชี้ทางสว่างให้พรรคก้าวไกล” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าหลังพรรคเพื่อไทยปล่อยมือพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้ายทำให้มวลชนไม่พอใจมีกระแสต่อต้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า การที่มวลชนบุกไปยังพรรคเพื่อไทย สาดสีและเผาหุ่น ตรงนี้ไม่ใช่แค่ไม่เหมาะสม แต่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย เมื่อเลือกเขามา ก็หมดหน้าที่แล้ว พรรคจะบริหารจัดการอย่างไรเป็นหน้าที่พรรค ไม่ว่าพรรคไหนจัด ก็เป็นเรื่องของพรรคการเมืองนั้นๆ ถ้าพรรคไหนไม่ดีครั้งหน้าก็อย่าไปเลือก ถ้าทำดีครั้งหน้าก็เลือกให้มากขึ้น ไม่ใช่พอเลือกตั้งก็จะเอาตามใจตัวเอง

“พรรคก้าวไกลไปตามใจด้อมมาเกินไปจนแพ้โหวตเสียงไม่พอ เพราะไม่สามารถหาเสียงเพิ่มได้ ตรงนี้ก็เป็นบทเรียนก้าวไกลที่ไปเชื่อคนภายนอกมากเกินไป ส่วนเรื่องม็อบเราก็เห็นหน้ากันอยู่ บุกรุกเข้าไปพรรคเพียงหนึ่งตารางนิ้ว ก็ผิดกฎหมาย แล้วก็ยังไปจุดไฟเผา เสร็จแล้วก็เดินสะบัดก้น โดยเฉพาะเด็กหยก ที่ไม่เชื่อฟังอาจารย์ ปีนกำแพง ไม่แต่งชุดนักเรียนสงสารแม่เขา ถ้าเป็นลูกผมไม่ได้ ผมฆ่าทิ้งเลย เด็กแบบนี้เอาไว้ได้ไง ถ้าเป็นลูกผมผมไม่เอา” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

สหรัฐฯ แบไต๋!! ไม่จำเป็นต้องรบกับจีน แต่ให้พันธมิตรรบแทน ภายใต้แผนพึ่งพาพันธมิตรช่วยขยายขอบเขตกองทัพมะกัน

(3 ส.ค. 66) เพจ 'The World Echo' โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ลุงแซมนี่กล้าหาญจริง ๆ ชอบแอบข้างหลังชาวบ้านแล้วผลักชาตินั้นชาตินี้ให้ออกหน้า ส่วนตัวเองคอยเชิดเบี้ยหมากพลางจิบโค้กอย่างสบายใจ

ล่าสุดเผยไต๋ออกมาว่า สหรัฐฯ จะพึ่งพาพันธมิตรแทนที่จะขยายขอบเขตกองทัพของตนเองครั้งใหญ่ ตอบโต้กรณีเกิดความขัดแย้งด้านทางทหารใด ๆ กับจีนในแปซิฟิก ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคแถบนี้ นั่นไง...

แล้วพันธมิตรของอเมริกาในแถบนี้มีชาติไหนบ้างล่ะ...แปซิฟิกตอนบน ก็มีญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน ถัดลงมามีพี่ปินส์, ออสเตรเลีย, ปาปัวนิวกินี ในขณะที่ไอ้นกอินทรีหัวล้านพยายามอย่างหนักในการแทรกแซงกิจการการเมืองในไทย

พล.อ.โจเซฟ ไรอัน ผู้บัญชาการกองพลที่ 25 ซึ่งมีกำลังพล 12,000 นาย บนเกาะโอวาฮู รัฐฮาวาย ระบุปักกิ่งกำลังอวดข้อได้เปรียบ อ้างถึงการขยายอิทธิพลของกองทัพจีน แสนยานุภาพด้านขีปนาวุธพิสัยไกล และความสะดวกที่ปักกิ่งสามารถประจำการกองกำลังและยุทโธปกรณ์ในแปซิฟิก...แน่ล่ะ!! เพราะชาติที่จีนไปซูเอี๋ยไว้ไม่ไกลจากจีน

ต่างจากอเมริกาที่อยู่ไกลโพ้น แต่กระนั้นก็ยังพยายามเผือกแถวน่านน้ำนี้ไม่หยุดหย่อน ซึ่ง พล.อ.โจเซฟ กล่าวว่าในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง สหรัฐฯ และพันธมิตรจะจำเป็นต้องเดินทางข้ามน่านน้ำสากลหรือดินแดนของหลายประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากชาติเหล่านั้น เช่นเดียวกับการเคลื่อนย้ายและการขนส่งทั้งทางอากาศ ทางบกและทางทะเล

ในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว เป้าหมายลำดับต้น ๆ ของพันธมิตร คือพยายามจำกัดความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของจีน การมีส่วนร่วมในการซ้อมรบ Talisman Sabre ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของอเมริกาที่มีต่อพันธมิตร

ปชป.100 ชีวิต ยื่นกกต.เพิกถอนมติประชุมใหญ่ 9 ก.ค.  ชี้!! ข้อบังคับพรรคขัดกม. พร้อมขอสั่งเลื่อนประชุมใหญ่ 6 ส.ค.ไปก่อน

(3 ส.ค. 66) นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ อดีตสส.บัญชีรายชื่อ และอดีตฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ นำรายชื่อสมาชิกพรรคกว่า 100 คนยื่นต่อ กกต.ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนมติการประชุมวิสามัญและมติกรรมการ บริหารพรรคที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 9 ก.ค. และขอให้สั่งเลื่อนการประชุมใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 6 ส.ค. นี้ออกไปก่อน และให้ กกต.สั่งให้พรรคแก้ไขข้อบังคับพรรคให้ถูกต้อง

นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า การประชุมเมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ และคณะกรรมการบริหารพรรคมีมติงดเว้นการใช้ข้อบังคับการประชุมหลายข้อ ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิสมาชิกพรรค และเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560

นอกจากนี้ ข้อบังคับพรรคที่ใช้ในการประชุมมีหลายข้อที่ขัดต่อกฎหมาย อาทิ การออกมติกรรมการบริหารพรรค ยกเว้นการหยั่งเสียงเบื้องต้นของที่ประชุมใหญ่ เพื่อเลือกผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค การใช้สัดส่วนการคำนวณคะแนนเสียงในการเลือกสมาชิกเป็นกรรมการบริหารพรรค ในสัดส่วนร้อยละ 70 ต่อ 30 คือ ส.ส. 1 คน ควรจะมี 1 เสียง แต่ข้อบังคับพรรคเมื่อหลายปีก่อน กำหนดให้ สส.ปัจจุบันมีคะแนนเสียง 70 ต่อ 30 อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันไม่ได้เป็นสส. ก็มีเสียงเท่ากับตน แต่เมื่อเทียบกับนายนริศ ขำนุรักษ์ สส.พัทลุงแล้ว นายนริศมีสิทธิมากกว่านายอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงขอให้กกต.พิจารณา เพราะทั้งหมดไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตยสากล จึงเห็นว่าควรแก้ไขข้อบังคับพรรคดังกล่าวเสียก่อน หากปล่อยให้มีการประชุมวันที่ 6 ส.ค.นี้ ปัญหาดังกล่าวก็จะเกิดขึ้นอีก

เมื่อถามว่าที่ต้องมายื่นกกต.ให้สั่งเลื่อนประชุมวันที่ 6 ส.ค.เป็นเพราะยังมีปัญหาการช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคใช่หรือไม่ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า อย่าเรียกว่าการช่วงชิง ให้เรียกว่าการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ในอดีตที่ผ่านมาก็มีการแข่งขันกันรุนแรงในสมัยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กับพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และในครั้งนี้ก็ดูท่าว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อน จึงน่าจะต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม เลื่อนการประชุมออกไปก่อน ให้มีการแก้ไขข้อบังคับพรรคให้ถูกต้องก่อน แต่ถ้ากกต.ยังไม่มีคำสั่ง ก็อยู่ที่กรรมการบริหารพรรคจะพิจารณา ถ้าเห็นว่ามีการร้องต่อกกต.แล้วอาจจะเลื่อนก็ได้ แต่ถ้ายังจะประชุมต่อไป เราก็ติดตามว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่

