Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

นักลงทุนต่างชาติพร้อมย้ายฐานกลับมาลงทุนไทย หลังปัจจัยบวกเอื้อสูง แซงหน้าประเทศเพื่อนบ้าน

นายเอียน แพสโค ประธานกรรมการบริหาร แกรนท์ ธอนตัน ประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงธุรกิจในฐานะบริษัทที่ปรึกษาและให้บริการอย่างมืออาชีพระดับแนวหน้าของประเทศไทย ได้เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในประเทศไทยครึ่งหลังปี 2565 โดยเป็นการสำรวจธุรกิจขนาดกลางทั่วโลก พบว่า...

ธุรกิจไทยเป็นผู้นำของโลกด้านสถานภาพทางธุรกิจ และเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่สภาพธุรกิจของประเทศไทย มีปัจจัยบวกแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นคู่แข่งในกลุ่มที่เป็นฐานการลงทุน เช่น เวียดนาม, สิงคโปร์ ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจที่เคยไปลงทุนในประเทศเหล่านั้น ย้ายกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

'ก้าวไกล' เล่นใหญ่!! 'กาก้าวไกล' ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ด้าน 'พิธา' กร้าว!! ขอเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

(28 ม.ค. 66) ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคก้าวไกล ได้มีการเปิดแคมเปญ 'กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม' โดยมีตัวแทนพรรคก้าวไกลแสดงวิสัยทัศน์ 4 คน คือ พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์สื่อสารนโยบายพรรคก้าวไกล, รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรค, ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพ เขตบางขุนเทียน และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค

เวทีเริ่มต้นที่พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์สื่อสารนโยบายพรรคก้าวไกล ขึ้นพูดเปิดในการแสดงวิสัยทัศน์และเปิดสโลแกนการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล 'กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม' โดยพริษฐ์กล่าวว่า ถ้าเราดูข่าวที่รวบรวมปัญหาประเทศย้อนหลังไป 20 30 40 50 ปีที่แล้ว จะพบว่าปัญหาที่กำลังเผชิญกันอยู่ในปัจจุบัน เป็นปัญหาเดิมๆ ที่เราเผชิญมาหลายสิบปี แต่ถ้าเราต้องการประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม พรรคก้าวไกลเท่านั้นคือคำตอบ

“ผมเชื่อว่าเมื่อเราบอกว่าก้าวไกลต้องการสร้างประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม สำหรับคนบางกลุ่มฟังดูผิวเผินเหมือนเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ผมอยากชวนทุกคนคิดในมุมกลับ ว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือประเทศไทยแบบเดิมๆ ต่างหาก ที่ต้องคอยถาม ผบ.ทบ. ว่าจะมีการรัฐประหารไหม กระบวนการยุติธรรมและกฎหมายแบบเดิม ที่เปิดช่องให้จับคนไปขังคุกได้เป็นสิบๆ ปี เพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง เศรษฐกิจแบบเดิม ที่ 10% ของคนครอบครอง 50% ของทรัพย์สิน และ 60% ของที่ดิน และสวัสดิการ-การศึกษาแบบเดิม ที่เด็กต้องมาขอรับบริจาคหรือแข่งกันร้องเพลงเพื่อได้เรียนต่อ หากไม่อยากวนอยู่กับปัญหาเดิมๆ เหล่านี้ ก็ต้องเลือกคนที่จะเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลง กาพรรคก้าวไกล เพื่อประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม เป็นประเทศที่การเมืองดี ปากท้องดี และ มีอนาคต”

ต่อมา รังสิมันต์ โรม ปราศรัยเปิดกลุ่มนโยบาย “การเมืองดี” โดยระบุว่าประเทศไทยที่การเมืองแบบเดิม ไม่เคยมีอะไรเป็นของประชาชน อำนาจไม่ใช่ของประชาชน ระบบราชการไม่ใช่ของระชาชน และชาติไม่ใช่ประชาชน แต่การเมืองดี ที่ก้าวไกลจะทำให้เกิดขึ้น คือการเมืองที่ทำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน พร้อมชูนโบายครบเซ็ต ยกเลิกเกณฑ์ทหาร-ปฏิรูปกองทัพ-ตำรวจ-ราชการ-ดันเพดานเสรีภาพ แก้ ม.112-116-พ.ร.บ.คอมฯ โดยรังสิมันต์ย้ำว่า ถ้าไม่แก้ปัญหาการเมืองก่อน ก็แก้ปัญหาปากท้องให้แก่ประชาชนไม่ได้

