Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

ผช.รมว.แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ตรวจเยี่ยมสถานทดสอบฝีมือแรงงาน เคทีซี สาขาช่างเชื่อมเอ็กซเรย์ (ฟลัคคอร์) พบบริษัทฯ ประเทศเกาหลีใต้ต้องการช่างเชื่อมจำนวนมากในงานอู่ต่อเรือ

(16 ก.พ. 66) เวลา 10.00 น. นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมสถานทดสอบฝีมือแรงงาน เคทีซี ตำบลลาดสวาย อำเภอลำลูกกำ จังหวัดปทุมธานี โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงาน มีนโยบายให้การส่งเสริม และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่แรงงานที่มีความประสงค์จะเดินทางไปหางานและทำงานในต่างประเทศให้ตรงต่อความต้องการของตลาดแรงงาน และนำรายได้กลับเข้าสู่ประเทศ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 14 ปทุมธานี ได้ออกใบอนุญาตสถานทดสอบฝีมือแรงงาน เคทีซี ดำเนินการทดสอบฝีมือคนหางาน ในสาขาและตำแหน่งตามประกาศกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ตามมาตรา 47 ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 

ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2537 มีเขตดำเนินการภายในจังหวัดปทุมธานี โดยได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการทดสอบฝีมือคนหางาน จำนวน 4 สาขา ดังนี้ 

1. สาขาช่างเชื่อมและโลหะแผ่น 8 ตำแหน่ง ได้แก่ ช่างเชื่อมไฟฟ้า ช่างเชื่อมประกอบโครงสร้าง ช่างประกอบท่อ ช่างเชื่อมเอ็กซเรย์ ช่างเชื่อมก๊าซ ช่างตัดโลหะ ช่างทำท่อส่งลมและโลหะแผ่นบาง และช่างหุ้มฉนวน 2. สาขาช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3 ตำแหน่ง ได้แก่ ช่างไฟฟ้าอาคาร ช่างไฟฟ้าโรงงานหรือช่างไฟฟ้าอุตสาหกรรม และช่างทำความเย็นและปรับอากาศ 3. สาขาช่างยนต์ 4 ตำแหน่ง ได้แก่ ช่างเครื่องยนต์เบนซิน ช่างสีรถยนต์ พนักงานขับรถยนต์ และพนักงานควบคุมเครื่องจักรกลหนัก 4. สาขาช่างก่อสร้าง 9 ตำแหน่ง ได้แก่ ช่างเหล็กเสริมคอนกรีต ช่างไม่แบบ ช่างประปา (สุขภัณฑ์/เดินท่อ/ประกอบท่อ) ช่างปูกระเบื้อง ช่างฉาบปูน ช่างก่ออิฐ ช่างสีอาคาร ช่างประกอบนั่งร้าน (ตำมแบบนายจ้างกำหนด) และพนักงานให้สัญญาณเครน (ตำมแบบนายจ้างกำหนด)

เจ้าของ 'เต่าบิน' เตรียมปูพรมตู้ชาร์จ 'กิ้งก่าอีวี' เบื้องต้นรุกตลาด 'คอนโด-สำนักงาน' 5,000 จุด

(16 ก.พ. 66) บมจ.ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส (FSMART) เปิดตัวตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 'GINKA Charge Point' อย่างเป็นทางการ ตั้งเป้าหมายขยายปีนี้ 5,000 จุดผ่านการร่วมลงทุนกับเจ้าของพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และอพาร์ทเม้นท์ ช่วงแรกจะเน้นคอนโดมิเนียมที่มีตู้เต่าบินติดตั้งอยู่ราว 5,000 จุด ก้าวต่อไปกระจายไปในหัวเมืองหลักในต่างจังหวัด คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์และติดตั้งได้ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.66

นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ FSMART กล่าววว่า การติดตั้ง GINKA Charge Point จะเป็นการร่วมลงทุนกับเจ้าของพื้นที่ โดยจะมีโมเดลเดียวกับตู้เต่าบิน ซึ่งบริษัทจะลงทุนให้ตู้ชาร์จ ระบบบริการ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันในช่วงไตรมาส 2/66 ขณะที่ค่าบริการขึ้นอยู่กับการตกลงกับเจ้าของพื้นที่ แต่จะไม่ให้เกิน 6.5 บาท/หน่วย ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในตลาดที่ 7.5 บาท/หน่วย

