Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

รูปปั้น ‘พญาครุฑน้อย’ ทำท่า ‘มินิฮาร์ท’ โดนใจนักท่องเที่ยว แม้แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็ยังอดใจไว้ไม่ไหว ต้องขอเข้าไป เซลฟี่

วันนี้ (4 ส.ค.66) ที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ยังคงมีบรรยากาศงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ประชาชนและนักท่องเที่ยว เดินทางมาชมขบวนต้นเทียนพรรษา จาก 6 คุ้มวัด ที่จอดไว้บริเวณถนนหน้าเทศบาลตำบลประโคนชัย เพื่อให้ได้ชมความสวยงามและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแกะสลักเป็นตัวละครในพุทธประวัติอย่างงดงาม 

แต่ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจและพากันแห่ไปถ่ายรูป เซลฟี่ไม่ขาดสาย ก็คือต้นเทียนที่แกะสลักเป็นรูปปั้น 'พญาครุฑน้อย' จำลองทำท่า 'มินิฮาร์ท' พร้อมข้อความด้านล่างว่า “น่ารักอ่ะ” เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็มีวัยรุ่นหนุ่มสาวไปยืนทำท่ามินิฮาร์ท ถ่ายรูปคู่กับพญาครุฑน้อยกันอย่างต่อเนื่อง

แม้แต่นายกิติพัฒน์ กะวัง นายอำเภอประโคนชัย พร้อมนายกเทศมนตรีตำบลประโคนชัย  หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ ที่เดินเยี่ยมชมให้กำลังใจตามขบวนแห่ต่าง ๆ เมื่อเดินไปเห็นรูปปั้นพญาครุฑน้อยทำท่ามินิฮาร์ทสุดน่ารัก ก็อดใจไม่ไหวที่จะไปยืนทำท่ามินิฮาร์ทถ่ายรูปกับรูปปั้นพญาครุฑน้อยดังกล่าวด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าโดนใจกันทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่เลยทีเดียว 

‘วัยรุ่นอายุ 23 ปี’ ป่วนกรุงโซล!! ขับรถไล่ชนคนบนทางเท้า ก่อนวิ่งบุกแทงคนในห้าง เจ็บ 7 ราย ตร.รวบตัวได้ใน 10 นาที

(4 ส.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุสะเทือนขวัญ ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยวัย 23 ปี ได้ภายในเวลาเพียง 10 นาที หลังจากได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ชายคนหนึ่งอาละวาดไล่แทงคนที่ห้างสรรพสินค้าติดกับสถานีรถไฟใต้ดินโซฮยอน ในเมืองซองนัม ทางตอนใต้ของกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

เจ้าหน้าที่ เปิดเผยว่า มีผู้บาดเจ็บจากการถูกแทง 7 คน และอีก 4 คน ถูกผู้ต้องสงสัยขับรถยนต์ไล่ชนบนทางเท้า นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นชายวัย 23 ปี มีนามสกุลว่า ‘ชอย’ โดยแหล่งข่าว บอกว่า เขาเป็นพนักงานเดลิเวอรี

ต่อมาทางผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ผู้ต้องสัยสวมชุดสีดำและสวมแว่นตาดำ เดินแกว่งมีดยาว 50-60 เซนติเมตร ไปมาเข้าไปในห้างสรรพสินค้าหลังรถยนต์จอดนิ่ง ขณะที่บางคน บอกว่า มีผู้ก่อเหตุมากกว่า 1 คน แต่ตำรวจสรุปว่า คนร้ายไม่มีผู้ร่วมก่อเหตุ และเขายังคงไม่ยอมให้การใด ๆ รวมถึง เหตุจูงใจในการลงมือ
 

บิ๊กโจ๊ก สั่งเซ็ทซีโร่เกาะหลีเป๊ะใหม่ หลังแผนที่ดาวเทียมทางทหารชี้ชัดบุกรุก 42 แปลงเตรียมเพิกถอน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการ ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ลงพื้นที่ประชุมตรวจติดตามความคืบหน้าการบังคับใช้กฎหมายและแก้ไขข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องในชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ และติดตามความคืบหน้าการบังคับใช้กฎหมายกรณีบุกรุกที่อุทยานฯ รุกล้ำที่ราชพัสดุ และความผิด พรบ.โรงแรมและ พรบ.ควบคุมอาคาร โดยมีนายชาตรี ณ ถลาง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในครั้งนี้ ซึ่งความคืบหน้า ประธานคณะกรรมการ ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล กล่าวว่า ขณะนี้การดำเนินคดีโรงแรมทั้งหมด 103 คดีเป็นโรงแรมทั้งหมดในพื้นที่ 100 กว่าโรงแรม ได้แจ้งดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหาไปหมดแล้ว ยกเว้นโรงแรมที่ เป็นไปตามคำสั่งคสช. ซึ่งส่วนนี้ต้องให้ความเป็นธรรมเขา จำนวนสามสิบกว่าโรงแรมในส่วนของสำนวนทั้งหมดประมาณ 103 สำนวนจะดำเนินการสั่งคดีให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนนี้

