Tuesday, 6 May 2025
NewsFeed

‘ลิซ่า BLACKPINK’ ติดเทรน Twitter หลังมีข่าวลือเรื่องต่อสัญญา แถมไม่กี่ชั่วโมงต่อมาหุ้น ‘YG Entertainment’ ร่วงถึง!! 7%

(12 ก.ค. 66) สำนักข่าวเกาหลี Munhwa Ilbo รายงาน ความเป็นไปได้ที่ซุปเปอร์สตาร์สาวมากความสามารถอย่าง ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ สมาชิกของวงเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK จะออกจาก YG Entertainment นั้นเพิ่มขึ้น

ก่อนที่สัญญาของลิซ่าจะหมดลงในเดือนสิงหาคม หลังจากวงเข้าสู่ปีที่ 7 นับตั้งแต่เดบิวต์และการต่อสัญญาได้กลายเป็นจุดสนใจหลักทั่วโลก ซึ่งลิซ่าได้หารือกันว่าจะต่อสัญญากับ YG แต่ยังไม่สามารถหาข้อตกลงได้ ฝ่าย YG ก็หวังว่าจะบรรลุข้อตกลงและทำสัญญาได้ก่อนที่สัญญาจะหมดอายุ

ความเป็นไปได้ที่ลิซ่าจะต่อสัญญากับต้นสังกัดวายจีนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาจากแหล่งข่าวในประเทศจีน เนื่องจากหน่วยงานของจีนซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อบอกกับสื่อว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา ว่า “เราได้ประสานงานกับค่ายวายจีถึงตารางงานของลิซ่า เพื่อดูว่าลิซ่าจะสามารถมาปรากฏตัวในรายการหรือไม่ แต่ล่าสุดทางวายจีตอบกลับว่า เป็นการยากที่จะหารือเกี่ยวกับกำหนดการหลังจากเดือนสิงหาคม เพราะการต่อสัญญากับลิซ่ายังไม่ชัดเจน”

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ทางวายจีตอบสนองต่อคำร้องขอของสื่อเกาหลีเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง โดยกล่าวว่า “เป็นเพราะทัวร์และตารางงานส่วนตัว และไม่เกี่ยวข้องกับสถานะสัญญา (ใหม่)” แม้ว่าทางวายจีจะไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับการต่อสัญญา แต่ก็เห็นได้ว่าค่ายก็ยอมรับว่า พวกเขาจัดตารางงานของลิซ่ากับฝ่ายจีนเมื่อเร็ว ๆ นี้

จากการรายงานข่าว นอกเหนือจากการเจรจากับลิซ่าแล้ว กระบวนการต่อสัญญาของค่ายวายจีกับสมาชิกที่เหลืออีกสามคนของ Blackpink ได้แก่ เจนนี่ จีซู และโรเซ่ กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น “เราลดช่องว่างระหว่างกันและตัดสินใจต่ออายุสัญญา” คนวงในกล่าว

สื่อเกาหลีคาดว่าทิศทางของกิจกรรมในอนาคตของ Blackpink จะตัดสินใจหลังจากการประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ ไม่ว่าลิซ่าจะยังคงทำงานในฐานะสมาชิกของ BLACKPINK ต่อไปหรือไม่ แม้ว่าการต่อสัญญากับ YG จะไม่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด จะมีผลกระทบอย่างมากต่อทิศทางของวงในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม คนในวงการยอมรับว่าวายจีวางเดิมพันอย่างกล้าหาญเพื่อที่จะรักษา Blackpink และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในฐานะบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเมื่อข่าวดังกล่าวกลายเป็นไวรัลในไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ทำหุ้นของค่ายวายจีตกลงถึง 7 เปอร์เซ็นต์

‘อ.สันติ’ ประติมากรระดับโลก เผยเรื่องราวความประทับใจ หลังเดินทางข้ามโลกมาเข้าเฝ้า ‘ในหลวง ร.10-ราชินี’ ครั้งแรก

เมื่อไม่นานนี้ รายการ ‘เรื่องเล่าข่าวดีกับสายสวรรค์’ ชุดพิเศษ เรื่องเล่าข่าวดี ‘เฉลิมพระบารมี ทศมราชัน’ ตอน ‘ประติมากรไทยระดับโลก ผู้ปั้นพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้วยจิตวิญญาณแห่งความจงรักภักดี’ ตอนที่ 3 ออกอากาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2566 โดยมีแขกรับเชิญ คือ อาจารย์ ดร.สันติ พิเชฐชัยกุล ประติมากรระดับโลก ที่ได้มาแชร์เรื่องราวความทรงจำอันน่าประทับใจในการเดินทางข้ามโลก เพื่อมาเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรก พร้อมเผยถึงเบื้องหลังการปั้นพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต และปราสาทพระเทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามพระบรมราชโองการและพระมหากรุณาที่ อ.ดร.สันติ พิเชฐชัยกุล ได้รับอย่างสูงสุด