“ห่างไปจากที่นี่ไม่เกิน 200 เมตร มีคนสองคนกำลังอดอาหารเพื่อเรียกร้องความปกติของสังคม ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อทุกคน แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือประเทศนี้มอบความปกติให้กับพวกเขาไม่ได้ และเอาพวกเขาไปขังเพียงเพราะการแสดงความคิดเห็น พูด ตั้งคำถาม ประเทศนี้จะเดินหน้าต่อได้อย่างไรถ้ากระบวนการยุติธรรมยังเป็นเช่นนี้ ถ้าผู้พิพากษาไม่มีหัวใจเป็นของประชาชน และถ้ายังกฎหมายที่ปิดปากอยู่แบบนี้” รังสิมันต์กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับนโยบายปากท้องดี ณัฐชาเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลหลายเรื่อง ซึ่งนโยบายเด่น เช่น ปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำเป็น 450 บาททันที และให้มีการขึ้นค่าแรงตามเงินเฟ้อทุกปี ต่อด้วยนโยบายอุดหนุนงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้ประชาชนในทุกเขตเมืองในประเทศไทยมีรถเมล์ไฟฟ้า นอกจากนี้ณัฐชายังย้ำถึงนโยบายรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าที่จัดสรรให้ประชาชนโดยไม่ต้องมีการลงทะเบียนแย่งชิงกันอีกต่อไป เด็กเล็กได้ 1,200 บาท ผู้สูงวัยได้ 3,000 บาทต่อเดือน และยังมีนโยบายเร่งออกโฉนด 10 ล้านไร่ ยึดที่สปก.จากนายทุนและเปลี่ยนเป็น สปก. ให้เกษตรกร

“พอกันทีกับนโยบายปากท้องแบบเดิมๆ คือบีบให้จนแล้วแจก กดให้โง่แล้วปกครอง ปล่อยให้ป่วยแล้วรักษา ใช้ภาษีที่รีดมาสร้างบุญคุณ เราต้องการนโยบายปากท้องแบบใหม่ และด้วยนโยบายปากท้องของพรรคก้าวไกล ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” ณัฐชากล่าว

ปิดท้ายที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงวิสัยทัศน์คนสุดท้ายในการประชุมใหญ่สามัญพรรคก้าวไกล ในหัวข้อ “มีอนาคต” โดยพิธากล่าวว่าประเทศไทยไม่ได้ต้องการผู้บริหารที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าซ้ำซากไปวันๆ แต่ต้องเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นโอกาสของอนาคต เปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นงาน อุตสาหกรรมใหม่ๆ หรือ “สร้างงาน ซ่อมประเทศ” เช่นการทำน้ำประปาดื่มได้ ที่ต้องใช้สมาร์ทมิเตอร์ 20 ล้านตัว ให้ 20 ล้านครัวเรือน เราสามารถสร้างระบบประปาที่มีคุณภาพ ซ่อมปัญหาเก่าแก่เรื้อรังของไทย พร้อมสร้างงานคุณภาพ ก่อเกิดอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องตั้งแต่การผลิตเคสมิเตอร์ที่ทำจากพลาสติก ไปจนถึงการ์ดจอ แบตเตอรี่ลิเธียม แผงวงจร และชิป หรือการจัดทำระบบดูแลผู้สูงวัย ที่ต้องจ้างงานผู้ดูแลผู้ป่วยอีกกว่า 300,000 ตำแหน่ง 

อย่างไรก็ตาม การจะสร้างงาน ซ่อมประเทศ การทำให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ต้องปิดสวิตช์ 3 ป. เอามรดกของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมออกไป เพื่อเปิดไฟแห่งความหวังให้ประเทศ สร้างรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ พร้อมตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน 

พิธายังประกาศความพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลที่ล้างมรดกคณะรัฐประหารและระบบอำนาจนิยม ปิดสวิตช์ 3 ป. เปิดแสงสว่างให้ประเทศไทย

“ถ้าประเทศไทยยังอยู่ภายใต้ 3ป. การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต จะกลายเป็น การเมืองเดิม ปากท้องเดิม อนาคตเดิม ประเทศไทยจะไปไกลกว่านี้ได้อย่างไร ถ้าการบริหารประเทศยังอยู่ในมือคนไม่กี่คน อำนาจยังคงรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพ ทรัพยากรยังกระจุกอยู่ที่คนกลุ่มเดียว นี่คืออดีตที่เราต้องแก้ไขให้ได้ เพื่อที่จะไปสู่อนาคต ดังนั้น เป้าของสังคมไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ ปิดสวิตช์ 3 ป. เพื่อเอาการเมืองกลับสู่สภาวะปกติของระบอบประชาธิปไตยให้เร็วที่สุด ผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเพื่อปิดสวิตช์ 3 ป. เปิดแสงสว่างให้ประเทศ ผมขอเขิญประชาชนทุกคน พรรคการเมืองทุกพรรค มาร่วมกันกับผม สร้างประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” พิธากล่าว

ภาคเอกชนหนองคาย ฝากความหวัง ‘เพื่อไทย’ ผลักดันรถไฟความเร็วสูง - สนามบิน ดันเป็นฮับโลจิสติกส์ เพิ่มรายได้ประชาชน-การส่งออก

(28 ม.ค.66) พรรคเพื่อไทย นำโดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย รวมทั้ง ผู้บริหาร, ส.ส.หนองคาย และสมาชิกพรรค ลงพื้นที่ด่านศุลกากรจังหวัดหนองคาย เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการค้าชายแดน และรถไฟความเร็วสูง พร้อมทั้งร่วมหารือ แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นด้านศักยภาพการค้าและความเป็นไปได้ในการส่งเสริมให้จังหวัดหนองคายเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งสินค้าของจังหวัดหนองคายร่วมกับผู้ประกอบการ และนักธุรกิจภายในจังหวัดที่ทำการค้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวหลายสิบปี 

โดยตัวแทนผู้ประกอบการมองว่า จังหวัดหนองคายมีความสำคัญเรื่องของการค้าชายแดน เพราะมีลาวเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ปัจจุบันรถไฟความเร็วสูงของลาวนั้น อยากให้ผู้ที่จะมาเป็นรัฐบาลเร่งดำเนินการเชื่อมเส้นทางให้มาถึงหนองคาย หากมีรถไฟจะเพิ่มผู้คนที่มาท่องเที่ยว และสามารถเพิ่มระยะเวลาความเร็วของการขนส่งสินค้าได้ ส่วนในด้านการส่งออกและการนำเข้า ผู้ประกอบการขอให้แก้ไขปัญหาเรื่องภาษีนำเข้าสินค้าหน้าด่านศุลกากร และเรื่องค่าธรรมเนียม ที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งพบว่าประกอบการบางส่วนหลีกเลี่ยงไม่เข้าช่องทางด่านศุลกากร หวังลดต้นทุนค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งอยากให้ผลักดันให้มีสนามบินหนองคาย เพื่อเพิ่มทางเลือกการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

จากนั้นนายแพทย์ชลน่าน และนางสาวแพทองธาร พร้อมคณะ ได้พบปะ หารือ กับเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรจังหวัดหนองคาย เพื่อศึกษาการค้าชายแดนด้วย

'บิ๊กต่อ' ลงพื้นที่บ้านภูมิซรอล ผนึกกำลังผู้ว่าศรีสะเกษ เดินหน้าสร้างชุมชนยั่งยืน

พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ลงพื้นที่พบปะชาวบ้านหมู่บ้านภูมิซรอล ตรวจเยี่ยมและรับฟังการดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด 

(28 ม.ค.66) พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นาย สำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจตรี ลาภ ศรีสำอางค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ได้เดินทางลงพื้นที่ไปยัง ศาลาประชาคมหมู่บ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและรับฟังการดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ 