ส่วนของการบุกรุกตั้งแต่เรื่องการบุกรุกที่ดินของโรงแรม การก่อสร้างโรงแรมไม่ได้รับอนุญาต การต่อเติมสร้างอาคารต่าง ๆ โดยผิดกฎหมายไม่ได้รับอนุญาต เพราะฉะนั้นวันนี้การดำเนินการของที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะหลักการต้องดำเนินตามกฎหมายเพราะว่าการใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน จะสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกคนบนเกาะหลีเป๊ะเพราะว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันและจากนี้ไปก็เป็นเรื่องการเพิกถอน ที่ต้องใช้เวลา โดยอธิบดีกรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการฯ มาพิจารณายกเลิกเพิกถอนกรณีมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยไม่ชอบ โดยอาศัยหลักฐานทั้งเอกสาร ดีเอสไอ และเอกสารจากกรมอุทยานแห่งชาติ 

ซึ่งวันนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา โดยวันนี้มาเพื่อเร่งกระบวนการต่าง ๆ ให้เร็วขึ้น และในส่วนของหลักฐานก็เพิ่มความชัดเจนให้มากขึ้น คือภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศขณะนี้กรมแผนที่ทหารโดยเจ้ากรมแผนที่ทหารรับรองแล้ว ว่าภาพถ่ายทางอากาศมีการรับรองโดยเอกสารราชการโดยถูกต้อง ต้องกลับไปใช้พ.ศ. 2493 ถึง 2494 เพราะฉะนั้นมันจะชัดเจนว่าอันไหนควรเพิกถอน อันไหนไม่ควรเพิกถอน เพราะฉะนั้นในเอกสารทั้งหมดที่ทำรายงานทั้งหมดประมาณ 10,000 กว่าแผ่น พิจารณาให้เพิกถอนทั้งหมด 42 แปลง หมดทั้งเกาะ ในส่วนนี้ก็จะเซ็ทซีโร่ใหม่ ในส่วนของชาวบ้านที่จะทำกินก็ให้ดำเนินการไป ในส่วนของเอกชนที่จะเข้ามาเพื่อสร้างให้เกาะหลีเป๊ะมีความเจริญเป็นแหล่งท่องเที่ยวเอารายได้เค้าขอหลีเป๊ะก็ต้องว่าไปก็จะได้จัดสรรปันส่วนโดยส่วนนี้ก็จะเป็นของกรมอุทยานแห่งชาติในฐานะเจ้าของพื้นที่จากที่มีการ เพิกถอนหมดทั้งเกาะแล้วอันนี้ยึดหลักกฎหมาย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนปัญหาทางเดินโรงเรียนและลงชายหาดที่เป็นข้อพิพาทนั้น แม้ขณะนี้ยังไม่เปิดเส้นทาง โดยในวันอังคารหน้านี้ตนจะลงพบเอกชน และติดตามปัญหาทางเดินสารธารณะพร้อมกับ กรมที่ดิน กรมอุทยาน กรมธนารักษ์ และในส่วนของนายอำเภอ ลงไปชี้แนวเขตทั้งหมด เพื่อให้จบและได้ออกเอกสารสิทธิ์ คือวันนี้ถามว่าทำไมมันสั่งสมมานาน อย่าลืมนะว่าผู้ว่าราชการจังหวัด ก็หนักใจต่างคนต่างอยู่ กรมอุทยานก็กรมนึง กรมที่ดินก็กรมนึง กรมธนารักษ์ก็กรมหนึ่ง เมื่อกรมธนารักษ์พร้อมแต่กรมที่ดินไม่พร้อม ด้วยเหตุนี้ทางนายกจึงได้ตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นมาเพื่อเอาทุกกรม ไปดำเนินการได้มันจะได้เส็จ