เมื่อถามว่า เกี่ยวข้องกับการที่พรรคอาจได้รับการติดต่อเพื่อร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ ผู้ใหญ่ในพรรค 3-4 คน ไม่ไปด้วย อย่างนายชวน หลีกภัย ก็บอกว่าไม่เห็นด้วยที่จะไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้ามี 3-4 คน บอกว่าไม่ไป ตนว่าเขาก็ไม่เอาเรา อย่างมี 25 คน ไป 24 คน สมมติคุณชวนไม่ไปคนหนึ่งเขาก็ไม่เอาแล้ว เขาคงไม่คิดเอาพรรคที่มีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกันไปร่วมรัฐบาล และวันนี้เท่าที่คุยมีหลายคน นอกเหนือจากคุณชวนที่บอกว่าไม่ไป และเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีงูเห่า เพราะการมีงูเห่าต้องออกไปอยู่พรรคอื่น ซึ่งเราไม่ได้ห่วงเรื่องงูเห่า ไม่ได้ห่วงเรื่องร่วมรัฐบาล เพราะเราเชื่อว่าไม่มีใครเขาเอาเรา เราห่วงว่าจะทำอย่างไรให้พรรคเราต้องไปสู่ความสงบเรียบร้อย อยู่กันเหมือนพี่เหมือนน้อง โดยไม่ต้องแก่งแย่งตำแหน่ง แต่ช่วยกันทำงาน

"ผมมีประสบการณ์ชีวิตการเมืองมาพอสมควร สมัยเราเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคอื่นมาร่วมกับเรามี 9 คน 20 คน ถ้ามาบ้าง ไม่มาบ้างเราก็ไม่เอา ความสามัคคีในพรรคไม่มีก็ทำให้ความเป็นรัฐบาลแตกแยกด้วยซ้ำไป อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่คิดว่าคนจะจัดตั้งรัฐบาลต้องคิดได้"
 

‘หนุ่มมะกัน’ หมิ่น ‘ไบเดน’ คุก 5 ปี ปรับ 8 ล้านบาท ส่วน ‘ประเทศไทย’ ให้ยกเลิก-ไม่ติดคุก-หมิ่นกษัตริย์

เมื่อไม่นานมานี้ ไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปก่อนหน้า ได้ยกกรณีการหมิ่นผู้นำสหรัฐฯ พร้อมโทษที่เด็ดขาด ว่า…

“ชายจากนอร์ทแคโรไลนา โดนข้อหาขู่ฆ่าประธานาธิบดีไบเดน” และนี่คือหัวข้อบทความจาก CNN ซึ่งชายผู้นี้ได้โทรไปข่มขู่ที่ทำเนียบขาว และข้ออ้างของเขาคือ ‘มีสิทธิ’ ทำแบบนั้น เพราะเขามีสิทธิเสรีภาพในการพูดและเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ฟังดูคุ้น ๆ ไหม? มันคุ้นหูมากเพราะว่านั่นคือ ‘คำอ้าง’ ของม็อบต่อต้านรัฐบาลไทยที่มีสหรัฐฯ หนุนหลังใช้เวลาที่พวกเขาหมิ่นประมาท และข่มขู่พระมหากษัตริย์ไทยยังไงล่ะ แต่ถ้าเป็นที่สหรัฐฯ คุณจะโดนโทษจำคุก 5 ปี และปรับเป็นเงิน 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากคุณข่มขู่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

มาดูบทความนี้กันต่อ “พรรคก้าวไกลผลักดันให้มีการยกเลิกโทษหมิ่นเบื้องสูง” ซึ่งข้างล่างบทความนี้ได้เขียนเอาไว้ว่า “ข้อเสนอมีอยู่ว่าคนที่หมิ่นประมาทหรือข่มขู่พระมหากษัตริย์ จะยังต้องระวางโทษจำคุก แต่มากสุด 1 ปี และปรับเป็นเงิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ซึ่งผมอยากให้ดูข้อความตรงนี้ “หรือข่มขู่พระมหากษัตริย์” หมายความว่าพรรคก้าวไกลต้องการเปลี่ยนกฎหมายของประเทศไทย จนแทบไม่มีโทษอะไรเลยจากการหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งก็เป็นเจตนาของพวกเขาแต่แรกอยู่แล้ว คือการโจมตีและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และพวกเขาตั้งใจจะเปลี่ยนกฎหมายเพื่อทำให้เรื่องนั้นเป็นไปได้ 

และในขณะเดียวกัน ลองมาดูบทความนี้กันต่อ “ก้าวไกล ฟ้องหมิ่นประมาท 'หมอวรงค์-ณฐพร' เรียกค่าเสียหายคนละ 24,062,475 บาท” อยากให้สังเกตตัวเลขตรงนี้ให้ดี เพราะนั่นคือจำนวนเงินที่พวกเขาเรียกร้องจากผู้ที่วิจารณ์พวกเขา แล้วถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพวกเขา พอจะเห็นภาพหรือยังว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันเป็นอย่างไร? พวกเขาต้องการจะเปลี่ยนกฎหมายเพื่อเอื้อแก่พวกเขาที่จะสามารถโจมตีและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศให้ได้ แต่กลับยังเอากฎหมายหมิ่นประมาทของประเทศไทยมาฟ้องผู้วิจารณ์และคัดค้าน เป็นจำนวนเงินหลายล้านบาท และนี่คือการกระทำของเผด็จการ ที่เห็นกันซึ่งๆ หน้า ในโลกของความเป็นจริง ขณะที่คำกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน และสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเผด็จการเป็นเพียงนิทานหลอกเด็นเท่านั้น

