Tuesday, 6 May 2025
NewsFeed

‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ ชี้!! อย่าหลงระเริงกับ 14 ล้านเสียง หากเป็นนายกฯ ต้องดูแลคนกว่า 60 ล้านคน

(13 ก.ค.66) ที่รัฐสภาฯ การประชุมร่วมกัน พิจารณาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายโหวต โดยในบางช่วงบางตอนระบุว่า…

“คนไทยไม่ได้มีแค่ 14 ล้าน คนไทยไม่ได้มี 25 ล้าน ท่านต้องเป็นนายกฯ ของคน 60 กว่าล้านคน เป็นนายกฯ ของประเทศไทย ไม่ใช่ของพรรคใดพรรคหนึ่ง ท่านอย่าหลงระเริงคำว่า 14 ล้านเสียง มันไม่ถึง 20% มันไม่ใช่เรื่องชี้ขาดของประเทศนี้”

‘สาว’ โพสต์เตือนภัย!! หลังถูกแอบถ่ายใต้กระโปรงบนรถไฟฟ้า เผย โรคจิตคนนี้ก่อเหตุมาแล้ว 3 ครั้ง โชคดีมีพลเมืองดีช่วยไว้

เมื่อไม่นานมานี้ บัญชี TikTok ชื่อ ‘PIMJAI’ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอ ‘EP1 เตือนภัยโดนแอบถ่ายใต้กระโปรงบนรถไฟฟ้า’ โดยในคลิปได้ระบุว่า…

“วันนี้จะมาเล่าเตือนภัยหลังโดนแอบถ่ายใต้กระโปรงบนบีทีเอส ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสักช่วงค่ำ ๆ เป็นเวลาที่เรากลับจากการทำงานค่ะ และได้ใช้บีทีเอสกลับบ้านปกติ แต่สาเหตุที่ทำให้รู้สึกเอะใจ เริ่มจากที่บีทีเอสสยามค่ะ มีคนมาสะกิดข้างเรา และถามว่าเส้นนี้ผ่านชิดลมไหม เราเลยตอบกลับไปว่าใช่ หลังจากนั้นบีทีเอสก็มา ประตูเปิดเราก็เดินเข้าบีทีเอสไป ซึ่งเราอุส่าห์เดินจากประตูนึงไปอีกประตูนึงที่อยู่เยื้องกันไป เพราะเห็นว่าแถวนั้นไม่ค่อยมีคน แต่ผู้ชายที่สะกิดเราตอนแรกได้เดินตามหลังเรามา เราเลยมองกระจกที่มันสะท้อนไปด้านหลังก็เห็นผู้ชายคนนั้นท่าทางแปลก ๆ ทำไมต้องมาอยู่ใกล้หลังเราด้วยทั้งที่บริเวณพื้นที่ตรงนั้นเยอะมาก” 

“เราก็เลยหันไปมองด้านหลัง แล้วตาก็เหลือบไปมองกระเป๋าเขาพอดี ตรงกระเป๋าเขาตรงปลายก็จะปักเป็นตัวอักษร R แต่เรารู้สึกว่าตัว R มันแปลก ๆ เหมือนเจาะรูดำเอาไว้ ซึ่งเราก็ได้เพ่งไปที่กระเป๋าเขา แล้วก็คิดว่า เฮ้ย! มันคุ้น ๆ สถานการณ์นี้เหมือนเป็นกล้องแอบถ่ายเลย เราก็เลยก้มลงไปหยิบกระเป๋าเขาขึ้นมาเลยนะคะ แล้วถามว่า นี่ใช่กล้องไหมคะ? ซึ่งตอนนั้นถ้าหน้าแตกก็คือยอมหน้าแตกเลย หลังจากนั้นผู้ชายคนนี้ก็ทำท่าลุกลี้ลุกลนแล้วก็ดึงกระเป๋ากลับ เราเลยคิดว่าใช่แน่ ๆ เราจึงยื้อกระเป๋าเขาไว้ และตะโกนว่า “ช่วยด้วยค่ะ โดนแอบถ่ายใต้กระโปรง” เพื่อให้คนในขบวนได้รับรู้ ซึ่งเราเป็นคนที่เสียงดังมาก จังหวะนั้นประตูบีทีเอสเปิดพอดี ไอ้โรคจิตมันก็เลยกระชากกระเป๋าวิ่งออกจากบีทีเอสไปเลย”