โดยในช่วงหนึ่งของรายการ อ.ดร.สันติ ได้เล่าว่า “มีครั้งหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 10 นั้น มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่คาดฝัน คือ พระองค์ทรงเสด็จลงมาที่พื้น เพื่อนั่งคุยกับผม และถามไถ่ผมว่า “อาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่อเมริกา สบายดีไหม?” 

ผมรู้สึกว่าพระองค์ท่านทรงน่ารักมาก ผมไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ที่ท่านลงที่พื้นกับผม ผมเลยกราบทูลไปว่า “ท่านครับ ท่านติดดินเหมือนพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 เลยนะครับ แต่ถ้าท่านลงมานั่งที่พื้นแบบนี้ ผมไม่ต้องมุดลงใต้เลยหรือครับ” พอผมพูดจบ ท่านก็แย้มพระสรวลและหัวเราะ จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ก็ทรงประคองพระองค์ท่านขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิม”

อ.ดร.สันติ ยังได้เล่าต่ออีกว่า “สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ทรงตรัสชมว่า “อาจารย์ปั้นพระบรมรูปเก่งมากเลย” ผมก็เลยเล่าว่า “มีคนสบประมาทผมว่า คุณก็เก่งแค่ตอนนี้แหละ ในอนาคตจะมีคนเก่งกว่านี้” ผมก็โต้ตอบในใจไปว่า “ถ้าจะมีคนเก่งกว่าผม ก็ขอให้คนนั้นเป็นผมอีกสักครั้งหนึ่ง” จากนั้น พระองค์ก็ใช้พระหัตถ์ตบเบาๆ ที่หน้าขาของผม แล้วทรงตรัสว่า “อาจารย์พูดได้ดีมาก ชอบๆ” 

จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ทรงตรัสต่ออีกว่า “นี่ไงอาจารย์ อาจารย์ก็ทำเก่งกว่าเดิมนี่ไง ท่านทรงโปรดมากเลย ต่อไปอาจารย์จะเหนื่อยกว่านี้อีกนะ” 

สักพักในหลวงท่านเสด็จลุกขึ้น และหันมาตรัสกับภรรยาของผมว่า “เราขอเบิกตัวอาจารย์สันติ ให้ไปกับเราที่ชั้นบนได้ไหม?” ภรรยาผมก็บอกว่า “ได้เพคะ” ผมก็เลยตามเสด็จขึ้นไปชั้นบน ตอนแรกผมจะคุกเข่าตามท่านไป ท่านก็ทรงตรัสว่า “ลุกเดินตามมาได้เลยอาจารย์ เชิญๆ” 

เมื่อเดินถึงชั้นลอย ท่านก็ทรงตรัสว่า “จะเอาพระบรมรูปตั้งไว้ตรงนี้ดีไหม?” สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ท่านก็ทรงตรัสว่า “หากตั้งไว้ตรงนี้อาจจะไม่เหมาะ เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับบันได” พระองค์ท่านจึงหันกลับมาถามความคิดเห็นผมอย่างมีเมตตาว่า “อาจารย์มีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” ผมเลยตอบท่านไปว่า “ใช่ครับ ตรงนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะครับ” สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ทรงมีพระปรีชาสามารถสูงมาก ในการมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ ครับ”