ผมแค่อยากชี้เรื่องนี้ให้เห็นกันว่าในสหรัฐฯ คุณอาจโดนโทษจำคุกได้ถึง 5 ปี ถ้าคุณข่มขู่ประมุขของรัฐ ซึ่งพรรคก้าวไกลอยากลดเวลาจำคุกนั้นลงให้เหลือแค่ 1 ปี แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้คนเลิกโจมตีสถาบันเลยสักนิด ในทางกลับกันมันจะยิ่งกลายเป็นการผลักดันให้ผู้คนโจมตีและข่มขู่สถาบันมากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำไป

มันจะเป็นสังคมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ได้อย่างไร? เมื่อสังคมมีแต่การหมิ่นประมาท และข่มขู่กันเอง ดังนั้นจะเห็นได้ชัดเลยว่าพรรคก้าวไกลไม่สนใจประเทศไทยเลยสักนิด มันชัดเจนมากว่าพวกเขาพยายามจะทำลายประเทศไทย…

เกาะความสำเร็จลัทธิ 3 นิ้ว ผลิต 'เยาวชน' ต่อต้าน 'สถาบันฯ-ล้ม ม.112'  ไม่เคยมียุคใดที่คนในสังคมไทยมีตรรกะที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้

(3 ก.ค. 66) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุข้อความว่า...

เมื่อวานเห็นข่าวด้อมส้มที่มีทั้งหญิงทั้งชายกลุ่มหนึ่ง ดูแล้วหน้าตาคุ้น ๆ ล้วนยังเป็นเยาวชน ไปที่ตลาดเสรี 2 ซึ่งเป็นของคุณเสรี สุวรรณภานนนท์ นำใบปลิวซึ่งมีข้อความว่าเป็นประกาศจับและมีรูปของ สว.หลายคนที่ไม่ลงมติให้ความเห็นชอบ หรือลงมติไม่เห็นชอบให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไปติดตามที่ต่าง ๆ ในตลาด สีหน้าท่าทางแต่ละคนแสดงว่า มีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่เป็นการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง

นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ที่เยาวชนที่จะเป็นอนาคตของชาติมีทัศนคติ มีความเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเสรีภาพที่ต้องกระทำได้ ลองมองย้อนไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เยาวชนที่เป็นสาวกของลัทธิ 3 นิ้ว ล้วนมีพฤติกรรมและความเชื่อแบบนี้ ที่หนักหนาสาหัสคือมีผู้ใหญ่ที่เป็นนักวิชาการบางคนให้ความเห็นที่ผิดเพี้ยน เช่น การที่ม็อบเผาทรัพย์สินสาธารณะไม่ใช่ความรุนแรง แต่เป็นการแสดงออกเชิงสัญญลักษณ์เท่านั้น ผู้นำลัทธิ 3 นิ้วบางคนแสดงความเห็นว่า การเผาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความผิดเพียงเป็นการเผาทรัพย์เท่านั้น เป็นต้น

ไม่เคยมียุคใดที่คนในสังคมไทยมีความคิดและตรรกะที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เกิดจากการวางแผนและมีการดำเนินการมากันเวลานาน เริ่มจากการแทรกซึมในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ โดยอาศัยแนวร่วมที่เป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และแทรกซึมเข้าไปในองค์กรนิสิตนักศึกษาต่าง ๆ อบรมบ่มเพาะด้วยการใส่ชุดความคิดที่พวกเขาต้องการ ต่อมาจึงลงไปแทรกซึมถึงระดับโรงเรียน ทำกันมานานจนกระทั่งมีหลายคนที่เกิดจากการบ่มเพาะแบบนี้ได้เข้าไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และเป็นแนวร่วมอย่างแข็งขัน