‘อนุสรณ์’ ถาม ‘ชูวิทย์’ ล้มนิด หวังชุบชีวิตใคร? ยัน!! ‘เศรษฐา’ บริสุทธิ์ สามารถตรวจสอบได้

(4 ส.ค.66) ที่รัฐสภา นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เปิดข้อมูลกล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ทำนิติกรรมอำพราง เลี่ยงภาษี ว่า นายชูวิทย์ จะตรวจสอบเรื่องอะไรก็เป็นสิทธิ แต่เท่าที่จำได้นายชูวิทย์ แหย่เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก แต่ไม่ลงมือเปิดข้อมูล มาเลือกลงมือในจังหวะเวลานาทีสำคัญก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 

คำถามคือถ้าทำกันจนการโหวตนายเศรษฐา มีปัญหา ใครคือผู้ได้ประโยชน์ เพราะอาชญากร ย่อมได้ประโยชน์จากอาชญากรรมที่ตัวเองก่อขึ้น ความพยายามในการดิสเครดิตแคนดิเดตนายกฯ รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เป็นไปเพื่อเปิดทางไปสู่ปฏิบัติการ ‘ล้มนิด ชุบชีวิตใคร’ หรือไม่ นายเศรษฐา ชื่อเล่นชื่อนิด ปฏิบัติการนี้หวังล้มนายเศรษฐา เพื่อชุบชีวิตคนที่หมดโอกาสไปแล้ว ให้ฟื้นคืนชีพกลับสู่เส้นทางลุ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พรรคเพื่อไทยยืนยันว่านายเศรษฐา มีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ละเมิดกฎหมาย ไม่ได้ฝ่าฝืนจริยธรรมใด ๆ ตามที่กล่าวอ้าง ถ้านายชูวิทย์ ติดใจสงสัยในกรณีดังกล่าวสามารถตรวจสอบได้ที่กรมสรรพากร

“ประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาสไปมากแล้ว ปล่อยให้ประเทศไทยได้ไปต่อ ประเทศไม่ควรขาดรัฐบาลนานเกินไป” นายอนุสรณ์ กล่าว

เมื่อถามว่ามีความกังวลหรือไม่ว่าจะมีการนำเรื่องดังกล่าวไปร้องเรียน นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การตรวจสอบเรื่องใด ฝ่ายใดเป็นสิทธิ์โดยชอบ ตราบที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้และเราเคารพทุกการตรวจสอบ เพียงแต่ตั้งข้อสังเกต ว่ามีเวลาตั้งนานแต่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลออกมา แต่เลือกเวลาช่วงที่กำลังจะโหวตให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี เราจึงบอกว่าแผนปฏิบัติการดังกล่าวคือหวังผลเพื่อจะล้มเศรษฐา ล้มพรรคเพื่อไทย และจะไปชุบชีวิตใครกลับมาเข้าสู่เส้นทางนายกรัฐมนตรีหรือไม่

เมื่อถามว่า กลัวว่ากรณีดังกล่าวจะซ้ำนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การนำประเด็น แต่ละประเด็นไปพิจารณามีความแตกต่างกัน เราไม่สามารถนำไปเทียบได้ว่าใครเคยโดนแล้วคนอื่นจะต้องโดนเช่นกัน ถึงตอนนี้ก็ยังยืนยันว่านายเศรษฐา มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสามารถที่จะสามารถเข้าสู่การโหวตนายกรัฐมนตรีได้

เมื่อถามว่า เอกสารที่นายชูวิทย์เปิดเผยออกมาไม่น่าเชื่อถือใช่หรือไม่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมใด ๆ ของแสนสิริ เพราะฉะนั้นเอกสารที่นายชูวิทย์ต้องไปตรวจสอบ และไปวัดกับทีมกฎหมายของแสนสิริ รวมถึงไปตรวจสอบกับกรมสรรพากร เราไม่ได้อยู่ในฐานะที่บอกได้ว่าเอกสารของนายชูวิทย์เชื่อถือได้หรือไม่ได้