บริษัทคาดว่า รายได้จากการใช้บริการ GINKA Charge Point จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยตั้งเป้ารายได้ภายใน 3 ปีข้างหน้าไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท/เดือน และมีเป้าหมายที่จะเห็น 'GINKA Charge Point' เพิ่มขึ้นแตะ 50,000 ถึง 100,000 จุดในอนาคต

นักลงทุนต่างชาติ แห่ตั้งฐานการผลิตใน ‘ไทย’ ด้าน J.P.Morgan ชี้!! ‘ไทย’ น่าลงทุนที่สุดในอาเซียน

ดูเหมือนว่าภูมิภาคเอเชียจะเป็นที่จับจ้องสนใจของนักลงทุนต่างชาติอย่างมาก นักลงทุนหลายๆ เจ้าอยากจะย้ายฐานการผลิตมาตั้งในภูมิภาคนี้ เนื่องจากมีปัจจัยต่างๆ ที่ดึงดูดนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงที่ถูกว่ายุโรป-สหรัฐฯ จำนวนแรงงานที่มีมากกว่า และที่สำคัญ ไม่มีเรื่องสงครามการค้าในปวดหัวด้วย

และประเทศที่เนื้อหอมเป็นที่ถูกตาต้องใจนักลงทุน ก็คือ ‘ประเทศไทย’ บ้านเรานั่นเอง โดยล่าสุดทาง J.P.Morgan ธนาคารระดับโลก ได้ออกมาบอกว่า ‘ประเทศไทย’ เป็นประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดในอาเซียนด้วย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ช่องยูทูบ ‘Kim Property Live’ โดยคุณคิม ชัชวาลย์ วัฒนะโชติ ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจ ว่า…

การวิจัยของทาง McKinsey ได้ออกมาบอกว่า Asia’s Future is now หรือว่า ‘อนาคตของเอเชียอยู่ตรงนี้แล้ว’ โดยประเมินว่าในปี 2040 เอเชียจะกินสัดส่วน GDP ของโลกอยู่ที่ราว ๆ 50% เลยทีเดียว และจะเป็นคนขับเคลื่อนการบริโภคของโลกมากถึง 40% ทั้งนี้เอเชียจะเป็นศูนย์กลางของโลกแห่งใหม่ในอนาคต และถ้าหากมองไปถึงด้านองค์กร/บริษัทของเอเชียจะพบว่าสร้างรายได้กว่า 19 ล้านล้านเหรียญฯ ให้กับเศรษฐกิจของโลกในทุก ๆ ปี

บริษัทเล็กใหญ่ของเอเชีย เช่น Alibaba หรือ Toyota ก็มีพวกเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ต่างจากประเทศโซนยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา และในเอเชียก็มีการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงออกมาใช้แล้วด้วย

ระดับการพัฒนาเทคโนโลยีของเอเชียก็เป็นหนึ่งในระดับที่สูง อย่างเช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มีส่วนแบ่งรวมกันถึง 30% ในการส่งออกอุตสาหกรรมความรู้ และเทคโนโลยีเร่งรัดทั่วโลก หรือเรียกว่า KTI (เช่น ยานยนต์ คอมพิวเตอร์)

ส่วนอุตสาหกรรม EV จะยังคงเติบโตอย่างมหาศาล แบรนด์ในฝั่งเอเชียค่อนข้างแกร่งเลยทีเดียว อย่างเช่น BYD ที่สร้างยอดขายอันดับหนึ่งของโลก รวมถึงแบรนด์จากจีนอีกหลายแบรนด์เลย ส่วนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ จีนก็เป็นผู้นําด้วยเช่นกัน โดยอันดับหนึ่ง คือ CATL. อันดับสองเป็น BYD อันดับสาม LG ของเกาหลีใต้

อีกทั้งอุตสาหกรรมไมโครชิพ ทางจีนก็สร้างได้ค่อนข้างเยอะ รวมถึงทาง TSMC ทางไต้หวัน และก็ยังมีทางญี่ปุ่น หมายความว่าทางเอเชียบ้านเรา เริ่มครอบครองอุตสาหกรรมที่เป็นดิฟเทค แล้วก็เชิงลึกความรู้ข้อมูลในอนาคตอยู่เยอะพอสมควรเลย

‘กรณ์’ ควง ‘เทมส์ - อรทัย’ พบปะประชาชน จ.ภูเก็ต เสนอนโยบาย ดันภูเก็ตสู่ ‘เมืองท่องเที่ยวระดับโลก’