เมื่อมี Social Media การปั่นและบ่มเพาะความคิดแบบนี้ยิ่งทำได้สะดวกและเกิดผลเป็นวงกว้างมากขึ้น บรรดาแกนนำม็อบ 3 นิ้ว และม็อบกลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา สส.บางคน รวมทั้งเยาวชนอย่าง 'หยก' ก็น่าจะเป็นผลผลิตของขบวนการนี้

2-3 วันมานี้เห็นโปสเตอร์โฆษณาหลักสูตรอบรมเยาวชนก้าวหน้า ของ Progressive Academy รับผู้เข้ารับการอบรมอายุ 15-25 ปี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใช้เวลาอบรมถึง 62 ชั่วโมง มีการบรรยาย กิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้ กิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ทัศนศึกษา และการค้นคว้าอิสระ ซึ่งทำกันมา 2 รุ่นแล้ว ดูรายชื่อวิทยากรแล้วส่วนใหญ่มีทัศนคติคล้าย ๆ กันต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และก็พอจะคาดเดาได้ว่า หลักสูตรนี้ต้องการใส่ความคิดแบบใดให้กับเยาวชนที่เข้ารับการอบรม นี่น่าจะเป็นเรื่องใหม่ ที่ขบวนการนี้ไม่เพียงใช้วิธีแทรกซีมอยู่ในมหาวิทยาลัย และสถาบันการศีกษาเท่านั้น แต่เปิดการอบรมกันตรง ๆ อย่างเปิดเผยไปเลย

การที่มีผู้ทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และถูกดำเนินคดีเป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะผลผลิตที่มาจากขบวนการนี้ สังเกตว่าเริ่มมีตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรค และมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาอ้างว่ามาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง ดังนั้นต้องยกเลิกมาตรา 112 และเมื่อถูกแรงต้านมากขึ้นก็เปลี่ยนมาเป็นแก้ไข โดยนำออกจากหมวดความมั่นคง ซึ่งเท่ากับเป็นการบอกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ และลดโทษให้ต่ำลงเท่ากับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา และมีเงื่อนไขที่ไม่ต้องถูกลงโทษหากทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นความจริง

การสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และความพยายามในการแก้มาตรา 112 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขบวนการนี้ เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาคือพยายามทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นที่ต้องการของคนส่วนใหญ่ ทำให้อ่อนแอลง ถ้ายังจำเป็นต้องคงอยู่ก็ให้คงอยู่อย่างไม่มีบทบาทใดๆ เป้าหมายสูงสุดก็คือ การเปลี่ยนประเทศให้เป็นไปอย่างที่พวกเขาต้องการ

การจัดหลักสูตรอบรมเยาวชนก้าวหน้า แสดงว่าขบวนการนี้ยังดำเนินต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะมีอำนาจรัฐอยู่ในมือหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นการสร้างความขัดแย้งอย่างไร ครอบครัว ญาติพี่น้องแตกแยกกันอย่างไร ล้วนไม่นำพา พวกเขายังมุ่งมั่นดำเนินการต่อไป จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการ

น่าสนใจว่า รัฐบาลใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จะยอมรับหรือไม่ว่ามีขบวนการนี้อยู่ ถ้ายอมรับจะมีแนวทางจัดการกับขบวนการนี้หรือไม่อย่างไร จะจัดการได้ดีกว่ารัฐบาลพลเอก ประยุทธ์หรือไม่ หรือเพียงขอให้ได้เป็นรัฐบาลเป็นพอ ทั้งหมดได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

'อดีตทูตนริศโรจน์' ชี้!! เหตุสารคดี 'แกนนำม็อบหญิงไทย' ได้ฉายในนิวยอร์ก ส่วนหนึ่งของแผนจัดฉากเพื่อหวังผลเข้ามาชี้นำการเมืองไทย 

(3 ส.ค. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ว่า...

เห็นข่าวที่มีการแอบทำหนังสารคดีเกี่ยวกับแกนนำม็อบ ผู้หญิง คนนึง เพื่อนำไปออกฉายที่นิวยอร์ก!!

