Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานเปิดการฝึกอบรมเสริมทักษะ พ.ร.บ.ฟอกเงิน แก่ข้าราชการตำรวจ รุ่นที่ 2 เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่มีมาตรฐานเดียวกัน  

พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการเปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 ประจำปีพุทธศักราช 2566 รุ่นที่ 2 ณ ห้องประชุม โรงแรมคลาสสิก คามีโอ้ จังหวัดระยอง โดยมี นาย กมลศิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 , รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. , รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และผู้บังคับการกฎหมายและคดี ตำรวจภุธรภาค 5 ร่วมพิธี 

โดยการฝึกอบรมครั้งนี้ มีข้าราชการตำรวจผู้เข้ารับการอบรมจากตำรวจภูธรภาค 3 , 4 , 5 ,6 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการ สอท. และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวน 116 คน ทั้งนี้ โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 ประจำปีพุทธศักราช 2566 เป็นโครงการที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดขึ้นครั้งนี้เป็นรุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 27-30 มิถุนายน 2566 เพื่อให้ความรู้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 อาทิ  การดำเนินคดีฟอกเงินและชั้นตอนในกระบวนการของศาล แนวปฏิบัติที่ถูกต้องในทุกมิติ  การประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เทคนิคการสืบสวนสอบสวนเพื่อนำไปสู่คดีอาญาฐานฟอกเงิน เป็นต้น เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินให้มีประสิทธิภาพและเห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ กล่าวว่า สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ตระหนักถึงความสําคัญของการดําเนินคดีมูลฐาน การสืบทรัพย์ การวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินคดีอาญาฟอกเงิน ซึ่งนําไปสู่การดําเนินการจับกุม ขยายผล และการยึดอายัดทรัพย์ทางแพ่ง นําทรัพย์ที่ได้จากการกระทําความผิดมาช่วยบรรเทาความความเสียหายแก่ประชาชน จึงได้าเนินการจัดโครงการนี้ ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อํานาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ พร้อมเสริมสร้างทักษะในการปฏิบัติงานด้านการสืบสวนสอบสวน  รวบรวมพยานหลักฐาน และการดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน ด้วยความโปร่งใส เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน

ผบ.ตร. ออกแบบทดสอบให้ความรู้เบื้องต้นแก่ประชาชนเพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและการหลอกลวงออนไลน์ เป็นการสร้างวัคซีนไซเบอร์ หวังสร้างภูมิคุ้มกันโจรแก่ประชาชน

วันที่ 28 มิ.ย. เวลา 11.30 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.ท. ธ เทพ ไชยชาญบุตร รองโฆษก เชิญชวนให้ประชาชนทำแบบทดสอบความรู้เบื้องต้นเพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและหลอกลวงออนไลน์ ตร. เป็นการทดสอบและเพิ่มพูนระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ 

รองโฆษก ตร. เปิดเผยว่า แม้ว่าหลังจากที่ พรก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ได้ประกาศบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.66 ที่ผ่านมา สถิติคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีลดลงได้ระดับหนึ่ง  แต่ทั้งนี้ยังพบปัญหาในทางปฏิบัติ และประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก  จึงต้องเร่งบูรณาการทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมในทิศทางเดียวกัน  ทั้งวิธีการรับแจ้งจากผู้เสียหาย  การอายัด  การระงับธุรกรรม การส่งต่อข้อมูล  ตลอดจนการดำเนินคดีให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด   

พ.ต.ท. ธ เทพ กล่าวต่อไปว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ได้จัดทำแบบทดสอบ Cyber Vaccine จำนวน 80 ข้อ โดยจัดทำเป็นลิงก์ออนไลน์ให้ประชาชนสแกน QR Code ทำบททดสอบ เป็นการฉีดวัคซีนไซเบอร์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ รูปแบบกลโกงต่างๆ โดยเน้นในเรื่องแผนประทุษกรรมคนร้ายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน วิธีการรับมือ วิธีการตรวจสอบ หลักคิดเพื่อมิให้ตกเป็นเหยื่อ และความรู้กฏหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประชาชนสามารถเข้าทดสอบได้ผ่าน QR Code ที่แนบมาพร้อมนี้