การลงพื้นที่ดังกล่าวสืบเนื่องจาก การดำเนินการโครงการชุมชนยั่งยืน ของตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษณ์ ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และสามารถเป็นแบบอย่างให้กับพื้นที่อื่นในการดำเนินการได้ โดยมีจุดเด่นของการดำเนินการอยู่ที่ มีการบูรณาการการทำงานของทุกภาคส่วนในพื้นที่ ทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครอง ทหาร สาธารณสุข โรงเรียน และชุมชน ในการลงพื้นที่เพื่อสแกนหาผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในตำบล รวมกว่า 13 หมู่บ้าน 3,000 กว่าครัวเรือน เพื่อนำตัวผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาและส่งต่อความยั่งยืน

พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ฯ กล่าวว่า การดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืนของ ตำบลเสาธงชัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หมู่บ้านภูมิซรอล ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยสามารถที่จะค้นหาและนำตัวผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาจนหมด ทำให้ปัจจุบันไม่มีการรับแจ้งเหตุผู้ป่วยคลุ้มคลั่งที่มีอาการผิดปกติทางจิตอันเนื่องมาจากการใช้ยาเสพติด ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุร้ายหรือความหวาดกลัวภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนได้ อีกทั้งยังส่งผลต่อการป้องกันอาชญากรรมภายในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ เป็นนโยบายของ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ทุกสถานีตำรวจ ดำเนินการ โดยจะเป็นการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community Based Treatment : CBTx) บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนในชุมชน ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข และตัวชุมชนเอง เพื่อสร้างกลไกการบำบัดฟื้นฟูใกล้บ้านหรือภายในชุมชนอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนจากการบำบัดที่ต้องตัดขาดจากครอบครัวและโลกภายนอก เป็นการเข้าบำบัดที่ศูนย์ในชุมชนแทน รวมถึงมีการจัดหาการเรียนการสอนทักษะอาชีพ เพื่อให้ผู้ที่ผ่านการบำบัดสามารถกลับมาประกอบอาชีพได้ เป็นการส่งต่อความยั่งยืนให้กับชุมชน 

“การดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืน เป็นการแก้ไขปัญยาเสพติดจากฐานรากของชุมชน ซึ่งจะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืน จึงขอฝากไปยังพี่น้องประชาชน ตลอดจนแกนนำหมู่บ้าน ชุมชน หากพบว่าในพื้นที่ชุมชนของท่าน มีผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ขอให้ท่านแจ้งข้อมูลมายังสถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถลงไปร่วมกับชุมชน ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืนต่อไป และเป็นการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับชุมชนอีกส่วนหนึ่งด้วย” พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ฯ กล่าว

ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ครบรอบปีที่ 65 และงานเกียรติยศจักรดาว ประจำปี 2566

พลเรือโท ประวุฒิ รอดมณี ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ครบรอบปีที่ 65 และงานเกียรติยศจักรดาว ประจำปี 2566 

โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ ทั้งนี้ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ ได้ร่วมในพิธีแสดงมุทิตาจิตแด่อดีตผู้บังคับบัญชา และครูอาจารย์ ณ โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก

โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ถือเป็นสถาบันที่สร้างและหล่อหลอมนักเรียนเตรียมทหาร ให้มีความพร้อมทั้งจิตวิญญาณ ทัศนคติที่ดีของความเป็นทหาร ตำรวจ พร้อมเป็นกำลังที่สำคัญของกองทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการรักษาความมั่นคง และพัฒนาประเทศ ให้มีความมั่นคง พร้อมร่วมแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว ประจำปี 2566  ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย

สำหรับ ‘รางวัลเกียรติยศจักรดาว’ ถือเป็นการเชิดชูและยกย่องศิษย์เก่านักเรียนเตรียมทหาร ที่มีความรู้ ความสามารถ และได้อุทิศกำลังกาย กำลังความคิด ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมให้เป็นที่ประจักษ์ แก่สาธารณชน และสร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้แก่สถาบัน

‘บิ๊กป้อม’ ลงพื้นที่ ‘ตลาด อ.ต.ก.’ พบปะ ปชช. พ่อค้า-แม่ค้า แห่ถ่ายรูป เชียร์นั่งนายกฯ คนที่ 30