ไม่แปลกใจเลยเพราะการทำสื่อสารคดีแนวแบบนี้ ชาติมหาอำนาจ เขาถนัดยิ่งนัก เพราะเขาคุมสื่อโลกในมือ

คงจำได้ว่าเคยมีการทำสื่อสารคดีโดยสำนักข่าวชาติมหาอำนาจเพื่อหาทางเข้าโจมตีอิรัก ซีเรีย มีคนจับได้ว่าภาพเด็กที่บาดเจ็บ หรือ นอนตาย นั้นแท้จริงเป็นการ 'จัดฉาก' เด็กคนเดียวกันไปปรากฏว่า ตาย หรือ บาดเจ็บในหลายสถานที่

ผู้ปกครองที่อุ้มเด็กร้องไห้ปานจะขาดใจ ก็ปรากฏตัวในหลายพื้นที่ หลายซีน เรียกว่า ตายและเจ็บกันหลายหน หลายวาระ

ฉากที่ ISIS ฆ่าคนแบบทารุณ ก็มีคนจับไต๋ได้ว่าจัดฉากทำกันในสตูดิโอ เพราะคนเจอพิรุธที่ข้อมือของของ ISIS มีรูปดาวเดวิด บางคนที่ข้อมือกับรองเท้าลืมเปลี่ยน และดันไปตรงกับทหาร Marine คนนึง

ฉากทารุณสมัยนี้ใช้ CG ช่วย จะให้หวาดเสียวเลือดท่วมแค่ไหนทำได้หมด

และจากหนังสารคดีจัดฉากบิดเบือนเหล่านี้นี่เอง คือข้ออ้างของชาติมหาอำนาจในการอ้างสิทธิอันชอบธรรมในการเข้าไปรุกราน ครอบงำ และยึดครองประเทศอื่น

หนังสารคดีเกี่ยวกับแกนนำม็อบก็เช่นกัน เป็นส่วนนึงของแผนในการเข้ามาชี้นำการเมืองไทย 

จงรู้เท่าทัน !

‘ปู ไปรยา’ ประกาศข่าวดี เตรียมลั่นระฆังวิวาห์ปลายปีนี้ พร้อมอวดว่าที่เจ้าบ่าว-แหวนเพชรเม็ดโตให้อิจฉาเล่น!!

(3 ส.ค. 66) เรียกได้ว่าเป็นข่าวดีสุดเซอร์ไพรส์ สำหรับนางเอกสาวไทยหัวใจอินเตอร์ ‘ปู-ไปรยา ลุนด์เบิร์ก’ ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเจ้าตัวกำลังซุ่มเงียบ ปลูกต้นรักอยู่กับแฟนหนุ่มนักธุรกิจต่างชาติ จนตอนนี้ความสัมพันธ์คืบหน้าไปได้ไกลแล้ว หลังจากมีคนสังเกตเห็นแหวนเพชรเม็ดเป้งบนนิ้วนางข้างซ้ายของ ‘ปู ไปรยา’ ที่มีกระซิบจากวงในบอกมูลค่าเกือบ 10 กะรัต ราคาหลักล้านเลยทีเดียว

ล่าสุดสาว ‘ปู ไปรยา’ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ พร้อมประกาศข่าวดี ให้รับรู้โดยทั่วกันว่า ถูกแฟนหนุ่มขอแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพิธีวิวาห์จะถูกจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

"ที่ผ่านมาไม่ได้ปิด แต่ก็ไม่ได้เปิดค่ะ ก็คือน่าจะมีข่าวดีช่วงปลายปี เป็นความรักที่เกิดขึ้นมาได้สักพักหนึ่งแล้ว เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อน และค่อยๆ พัฒนา จนกระทั่งเขาขอแต่งงาน ส่วนเขาจะเป็นใครนั้น เดี๋ยวทุกคนก็จะได้รู้เอง"

‘ปู ไปรยา’ ยังได้พูดถึงว่าที่เจ้าบ่าวหวานใจด้วยว่า "เขาเป็นคนดีมาก น่ารักมาก คอยให้คำปรึกษาปูตลอด แถมยังเป็นคนที่ทำงานเก่ง เป็นคนที่ปูไม่ต้องห่วงอะไรเลย ขนาดอยู่กันคนละประเทศ ปูยังไม่ต้องห่วงเขาเลยด้วยซ้ำ สามารถนอนหลับได้สนิท อีกอย่างเขาไม่ใช่คนที่เล่นโซเชียลด้วย"

"สำหรับโมเมนต์การขอแต่งงานก็น่ารักดีค่ะ คือเขาออกแบบแหวน และหาเพชรมาสักพักหนึ่งแล้ว เอาจริงๆ เลยนะ แม่เป็นคนแนะนำให้รู้จัก แม่บอกว่าเขาดีมากเลย แต่ขอยังไม่ลงรายละเอียดนะคะ เอาเป็นว่าถ้าเจอก็จะรู้ค่ะว่าเขาน่ารัก"