เมื่อถามว่า เรื่องที่นายชูวิทย์เปิดเผยเป็นเรื่องของการเลี่ยงภาษีหากเป็นความจริงจะกระทบต่อพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เท่าที่ตนติดตามการแถลงของกฎหมายแสนสิริ ก็ไม่ได้มีความหนักใจในเรื่องนี้ สิ่งที่นายชูวิทย์เปิดเผยออกมาก็สามารถคาดการณ์ได้อยู่แล้ว เราต้องคิดตามว่าบริษัทชั้นนำ การทำธุรกรรมต้องสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว ดังนั้นการร้องเรียนจึงเป็นสิทธิ์ สิ่งของกฎหมายแต่ก็จะต้องไปว่ากันตามข้อเท็จจริงทางกฎหมาย ขณะเดียวกันก็จะมีหน่วยงานรัฐเข้าไปตรวจสอบ ถ่วงดุล เพื่อที่จะสามารถพิจารณาข้อมูลของแต่ละฝ่าย

เมื่อถามว่าจะกระทบต่อการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า หากไม่มีปรากฏการณ์โรคเลื่อน วันนี้ก็คงจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี แต่การที่นายชูวิทย์ นำข้อมูลมาเปิดเผยในช่วงเวลานี้ ทั้งที่เจ้าตัวเคยพูดว่ามีหลักฐานมานานแล้ว เราจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของแผน ‘ล้มนิด ชุบชีวิตใคร’ หรือไม่ ซึ่งพรรคการเมืองอื่นก็ไม่มีใครติดใจในประเด็นดังกล่าว

ศาลสั่งจำคุก!! 24 รุ่นพี่ ทำร้ายรุ่นน้องวัย 19 ปีจนเสียชีวิต พร้อมจ่ายเงินเยียวยา ด้านครอบครัวผู้เสียชีวิตจ่อฟ้องแพ่งอีก

(4 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครราชสีมารายงานว่า จากกรณีกลุ่มรุ่นพี่โหด 24 คน ร่วมกันทำร้ายนายพัสยศ ชลภักดี หรือ ‘น้องเปรม’ อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้น ปวส. ปี 1 สาขาช่างกลโรงงาน วิทยาลัยนวัตกรรมอาชีพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ในกิจกรรมรับน้องจนทำให้น้องเปรมเสียชีวิต เหตุเกิดที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2565

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุกรุ่นพี่ 24 ราย โดยจำเลยที่ 1-7 ศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี 1 เดือน ปรับ 1,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 8 – 24 พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 เดือน แต่จำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกจำเลยที่ 1-7 เป็นเวลา 2 ปี 15 วัน ปรับ 500 บาท รอการลงโทษ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 8 – 24 จำคุกเป็นเวลา 1 เดือน และให้รอการกำหนดโทษ

ทั้งนี้ ศาลมีความเมตตา และให้โอกาสผู้กระทำผิดที่เป็นกลุ่มเยาวชน จึงให้รอการลงโทษ และให้ครอบครัวผู้เสียหายรอรับเงินชดเชยค่าเสียหายจากผู้กระทำผิดตามคดีความอาญา โดยขั้นตอนต่อไปทางฝั่งทนายความของครอบครัวน้องเปรมจะดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่งกับผู้ปกครองของกลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ที่กระทำผิด รวมทั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และกระทรวงอุดมศึกษา โดยจะเรียกร้องให้ชดเชยเยียวยาความเสียหายเป็นเงินจำนวน 4 ล้านบาท

‘บิ๊กตู่’ ลงพื้นที่เยี่ยมเหยื่อโกดังพลุระเบิด สั่งเยียวยาดูแล ปชช. ให้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติสุขโดยเร็ว

(4 ส.ค.66) เพจ ‘ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี - PMOC’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่เยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บ ณ พื้นที่เกิดเหตุโกดังพลุระเบิด ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบเหตุในทุก ๆ ด้าน

ลงพื้นที่วันนี้ เพื่อไปดูว่าจะเยียวยากันอย่างไร โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งมีงบในส่วนของราชการส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นงบกองทุนบริจาคที่สำนักนายกรัฐมนตรีกำลังประชุมให้มีการปรับแก้ว่า จะเพิ่มเติมตรงไหนได้บ้าง

นอกจากนี้ต้องดูแลในส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย ว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนกลับมาดำรงชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

‘อดิศร’ แนะส่องไฟตรงที่นั่ง ปธ.สภาฯ ให้สว่าง ด้าน ‘วันนอร์’ บอก “สว่างแล้ว กลัวแก่”