ถัดมา ‘คุณ PIMJAI’ ได้ออกมาโพสต์เฟสบุ๊กเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “โชคดีมาก ๆ มีพลเมืองดีประมาณ 4-5 คน กรูกันไปจับ มีคนนึงกระโดดถีบคนร้ายโรคจิตจนติดกำแพง ก็เลยสามารถจับไว้ได้ทัน ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยนะคะที่ช่วย ไม่งั้นมันคงหนีไปได้แน่ จับได้แล้วเราก็ตะโกนเรียก รปภ. แถวนั้นให้มาช่วยแต่หาไม่เจอ มีผู้ชายใจดีไปช่วยตาม รปภ. มาให้ เจ้าหน้าที่ที่รถไฟฟ้าคนอื่น ๆ ก็ตามกันมาช่วย โทรตามตำรวจมาเอาคนร้ายโรคจิตไปไต่สวนที่โรงพักเพื่อดำเนินคดี”

“เหตุการณ์วันนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ช็อกมาก ๆ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อน โชคดีมากที่ตอนนั้นสังเกตสิ่งรอบตัว ไม่มัวยืนเล่นมือถือ ไม่งั้นคงไม่รู้แน่ ๆ ว่ากำลังโดนแอบถ่าย แล้วก็โชคดีที่ตัวเองใส่กางเกงซับในไว้ตลอด (ไม่อยากจะเชื่อว่าต้องมาดีใจที่ตัวเองป้องกันไว้ ทั้งที่จริงสิ่งเหล่าที่มันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย ต่อให้เขาจะนุ่งสั้นนุ่งยาวก็ตาม)”

“สรุปคือโรคจิตคนนี้บอกว่าก่อเหตุมา 3 ครั้งแล้ว แต่ละคลิปคือเดินแอบถ่ายใต้กระโปรงผู้หญิงตามห้าง ตามรถไฟฟ้า มีหลาย ๆ คนที่โดนแอบถ่ายโดยไม่รู้ตัว อยากจะเตือนทุกคนว่าโรคจิตพวกนี้มันมีอยู่ตลอด ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็โดนได้หมด (วันนี้ที่เราไปแจ้งความ ก็มีผู้ชายไปแจ้งเรื่องโดนแอบถ่ายเหมือนกัน) เวลาที่อยู่ในที่สาธารณะ อยากให้ทุกคนพยายามสังเกตสัญญาณที่น่าสงสัยรอบตัวไว้บ้างนะคะ แล้วเวลามีอะไรเกิดขึ้น อย่าไปอายที่จะตรวจเช็กและขอความช่วยเหลือนะคะ”

‘พิธา’ มั่นใจ!! ตนยังมีคุณสมบัติ สมบูรณ์แบบทุกประการ ด้วยความชอบธรรม

(13 ก.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล พูดอภิปรายในรัฐสภา วาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระบุว่า..

“ผมยังคงมีคุณสมบัติ สมบูรณ์แบบทุกประการ ด้วยความชอบธรรม”

‘ก้อย อรัชพร’ สุดทน!! เผยความรู้สึกต่อความอยุติธรรมในประเทศ ลั่น!! แค่ใช้ชีวิตก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องมาเจอปัญหาจากผู้มีอำนาจอีก

(13 ก.ค. 66) วันนี้แล้ว!! ที่มีการโหวตนายกฯ ทั้งคนบันเทิงและประชาชนทั้งประเทศต่างแสดงความคิดเห็น เช่นเดียวกันกับ ‘ก้อย-อรัชพร โภคินภากร’ ที่ล่าสุดเมื่อกลางดึกได้ออกมาโพสต์อินสตราแกรมส่วนตัว ‘@goyyog’ โดยระบุว่า…

"เวลาที่เราต้องบอกกับตัวเองว่า ‘ประเทศมันต้องเป็นแบบนี้แหละ’ แล้วก็ปลง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีอะไรที่ถูกต้อง ก้มหน้าก้มตารับกับสิ่งที่มันต้องเป็น เออนี่ก็ดีขึ้นมานิดนึงแล้วนะ แล้วก็ยอมไป แม่งโคตรจะวนลูปเลย!!!!!!!!!! มันจะต้องอีกกี่ลูปปปปปปปปปป กฎหมายที่เอื้อความไม่ยุติธรรม เอื้อทุกอย่างให้ผู้มีอำนาจบางกลุ่ม ปล่อยให้ประเทศไม่มีทางออก