รองโฆษก ตร. เพิ่มเติมว่า ผบ.ตร.  ได้เน้นย้ำให้มีการประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทราบว่า “ในกรณีที่ประชาชนได้รับความเสียหายจากคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ขอให้ติดต่อสายด่วนธนาคารที่ตนเป็นเจ้าของเพื่อระงับบัญชีโดยเร็ว โดยธนาคารจะออก Bank ID ผ่านข้อความ sms และขอให้ผู้เสียหายไปแจ้งความกับตำรวจที่ใดก็ได้โดยเร็ว  โดยไม่ต้องคำนึงถึงท้องที่เกิดเหตุภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อให้ระงับความเสียหายอย่างทันท่วงทีและดำเนินคดีต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว  ทั้งนี้ หากประชาชนประสงค์จะแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ทาง https://thaipoliceonline.com  สายด่วน 1441 หรือโทรศัพท์สอบถาม ปรึกษา ขอคำแนะนำได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081 866 3000 ตลอด 24 ชั่วโมง”

ก.แรงงาน ติวเข้มเพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่คัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ มุ่งไทยสู่เทียร์ 1

วันที่ 28 มิถุนายน 2566 เวลา 09.00 น.นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงานและโฆษกกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ รุ่นที่ 4 ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร และอบรมทางไกลผ่านระบบ Zoom Meeting โดยมี นายพงศ์ธร ศุภการ ผู้แทนสำนักงานเลขานุการศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์โครงการ

นายวรรณรัตน์ กล่าวว่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี 2566 (TIP Report 2023) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยประเทศไทยได้รับการจัดระดับให้อยู่ใน Tier 2 ติดต่อเป็นปีที่ 2 ซึ่งรายงานดังกล่าวยังคงมีข้อเสนอแนะให้มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถนำแนวปฏิบัติตามมาตรา 6/1 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปใช้ในการคัดแยกผู้เสียหายอย่างมีประสิทธิภาพ กำหนดให้ทีมสหวิชาชีพประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรมและมีประสบการณ์เพียงพอในการปฏิบัติงานด้านการค้ามนุษย์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการคัดแยกผู้เสียหาย และเสริมสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจข้อบ่งชี้ของการค้ามนุษย์ เช่น การบังคับทำงานใช้หนี้ การทำงานเกินเวลามากเกินจำเป็น การยึดเอกสารของลูกจ้างและการทำงานโดยไม่จ่ายผลตอบแทน

นายวรรณรัตน์ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานสำคัญและเป็นหน่วยงานหลักในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 20 ปี ด้านความมั่นคง โดยรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลักในการป้องกันการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ในการยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองดูแลและป้องกันไม่ให้แรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคนำมาตรฐานการปฏิบัติงาน (SOP) ในการคัดกรองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการบังคับใช้แรงงาน และการนำแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติฯ (NRM) นำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบังคับใช้แรงงานหรือบริการและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคัดแยกผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ซึ่งเป็นการยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้เทียบเท่ากับมาตรฐานขั้นต่ำในกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ค.ศ. 2000 (TVPA) ของประเทศสหรัฐอเมริกา

“กระทรวงแรงงาน พร้อมผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าร่วมการอบรมจากหน่วยงานทีมสหวิชาชีพจากส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กรมการปกครอง และเจ้าหน้าที่สำนักงานแรงงานจังหวัด สำนักงานจัดหางานจังหวัด และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด 

ทั้ง 19 จังหวัด ในการขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์ ขจัดการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์
ในประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของสหรัฐฯ และได้รับการจัดอันดับในรายงานการค้ามนุษย์ให้อยู่ในระดับ Tier 1 ต่อไป”นายวรรณรัตน์ กล่าวท้ายสุด

สสส. ร่วมกับ มูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตดี สู่เยาวชนอีสาน