(4 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา มีการประชุมรัฐสภา มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 272 เรื่องการตัดอำนาจ สว.เลือกนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อถึงเวลาประชุม ยังไม่สามารถเปิดประชุมได้ จึงเปิดให้สมาชิกหารือปัญหาต่าง ๆ โดยนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ลุกหารือว่า ตนเห็นว่าตรงที่นั่งประธานรัฐสภาและรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีมุมมืดดำไม่เด่นเป็นสง่า มองออกมาแล้ว ประธานฯ น่าจะเด่นชัด สุขสกาวให้สมกับห้องประชุมที่ตนไม่ชอบซึ่งชื่อว่าสุริยัน ต้องมีแสงสว่าง ไม่ใช่มองประธานฯ อยู่ไหน มันมืดจริง ๆ แสงแห่งความหวังของประชาธิปไตย อยู่ที่ที่ประธานฯ ตนอยากให้ฝ่ายเทคนิคไฟส่องสว่างให้สมศักดิ์ศรีหมื่นกว่าล้าน ท่านรองประธานรัฐสภา ก็เป็นตุลาการมาก่อน หน้าตาก็หล่อ แต่มองไปไม่เห็น ท่านประธานรัฐสภา น่าจะหนุ่มกว่านี้ นั่งอยู่ตรงนั้นไม่หนุ่มเลย จึงอยากให้ทางสภาฯ ปรับปรุงเพื่อให้สภาฯ ของเรามีประธานและรูปด้านหลังเด่นเป็นสง่า เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณทางประชาธิปไตย 

ทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวติดตลกว่า “กลัวว่าสว่างแล้วจะแก่” ซึ่งเมื่อนายวันมูหะมัดนอร์พูดจบ ก็เรียกเสียงหัวเราะจากสมาชิกในห้องประชุม

‘ปั้นจั่น ปรมะ’ ประกาศล้างมือในอ่างทองคำ พร้อมถอดเขี้ยวเล็บ เพื่อดูแลรักครั้งใหม่ให้ดีที่สุด

(4 ส.ค. 66) หลังจากเป็นโสดมาพักใหญ่ ล่าสุด ‘ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย’ นักแสดง นักร้อง นายแบบ พิธีกรชาวไทย ประกาศพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่โสดแล้วครับ”

นักแสดงหนุ่มซึ่งไปร่วมงานบวงสรวงละครเรื่อง ‘บุหงาส่าหรี’ ที่ช่องวัน 31 จัดขึ้นในวันนี้ (4 ส.ค. 66) ที่อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ บอกด้วยว่า “กับรักครั้งนี้ก็เหมือนก่อนๆ ที่อยากให้ออกมาดี และครั้งนี้ดูจะดีที่สุดแล้ว เพราะเราพร้อม หมดสภาพแล้ว (หัวเราะ) ถ้าหลุดคนดีๆ ไปอีกก็คงไม่มีแล้วแหละ”

“ที่จริงตอนนี้ชีวิตมันเป็นปกติแล้ว ซ้อมกีฬา ถ่ายละคร กลับบ้าน อยู่กับครอบครัว มีแค่นี้ ไม่ได้หวือหวาอะไรแล้ว มีไปเจอเพื่อนนิดหน่อย”

เรียกว่าครั้งนี้ล้างมือในอ่างทองคำเลยไหม? คำถามนี้เจ้าตัวบอก “ล้างมือในอ่างทองคำแล้ว แต่ถ้าใครไปเจอนั่นไม่ใช่ตัวจริง” พูดแล้วก็ยิ้ม

เมื่อถามถึงเขี้ยวเล็บต่างๆ ปั้นจั่นตอบ “ถอดแล้วแหละ แต่มนุษย์เนอะ อาจจะมีพลาดบ้างก็ได้ แต่ไม่พลาดดีที่สุด”

เมื่อถามถึงความรักครั้งนี้ ปั้นจั่นเล่าว่าเจอกับ ‘โจมิ’ ที่สนามกอล์ฟ “ตอนแรกก็เห็นผ่านๆ รู้จักกัน แต่ไม่ได้คุย” ปั้นจั่น กล่าว พร้อมเล่าว่าที่ผ่าน ๆ มา เขาจะเป็นประเภทเริ่มต้นด้วยการชอบมาก ๆ จาก 100 แล้วก็ค่อยๆ ลด ด้วยความไม่เข้ากัน ด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง

เมื่อถามว่า หากครั้งนี้แตกต่าง?

