Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

‘สุชาติ’ เตือน นายจ้าง มีโทษหนัก ใช้แรงงานต่างด้าวลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย

กระทรวงแรงงานเตือนนายจ้างฝ่าฝืนกฎหมายจ้างคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวหนึ่งคน หากทำผิดซ้ำมีโทษถึงจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คนต่างด้าวที่ลักลอบทำงานมีโทษปรับสูงสุด 50,000 บาท ถูกส่งตัวกลับประเทศต้นทาง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้กระทรวงแรงงานบริหารจัดการการทำงานของแรงงานข้ามชาติ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 คลี่คลาย โดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจ และความสำคัญของกำลังแรงงานอันเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้ในการฟื้นฟูประเทศ ซึ่งกระทรวงแรงงานมีการปรับกฎ ระเบียบ ข้อบังคับให้ยืดหยุ่นสอดคล้องตามสถานการณ์จริง โดยมุ่งหวังให้นายจ้าง สถานประกอบการ และแรงงานข้ามชาติ ปฏิบัติตามมติครม.ในคราวต่าง ๆ ที่อนุญาตให้แรงงานข้ามชาติอยู่และทำงานได้เป็นการชั่วคราว แต่ในปัจจุบันยังพบเห็นการลักลอบเข้ามาทำงานของคนต่างด้าวอยู่เนือง ๆ กระทรวงแรงงานจึงดำเนินการบูรณาการร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง จัดชุดเฉพาะกิจตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดี คนต่างด้าว นายจ้าง/สถานประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบทำงานของคนต่างด้าวผิดกฎหมาย เพื่อป้องปรามมิให้กระทำความผิดและลงโทษผู้กระทำความผิดให้เกิดความหลาบจำไม่กระทำผิดซ้ำอีก

เมีย ‘โชค รถแห่’ ขอโทษ ‘บอล เชิญยิ้ม’ บอกจากนี้ไปจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

หลังจาก ‘โชค รถแห่’ โพสต์คลิปภรรยากำลังนั่งร้องไห้ที่ปลายเตียง พร้อมขอร้องหยุดด่าหยุดซ้ำเติมทั้งตนเอง และภรรยา

ล่าสุด ‘นัส จุฑารัตน์’ ภรรยาของโชค รถแห่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘นาโอกิ เรน’ ระบุว่า…

เมื่อวานหนูติดต่อไปหาพี่ดอนและพี่บอล เพื่อขอโทษกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด พอเวลาผ่านมา พวกเราได้เรียนรู้ว่าเราทำลายโอกาสดี ๆ ที่ผู้ใหญ่ให้มา ด้วยการทำตัวไม่น่ารัก และไม่น่าให้อภัย แต่พี่บอลก็คือพี่บอล ผู้ใหญ่ใจดีคนเดิม ที่ไม่ต่อว่าหนูสักคำ และบอกว่าไม่โกรธไม่ถือสา ส่วนพี่ดอนก็ให้บทเรียนมากมาย เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า เวลาเราอยู่จุดสูงสุด อย่าก้าวร้าว อย่าปากดี อย่าคึกคะนอง เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ หนูไม่อาจย้อนไปแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต ได้แต่ยอมรับมันและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ขอโทษทุกคนที่ต้องมารับรู้เรื่องนี้และขอโอกาสเริ่มต้นใหม่ด้วยนะคะ จากนี้ไปหนูจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หนูอยากกลับมาเป็นภรรยาที่ดี และเป็นแม่ที่น่ารักของลูกหนู

ผบ.บก.ควบคุมสุริโยทัย ให้การต้อนรับ พล.อ.กิตติศักดิ์ บุญพระธรรมชัย ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน และให้กำลังใจกำลังพลปฎิบัติงานตามแนวชายแดน ไทย - มาเลเซีย

วันที่ 25 มกราคม 2566 ที่ ห้องประชุม บก.ควบคุม สุริโยทัย ค่ายกัลยาณิวัฒนา ตำบลกะลุวอ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับกองบังคับการควบคุมสุริโยทัย ให้การต้อนรับ พลเอก กิตติศักดิ์ บุญพระธรรมชัย ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก / ที่ปรึกษาสำนักงานที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และคณะ ในการเดินทางมาตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของกองบังคับการควบคุมสุริโยทัย โดยได้รับฟังบรรยายสรุปการปฎิบัติงานที่สำคัญของหน่วย พร้อมทั้งมอบนโยบาย หารือ ประสานการปฏิบัติ และให้คำแนะนำหน่วย 

จากนั้น พลเอก กิตติศักดิ์ บุญพระธรรมชัย และคณะ เดินทางต่อไปยัง ด่านศุลกากรตากใบ ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยได้ร่วมลาดตระเวนทางน้ำ พร้อมกำชับเพิ่มมาตรการ เข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัย ตามลำน้ำตลอดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ตรวจสอบช่องทางข้ามธรรมชาติของแม่น้ำสุไหงโก-ลก ที่กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทย ด้านจังหวัดนราธิวาส กับรัฐกลันตันประเทศมาเลเซีย สั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่ เพิ่มมาตรการคุมเข้มตลอดแนวชายแดน สกัดกั้นพื้นที่รับผิดชอบ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโก-ลก และ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส เพิ่มมาตรการในการลาดตระเวน โดยให้หน่วยได้บูรณาการ การปฏิบัติงานในทุกมิติ พร้อมทั้งเข้าตรวจเยี่ยม และให้กำลังใจ กำลังพลที่ปฎิบัติงานตามแนวชายแดน จำนวน  2 กองร้อยชุดควบคุมป้องกันชายแดน

‘ผบ.ตร.’ ชี้ ห้ามสวมเครื่องแบบรับจ๊อบนอกเวลา ยัน!! ไม่หนักใจเหตุเกิด ถือเป็นการตรวจสอบแก้ไข