เราทำอะไรได้บ้าง? ไม่รู้! เพราะคะแนนโหวตจากการเลือกตั้งยังทำอะไรไม่ได้เลย อายบ้างไหมท่าน หลายคนแค่ใช้ชีวิตก็เหนื่อยมากแล้ว มีเรื่องที่ต้องทำ แล้วต้องมาเจอกับลูปปัญหาจากท่านผู้มีอำนาจเสียเหลือเกินนี้อีก!! แต่ถึงทำอะไรไม่ได้ก็ต้องทำอะไรสักอย่าง นี่มันความอยุติธรรมแบบซึ่ง ๆ หน้า แบนมากแม่ ถึงจะยังไม่รู้ว่าทำอะไรได้ แต่สิ่งเดียวที่ทำได้แน่ ๆ คือก่นด่า!!!! พรุ่งนี้เลือกนายก รอค่ะ ท่านส.ว.และกกต ปล.ขอแทรกรูปลูกสาวบรรเทามู้ด"

‘เอเอฟซี’ ลงดาบ นักเตะ-สตาฟฟ์ ‘ช้างศึก’​ ฟุตบอลซีเกมส์ 2023 หลังเกิดเหตุทะเลาะวิวาทที่อินโดฯ สั่งแบนยาว-ปรับเงินอ่วม

‘เอเอฟซี’ ประกาศลงโทษนักเตะ และสตาฟฟ์โค้ช ‘ช้างศึก’ จากเหตุความวุ่นวายในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชายซีเกมส์ 2023 โดย ไทย โดนลงโทษทั้งหมด 8 ราย รวมสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ถูกปรับเงินด้วย

(13 ก.ค. 66) จากเหตุทะเลาะวิวาทในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชายซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่ประเทศกัมพูชา ระหว่างไทยกับอินโดนิเซีย ที่ทัพ ‘ช้างศึก’ ปราชัยคู่แข่งในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-5 ก่อนหน้านี้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ทำการลงโทษ นายประสบโชค โชคเหมาะ ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู, นายมายีด หมัดอะด้ำ เจ้าหน้าที่ทีม, นายภัทราวุธ วงษ์ศรีเผือก เจ้าหน้าที่ทีม ห้ามยุ่งเกี่ยวทีมชาติเป็นเวลา 1 ปี ขณะที่ 2 นักฟุตบอลอย่าง นายโสภณวิชญ์ รักญาติ และ นายธีรภักดิ์ เปรื่องนา ถูกลงดาบแบนห้ามยุ่งกับทีมชาติคนละ 6 เดือน

ล่าสุด สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ ‘เอเอฟซี’ ทำการแจ้งบทลงโทษของสมาพันธ์ฯ มายังสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ โดยนักเตะไทยโดนลงโทษเพิ่ม 2 คน ได้แก่ นายชยพิพัฒน์ สุพรรณเภสัช ถูกแบน 6 นัด และนายปุรเชษฐ์ ทอดสนิท แบน 6 นัด ขณะที่อีก 2 คน ที่ถูกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยลงโทษอยู่ก่อนหน้านี้ ถูกเอฟเอฟซี แบนเพิ่มอีก โดยนายธีรภักดิ์ เปรื่องนา ถูกแบน 6 นัด, นายโสภณวิชญ์ รักญาติ ถูกแบน 6 นัด พร้อมปรับเงินคนละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 34,000 บาท

ส่วนทีมงานสตาฟฟ์โค้ชของไทย 3 คนที่โดนแบนจากสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก่อนหน้านี้ ถูกเอเอฟซีลงโทษเช่นกัน โดย นายประสบโชค โชคเหมาะ โค้ชผู้รักษาประตู ถูกแบน 6 นัด, นายมายีด หมัดอะด้ำ เจ้าหน้าที่ทีม ถูกแบน 6 นัด, นายภัทราวุธ วงษ์ศรีเผือก เจ้าหน้าที่ทีม ถูกแบน 6 นัด ทั้งหมดถูกปรับเงินคนละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 34,000 บาท ขณะที่ นายบำรุง บุญพรม อีกหนึ่งสตาฟฟ์โค้ช โดนโทษแบน 6 นัด ด้วยเช่นกัน

ด้าน สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ถูกเอเอฟซีปรับเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3.4 แสนบาท ขณะที่ฝั่งอินโดนีเซีย โดนเอเอฟซี แบน ผู้เล่น 2 ราย และสต๊าฟโค้ช 2 ราย

‘จีน’ ยิงจรวดพลังงาน ‘ออกซิเจน-มีเทนเหลว’ ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก

เมื่อวานนี้ (12 ก.ค.66) จีนประสบความสำเร็จในการยิงจรวดขนส่งจูเชว่-2 (Zhuque-2) ขึ้นสู่ห้วงอวกาศจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ตอน 09.00 น. ตามเวลาปักกิ่ง และเสร็จสิ้นภารกิจการบินตามขั้นตอน