ที่ได้คนนี้เพราะไปมู มาด้วยหรือเปล่า? "ไม่เลย เพราะปูเคยบอกมาตั้งนานแล้ว ว่าปูขอแต่งานไม่เคยขอเรื่องความรัก ซึ่งรองานมาเป็นปีแล้ว แต่อยู่ๆ ก็มาได้แหวนก่อน มันคืออะไร สงสัยต้องเปลี่ยนวิธีมูแล้ว มูผิด"

ตั้งใจจะจัดงานที่ไหน? "จัดที่แอลเออย่างเดียวเลยค่ะ ยังไงก็ต้องส่งภาพให้ทุกคนได้เห็นกันอยู่แล้ว"

การทำงานยังเหมือนเดิมไหม? "ยังเหมือนเดิมค่ะ เราอยู่กันยังไงก็อยู่กันเหมือนเดิม ส่วนเรื่องมีน้องก็ยังค่ะ ขอทำงานก่อน เขาอายุเยอะกว่าปู 12 ปี ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ โตกว่าดีอยู่แล้วค่ะ"

ขนาดของเพชรบนแหวน มีมูลค่ามากแค่ไหน? "ตามที่เห็นดีกว่าค่ะ แน่นๆ"

30 ปี 'เจนิฟู้ด' ยึดหลัก 'คุณธรรมนำการค้า คุณภาพนำการตลาด’ ปรัชญาการทำธุรกิจภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียง

การดูแลสุขภาพยังคงเป็นกระแสอย่างต่อเนื่อง ยิ่งหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งช่วยกระตุ้นให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น 

จากจุดนี้ ได้ส่งผลให้ตลาดของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพอย่าง 'เจนิฟู้ด' ก็ได้อานิสงส์นี้ไปด้วยเต็ม ๆ

โดย 'เจนิฟู้ด' (Enzyme Genufood) ถือเป็นผลิตภัณฑ์ เอนไซม์บำบัด ในรูปแบบของอาหารเสริมที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารมากมายหลายชนิด โดยนำธัญพืชมาผ่านกรรมวิธีการสกัด จนเกิดเป็นอาหารเสริมที่รับประทานง่าย แต่ได้คุณค่ามากมาย อาทิ เอนไซม์กว่า 370 ชนิด สารอาหารต่าง ๆ เกลือแร่ วิตามิน ที่จำเป็นต่อร่างกายของคนเรา ช่วยฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย คืนสู่สภาพปกติ เอนไซม์เจนิฟู้ดยังสามารถนำมาใช้ในการโภชนบำบัด หรือ เอนไซม์บำบัดได้อีกด้วย ได้ผลดีเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

อันที่จริงแล้ว 'เจนิฟู้ด' โดยคุณรุ่งโรจน์ บุญยทรัพยากร ประธานบริษัท เบสไฟว์ อินเตอร์เทรด จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์เจนิฟู้ด ได้เล่าว่า ตัวแบรนด์นั้นอยู่ดูแลสุขภาพคนไทยมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปีแล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณพ่อ และต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน

"ประมาณปี พ.ศ. 2537 คุณพ่อได้เดินทางไปไต้หวัน และไปพบผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งคนไต้หวันในขณะนั้นมีปัญหาสุขภาพ พอใช้แล้วดีขึ้น ก็เลยลองซื้อตัวอย่างมาลองใช้กับคนใกล้ตัว ปรากฏว่าได้ผลเกินคาด ผมจึงได้ทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ก่อนนำเข้ามาเมืองไทย ถึงทราบว่าเป็น เอนไซม์ และมีประโยชน์ในการช่วยเร่งปฏิกิริยาชีวเคมีต่าง ๆ โดยวิธีธรรมชาติให้ร่างกายของเราซ่อมตัวเองได้ดีขึ้น

"พอได้เห็นถึงผลลัพธ์ของตัวผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ จึงตัดสินใจไม่นานที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจเมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งการทำตลาดยากกว่าสมัยนี้มาก ๆ การสื่อสารไปยังคนหมู่มากมีจำกัด และในยุคนั้นเมืองไทยยังไม่ใช่สังคมผู้สูงอายุ อีกทั้งความตื่นตัวในการดูแลสุขภาพยังมีน้อยไม่เหมือนปัจจุบันด้วย"

อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวทางการทำธุรกิจที่เน้นความจริงใจกับผู้บริโภคก็ทำให้ เจนิฟู้ด เริ่มเป็นที่แพร่หลาย