สสส. ร่วมกับ มูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี จังหวัดขอนแก่น จัดค่ายกิจกรรม Young สุข Young ไม่เสี่ยง เพื่อสุขภาวะเยาวชนอีสาน ในพื้นที่ จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันปัจจัยเสี่ยง โดยมีเยาวชนจาก 24 โรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อมุ่งหวังให้เยาวชนมีความเข้าใจต่อเหตุปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโทษกับร่างกาย เช่น ปัญหาการติดบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า ติดเหล้า ปัญหาการพนัน ปัญหายาเสพติด ปัญหาท้องก่อนวัยอันควร เป็นต้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชน รวมถึงนำความรู้ที่ได้จากการเข้าค่ายครั้งนี้ไปเผยแพร่ในสังคมในการขยายการป้องกันเหตุปัจจัยเสี่ยงต่างๆ

รศ.แล ดิลกวิทยรัตน์ กรรมการบริหารแผนคณะที่ 1 (สสส.) เปิดเผยว่า จากการจัดค่ายก่อนหน้านี้ ทำให้เรารู้ว่าเยาวชนสามารถนำความรู้จากการเข้าค่ายไปใช้ประโยชน์ได้จริง ซึ่งการจัดค่ายนี้ ได้พัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนรู้ ให้กับเยาวชนในกลุ่มเสี่ยง ในพื้นที่ 4 จังหวัด (ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ พัฒนาเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เพื่อสานพลังพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดมาตรการและการดำเนินงานเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกลุ่มเยาวชน รวมทั้งการสื่อสารสาธารณะอย่างเท่าทันสถานการณ์

"การขับเคลื่อนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ การพนัน ในเยาวชนจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้บริหาร คณะครู บุคลากรเจ้าหน้าที่ ผู้ปกครองและนักเรียน เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับเยาวชนในกลุ่มเสี่ยง โดยให้เยาวชนเข้ามามีบทบาทสำคัญร่วมออกแบบและดำเนินงานสานพลังเยาวชนอีสานให้ห่างไกลปัจจัยเสี่ยง พัฒนาหลักสูตร พัฒนาเครือข่ายและพัฒนารูปแบบการสื่อสาร ร่วมกันวิเคราะห์สื่อที่เยาวชนเข้าถึง หาทางให้เยาวชนรู้ทันสื่อ และเปลี่ยนเป็นผู้สร้างสื่อที่มีพลังเหมาะสมกับเยาวชน รวมทั้งทบทวนบทเรียนความสำเร็จที่เป็นหลักสูตรการพัฒนาเยาวชน ก่อเกิดเยาวชนแกนนำและเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง พร้อมทั้งใช้จุดแข็งของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสานเป็นทุนทางสังคมในการขับเคลื่อน เพื่อร่วมสานพลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กระจายไปสู่เยาวชนในพื้นที่อย่างทั่วถึงด้วย" รศ.แล กล่าว
ผู้รับผิดชอบโครงการ Young สุข Young ไม่เสี่ยง นายประพจน์ ภู่ทองคำ ระบุว่า ในพื้นที่ทั้ง 4 จังหวัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลัก คือปัญหาทางครอบครัว โดยเฉพาะปัญหาหย่าร้าง ทำให้เด็กขาดความอบอุ่น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากอิทธิพลของเพื่อน ที่ทำให้เด็กอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าหรือความเสี่ยงต่างๆ

"จากการพูดคุยกับคุณครูถึงเป้าหมายสำคัญในการดำเนินโครงการ เห็นพร้องกันว่า เด็กและเยาวชนจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาสังคมที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุยกันก็อาจจะมีกิจกรรมที่ต่อเนื่อง จากการดำเนินการของโรงเรียน และจากการที่ สสส. จะไปติดตามสนับสนุนและให้กำลังใจกับโรงเรียนที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ก็จะนำไปสู่การประสานนโยบายและแนวทางปฏิบัติ เพื่อที่จะส่งผลไปยังตัวนักเรียน ให้ได้ประโยชน์จากการทำกิจกรรม young สุข young ไม่เสี่ยง" นายประพจน์ กล่าว
Young สุข Young ไม่เสี่ยง เพื่อสุขภาวะเยาวชนอีสาน เป็นหนึ่งในโครงการเสริมสร้างสุขภาวะทางใจ ที่ช่วยเสริมสร้างให้เยาวชนมีศักยภาพในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำต่อสู่กับปัจจัยเสี่ยง โดย สสส. เชื่อว่าเยาวชนเป็นพลังสำคัญของประเทศ หากเยาวชนได้รับประสบการณ์ที่ดีแล้ว จะสามารถเสริมสร้างศักยภาพที่ดีต่อไปในอนาคต