จรวดขนส่งจูเชว่-2 ถูกพัฒนาโดยแลนด์สเปซ (LandSpace) บริษัทจรวดอวกาศเอกชนของจีน โดยเป็นจรวดลำแรกของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงออกซิเจน-มีเทนเหลว และเข้าสู่วงโคจรที่กำหนดสำเร็จ

การปล่อยจรวดลำดังกล่าวนับเป็นความก้าวหน้าด้านการประยุกต์ใช้จรวดขับเคลื่อนด้วยของเหลวต้นทุนต่ำรุ่นใหม่สำหรับจรวดขนส่งของจีน และนับเป็นภารกิจการบินครั้งที่ 2 ของจรวดขนส่งจูเชว่-2

‘อลงกรณ์’ เสนอ 5 หลักคิดให้ ส.ว.โหวตนายกฯ หวังทุกฝ่ายยึดสันติวิธี หลีกเลี่ยงวิกฤติการเมือง

(13 ก.ค.66) นายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยมีข้อความว่า…

บ้านเมืองของเรามาถึงทางแพร่งที่สำคัญในวันนี้ สืบเนื่องจากการเลือกตั้งเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว คือการโหวตเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยรัฐสภา

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคที่ได้รับเสียงเลือกตั้งอันดับ 1 และรวบรวมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรรวมตัวเป็นกลุ่ม 8 พรรคการเมืองมีเสียงรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรจะได้รับเสียงสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศหรือไม่ ขึ้นกับการโหวตของสมาขิกรัฐสภาในวันนี้

สมาชิกรัฐสภา 750 ท่านประกอบด้วย…

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คนและสมาชิกวุฒิสภา 250 คนจะใช้สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง
1.สนับสนุน
2.ไม่สนับสนุน 
3.งดออกเสียง 

ผมเคยให้ความเห็นส่วนตัวว่า ในฐานะเป็นอดีต ส.ส.และสมาชิกรัฐสภา 6 สมัยได้เสนอข้อพิจารณาเป็นหลักยึดหลักคิดในการโหวต…

1. เคารพผลการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งคือ ความต้องการของประชาชน 

2. ยึดหลักการเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร พรรคที่รวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิ์และความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี

3. การออกเสียงลงมติของสมาชิกรัฐสภาเป็นเอกสิทธิ์

4. สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย เมื่อปวงชนชาวไทยคือประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยใช้สิทธิในการเลือกตั้งโดยตรงไม่ผ่านระบบผู้แทนปวงชนชาวไทยแล้ว ผู้แทนปวงชนชาวไทยพึงเคารพการตัดสินใจของปวงชนชาวไทย โดยการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยมี 2 กรณีที่ใช้สิทธิอำนาจโดยตรงไม่ผ่านระบบผู้แทนฯ คือ การเลือกตั้ง และการออกเสียงประชามติ

5. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคการเมืองมีระบบพรรคที่ต้องปฏิบัติตามมติ ซึ่งเป็นระบบที่ถือปฏิบัติทุกพรรคการเมือง เช่น พรรคประชาธิปัตย์มีมติงดออกเสียง สมาชิกพรรคและผมต้องถือปฏิบัติในทางเดียวกัน ซึ่งต่างจากสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่สังกัดพรรค

ความเห็นของผมอยู่บนหลักการประชาธิปไตย ไม่เกี่ยวกับนายพิธาหรือพรรคก้าวไกล แต่เป็นการสนับสนุนหลักการที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น 

ไม่ว่าการโหวตนายกรัฐมนตรีจะปรากฏผลเป็นประการใด ผมยอมรับเพราะผมเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เพียงหวังว่า สมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมีความรักชาติศาสนากษัตริย์จะตัดสินใจโหวตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีด้วยความเป็นอิสระไม่อยู่ใต้อาณัติใด ๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

ผมเพียงหวังที่จะเห็นการตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งเป็นไปโดยราบรื่นและรวดเร็วตามครรลองประชาธิปไตย

ประเทศของเราอยู่ในภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจและไม่ควรจะเกิดวิกฤติทางการเมืองมาซ้ำเติม

ทุกฝ่ายทั้งในและนอกสภารักประเทศชาติไม่น้อยไม่มากไปกว่ากัน อาจมีความเห็นที่แตกต่างกันแต่ไม่ใช่ความแตกแยก พึงเคารพความแตกต่างอย่างสันติวิธี