“ครั้งนี้เริ่มจากคนที่เคยเห็นกันมาก่อน และรู้จักกันจากคนรอบ ๆ และก็เริ่มคุย แต่เขาเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว เจอครั้งแรกเขาก็ดูน่ารัก ดูดี สวย พอรู้จักไปเรื่อย ๆ มันก็ค่อย ๆ เติม และเขามีน้ำใจกับผมมาก คอยดูแล ใส่ใจความรู้สึกมากๆ เราก็พยายามปรับตัวเข้าหากัน เพราะเราก็มาจากความไม่เพอร์เฟ็คต์ทั้งคู่ในเรื่องของความรู้สึก ทุกคนมีเรื่องราวที่ผ่านมา ผมเองก็อยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นอยู่แล้ว ก็มาคุยกันแบบเปิดอก แบบผู้ใหญ่ มีข้อเสียแบบนี้นะ ถ้าอะไรผิดพลาดไปก็ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปนะ แต่เราจะไม่ปล่อยมือกันนะ” ปั้นจั่น กล่าว

“ผมว่าเราถามหาความเพอร์เฟกต์จากความรักไม่ได้หรอก แต่มันคือการเรียนรู้กันไปทุก ๆ วัน และทำให้ดีที่สุด แต่ถ้าวันนึงความรักมันลดลง พอมันไม่เท่ากัน ปล่อยมือกัน ก็ต้องตามนั้น”

ปั้นจั่นยังบอกด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกว่าโจมิน่ารักมาก คือการไม่ตัดสินเขาจากข่าว

“เขาไม่ได้ตัดสินผม จากเรื่องราวที่ผ่านมา และผมก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างแฟร์ และเป็นการให้ผมพิสูจน์ตัวเอง จริง ๆ เราไม่ได้พิสูจน์ฝ่ายเดียว มันต้องพิสูจน์กันและกัน”

ความสัมพันธ์ครั้งนี้ ปั้นจั่นบอกว่า คบเกือบจะ 1 ปีแล้ว อย่างไรก็ดีรู้จักกันมาก่อนหน้านั้น

ปั้นจั่นยังบอกอีกว่า ตอนนี้เขาอายุ 30 กว่าแล้ว ขณะที่ฝ่ายหญิงอ่อนกว่าเขา 5-6 ปี โดยส่วนตัวเขาจึงมองเรื่องอนาคตไว้เหมือนกัน พร้อมกล่าว่า เรื่องผู้หญิงนั้น หลัง ๆ เขาตั้งใจจะไม่ระบุสเปกที่ชอบ

“ก็พยายามไม่มีแนวนะ แต่สุดท้ายก็มาตายสาวหมวย ก็น่ารัก คนอื่นผมไม่รู้นะ แต่สำหรับผมคิดว่าสวย” ปั้นจั่น กล่าว

ขณะที่ฝั่งโจมิถูกใจเขาตรงไหน ปั้นจั่นก็ว่า “ส่วนใหญ่คนที่เคยคุยมาจะบอกว่าคบคนในวงการมันยาก ไม่อยากคบคนในวงการหรอก แต่ของแบบนี้พอมันเดินเข้ามา ก็ห้ามไม่ได้ พอเจอกัน แล้วถูกใจ คุยกันรู้เรื่องก็ห้ามไม่ได้ แต่ผมว่าผมก็พยายามเป็นพี่ที่จะดีขึ้น นิ่งขึ้น เพราะเราอายุเยอะกว่าเขา” ความรักครั้งนี้ในความรู้สึกเขาจึงเป็นเรื่งราวดีๆ

“มันทำให้ผมรู้สึกว่าการที่เราอยากจะดีจากตัวเอง แต่การมีคนข้างๆ คอยปรึกษา เทคแคร์ ดูแลกัน คอยไว้ให้ระบาย บ่น ส่วนใหญ่ก็เรื่องง่าย ๆ รถติด ฝนตก อากาศร้อน เม้าท์กัน คุยเรื่องชีวิตประจำวัน แค่นี้ก็สนุกแล้ว” ปั้นจั่น กล่าวทิ้งท้าย

'ARIT' พา 2 เด็กไทยสร้างชื่อ คว้ารางวัลบนเวทีระดับโลก ศึกชิงแชมป์โลกด้านไอที ที่สหรัฐอเมริกา