(29 ม.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ใช้เวลาวันหยุดลงพื้นที่ โดยไปเดินตลาด อ.ต.ก. เมื่อเวลา 08.00 น. จับจ่ายซื้ออาหารและผลไม้ ซื้อแกงเขียวหวานเนื้อ ปลาดุกกรอบ หน่อไม้ดอง ผัดพริกขิง แกงเทโพ ต้มข่าไก่ เมนูโปรด และแวะร้านประจำ ซื้อกะปิโหว่ มะม่วง ตะลิงปลิง ระหว่างทางได้ทักทายพ่อค้าแม่ค้า และประชาชน อย่างอารมณ์ดี สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และถ่ายรูปร่วมกับประชาชน พ่อค้า แม่ค้า และเด็ก ๆ มาขอถ่ายรูป อย่างเป็นกันเอง

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม คนว่างงานลดลง 9.5 หมื่นราย สะท้อน!! ศก.กำลังฟื้น ส่งผลการจ้างงานเพิ่มขึ้น 

(29 ม.ค.66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญกับการติดตามการมีงานทำของประชาชน เพื่อให้มั่นใจว่าสถานการณ์ได้กลับเข้าใกล้ภาวะปกติหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือน พ.ย. 65 สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ได้รายงานให้เห็นภาวะมีงานทำและการว่างที่ดีขึ้นต่อเนื่องต่อเนื่อง

“นายกรัฐมนตรีพอใจกับสถานการณ์การมีงานทำของประชาชนในภาพรวม ที่ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนพ.ย. 65 พบว่าประชาชนมีงานทำ 39.82 ล้านคน การว่างงานที่ร้อยละ 1.2 ถือว่าใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 2562 ที่ร้อยละ 0.9 และมั่นใจว่าเศรษฐกิจที่กำลังดีขึ้นโดยเฉพาะจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะส่งผลบวกต่อการมีงานทำของไทยมากขึ้นอีก โดยนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยงานเกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการผลักดันการยกระดับขีดความสามารถของคนไทยเพื่อนำไปสู่การได้ค่าจ้างและรายได้ที่สูงขึ้นตามความสามารถ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

'ไตรรงค์' ลั่น!! 'บิ๊กตู่' นี่โง่จริงๆ เป็นนายกฯ มา 8 ปี ไม่กินสักบาท ยกคำ 'ตู่-จตุพร' นักการเมืองที่โกงประชาชน เลวกว่าหมา

เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.66) บรรยากาศเวทีปราศรัยใหญ่พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นเวทีแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงเป็นครั้งแรก ภายใต้ม็อตโต้ ลุงตู่เปิดประตูสู่ภาคใต้ 

นายเอกนัฎ พร้อมพันธ์ุ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้แนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร ทั้ง 3 เขต ประกอบด้วย นายวิชัย สุดสวาทดิ์ เขต 1 นายสันต์ แซ่ตั้ง เขต 2 และ นายสุพล จุลใส หรือลูกช้าง เขต 3  และว่าที่ผู้สมัครส.ส.ภาคใต้ รวมถึงแกนนำพรรค เช่น นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ในฐานะผู้ก่อตั้งพรรค บอกกับชาวชุมพรว่า ในพื้นที่ภาคอีสาน ชาวอีสานให้การต้อนรับ ลุงตู่ และกระแสดี อยากให้ลุงตู่อยู่ต่อ พร้อมเย้ยพรรคเพื่อไทย ที่เปิดเวทีปราศรัยเมื่อวานนี้ที่ จ.เลยว่ามีคนมาแค่หลักพันเท่านั้น 

นอกจากนี้นายเอกนัฎ กล่าวด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะชนะยกจังหวัดชุมพรเพียงจังหวัดเดียวไม่ได้ เพราะ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ก็ชนะยกจังหวัด จึงหวังว่าในภาคใต้ จะได้ไม่น้อยกว่า 30 ที่นั่ง

ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แนะนำว่าตนเองเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มาทำงานกับลุงตู่ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่นำพาประเทศหลุดพ้นวิกฤตมาได้ พร้อมยกตัวอย่างนโนยบายที่สำเร็จแล้ว คือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แม้มีนักการเมืองจังหวัดตนเองที่มีแกนนำพรรคไม่ติดคุกหรือหนีไปต่างประเทศนำมาโจมตี แต่บอกว่าได้เต็มปากว่านโยบายนี้เป็นความคิดของพล.อ.ประยุทธ์

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวย้ำด้วยว่า บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน ทุกสิ้นเดือนชาวบ้านจะรอคอยและเรียกว่าบัตรลุงตู่ พร้อมพูดถึงการทำงานของลุงตู่ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ เช่นการแก้ปัญหาโควิด เพราะลุงตู่ตัดสินใจเด็ดขาด ทำให้เราผ่านพ้นสถานการณ์โควิดมาจนถึงทุกวันนี้

นายสุชาติ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ ออก พรบ.นิรโทษกรรม โดยบอกว่า ตนอยู่ในเหตุการณ์สุดซอยในคืนนั้น เพราะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ไม่ได้เห็นด้วย และในคืนนั้น ได้ยิน เจ๊คนหนึ่งที่อยู่ภาคเหนือ กล่าวว่า "อ้ายๆ ตีสามเอาให้จบเลยนะ" จึงเป็นเหตุผลให้ตนมาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และ เราจะสนับสนุน ลุงตู่ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ต่อไป เพราะลุงตู่เป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาประเทศ พร้อมชม นายชุมพล จุลใส หรือ ส.ส.ลูกหมี และ นายสุพล จุลใส หรือส.ส.ลูกช้าง ว่าจัดเวทีได้ยิ่งใหญ่ ถ้าตนจะจัดเวทีชลบุรี ไม่รู้ว่าจะทำได้ยิ่งใหญ่เท่านี้หรือไม่

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นกล่าวปราศรัยท่ามกลางเสียงเชียร์ของประชาชน โดยยอมรับว่า กลายเป็นประเพณีที่ตนเองไปขึ้นเวทีปราศรัยในภาคใต้ จะมีคนแก่นำหมากมาให้กิน สร้างเสียงหัวเรา วันนี้ตั้งใจมาขอบคุณประชาชน เคยมาหาเสียงให้ นายชุมพล หรือ ส.ส.ลูกหมี ไปต่อสู้ขับไล่รัฐบาลทักษิณ ที่โกงไปนับหมื่นล้าน และยังออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยให้ตัวเอง เพราะอยากกลับประเทศ แต่คดีมีการตัดสินไปแล้ว 12 ปี ยังมีอีกหลายคดี ยังไม่รวมคดีฆ่าคนไป 2,500 คน ในสมัยปราบปรามยาเสพติด มีแต่ประเทศไทยที่ทำได้ในสมัยนั้น จึงขอขอบคุณประชาชนได้วางมาตรฐานให้คนในชาติ ในการเลือกตั้งว่าคนที่ต่อสู้แบบ ส.ส.ลูกหมี ที่ต่อสู้เพื่อชาติ เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นคนดี  

ตนมาพูดครั้งนี้ ออกจากพรรคนั้นแล้ว แต่จำชื่อไม่ได้ แต่พรรคนี้มีอุดมการณ์มั่นคง รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเลือกคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ถูกริดสีดวงตนเอง หรือ ถูกใจ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ นี่โง่จริง ๆ เป็นนายกรัฐมนตรีมา 8 ปี ไม่กินสักบาท พร้อมดูนาฬิกาว่ามีเวลาพูดไม่มาก แต่นาฬิกานี้ภรรยาซื้อให้ ไม่ได้ยืมใครมา 

'หมอเอก' เตือน 'หมอสุภัทร' อย่าตีโพยตีพายปมโยกย้าย แนะ!! ให้ความร่วมมือแจงเรื่องจัดซื้อ ATK ที่ค้างคาดีกว่า

เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.66) นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุถึงการย้าย นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล (รพ.) จะนะ ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ รพ.สะบ้าย้อย ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่เห็นต้องออกมาตีโพยตีพาย ‘เล่นใหญ่’ เพราะมีข้อกล่าวหา หลายเรื่องมีพรรคการเมืองมาออกแถลงการณ์เรื่องย้าย ผอ.โรงพยาบาล ยิ่งน่าสงสัยไปกันใหญ่ว่าใครกันที่โยงการเมือง