ภาพ/ข่าว  สมัย  คำแก้ว  

‘รติวรรธน์ หงส์พนัส’ เยาวชนคนเก่งจาก สาธิต มศว ปทุมวัน รับรางวัลจากเวทีนานาชาติ ด้วยผลงาน ‘Meso Go Around’

เมื่อวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรแสดงความยินดีแก่นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่ได้รับรางวัลจากเวทีนานาชาติ ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก กรุงเทพฯ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธี

ในการนี้มีนักเรียนของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน (สาธิต มศว ปทุมวัน) ได้เข้ารับประกาศนียบัตรจากการเข้าร่วมประกวดและจัดแสดงผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมของนักวิจัยและนักประดิษฐ์ไทยในงาน “The 48th International Exhibition of Inventions Geneva” ระหว่างวันที่ 26 – 30 เมษายน พ.ศ. 2566 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ด้วยผลงาน "บอร์ดเกมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ Meso Go Around เจาะเวลา ค้นหาอารยธรรมเมโสโปเตเมีย" ซึ่งเป็น 1 ใน 23 ผลงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมการประกวด และได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากการเข้าร่วมการประกวดในครั้งนี้ คือ นายรติวรรธน์ หงส์พนัส นักเรียนจากชั้น ม.5/151 

THE STATES TIMES ขอแสดงความยินดีกับเยาวชนคนเก่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย

‘บีโอไอ’ เดินสายชวนนักลงทุน ‘เยอรมัน-ฝรั่งเศส’ ให้เข้ามาตั้งฐาน ผลิตรถอีวี

นายวิรัตน์ ธัชศฤงคารสกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงความสำเร็จจากการเดินสายเพื่อชักจูงการลงทุน ณ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 18 – 23 มิถุนายน 2566 

ว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ (อีวี) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมการแพทย์และบริการด้านสุขภาพ โดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และ SMEs แสดงความสนใจเลือกบริษัทผู้ผลิต (Sourcing) ในไทยผลิตสินค้าป้อนลูกค้าเอเชีย 

“การเดินสายชักจูงการลงทุนในครั้งนี้ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนจากเยอรมันและฝรั่งเศส ที่สนใจในการขยายฐานการผลิต รวมไปถึงการหาบริษัทผู้รับจ้างผลิตเพื่อป้อนตลาดลูกค้าที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นเสมือนเซฟโซนของนักลงทุนต่างชาติ มีโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร รวมถึงมีอุตสาหกรรมสนับสนุนที่แข็งแกร่ง” นายวิรัตน์ กล่าวย้ำ 

สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ถือเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ที่ได้พัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือมายาวนาน โดยเกือบครึ่งปีแรกปี 2566 (3 มกราคม – 21 มิถุนายน) พบว่ามีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากเยอรมนี 12 โครงการ มูลค่ากว่า 5,900 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ สำหรับฝรั่งเศส มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 โครงการ มูลค่ากว่า 2,900 ล้านบาท
 

แม่ค้ายิ้ม!! เมนู ‘ตำมะม่วง’ ขายดีจนทำแทบไม่ทัน หลังคนแห่สั่งซื้อเพียบ ตามรอย ‘ลิซ่า BLACKPINK’

วันที่ (29 มิ.ย. 66) ถือเป็นอีกหนึ่งพลัง Soft Power ของเมืองไทย จากกรณีที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ศิลปินชื่อดัง ได้โพสต์ภาพตำมะม่วงพร้อมข้อความระบุว่า “ตำมะม่วงส่งตรงจากไทยแลนด์” จนได้กลายเป็นกระแสอีกครั้ง จากที่ครั้งก่อนๆ ไม่ว่าลิซ่าจะโพสต์เมนูไหน เมนูนั้นก็ขายดีในชั่วข้ามคืน อย่างเช่น ที่ร้านโกเปี๊ยกคาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรองท์ ซอยเทศบาลตำบลนาโยงเหนือ 16 (หลัง สภ.นาโยง) อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ขณะนี้เมนูส้มตำถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี หลังจากมีภาพและข่าว ‘ลิซ่า BLACKPINK’ รับประทานตำมะม่วง ทำให้ทางร้านต้องเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงเมนูส้มตำเพิ่มจากปกติ เช่น มะม่วงเบา มะละกอ ปลาร้า มะเขือเทศ เป็นต้น เพื่อรองรับการสั่งของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น