"เมื่อซื้อสินค้าของเราไปแล้วเรารับผิดชอบทั้งหมด ถ้าใช้แล้วไม่พอใจเราคืนเงินให้ เราทำธุรกิจตรงไปตรงมาไม่เอาเปรียบใคร เราเชื่อมั่นว่าสินค้าเราช่วยลูกค้าได้ เรามองว่าผลิตภัณฑ์เจนิฟู้ดเป็นสินค้าที่สามารถช่วยคนได้ในระยะยาว ไม่ใช่สินค้าตามกระแส”

"ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่ได้คิดเรื่องการสร้างแบรนด์ฮือฮา ปีสองปีแล้วหายไป แต่เราทำธุรกิจโดยยึดปรัชญาที่เน้น 'คุณธรรมนำการค้า คุณภาพนำการตลาด' ซึ่งคุณพ่อผมวางแนวทางไว้ ผสานกับมุมมองของผมที่เน้นเลือก Product ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภคได้จริง”

"สังเกตให้ดีว่า ตลาดอาหารเสริมปัจจุบัน เน้นใช้ Social Media ในการขายกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มาแล้วก็ไป อาจรู้จักแบรนด์บางแบรนด์เพียงหนึ่งปีหรือสองปี แต่เรามองว่า เจนิฟู้ด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตั้งใจมาอยู่คู่สุขภาพคนไทยในระยะยาว เราจึงวางตัวเป็นแบรนด์ที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น เพราะผมรู้สึกว่าเราเกิดมา ควรทำประโยชน์ให้กับโลก ให้กับคนอื่นในมุมที่เราพอจะทำได้ งานของเราจึงยึดมั่นอยู่บนหลักการนี้ หลักการที่ทำประโยชน์ให้กับคนอื่น ไม่มองเงินเป็นตัวตั้งหลัก แต่มองผลลัพธ์ที่สุขภาพดีของลูกค้าคืนมาเป็นความสุขให้กับเรา ตอกย้ำแนวทางในการทำธุรกิจแบบ 'คุณธรรมนำการค้า คุณภาพนำการตลาด'"

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปีนี้ รุ่งโรจน์ ตอบอย่างชัดเจนว่า อยากเน้นทำธุรกิจแบบที่พอมีกำไร และประคับประคองธุรกิจให้พอไปได้ ก็พอใจแล้ว 

"จริง ๆ แล้วธุรกิจของเรา ผ่านมาทุกวิกฤต ส่วนหลักที่ทำให้ผ่านมาได้อย่างไรนั้น ผมพูดได้เต็มปากเลยว่า ผมน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาล 9 มาปรับใช้ในการบริหารธุรกิจ คือ ทำงานอย่างมีเหตุมีผล ทำธุรกิจอย่างมีภูมิคุ้มกัน เราไม่คิดว่าฟ้ามันจะสดใสตลอด ถ้าตอนไหนฝนตกฟ้ามืดมนเราก็ต้องรู้ว่าต้องจะต้องพาตัวเองไปจุดไหน เช่น หากเปรียบกับการใช้จ่าย เราก็จะมีการประเมินตัวตลอด ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ธุรกิจก็ไปต่อได้"

ในช่วงท้าย รุ่งโรจน์ กล่าวถึงอีกบริการและผลิตภัณฑ์สำหรับโรคไต โรคที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังเผชิญมากขึ้นอีกด้วย ว่า...

"ถ้าพูดถึงการเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เราต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรคไต ซึ่งในปัจจุบันเป็นโรคที่คุกคามคนไทยเป็นอย่างมาก จำนวนผู้ป่วยโรคไตเพิ่มขึ้น และผู้ป่วยบางท่านก็ไม่รู้วิธีการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง เราก็เลยจัดตั้งศูนย์ข้อมูลฟื้นฟูโรคไตขึ้น เพื่อให้ความรู้กับผู้ป่วยโรคไตว่าควรดูแลตัวเองอย่างไร โดยมีหลักคำแนะนำในการดูแล คือ การชะลอความเสื่อม และเร่งการซ่อมแซมของร่างกาย ซึ่งในเดือนสิงหาคมนี้ ใครที่มีปัญหานี้ สามารถโทรมาปรึกษาได้ที่ศูนย์ข้อมูลฟื้นฟูโรคไตได้ และเราก็จะมีผลิตภัณฑ์มูลค่า 1,200 บาทให้ฟรี (โดยจ่ายเพียงค่าจัดส่งและภาษี 120 บาท) สามารถโทรมาได้ที่ 098-236-4622"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top