(16 ก.พ.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนางสาวอรทัย เกิดทรัพย์ และ นายเทมส์ ไกรทัศน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จ.ภูเก็ต เดินพบปะพี่น้องประชาชนในทั้ง 2 เขต เพื่อนำเสนอนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าในการพัฒนา จ.ภูเก็ต ให้เป็น World class destination ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก 

โดยนายกรณ์ กล่าวว่า ถึงวันนี้ตนมั่นใจในตัวผู้สมัครทั้งสองคน ว่าเป็นคนที่มีคุณภาพและเป็นความหวังของชาวบ้าน ที่เข้ามาแก้ปัญหาให้กับ จ.ภูเก็ต ดูจากผลโพลของท้องถิ่นเอง เราก็มาเป็นที่ 1 แม้ว่าจะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ และพรรคใหม่ก็ตาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแนวนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าเน้นเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง โดยเฉพาะใน 2-3 ปี ที่ผ่านมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 คนภูเก็ตเดือดร้อนหนักหนาสาหัสมาก

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ในช่วงโควิด ตนลงมาภูเก็ตบ่อยมาก สัมผัสได้ถึงความทุกข์ยาก เพราะภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว รายได้ส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นในสภาพแวดล้อมที่การท่องเที่ยวถูกปิดล็อกเป็นศูนย์ แน่นอนที่สุดคนที่เดือดร้อนคือ คนภูเก็ต ดังนั้นเราถึงมองว่านโยบายที่จะมาช่วยแก้ปัญหาพี่น้องประชาชนในเรื่องของการทำมาหากินเรื่องปัญหาหนี้สิน ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เวลานี้การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ในแง่ของความสนใจของนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวภูเก็ตยังไงมีอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรจะให้คุณภาพชีวิตของคนภูเก็ตเองดีขึ้น และได้ประโยชน์จากรายได้ที่ชาวภูเก็ตช่วยกันสร้างให้กับประเทศ 

นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณ ไม่ได้สะท้อนความสำคัญของภูเก็ตในฐานะแหล่งรายได้สำคัญของประเทศและไม่ได้สะท้อนความต้องการของคนภูเก็ต ๆ ที่มีประชากรจริงอยู่ 5 แสน แต่ประชากรแฝง ทั้งแรงงานจากนอกเขตพื้นที่ หรือ นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ที่มาใช้ทรัพยากรอยู่ที่ จ.ภูเก็ต เป็นหลักสิบล้านคน เพราะฉะนั้น การจัดสรรงบประมาณก็ต้องสะท้อนความเป็นจริงด้วย ที่ผ่านมาผมมองว่า นักการเมืองจากภูเก็ตไม่เคยต่อสู้เรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราเน้นเรื่องมุมทางเศรษฐกิจในการนำเสนอนโยบายให้กับชาวภูเก็ต” นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวต่อว่า การบริหารจัดการตัวงบประมาณ คนที่รู้มากที่สุดว่าคนในพื้นที่ต้องการอะไร และมีความเดือดร้อนเรื่องอะไร คือ ท้องถิ่น โดยส่วนตัวตนเดินทางไปมาทั่วประเทศ พบว่ามาตรฐานคุณภาพของผู้บริหารท้องถิ่นสูงขึ้นเรื่อย ๆ และโดยเฉพาะมาตรฐานของผู้บริหารท้องถิ่นของภูเก็ต ถือว่าสูงมาก ในช่วงโควิดเราจะเห็นว่า แนวความคิดในการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนชาวภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าถึงวัคซีน ข้อเสนอเรื่องของแซนด์บ็อกซ์ มันเป็นแนวความคิดของคนภูเก็ตเสนอขึ้นไปให้ส่วนกลางได้พิจารณาทั้งสิ้น สุดท้ายเรื่องดี ๆ ที่มีให้กับภูเก็ต ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นจากการผลักดันของคนภูเก็ตเอง แต่หลายเรื่องกลับใช้เวลานานมาก และไม่ได้ตอบสนองเต็มรูปแบบอย่างที่ควรจะเป็น มันยิ่งทำให้มีภาพที่ชัดเจนว่า หนึ่งในพื้นที่ที่มีความพร้อมที่จะบริหารตนเอง บริหารงบประมาณของตนเอง ก็คือ ภูเก็ต เรื่องนี้ ไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพมหานคร มันถึงเวลาของภูเก็ตเช่นเดียวกัน