ประชาธิปไตยไม่สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยความเกลียดชัง และประเทศไม่สามารถสร้างขึ้นได้บนซากปรักหักพัง 

เรามีบทเรียนของวิกฤติทางการเมืองมาหลายครั้ง สูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อมาหลายครา ขอให้บทเรียนในอดีตเป็นอุทาหรณ์สอนใจเตือนสติทุกท่าน อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกเลย

‘อดิศร’ ชี้ ‘พิธา’ จบ Harvard MIT พูดอังกฤษดี สง่างามเมื่อออกงานในต่างประเทศ มั่นใจ!! ไม่เดินหลงธงชาติแน่นอน

(13 ก.ค. 66) ที่รัฐสภาฯ ในวาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายว่า…

"คุณพิธาจบ Harvard MIT พูดอังกฤษดีกว่าผมเยอะ เวลาพิธาไปที่ฝรั่งเศส ไปจับมือกับประธานาธิบดีมาครง ไปแคนาดา ไปจับมือกับประธานาธิบดีทรูโด ไปจีนจับมือกับสีจิ้นผิง ไปอเมริกาจับมือกับผู้เฒ่าไบเดน มันสง่างาม รับรองไม่เดินหลงธงชาติแน่นอนครับ"
 

‘ชัยธวัช’ ลั่น!! เป็นผู้แทนราษฎร ไม่ควรเมินเฉยต่อปัญหา - ต้องมีสำนึกมโนธรรม

(13 ก.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พูดอภิปรายในรัฐสภา วาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระบุว่า…

“เรามีความสำนึกว่า ถ้าเมื่อไหร่เกิดปัญหาขึ้นในสังคม แล้วผู้แทนราษฎรทำเป็นมองไม่เห็น เราคงอธิบายตนเองไม่ได้ว่า เรายังมีมโนธรรมสำนึกในฐานะผู้แทนราษฎรอยู่ได้อย่างไร”

‘ส.ว.ประพันธ์’ กางข้อกฎหมายคุณสมบัติ ชี้ชัด ‘พิธา’ ขาดคุณสมบัติตั้งแต่ต้น

(13 ก.ค.66) ที่รัฐสภา นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อภิปรายต่อที่ประชุมรัฐสภา เพื่อคัดค้านชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ โดยระบุว่า นายพิธาเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 และ มาตรา 160 ประกอบกับมาตรา 98 (3) การเสนอชื่อดังกล่าวถือว่าขัดกับข้อบังคับข้อ 136

นายประพันธุ์ กล่าวด้วยว่ากรณีของนายพิธา ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยประเด็นสมาชิกภาพของนายพิธา ได้สิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ลงรับในทางธุรการ และเตรียมเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาสัปดาห์ เป็นข้อเท็จจริงที่ปราศจากข้อสังสัยว่า นายพิธามีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 

“การพิจารณาของสภาฯ มีหน้าที่พิจารณาว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายพิธานั้น เป็นการเสนอชื่อบุคคลที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและข้อบังคับหรือไม่และมีปัญหาคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ แม้มีคนแย้งว่าคำชี้ขาดของศาลไม่เป็นที่สุดจะพิจารณาแบบนั้นไม่ได้ แต่ผมมองว่าปัญหานี้ไม่จำเป็นต้องรอคำวินิจฉัย เพราะปัญหาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. เป็นคุณสมบัติเดียวกันกับคนที่เป็นนายกฯ เป็นเรื่องที่วิญญูชน บุคคลทั่วไปวินิจฉัยได้ ไม่จำเป็นต้องถามศาล เพราะมีวิจารณญาณพิจารณาได้เองซึ่งท่านสามารถรู้ได้เองเหมือนกับว่าท่านจบ ม.6 หรือไม่” นายประพันธุ์ กล่าว

นายประพันธุ์ กล่าวด้วยว่า รัฐสภาไม่อาจรับชื่อของนายพิธาไว้พิจารณาลงคะแนนเสียงได้ เพราะคุณสมบัติขัดต่อกฎหมายและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หากรัฐภาลงมติพิจารณา ย่อมขัดกับรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภา เพราะคนที่พิจารณาย่อมถือว่ารู้อยู่แล้วว่าและจงใจทำผิดและฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับของการประชุมรัฐสภา หากดึงดันอาจจะถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231(1) จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ส่วนกรณีที่ ส.ว.จะลงมติอาจจะมีปัญหาต่อการทำผิดประมวลจริยธรรมเช่นเดียวกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top