อ.ดร.สันติ เล่าต่ออีกว่า “หลังจากนั้น พระองค์ท่านก็ทรงเชิญผมขึ้นไปที่ชั้นบนอีกชั้นหนึ่ง โดยท่านเดินนำหน้าผมขึ้นไป เมื่อถึงหน้าห้องแล้ว ท่านทรงใช้พระหัตถ์ขวาเปิดประตู และใช้พระหัตถ์ซ้ายผายออกเพื่อเชิญผมเข้าไปในห้อง จริงๆ แล้วลูกน้องของพระองค์ท่านพยายามจะวิ่งมาเปิดประตูแทน แต่ไม่ทัน ผมก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ก็รีบขอบคุณท่าน เมื่อเข้าห้องไป ท่านก็ตรัสถามว่า “เอาพระบรมรูปตั้งไว้ตรงนี้ดีไหม?” ผมก็ตอบว่า “หากไว้ตรงมุมอับอาจจะไม่เหมาะนะครับ จะไม่มีคนเห็นครับ” ท่านก็ตรัสถามอีกครั้งว่า “แล้วถ้าเป็นตรงนั้นล่ะ?” ผมก็ตอบว่า “ตรงนั้นได้ครับ แต่ต้องเอาโซฟาออกนะครับ” ท่านจึงสั่งให้คนของท่านช่วยกันย้ายโซฟาออก ณ ตอนนั้นเลย และสั่งให้นายทหารไปยกพระบรมรูปจากชั้น 1 เพื่อยกขึ้นมาตั้งไว้ที่ชั้น 3 ผมก็กราบทูลกับท่านว่า “ต้องทำพื้นหินอ่อนเป็นฐานใหม่ เพื่อให้สามารถตั้งได้พอดีกันนะครับ และติดไฟใหม่ด้วยครับ”

“หลังจากนั้น เมื่อกลับลงมาที่ชั้นล่าง ท่านทรงตรัสถามไถ่กับลูกชายผม ว่า “How old are you? อายุเท่าไรแล้ว” ตอนนั้นลูกชายคนเล็กของผม ชื่อ ‘น้องโทนี่’ ก็ตอบท่านกลับไปว่า “Five” 5 ขวบแล้ว จังหวะนั้นเอง ผมก็กราบทูลขอท่านไปว่า “ท่านครับ ทรงช่วยจับ ‘น้องไดญามิ’ ลูกสาวคนโตของผมหน่อยได้ไหมครับ” ท่านก็ทรงเมตตา เอาพระหัตถ์ข้ามภรรยาของผม (เอริก้า) ไปจับน้องไดญามิ จังหวะนั้นเอง ผมเลยกราบทูลขอท่านไปว่า “ท่านครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ช่วยจับภรรยาผมด้วยได้ไหมครับ” ท่านก็เลยจับ เอริก้าก็หันมาบอกผมว่า “ฉันยังไม่ได้สระผมเลย” จากนั้นผมจึงกราบทูลขอให้ท่านจับผมด้วยอีกคน ท่านก็ทรงเมตตา จับผมอย่างเป็นกันเองด้วย”

“หลังจากนั้น ก่อนท่านจะขอตัวไปพักผ่อน ผมก็รวบรวมความกล้า กราบทูลขอพระองค์ท่านว่า “ขอพระบรมราชานุญาตฉายพระรูปร่วมกับหม่อมฉันและครอบครัวได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ซึ่งท่านก็ทรงมีความเมตตากรุณากับผมและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ทรงให้คนไปตามภรรยาและลูกๆ ของผมมาฉายพระรูปร่วมกับพระองค์ท่านอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว เป็นเวลาตี 1 เนื่องจากผมเข้าเฝ้าพระองค์ท่านตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มของคืนวันที่ 12 เมษายน จนล่วงเลยเข้าคืนวันที่ 13 เมษายน 2562 แล้ว ซึ่งตรงกับวันขึ้นปีไทยพอดี 

“นับเป็นสิริมงคลกับผมและครอบครัวอย่างมาก ถือเป็นที่สุดของชีวิตผมเลย” อ.ดร.สันติ กล่าวทิ้งท้าย

‘พิธา’ โอด!! กระบวนการเร่งรัด กกต.ไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจง แต่กำลังใจยังดี ขอเข้าสภาฯ ตามเดิม ยันพร้อมแจงทุกข้อสงสัย

(12 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีถือครองหุ้นสื่อว่า คิดว่ากระบวนการในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจมาให้เสมอ ตนยังกำลังใจดีอยู่

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ว่าจะถูกนำเรื่องดังกล่าวไปเป็นปัจจัยในการโหวตนายกรัฐมนตรีของสมาชิกรัฐสภา นายพิธา กล่าวว่า ไม่กังวล มองเป็นเรื่องปกติ คิดว่าวุฒิสภาจะแยกแยะได้ว่าแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร และเรื่องที่ร้องไปก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นสื่อมวลชนที่หยุดไปนานแล้ว และตนถือในฐานะผู้จัดการมรดกไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง ซึ่งคุณสมบัติแคนดิเดตนายกฯก็ยังมีอยู่