'จีน' หัวใส นำ ‘กากไขมัน’ จากเหลาหม้อไฟ ส่งให้ยุโรปไปผลิตน้ำมันเติมเครื่องบิน

บริษัทจีนหัวใส นำไขมันเหลือทิ้งจากหม้อไฟกว่า 1.2 หมื่นตันในแต่ละเดือน ส่งออกเป็นพลังงานเครื่องบินได้

หม่าล่าหม้อไฟเสฉวน ได้รับความนิยมอย่างมากในจีน นอกจากรสชาติจะเข้มข้น เผ็ดร้อน ยังอุดมไปด้วยไขมันจากพืช และ สัตว์ ที่ช่วยให้รสชาติกลมกล่อม และนุ่มนวลขึ้น เป็นที่ถูกใจชาวจีนอย่างยิ่ง จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นร้านหม้อไฟอยู่ทุกหน ทุกแห่ง ในประเทศจีน 

และในแต่ละปี ก็จะมีไขมันเหลือทิ้งจากภัตตาคารหม้อไฟเป็นจำนวนมาก เฉพาะในนครเฉิงตูก็มีไขมันเหลือทิ้งมากถึง 12,000 ตันในแต่ละเดือน จึงเริ่มมีความคิดที่ว่า เราสามารถนำไขมันเหล่านี้ไปทำอะไรได้บ้าง?

จนในปี 2016 มีบริษัท Start-up ในเฉิงตู ได้ตระเวนเก็บเศษไขมันจากร้านอาหารเอาไปขายต่อให้กับโรงกลั่นในสิงคโปร์ และ ยุโรป เพื่อนำไปรีไซเคิลใหม่เป็นน้ำมันที่ใช้กับเครื่องบิน เป็นไปได้หรือนี่!

จากกระแสตื่นตัวเรื่องปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่กดดันอุตสาหกรรมการบินที่มีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนในชั้นบรรยากาศอยู่ราวๆ 2% ให้พยายามหาแหล่งพลังงานสะอาด ก่อให้เกิดมลภาวะน้อยลง ด้วยเหตุนี้ สายการบินชั้นนำของโลก อาทิ British Airways, Cathay Pacific และ Delta ออกมาประกาศว่าใช้แหล่งพลังงานสะอาดทดแทนให้ได้ 10% ของน้ำมันเชื้อเพลิงจากฟอสซิลภายในปี 2030 

น้ำมันเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมร้านอาหารจึงตอบโจทย์ในด้านพลังงานยั่งยืน จากการรีไซเคิลน้ำมันที่มีอยู่เดิม ลดปริมาณการถางป่าเพื่อเพาะปลูกพืชน้ำมันใหม่ อีกทั้งภัตตาคาร ร้านอาหารจีน ก็ใช้น้ำมันในการปรุงอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะ หม้อไฟที่มีส่วนประกอบของไขมันจำนนมาก จึงทำให้จีนกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเหลือใช้รายใหญ่ที่สุดในโลก

รู้จัก 'มาม่า' เมนูเปี่ยมโภชนาการประจำวันที่ 1 และ 16 และสโลแกนที่ไม่เคยเปลี่ยนตลอด 50 กว่าปี

พุทธศักราช 2515 ผู้บริหารบริษัทในเครือ 'สหพัฒนพิบูล' มองเห็นโอกาสสร้างแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทย โดยตกลงร่วมทุนกับ 'ยูนิ - เพรสซิเดนท์' จากไต้หวัน ตั้ง 'ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์' ขึ้นเพื่อผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมา โดยใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ตั้งต้นนั้นว่า 'มาม่า'

โดยชื่อ ‘มาม่า’ มีต้นกำเนิดจากคำว่า ‘แม่’ ด้วยเพียงสองเหตุผล คือ เป็นคำแรกที่เด็กเริ่มพูด (ในแทบทุกชาติ ทุกภาษา) และ 'แม่' คือคนทำอาหารอร่อย ๆ ให้เรากิน

ส่วนที่เรียกว่า 'บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป' ก็เพราะผู้บริโภคต้อง 'ปรุง' อีกนิดก็กินได้