น.ส.สุนิสา อินจุ้ย อายุ 35 ปี เจ้าของร้าน บอกว่า หลังจากที่ลิซ่าได้โพสต์เมนูตำมะม่วง ทำให้ต้องเตรียมวัตถุดิบไว้รับตามกระแสทันที เพราะตอนนี้ลิซ่า รีวิวอะไรก็สะเทือนทันที และปังทุกอย่าง จนตอนนี้มีลูกค้าสั่งตำมะม่วงมากขึ้น ซึ่งปกติที่ร้านมีพวกเมนูส้มตำ และอาหารอีสานอยู่แล้ว โดยเฉพาะซิกเนเจอร์ของทางร้านคือ ตำมะม่วงเบา ด้วยการเก็บมะม่วงสดๆ จากต้นที่ปลูกไว้หลังร้านมาตำแบบสไตล์บ้านๆ แล้วใส่กะปิลงไปด้วยนิดหน่อย ซึ่งถือว่าเป็นสูตรดั้งเดิม แต่หากหมดฤดูมะม่วงเบาไปแล้ว จะใช้มะม่วงน้ำดอกไม้ หรือมะม่วงแก้วขมิ้นมาตำแทน โดยเมนูตำมะม่วงจะขายในราคาจานละ 60 บาท ดังนั้น ตนจึงอยากขอบคุณลิซ่า ที่ช่วยชูอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น นับตั้งแต่ข้าวเหนียวมะม่วง ลูกชิ้นทอด หมูกระทะ มาถึงตำมะม่วง จนทำให้อาหารไทยขายดีขึ้น

ส่วนบรรยากาศตามร้านขายส้มตำที่ จ.สงขลา หลังจากที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ หรือ ‘ลลิษา มโนบาล’ ไอดอลสาวชาวไทยแห่งวง BLACKPINK โพสต์ IG Story เป็นภาพ ‘ตำมะม่วง’ พร้อมข้อความ “ตำมะม่วง ส่งตรงจากไทยแลนด์” ปรากฏว่าฮิตติดกระแส เพราะลูกค้าพากันสั่งตำมะม่วงแบบลิซ่า เช่น ที่ร้านเจ๊รุ่งตำแซ่บเวอร์สงขลา ตั้งอยู่หัวมุมถนนศรีสุดาตัดถนนปละท่า ในเมืองสงขลา ซึ่งเป็นร้านของ น.ส.รุ่งรัศมี เชาวลิต หรือ ‘เจ๊รุ่ง’ อายุ 40 ปี เจ้าของร้าน ซึ่งบรรยากาศในร้านคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น หลังจากที่ลิซ่าโพสต์ IG Story สั่งตำมะม่วงจากเมืองไทยไปกิน

เจ๊รุ่ง บอกว่า ก่อนหน้านี้ลูกค้าที่มากินในร้านจะสั่งเมนูปกติทั่วๆ ไป เช่น ตำไทย ตำปูปลาร้า แต่มาวันนี้เปลี่ยนเป็นสั่งตำมะม่วงแบบลิซ่าแทน เพราะอยากลอง และจะต้องเอาสูตรตำมะม่วงแบบลิซ่าเท่านั้น ไม่เอาสูตรของร้าน นั่นคือ ‘ตำมะม่วงสูตรแบบลิซ่า’ จะไม่ใส่ถั่วฝักยาว แต่ใส่มะเขือเทศหรือแครอทแทน รวมทั้งใส่น้ำปลาร้าด้วย และมีทั้งสั่งกินที่ร้าน และใส่ถุงกลับไปกินที่บ้าน 