เมื่อถามว่า การที่ กกต.ไม่ได้เรียกไปชี้แจงเลย มองว่าเป็นธรรมหรือไม่? นายพิธา กล่าวว่า รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เท่าที่ฟังการแถลงเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยเอาไปเทียบเคียงกับคดีที่เป็นคดีเกี่ยวกับการกู้เงินของพรรค แต่นี่เป็นคนละรูปแบบกัน ดังนั้น ระเบียบของ กกต.ควรเปิดโอกาสให้ชี้แจง รวมถึงระยะเวลาถือว่าสั้น พอมานั่งคำนวณดูพบว่าเป็นเวลา 32 วัน ครึ่งหนึ่งของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ 1 ใน 10 ของรัฐมนตรีที่อยู่ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 4 คน ซึ่งบรรทัดฐานต่างกัน ก็เป็นสิ่งที่ดูว่าเร่งรัดเกินไป และเป็น 1 วันก่อนโหวตนายกฯ ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ตนยังเชื่อว่าเดินหน้าตามปกติ และตนยังสติดี กำลังใจดีแน่นอน ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ

เมื่อถามว่า กังวลกระแสข่าวล็อบบี้ ส.ว.ไม่ให้โหวตให้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนดูสภาพแล้วจากการที่มีการเคลื่อนไหวนอกสภาแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าในสภามีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะไปถึง 376 เสียง จึงได้มีการใช้องค์กรอิสระข้างนอกหรือไม่ ตรงนี้เป็นการตั้งคำถามไว้ แต่เท่าที่เขาคุยกันในสภาพรุ่งนี้มีแนวโน้มที่ดี แต่พอมีแนวโน้มที่ดีก็มีกระบวนการเคลื่อนไหวนอกสภาหรือไม่อย่างไร ซึ่งตนก็ไม่รู้ แต่เป็นสิ่งที่เขาพูดกันในสภาฯ เฉยๆ

เมื่อถามว่า เหลือเวลาอีก 1 วัน จะโหวตเลือกนายกฯ แล้วเป็นห่วงอะไรมากที่สุด นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรน่าห่วง คิดว่ากระบวนการยังเป็นไปตามปกติ และไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายแต่อย่างใด ก็สามารถบริหารจัดการได้ ในวันพรุ่งนี้ตนจะเข้าสภาตามปกติ ซึ่งในการอภิปราย 6 ชม. ตนจะตอบทุกข้อซักถามทุกข้อกังวลใจ พร้อมกับการแสดงวิสัยทัศน์ ไม่มีอะไรน่ากังวล

Bank of America ถูกปรับ 250 ล้านเหรียญ ฐานเปิดบัญชีปลอม-เก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน

Bank of America ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา ถูกสั่งให้คืนเงินลูกค้ากว่า 100 ล้านเหรียญ และค่าปรับอีก 150 ล้านเหรียญ เมื่อตรวจพบว่ามีการเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน จากการหักรางวัลโบนัสบัตรเครดิต และ เปิดบัญชีโดยที่ลูกค้าไม่รู้ หรือไม่ได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ เมื่อรวมยอดค่าเสียหายที่ทางธนาคารต้องจ่ายแล้ว นับเป็นค่าปรับที่สูงที่สุดในรอบหลายปีของ Bank of America แต่ที่หนักสุด คือ ภาพลักษณ์อันย่ำแย่ของธนาคารที่พังยับ หลังจากตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี ได้สร้างชื่อเสียงในการเป็นสถาบันการเงินที่โปร่งใส น่าเชื่อถือ ให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านการเงิน โดยไม่แสวงหากำไรจากค่าธรรมเนียมส่วนเกิน หรือ การใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเงินกับลูกค้า

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภค ได้ออกมาแถลงเมื่อวันอังคาร (11 ก.ค.66) ที่ผ่านมาว่า จากการสืบสวนพบการกระทำผิดของ Bank of America ต่อบัญชีลูกค้าหลายแสนราย ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารมาตลอดระยะเวลาหลายปี ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย  

เป็นเหตุให้ทางการสหรัฐสั่งให้ Bank of America ต้องคืนค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บซ้ำซ้อนให้แก่ลูกค้าเป็นเงินกว่า 100 ล้านเหรียญ บวกค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก 90 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าปรับอีก 60 ล้านเหรียญให้กับสำนักงานผู้ควบคุมเงินตราของสหรัฐอเมริกาต่างหากด้วย