แม้ 'มาม่า' จะมีแป้งและไขมันเป็นส่วนประกอบหลัก และหากรับประทานติดต่อกันป็นเวลานาน อาจขาดสารอาหารหลักได้ หรือเมื่อบริโภคติดต่อกันในปริมาณที่มากก็เสี่ยงต่อไตจะเป็นอันตราย เนื่องจากมีสารโซเดียมค่อนข้างสูง ยิ่งในผู้แพ้ผงชูรสยิ่งต้องระมัดระวัง จึงมักมีคำแนะนำให้ใส่ไข่ ผัก หรือเนื้อสัตว์เพิ่มลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสารอาหาร และป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากจนเกินไป

แต่สำหรับสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน 'มาม่า' จึงมักเป็นชื่อที่ผู้คนโหยหากัน ด้วยราคาอันเป็นมิตรที่น่าคบหาได้ในยามยาก แถมเพียบพร้อมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซองขนาด 60 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 300 กว่าแคลอรี เพียงพอสำหรับหนึ่งมื้อ เพราะพลังงานที่คนต้องการคือ 2000 - 2500 แคลอรีต่อวัน โดยได้รับสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และไอโอดีน

ชื่อ 'มาม่า' นั้น ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการสื่อสารกับลูกค้าอย่างสูง จนกลายมาเป็นชื่อเรียกแทนประเภทสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือ Generic Name ที่เราเรียก ‘มาม่า’ แทนบะหมี่กึ่งทุกยี่ห้อ และคำถามที่ต้องเจอต่อก็คือ “เอามาม่ายี่ห้อไหน?”

ความสำเร็จรับมือโควิด-19 และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

เกียรติยศและรางวัลแห่งความสำเร็จ : เกิดจากความร่วมมือของคนไทยทั้งประเทศ ที่รัฐบาลนี้ นำมาสู่ประชาชนชาวไทย คือ ‘การสร้างโอกาสในวิกฤต’ 

โดย ‘ปีแรก’ ของการระบาด ประเทศไทยถือว่าเป็นอันดับ 2 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย ที่สามารถฟื้นตัวจากโควิดได้ดี เป็นอันดับ 6 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย ที่มีการบริหารจัดการเกี่ยวกับโรคระบาดและด้านสุขภาพได้ดีที่สุด อีกทั้งไทยเป็นอันดับ 5 ของโลก ที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เลือกประเทศไทยเป็น 1 ใน 4 ประเทศจากทั่วโลก และเป็นประเทศเดียวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการดำเนินโครงการกลไกทบทวนการเตรียมความพร้อม กรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health and Preparedness Review : UHPR) และถอดบทเรียนความสำเร็จการรับมือวิกฤตโควิด

นอกจากนี้...ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งสำนักงานเลขาธิการของ ‘ศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่’ (ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases : ACPHEED) ที่ส่งเสริมโอกาสให้ประเทศไทยเป็น ‘ศูนย์กลางทางการแพทย์และสาธารณสุข’ (Medical Hub) แห่งหนึ่งในโลก และไปไกลได้กว่านั้น คือ เป็นตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้ในอนาคต

การนำพาบ้านเมืองฝ่าวิกฤตต่าง ๆ ดึงพลังความสามัคคีของคนในชาติ จนสามารถเอาชนะ ‘สงครามโควิด’ ได้อย่างงดงาม จนนานาชาติต่างชื่นชม แน่นอนว่าการท่องเที่ยวในปี 64 หลัง ‘เปิดประเทศ’ อย่างเป็นระบบ นักท่องเที่ยวต่างชาติไหลกลับเข้าประเทศตามเป้า 10 ล้านคน ตั้งแต่ยังไม่ครบปี 

ในขณะที่หลายประเทศยังซบเซา เศรษฐกิจโลกยังถดถอย แต่ก็มั่นใจว่าปีหน้า 2566 จะมีชาวต่างชาติมาเยือนไทย ไม่น้อยกว่า 23.5 ล้านคน มองเห็นสร้างรายได้จากกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมชาวจีนที่ยังคงปิดประเทศ

'โรม' แฉ!! 'ขบวนการไทยเทา' อยู่เบื้องหลังทุนจีนสีเทา เตรียมส่งเรื่องยื่น ป.ป.ช. เตือน 'บิ๊กตู่' อย่าลอยตัวเหนือปัญหา