"ไม่เห็นว่าการที่ ผอ. โรงพยาบาลซักคนจะย้ายแปลกตรงไหน การที่ย้ายแล้วตีโพยตีพายเล่นใหญ่นี่น่าสงสัยมากกว่า เวลากรรมาธิการสาธารณสุขเชิญมาให้ข้อมูล เชิญมาชี้แจง เห็นบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาโดยตลอด แต่ชอบเหลือเกินเวลาโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ชอบเวลาออกข่าวโจมตีกระทรวงสาธารณสุข"

นพ.เอกภพ กล่าวว่า เรื่องที่ค้างสอบสวนอยู่เพราะไม่เคยได้รับความร่วมมือในการชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเช่น การจัดซื้อ ATK ด้วยวิธีพิเศษ แล้วนำมาใช้ตรวจให้คนที่กรุงเทพ, การเบิกจ่าย ค่ารักษาผู้ป่วย home isolation ด้วยการตั้งเบิกที่มีข้อสงสัยหลายประเด็น, เรื่องที่วิจารณ์การโยกย้ายผู้บริหารในกระทรวงสาธารณสุข ที่น่าสงสัยว่าพวกพ้องตัวเองไม่ได้ประโยชน์เลยตีโพยตีพาย

"ไหนๆ ก็ชอบโพสต์ชอบพูดเรื่องการเมืองอยู่แล้วก็มาลงสมัครรับเลือกตั้งไปเลยก็ได้" นพ.เอกภพ กล่าว

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ‘พปชร.’ VS ‘รทสช.’ ปชช. มอง ‘ป้อม-ตู่’ ไม่แตกกัน พร้อมจับมือตั้งรัฐบาล

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ การแข่งขันระหว่าง ‘พี่ป้อม’ พลังประชารัฐ ปะทะ ‘น้องตู่’ รวมไทยสร้างชาติ พบส่วนใหญ่เชื่อ ‘บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม’ ไม่ได้แตกกัน มอง ทั้ง 2 พรรคได้ ส.ส. เท่า ๆ กัน และพร้อมจับมือตั้งรัฐบาล

(29 ม.ค.66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ปะทะ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)’ ทำการสำรวจระหว่าง วันที่ 23-25 มกราคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการแข่งขัน ทางการเมืองระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนต่อการแข่งขันทางการเมืองระหว่าง รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ กับนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ พบว่า 

- กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 46.56 ระบุว่า พลเอกประวิตร กับ พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้แตกกัน เป็นเพียงแค่การแข่งขันทางการเมือง 
- รองลงมา ร้อยละ 28.93 ระบุว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้และศรัตรูที่ถาวร 
- ร้อยละ 20.53 ระบุว่า เป็นสีสันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย 
- ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พลเอกประยุทธ์ เป็นอิสระมากขึ้นในการตัดสินใจทางการเมืองและการบริหารประเทศ 
- ร้อยละ 10.76 ระบุว่า การแข่งขันกันจะทำให้ทั้งสองพรรคได้ ส.ส. รวมกันแล้วน้อยกว่าจำนวน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 2562 
- ร้อยละ 9.01 ระบุว่า พลเอกประวิตร กับ พลเอกประยุทธ์ แตกกันอย่างแน่นอน 
- ร้อยละ 8.78 ระบุว่า พลเอกประวิตร และ พรรคพลังประชารัฐ เป็นอิสระมากขึ้น สามารถร่วมรัฐบาลกับฝั่งไหนก็ได้หลังการเลือกตั้ง
- ร้อยละ 6.56 ระบุว่า การแข่งขันกันจะทำให้ทั้งสองพรรคได้ ส.ส. รวมกันแล้วมากกว่าจำนวน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 2562 
- ร้อยละ 6.34 ระบุว่า ผู้ที่เคยสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ แต่ไม่ชอบ พรรคพลังประชารัฐ จะกลับมาสนับสนุน พลเอกประยุทธ์มากขึ้น 
- และร้อยละ 3.05 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top