ด้าน นายโรหิต โชปรา ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภค กล่าวว่า การคิดค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน, การเปิดบัญชีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกค้า และการระงับโบนัสตอบแทน ไม่ทำตามที่เคยแจ้งแก่ลูกค้าโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นสิ่งผิดกฎหมายและบ่อนทำลายความไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งทางสำนักงานสามารถสั่งยุติการดำเนินการของธนาคารทั้งระบบได้

โดย Bank of America ใช้ระบบที่เรียกว่า ‘Double-dipping scheme’ หรือ ‘ชาร์จค่าธรรมเนียมเบิ้ล 2 รอบกับลูกค้า’ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่มีการเบิกเงินเกินบัญชี ทางธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 35 เหรียญ และจะเก็บค่าธรรมเนียมนี้ซ้ำอีกครั้ง เมื่อลูกค้าทำธุรกรรมเดิม

ตัวอย่างที่มักพบการชาร์จค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนบ่อยครั้ง คือ การตัดค่าบริการรายเดือน เช่น ฟิตเนส ที่หลายครั้งเงินลูกค้าในบัญชีเหลือไม่พอตัด ธนาคารจะทำการปฏิเสธการชำระ พร้อมหักค่าธรรมเนียม 35 เหรียญจากลูกค้า แต่เมื่อลูกค้านำเงินมาเติมในบัญชี ก็จะถูกค่าปรับอีก 35 เหรียญเนื่องจากทำธุรกรรมซ้ำ ทำให้ธนาคารมีรายได้จากสิ่งที่ชาวอเมริกันเรียกว่า ‘ค่าธรรมเนียมขยะ’ มากมายมหาศาลในแต่ละปี 

ด้านผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองฯ กล่าวย้ำอีกว่า ระบบ ‘Double-dipping scheme’ ของธนาคารถือเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติด้านการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการโกงลูกค้า ดังนั้นจึงต้องออกมาตรการบางอย่างคว่ำบาตร Bank of America เพื่อให้ธนาคารต้องคืนเงินส่วนนี้ให้แก่ลูกค้าพร้อมค่าปรับ 

นอกจากฐานความผิดในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนแล้ว Bank of America ยังโดนข้อกล่าวหาว่ามีการระงับโบนัส สิทธิพิเศษ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต ที่ไม่เป็นไปตามที่ธนาคารเคยได้แจ้งแก่ลูกค้า ซึ่งโบนัส และ รางวัลพิเศษ เป็นส่วนหนึ่งในการจูงใจให้ลูกค้าสมัครบัตรเครดิตของธนาคารที่พบว่า มีลูกค้าหลายหมื่นรายถูกระงับโบนัสพิเศษหลังจากที่ได้ใช้บัตรเครดิตของธนาคารแล้ว และ ยังพบว่าพนักงานของธนาคารแอบเปิดบัญชี หรือสมัครบัตรเครดิตให้ลูกค้าเพื่อทำยอด โดยไม่ได้แจ้ง หรือได้รับการยินยอมจากลูกค้ามาก่อน ถือเป็นความผิดที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่ธนาคารแอบใช้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าเพื่อหาผลประโยชน์

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Bank of America ถูกลงโทษจากการปฏิบัติงานที่ผิดกฎหมาย เพราะย้อนกลับไปในปี 2014  Bank of America ต้องจ่ายเงินสูงถึง 727 ล้านเหรียญ เป็นค่าปรับให้กับสำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภคมาแล้ว ด้วยข้อหาหลอกลวงลูกค้าประมาณ 1.4 ล้านราย ให้จ่ายค่าธรรมเนียม ที่ทางธนาคารอ้างว่าสำหรับบริการตรวจสอบเครดิตและรายงานเครดิตที่ลูกค้าไม่เคยได้รับมาก่อน

และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ Bank of America ต้องพยายามประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ตนเองใหม่นานนับสิบปี เพื่อให้เป็นธนาคารที่ชาวอเมริกันไว้ใจได้อีกครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับมาทำผิดซ้ำรอยเดิมในหนนี้

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เงินทอง เป็นของสำคัญ ไว้ใจใครไม่ได้ แม้แต่ธนาคาร เราจึงควรหมั่นเช็กบัญชีอยู่เสมอๆ เผื่อว่าจะมีใครแอบมาตัดเงินในบัญชีไปดื้อๆ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์ 

‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ มีคำสั่งให้บุคคลผู้เกี่ยวข้อง ส่งหลักฐานเพิ่มรอบ 2 คดี ‘ศักดิ์สยาม’ ถือหุ้นบุรีเจริญ

(12 ก.ค.66) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ออกเอกสารข่าวเผยแพร่ผลการประชุมกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้นายศักดิ์สยาม ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยนั้น 