(16 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 152 เมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) ว่า เป็นการอภิปรายที่เดือดมาก และมีข้อมูลหลายอย่าง ประชาชนหลายคน และพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้เห็นความจริงมากขึ้น พวกเขาเข้ามาชื่นชมในเรื่องของการอภิปราย ซึ่งนายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ชื่นชมตนในเฟซบุ๊ก สิ่งที่ตนอภิปรายทุกคนเห็นและช่วยกันยืนยันว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา ตนขอเรียกว่า 'ไทยเทา' กำลังเป็นปัญหาของประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มเมียนมาและทุนจีนสีเทา ซึ่งพยายามเข้ามาในประเทศ และยังมีกลุ่มทุนจีนบางกลุ่มมาในรัฐสภา มาเยี่ยมกรรมาธิการคาสิโน และอาจเกี่ยวข้องกับการค้าอวัยวะเถื่อน

“ในบันทึกชวเลขที่ได้มาจากสภาฯ มีความพยายามเซ็นเซอร์ชื่อของผู้เข้าร่วมประชุม แต่พรรคเข้าก้าวไกลมี ส.ส. ในกรรมาธิการชุดนี้ จึงได้ข้อมูล ตนเห็นทุนสีเทาที่นำโดยไทยเทาพาเข้ามาเกี่ยวกับรัฐสภา เกี่ยวกับอำนาจที่ประชาชนเลือกเข้ามา ความเกี่ยวพันชัดเจนว่าเราไม่สามารถกำจัดได้ เพราะมีผู้มีอำนาจ แม้ตำรวจนครบาลทำหน้าที่ได้ดี สุดท้ายโดนย้าย” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้ ไม่ใช่การเปิดโปงและอยากจะสดุดีพลเมืองดีอย่าง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ที่พยายามปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน หากเราไม่มีนายชูวิทย์ หรือตำรวจน้ำดี ที่พยายามนำข้อมูลต่าง ๆ มาให้ เราไม่สามารถอธิบายได้ และการเปิดโปงครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้น ตนจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ จะนำข้อมูลทั้งหมดไปยื่นต่อ ป.ป.ช. และสำนักงานอัยการสูงสุด

ทีมกู้ภัย กลุ่ม ปตท. เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ‘ตุรกี-ซีเรีย’ ต่อเนื่อง

นับเป็นวันที่ 6 ท่ามกลางสภาพอากาศหนาว และพื้นที่ภัยพิบัติที่มีความเสียหายอย่างรุนแรง ยากต่อการปฏิบัติภารกิจกู้ภัย  

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทีมปฏิบัติการจากชมรม PTT Group SEALs กลุ่ม ปตท. ได้แก่ บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนทอล เซอร์วิส จำกัด (NPC S&E) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการช่วยเหลือเหตุภัยพิบัติ ยังคงลงพื้นที่ช่วยเหลือเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศตุรกีอย่างต่อเนื่อง พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ครบชุด ได้แก่ เครื่องตรวจวัดก๊าซ เครื่องตรวจวัดความร้อน เครื่องวัดการเคลื่อนไหวต่าง ๆ สำหรับการค้นหา เพื่อช่วยเหลือเรื่องการตรวจสอบพื้นที่และสารเคมีในจุดเกิดเหตุ ก่อนดำเนินการค้นหาช่วยเหลือกู้ภัย ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ในนามรัฐบาลไทย ภายใต้บันทึกข้อตกลงโครงการ Urban Search and Rescue (USAR)

เครื่องบิน 'กองทัพอากาศ' เดินทางถึงตุรเคียแล้ว ส่งมอบสิ่งของพระราชทาน พร้อมรับคนไทยกลับประเทศ

เครื่องบิน AIRBUS 340-500 เที่ยวบินที่ RTAF 230 ของกองทัพอากาศ เดินทางถึงสนามบินอังการา สาธารณรัฐตุรเคียแล้ว เมื่อเช้าวันนี้ ในภารกิจส่งมอบสิ่งของพระราชทาน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหว พร้อมรับคนไทยกลับสู่มาตุภูมิ

(16 ก.พ. 66) นาวาอากาศเอกอนุรักษ์ รมณารักษ์ รองผู้อำนวยการสำนักยุทธการและการฝึก กรมยุทธการทหารอากาศ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและอพยพคนไทย จากเหตุแผ่นดินไหว ณ สาธารณรัฐตุรเคีย (ส่วนของกองทัพอากาศ) และคณะ เดินทางถึงสนามบินอังการา สาธารณรัฐตุรเคียแล้ว ด้วยเครื่องบิน AIRBUS 340-500 ของกองทัพอากาศ เที่ยวบินที่ RTAF 230 เมื่อเช้าวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 05.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 09.20 น. ตามเวลาประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top