(4 ส.ค. 66) นายวรเทพ มงคลวาที ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอที จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ในฐานะเป็นผู้ดำเนินการจัด และคัดเลือกตัวแทนเยาวชนไทย ไปแข่งขันบนเวที Microsoft Office Specialist World Championship และเวที Adobe Certified Professional World Championship ณ เมือง Orlando, รัฐ Florida, ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม 2566 - วันที่ 2 สิงหาคม 2566 โดยการแข่งขันดังกล่าวเป็นกิจกรรมการแข่งขันทักษะการใช้ Microsoft Office และ โปรแกรม Adobe ที่มีเยาวชนมากความสามารถจากทั่วโลกเดินทางมาร่วมชิงชัยในครั้งนี้ สำหรับในปีนี้มีตัวแทนเยาวชนจากประเทศไทย จำนวน 4 คน ที่เข้าร่วมชิงชัย แบ่งเป็น 

ตัวแทนเวที Microsoft Office Specialist World Championship มี 3 คน ได้แก่ 
1. ตัวแทน Microsoft Excel Version 2019
นายทรงกลด เพชรจำรัส จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

2. ตัวแทน Microsoft PowerPoint Version 2019
นายนพณัฐ ฉลวย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

3. ตัวแทน Microsoft PowerPoint Version 2016
นางสาวสุรางค์ ศิริโต จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี    

ตัวแทนเวที Adobe Certified Professional World Championship มี 1 คน ได้แก่
1. นายพงศธร ทองมาเอง จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ซึ่งผลการแข่งขันเยาวชนไทยสามารถคว้ามาได้ 2 รางวัลได้ดังนี้ 
เวที Microsoft Office Specialist World Championship 2023
1. นายนพณัฐ ฉลวย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 โปรแกรม Microsoft PowerPoint  Version 2016

2. นายทรงกลด เพชรจำรัส จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 โปรแกรม Microsoft Excel Version Office365 & 2019

สำหรับกิจกรรมการแข่งขันโปรแกรม Microsoft Office และ Adobe เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ซึ่งในแต่ละปีจะมีประเทศต่าง ๆ จากทั่วโลก คัดเลือกเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันในเวทีระดับโลกเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนประเทศเข้าแข่งขันเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี 

นายวรเทพ กล่าวย้ำว่า “ในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการจัด และคัดเลือกตัวแทนเยาวชนไทยไปแข่งขันในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นถึงความสามารถของเด็กไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะอย่างทักษะทางด้านไอที ในยุคดิจิทัลแบบนี้ถือเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่สามารถต่อยอดสู่ความสำเร็จในอนาคตได้ของเยาวชนได้ จึงมองว่าเวทีนี้คือเวทีแห่งโอกาสที่จะช่วยส่งเสริมให้เยาวชนได้แสดงความสามารถ จึงอยากเชิญชวนไปยัง นักเรียน นักศึกษา คณะครูอาจารย์ สถาบันการศึกษา หรือแม้แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมกันผลักดันเวทีการแข่งขังนี้ ในปีต่อ ๆ ไป ให้ได้เป็นพื้นที่ให้เยาวชนไทย ได้แสดงออกทางความสามารถได้อย่างสร้างสรรค์ อันจะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติต่อไปได้” 

สำหรับการแข่งขันในปีหน้า ทาง บริษัท เออาร์ไอที มีกำหนดจัดการแข่งขันเพื่อคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยขึ้นอีกครั้งช่วงต้นปี 2567 โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารการรับสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.arit.co.th

‘ทรัมป์’ ยืนกรานในศาล ปฏิเสธข้อหา ‘ล้มผลเลือกตั้ง ปี 2020’ ยัน ตนไม่มีความผิด ชี้!! นี่คือแผนกลั่นแกล้งทางการเมือง

(4 ก.ค. 66) อดีตประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ แห่งสหรัฐฯ ยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหาล้มผลเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 ระหว่างเดินทางไปขึ้นศาลที่วอชิงตันเมื่อวานนี้ (3 ส.ค.) พร้อมอ้างว่าทั้งหมดเป็นแผนกลั่นแกล้งทางการเมือง

‘อัยการสหรัฐฯ’ ชี้ว่า คดีนี้ถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจาก ทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้นำสหรัฐฯ ในขณะนั้นกลับกระทำการอันบั่นทอนเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยอเมริกันเสียเอง