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้บุคคลที่เกี่ยวข้องจัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำร้องดังกล่าว ส.ส. พรรคร่วมฝ่ายค้าน จำนวน 54 คนได้ยื่นคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 ประกอบพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี 2543 มาตรา 4 (1) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่

‘จาตุรงค์ มกจ๊ก’ ฝากถึงหนุ่มโสด ลูกสาวหัวใจยังว่าง ลั่น!! “ใครมีงานการทำ มาจีบได้ อยากมีหลานแล้ว”

(12 ก.ค. 66) ทั้งน่ารัก ทั้งน่าเอ็นดู สมกับสเตตัส #พ่อลูกคนดังคู่ซี้ ที่แฟน ๆ มอบให้จริง ๆ สำหรับศิลปินตลกรุ่นใหญ่ ‘จาตุรงค์ โพธาราม’ หรือ จาตุรงค์ มกจ๊ก กับลูกสาวอารมณ์ดี ‘ใบเฟิร์น พัสกร’ 

แถมล่าสุดบนอินสตาแกรม ‘@jaturong_p’ ก็ยังได้มีการโพสต์ภาพถ่ายร่วมเฟรมพ่อลูก พร้อมทั้งเขียนแคปชันติดประกาศ ส่งตรงไปถึงบรรดาหนุ่มโสดทั่วประเทศให้เข้าใจตรงกันเกี่ยวกับสถานะหัวใจของ ‘ใบเฟิร์น พัสกร’ ณ เวลานี้ว่า ยังคงโสดสนิท 100 เปอร์เซ็นต์ และตนเองก็อยากที่จะอุ้มหลานแล้วด้วย

"ลูกสาวยังไม่มีแฟนนะ ใครมีงานการทำเป็นหลักแหล่ง มาจีบได้เลย อยากมีหลาน"

โดยหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไปได้ไม่นาน ก็มีแฟนๆ เข้ามาร่วมกดไลก์ให้กับความน่ารักของคู่พ่อลูกอย่างล้นหลาม ซึ่งก็รวมถึงพิธีกรรุ่นใหญ่ ‘ป๋อง-กพล ทองพลับ’ ที่เข้ามาเขียนคอมเมนต์น่าเอ็นดู โดยมีเนื้อหาว่า "เดี๋ยวส่งลูกชายไปจีบนะ" เล่นเอาแฟนคลับที่ได้เห็นทั้งฮาทั้งยิ้มแก้มปริกันน่าดูเลยทีเดียว

มติ กกต. 4 ต่อ 1 ดันส่งศาล รธน. ฟัน ‘พิธา’ ‘ปกรณ์’ หนึ่งเสียงค้าน หวั่นด้อมส้มมองไม่เหมาะสม

วันนี้ ( 12 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณี กกต. มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัทไอทีวี จำกัด มหาชน จำนวน 42,000 หุ้น นั้นมีรายงานว่าบรรยากาศในการพิจารณา เรื่องดังกล่าวของที่ประชุม กกต. เป็นไปอย่างเคร่งเครียด ซึ่ง กกต. ทั้ง 5 คน เห็นตรงกันว่า บริษัทไอทีวีฯ ประกอบกิจการเป็นสื่อ หากมีการถือหุ้นก็จะเข้าข่ายขัดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ทั้งมีการพูดถึงว่า หาก กกต. ไม่ส่งศาลธรรมนูญในวันนี้ ก่อนที่รัฐสภาจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี อาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขัดกฎหมายมาตรา 157 จึงมีการลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 4 ต่อ 1 เสียง

โดย 4 เสียงประกอบด้วย 
1. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.
2. นายฐิติเชฎฐ์ นุชนาฏ 
3.นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ 
และ 4. นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ 

ส่วน 1 เสียง ที่ไม่เห็นด้วยกับการส่งศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ คือ นายปกรณ์ มหรรณพ โดยนายปกรณ์ แสดงความกังวลต่อที่ประชุมว่า การที่ กกต. ส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในช่วงนี้อาจจะถูกมวลชนมองว่าการกระทำของ กกต. ไม่เหมาะสม และควรจะต้องมีสอบประเด็นอื่นเพิ่มเติม อาทิ ความเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี ว่านายพิธาเป็นเจ้าของหุ้นจริงหรือไม่ให้ชัดเจนกว่านี้ แม้ทุกคนจะเห็นตรงกันว่าไอทีวีเป็นธุรกิจสื่อก็ตาม