ทำให้ทางร้านต้องเตรียมมะม่วงไว้รองรับมากขึ้นจากปกติ เพราะกระแสตำมะม่วงลิซ่ากำลังมาแรง ทำให้เมนูนี้มียอดขายเพิ่มขึ้น มาแล้วต้องได้กิน ขาดไม่ได้ สำหรับตำมะม่วงสูตรลิซ่า ทางร้านยังคงขายราคาปกติคือจานละ 40 บาท ตอนนี้เวลาลูกค้าสั่งตำมะม่วง จะต้องถามว่าเอาแบบธรรมดา หรือว่าตำมะม่วงแบบลิซ่า ซึ่งส่วนใหญ่จะบอกว่าเอาแบบลิซ่า

กทม.ปลดล็อก โรงเรียนในสังกัด ให้อิสระทรงผม-ไม่ต้องใส่เครื่องแบบ 1 วัน/สัปดาห์

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2566 กรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกหนังสือถึงโรงเรียนในสังกัดจำนวน 437 แห่ง เพื่ออนุญาตให้โรงเรียนกำหนดการใส่ ชุดนักเรียน และ ไว้ทรงผม ได้อย่างอิสระ โดยไม่กระทบสิทธิมนุษยชน และริดรอนสิทธิของนักเรียน

กทม. จึงได้มีการออกหนังสือถึงสำนักงานเขต จำนวน 2 ฉบับ ว่าด้วยการอนุโลมให้นักเรียน สามารถไว้ทรงผมได้อย่างอิสระ และแต่งกายมาเรียนด้วยชุดอะไรก็ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ลงนามเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2566 โดย นางวันทรีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร รักษาราชการแทนปลัดกรุงเทพฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้

แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียน
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 และ พ.ศ 2566 ประกาศ ณ วันที่ 16 ม.ค. พ.ศ. 2566 เพื่อเป็นการเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน จึงให้โรงเรียนจัดทำข้อกำหนดฯ ให้นักเรียนไว้ทรงผมได้อย่างอิสระบนพื้นฐานสุขอนามัยที่ดี สะอาด ส่งเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจ จากนั้นให้นำไปประชาสัมพนธ์ให้ทราบเป็นการทั่วไปก่อนนำไปประกาศใช้ โดยในกรณีมีนักเรียนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ ให้โรงเรียนรับฟังความคิดเห็นจากนักเรียน ผู้ปกครอง เพื่อทำความเช้าใจและตกลงร่วมกัน แต่ห้ามไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจของนักเรียน เช่น การตัดผม ทำให้อับอาย ฯ

แนวทางการแต่งกายของนักเรียน
นอกจากนี้ กทม.ยังได้ออกหนังสือแนวทางการแต่งกายของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยระบุว่า กทม.จัดทำข้อกำหนดใหม่ให้แก่โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยอนุญาตให้นักเรียนสามารถแต่งกายชุดใดก็ได้ที่ไม่เป็นการบังคับจำนวน 1 วันต่อสัปดาห์ หากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ก็สามารถใส่ชุดนักเรียนได้ตามความประสงค์ของนักเรียน โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจ ยึดหลักคำนึงถึงอัตลักษณ์ ความหลากหลาย ความเชื่อทางศาสนาและเพศวิถีตามที่ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551 ข้อ 15 กำหนดว่า สถานศึกษาใดจะกำหนดให้นักเรียนแต่งเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี นักศึกษาวิชาทหาร หรือแต่งชุดพื้นเมือง ชุดไทย ชุดลำลอง ชุดฝึกงาน ชุดกีฬา ชุดนาฏศิลป์ หรือชุดอื่นๆ แทนเครื่องแบบนักเรียนตามระเบียบนี้ในวันใด ให้เป็นไปตามที่สถานศึกษากำหนด โดยคำนึงความประหยัดและเหมาะสม เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง

จึงให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครจัดทำข้อกำหนดให้นักเรียนแต่งกายด้วยชุดใดก็ได้ที่ไม่เป็นการบังคับอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ โดยให้นักเรียนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนด จากนั้นให้นำไปประชาสัมพันธ์ให้ทราบเป็นการทั่วไปก่อนไปประกาศใช้โดยในกรณีที่มีนักเรียนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ ให้เป็นไปตามความประสงค์ของนักเรียนผู้นั้นที่จะสวมชุดนักเรียน ชุดพละ หรือชุดอื่นใดที่โรงเรียนกำหนดให้มีไว้อยู่แล้ว แต่ห้ามไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งให้คำนึงถึงอัตลักษณ์ความหลากหลาย ความเชื่อทางศาสนา และเพศวิถีของนักเรียน

นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 6/2566

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันพุธที่ 28 มิ.ย.66 เวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 6/2566  ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.), ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรรมการ ก.ตร.วินัย, กรรมการ ก.ตร.ร้องทุกข์ และกรรมการ ก.ตร.บริหารทรัพยากรบุคคลเข้าร่วมประชุมฯ 

สำหรับการประชุมฯ ครั้งนี้ มีระเบียบวาระการประชุม ประกอบด้วยเรื่องการรายงาน
การดำเนินการของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจด้านวินัย, คณะกรรมการข้าราชการตำรวจด้านอุทรณ์ และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจด้านกฎหมาย รวมถึงเรื่องการเลื่อนเงินเดือนประจำปี 2565 ครั้งที่ 2 

ครึ่งปีหลัง (1 ต.ค.65) ในโควตาสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด แก่ข้าราชการตำรวจผู้รับเงินเดือนระดับ ส.6 ขึ้นไป และการเลื่อนเงินเดือนประจำปี 2566 ครั้งที่ 1 ครึ่งปีแรก (1 เม.ย.66) แก่ข้าราชการตำรวจผู้รับเงินเดือนในระดับ ส.6 

ทั้งนี้ กรรมการข้าราชการตำรวจด้านวินัย อุทธรณ์ ร้องทุกข์ และบริหารทรัพยากรบุคคล
ได้รายงานข้อมูลการกระทำผิดวินัยร้ายแรงของข้าราชการตำรวจประจำเดือน มิ.ย.66 มีข้าราชการตำรวจถูกลงโทษ จำนวน 14 นาย เป็นการไล่ออกจากราชการ จำนวน 13 นาย และปลดออกจากราชการ จำนวน 1 นาย โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย.66 มีข้าราชการตำรวจถูกลงโทษทั้งสิ้น จำนวน 97 นาย ซึ่งเป็นการไล่ออกจากราชการ จำนวน 79 นาย และปลดออกจากราชการ จำนวน 18 นาย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบโอกาส “สร้างชีวิต” อย่างยั่งยืน .. ลงพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน พร้อมมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน ในโครงการ “จักรยานเพื่อน้องสัญจร” พร้อมจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี

เมื่อวันที่  ( 27 มิถุนายน 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต  ชินวงศ์วรกุล  รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายสุรพงษ์  เตชะหรูวิจิตร  กรรมการและรองเลขาธิการ นางสาวดวงชุตา  ติยะพจนพรกุล  ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ  ร่วมในพิธีมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ (จังหวัดที่ 4 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จำนวน 27 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 617,020 บาท (หกแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันยี่สิบบาทถ้วน) โดยมี นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ  นายโดมทอง ดิเรกศิลป์ พัฒนาการจังหวัดชัยภูมิ เป็นประธานร่วมในพิธี  ณ  บริเวณหอประชุมจังหวัดชัยภูมิ ตำบลในเมือง  อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ

พร้อมกันนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้มอบรถจักรยานให้แก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน ในโครงการ “จักรยานเพื่อน้องสัญจร” จำนวน 4 โรงเรียน รวม 40 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ และรถจักรยานในจังหวัดชัยภูมิเป็นเงินทั้งสิ้น  681,915.50 บาท (หกแสนแปดหมื่นหนึ่งพันเก้าร้อยสิบห้าบาทห้าสิบสตางค์) รวมทั้ง ได้จัดทีมหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย ตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา บริการตัดผม และ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น  โดยมีประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว

โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์  ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม โดยมูลนิธิฯ จะทยอยลงพื้นที่ในแต่ละจังหวัดเพื่อดำเนินการเป็นลำดับต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ 
เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung  
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top