การไต่สวนซึ่งกินเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงมีขึ้นที่ศาลในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 1 กิโลเมตรจากอาคารรัฐสภา ซึ่ง ทรัมป์ เคยปลุกปั่นให้ผู้สนับสนุนบุกเข้าไปก่อความวุ่นวายขัดขวางการรับรองชัยชนะของ ‘โจ ไบเดน’ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021

อดีตผู้นำสหรัฐฯ รายนี้ถูกยื่นฟ้องคดีอาญาเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 เดือน และมรสุมทางกฎหมายเหล่านี้ก็คาดว่าจะเป็นทั้งปัจจัยฉุดรั้งและตัวเรียกคะแนนสงสารให้ ทรัมป์ ซึ่งเป็นตัวเต็งชิงประธานาธิบดีที่ยังคงได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในสายรีพับลิกัน

ทรัมป์ วัย 77 ปี ถูกตั้งข้อหารวมทั้งสิ้น 4 กระทง ได้แก่ สมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงสหรัฐฯ สมรู้ร่วมคิดขัดขวางกระบวนการของรัฐ กระทำการขัดขวางกระบวนการของรัฐ และกระทำการขัดขวางสิทธิในการโหวตของพลเมืองอเมริกัน ซึ่งความผิดที่ร้ายแรงที่สุดนั้นมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี

ทรัมป์ ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อหา โดยกล่าวต่อผู้พิพากษาศาลแขวง โมซิลา อุปัทยายา (Moxila A. Upadhyaya) ว่าตนเอง “ไม่มีความผิด” (not guilty)

ในเอกสารคำฟ้องความยาว 45 หน้ากระดาษ อัยการพิเศษ แจ็ค สมิธ กล่าวหา ทรัมป์ และพวกพ้องว่าจงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จใส่ร้ายการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม กดดันเจ้าหน้าที่ทั้งระดับท้องถิ่นและรัฐบาลกลางให้เปลี่ยนแปลงผลการนับคะแนน และยังสร้างคณะผู้เลือกตั้ง (electors) ปลอมขึ้นมาเพื่อหวังชิงคะแนนเสียงไปจากโจ ไบเดน

ศาลได้อนุญาตปล่อยตัว ทรัมป์ และให้อิสระในการเดินทางตามปกติ โดยตั้งเงื่อนไขเพียง 1 ข้อก็คือห้ามไม่ให้ติดต่อพูดคุยกับพยานโดยไม่มีทนายความอยู่ด้วย ซึ่งหลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการในศาล อดีตผู้นำสหรัฐฯ ก็ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวกลับไปยังสนามกอล์ฟที่เมืองเบดมินสเตอร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ทันที

ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า การฟ้องร้องเอาผิดเขาฐานล้มผลเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของแผน ‘ล่าแม่มด’ ที่หวังสกัดไม่ให้เขากลับไปครองเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวได้อีกครั้งในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024

“มันเป็นวันที่น่าเศร้าอย่างยิ่งสำหรับอเมริกา” ทรัมป์ กล่าว พร้อมระบุว่า “นี่คือการเล่นงานศัตรูทางการเมือง”

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ ได้ถูกอัยการพิเศษยื่นฟ้องรวมทั้งสิ้น 37 กระทง ฐานจัดการเอกสารชั้นความลับสุดยอดอย่างผิดกฎหมาย โดยขนเอาเอกสารเหล่านั้นไปเก็บไว้ที่คฤหาสน์ส่วนตัวในรัฐฟลอริดาหลังพ้นตำแหน่ง และพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ซึ่งติดตามทวงคืนเอกสารเหล่านั้น

อดีตผู้นำสหรัฐฯ รายนี้ยังถูกอัยการแมนฮัตตันยื่นฟ้องดำเนินคดีฐานจ่ายเงินปิดปาก “สตอร์มมี แดเนียลส์” ดาราหนังโป๊ ไม่ให้ออกมาเปิดเผยความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ในช่วงก่อนศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2016

ทรัมป์ ยังคงยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหาในทั้ง 2 คดี และเร็วๆ นี้ก็คาดว่าจะโดนข้อหาเพิ่มอีก เนื่องจากอัยการของรัฐจอร์เจียอยู่ระหว่างสอบสวนความพยายามของ ทรัมป์ ที่จะล้มผลเลือกตั้งที่นั่น และคาดว่าจะมีคำสั่งฟ้องออกมาภายในกลางเดือน ส.ค.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top