สำหรับ กกต. ที่ลงมติเรื่องนี้มีเพียง 5 คน เนื่องจากนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย พ้นจากตำแหน่งไปก่อน เพราะมีอายุครบ 70 ปี

‘เกาหลีเหนือ’ โชว์แสนยานุภาพ!! ยิงขีปนาวุธพิสัยไกล ลงทะเลญี่ปุ่น หลังขู่จะยิงเครื่องบินสอดแนมสหรัฐฯ ที่บินรุกล้ำน่านฟ้าประเทศ

(12 ก.ค. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า เกาหลีเหนือได้ทำการยิงขีปนาวุธที่คาดว่าจะเป็นขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ตกลงในทะเลตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ทะเลญี่ปุ่น’ เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 12 กรกฎาคมตามเวลาท้องถิ่น เพียงไม่กี่วันหลังเกาหลีเหนือขู่ว่าจะยิงเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐฯ ที่บินรุกล้ำน่านฟ้าเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา และประณามแผนของสหรัฐฯ ที่จะส่งเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ เยือนท่าเรือของเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ

กองทัพเกาหลีใต้ระบุว่า สามารถตรวจจับการปล่อยขีปนาวุธพิสัยไกลที่ยิงจากกรุงเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือเมื่อเวลาราว 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า “ขีปนาวุธทิ้งตัวถูกยิงในวิถีโค้งและบินเป็นระยะทาง 1,000 กิโลเมตรก่อนที่จะตกลงในทะเลตะวันออก”

สถานีโทรทัศน์ทีวีอาซาฮีของญี่ปุ่น รายงานโดยอ้างอิงเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น ว่า ขีปนาวุธลูกดังกล่าวได้บินเป็นระยะเวลา 74 นาทีที่ระดับความสูง 6,000 กิโลเมตร โดยถือเป็นระยะเวลาการบินที่นานที่สุดของขีปนาวุธเกาหลีเหนือ

คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้ระบุอีกว่า การยิงขีปนาวุธดังกล่าวของเกาหลีเหนือเป็นการยั่วยุอย่างร้ายแรงที่ทำลายสันติภาพและความมั่นคงของคาบสมุทรเกาหลีและเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ต่อเกาหลีเหนือ พร้อมกับเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการกระทำในลักษณะดังกล่าว

ด้านนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะของญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ที่ประเทศลิทัวเนีย ได้สั่งให้คณะทำงานของเขารวบรวมข้อมูลและเฝ้าระวังเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตามรายงานของสำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น

การปล่อยขีปนาวุธไอซีบีเอ็มในครั้งนี้มีขึ้นหลังโฆษกของกระทรวงกลาโหมของเกาหลีเหนือ ระบุว่า สหรัฐฯ ได้เพิ่มกิจกรรมการจารกรรมเหนือกว่าระดับในช่วงสงคราม โดยอ้างถึงการบินของเครื่องบินสอดแนมสหรัฐฯ ตลอดระยะเวลา 8 วันติดต่อกันในช่วงเดือนนี้ ขณะที่คิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือเผยว่าเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐฯ ได้บินรุกล้ำน่านฟ้าทางทิศตะวันออกของประเทศ 2 ครั้งในช่วงเช้าวันที่ 10 กรกฎาคม

ชาวต่างชาติเขียนบทความเรื่อง ‘กางเกงช้าง’ ยกเป็นไอเทมฮิต นทท. นิยมใส่เที่ยวในกรุงเทพฯ

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 66) เว็บไซต์เอเชียวันของสิงคโปร์ได้นำเสนอเรื่องราวของ ‘กางเกงช้าง’ โดยระบุว่า กรุงเทพฯ ขึ้นชื่อในหลายด้าน ทั้งวัฒนธรรม อาหาร วัด และแหล่งชอปปิง แต่เชื่อว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะได้จากเมืองหลวงแห่งนี้คือ ‘กางเกงช้าง’

ทางเว็บไซต์ได้อ้างอิงจากวิดีโอของ Bangkok.explore ซึ่งนำเสนอการแต่งกายของนักท่องเที่ยวที่นิยมใส่กางเกงช้างกันเป็นอย่างมาก ทั้งชาวตะวันตกและตะวันออก มองไปทางไหนก็พบได้ง่าย

โดย ‘กางเกงช้าง’ ถือเป็นสินค้ายอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เนื่องจากมักวางขายในร้านขายของที่ระลึก และร้านค้าขายกางเกงช้างนิยมตั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ‘ยอดนิยม’ และ ‘มีราคาถูก’

สำหรับความคิดเห็นของชาวต่างชาติที่มีต่อวิดีโอ ส่วนใหญ่กล่าวว่ากางเกงช้างเป็นที่นิยมเพราะเนื้อผ้าใส่สบาย ท่ามกลางอากาศร้อนระอุของประเทศไทย นอกจากนี้ กางเกงช้างยังสามารถใส่เข้าชมวัด หรือสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างพระบรมมหาราชวังได้

มีชาวต่างชาติรายหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มา 3 เดือน ได้กล่าวยืนยันว่าเนื้อหาของวิดีโอเป็นความจริง นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว เธอยังเห็นคนไทยหลายคนสวมกางเกงช้างด้วย

‘กาย-ฮารุ’ พาลูกๆ เปิดประสบการณ์ใช้ชีวิตที่ ‘ชนเผ่า Mentawai’ อยู่แบบ ‘ไม่มีน้ำ-ไฟ-สัญญาณโทรศัพท์’ ลั่น!! เหนื่อยจนเกือบถอดใจ

(12 ก.ค. 66) อีกหนึ่งครอบครัวสายลุย ชิลจัด แถมติดดินเรียบง่ายมาก ๆ สำหรับบ้าน ‘กาย รัชชานนท์’ และ ‘ฮารุ สุประกอบ’ ที่ล่าสุดพาลูก ๆ ทั้ง 3 คน น้องคิริน น้องไนร่า และน้องเอเดน เดินทางมาราธอนกว่า 11 ชั่วโมงเพื่อไปยังหมู่บ้าน 'ชนเผ่า Mentawai' ของประเทศอินโดนีเซีย

โดยก่อนหน้านี้ ฮารุ ได้โพสต์เอาไว้ว่า “จากไทย - มาเลย์ - อินโด 1 วัน 2 ไฟลท์บิน 
ปลายทางคือประเทศอินโดนีเซีย เมืองปาดัง ชนเผ่าเมนตาไว พรุ่งนี้เราจะต้อง นั่งเรือ 4 ชั่วโมง - รถ 50 นาที - เรือเล็กเข้าหมู่บ้าน 2 ชั่วโมง - เดินเท้าเข้าป่าอีก 1 ชั่วโมง น้ำไฟยังไม่มี สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ถ้าครอบครัวเราไม่ได้อัปเดต 6 วัน ไม่ต้องตกใจนะพี่ ๆ เดี๋ยวเข้าเมืองอีกทีวันที่ 11 จะกลับมาเล่าให้ฟังนะ”

ล่าสุด ‘ฮารุ’ ได้อัปเดตอีกครั้ง หลังพาครอบครัวกลับเข้าเมือง พร้อมแชร์ภาพ แชร์คลิป แชร์ประสบการณ์ชีวิตช่วงเวลาที่อยู่ ‘ชนเผ่า Mentawai’ ว่า…

“กว่าจะถึงหมู่บ้าน ‘ชนเผ่า Mentawai’ ใช้เวลา 11 ชั่วโมง 4 การเดินทาง ความลำบากเต็ม 10 ให้ 100

- เริ่มจากขึ้นเรือจากท่าเรือเกาะซิเบรุต ตอน 7 โมงเช้า ถึง 12:00 (5ชั่วโมง)
- ต่อด้วยนั่งรถ 2 แถวเล็ก ถนนโคลน (1 ชั่วโมง 30)
- พักกินข้าว แล้วนั่งเรือหางยาวเข้าไปอีก (1 ชั่วโมง 30)
- เดินเข้าป่า (2 ชั่วโมง) เดินบนลำธาร ดินโคลน เหนื่อยเกือบถอดใจ แต่กัดฟันเดินต่อจนสุดท้ายถึงบ้านพักตอน 18:00

สภาพถึงบ้านคือเลอะเทอะมาก เกือบจะไม่มีแรงหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป ความสบายที่สุดทั้งวันคือการได้อาบน้ำในลำธาร กินข้าวกับเจ้าของบ้าน และจบท้ายวันแรกหลังจากกางมุ้งคือการถือไฟฉายเดินไปเข้าห้องน้ำนอกบ้าน

การนอนแบบไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ สำหรับคืนแรก ไม่ใช่อุปสรรคเพราะเป็นการนอนหลับที่มีความสุขเหนือความสบายใด ๆ เพราะใจมันสบาย เพราะจิตนั้นเข้าใจ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top