(25 ม.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่มีเพจดัง ‘ลุยจีน’ ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ตำรวจไทยรับจ้างขับรถนำขบวนนักท่องเที่ยวจีนมีมานานกว่า 10 ปีแล้ว เรื่องนี้ได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบถ้าหากมีข้อมูลอย่างที่มีการออกมาเปิดเผย หากมีหลักฐานชัดเจนจะลงโทษทั้งทางอาญาและทางวินัย แต่ตอนนี้ขอเวลาให้ชุดเจ้าหน้าที่สอบสวนได้ดำเนินการตรวจสอบ เนื่องจากภาพที่ปรากฎตามสื่อเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวส่วนหนึ่ง และเป็นตำรวจจราจรส่วนหนึ่งและอาจจะมีบุคคลอื่นร่วมกระทำผิดทั้งในส่วนของไกด์นำเที่ยว ซึ่งก็จะต้องไปสอบสวนให้ครบทุกด้าน ซึ่งตอนนี้ได้ให้ จเรตำรวจลงไปตรวจสอบในทุกประเด็นแล้ว และจากนี้จะไม่ให้โฆษกของแต่ละ บช.ออกมาชี้แจงแล้ว เพราะอาจจะทำให้คำตอบและข้อมูลมีความสับสนไม่ตรงกัน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีแนวทางไปแล้วว่า การจะนำขบวนใครก็ตามต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ซึ่งการนำขบวนในเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เป็นการกระทำโดยพลการ ซึ่งมีความผิดที่จะต้องลงโทษ ทั้งนี้ต้องขอเวลาให้ตำรวจได้มีการตรวจสอบก่อนว่ามีใครที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ จะกี่ปีย้อนหลังก็สามารถตรวจสอบได้ อยู่ที่หลักฐานเป็นหลัก ถ้าหากออกมาพูดปากเปล่า หรือพูดลอย ๆ ก็คงตรวจสอบไม่ได้ แต่ถ้าหากผู้ใดมีข้อมูล ขอให้ส่งมาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดที่ตรวจสอบ ยืนยันว่าพร้อมที่จะดำนเนินการต่อ

พับตำราอหิงสาวิธี เมื่อการอดประท้วงจนผ่ายผอม ต้องจำยอมมนุษย์บางจำพวกที่ 'ยิ่งอด - ยิ่งอ้วน'

"การอดอาหารประท้วง (Hunger Strike) เป็นหนึ่งวิถีการต่อสู้ซึ่งไร้ความรุนแรงที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงทางสังคม อีกนัยคือยุทธศาสตร์เคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อทำให้เจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำนาจรัฐเกิดความละอาย และเรียกร้องให้สาธารณชนสนใจประเด็นปัญหาหรือความอยุติธรรมอันเกิดขึ้น โดยหวังผลให้สามารถสั่นคลอนรัฐ และผู้มีอำนาจ รวมทั้งปลุกกระแสสังคมได้ ซึ่งปรากฏอยู่ในการต่อสู้ทั้งจากปัจเจกบุคคลและขบวนการเคลื่อนไหวทั่วโลก"

อาจเรียกได้ว่านั่นคือ คำจำกัดความของการอดอาหารประท้วง นิยามโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ศุทธิกานต์ มีจั่น

การอดอาหารประท้วง ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในประวัติศาสตร์โลก เกิดขึ้นโดย 'มหาตมะ คานธี' (Mahatma Gandhi) ซึ่งอดอาหารประท้วงตลอดชีวิตรวม 18 ครั้ง เพื่อรณรงค์เคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และต่อสู้ขอคืนเอกราชของอินเดีย จากอาณานิคมปกครองอังกฤษ ตามแนวทางสันติวิธีที่รู้จักกันดีว่า 'อหิงสา' ซึ่งคานธีอดนานสุด 21 วัน

'อหิงสา' นับเป็นแนวทาง 'ต่อสู้' โดย 'ไม่ต่อสู้' คือ การต่อสู้เยี่ยงอารยชน เป็นการต่อสู้ที่เหนือกว่าการต่อสู้ทั้งปวง ผู้เจริญและฝึกฝนตนเองอย่างเคี่ยวกรำเท่านั้น จึงจะสู้ด้วยวิธีอหิงสานี้ได้

การอดอาหารประท้วงบนบริบทการเมืองไทยที่รับรู้อย่างแพร่หลาย คือ กรณีของ 'เรืออากาศตรี ฉลาด วรฉัตร' อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส. ตราด - พรรคประชาปัตย์) และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยครั้งแรกคุณฉลาดอดทั้งข้าวและน้ำเพื่อประท้วงรัฐบาล 'พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์' เรื่องทุจริตกักตุนน้ำมันในปี พ.ศ. 2523 ต่อมาได้ประท้วงรัฐบาล 'พลเอก เปรม ติณสูลานนท์' ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญให้ข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ (พ.ศ. 2526)

แต่การต่อสู้ซึ่งถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ของ 'ฉลาด วรฉัตร' คือ การอดอาหารเรียกร้องให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง โดยร่วมขบวนขับไล่ 'พลเอก สุจินดา คราประยูร' จนเกิดเป็นชนวนเหตุการณ์อัปยศของชาติ 'พฤษภาทมิฬ' ในเวลาต่อมา

แม้กระทั่งรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ร.ต.ฉลาด ในวัย 71 ปี ก็ยังออกมาอดอาหารประท้วงที่หน้ารัฐสภา ตั้งแต่ค่ำวันดังกล่าว เพื่อต่อต้านกฎอัยการศึก และการทำรัฐประหารของกองทัพ โดยประทังชีวิตเพียงน้ำเปล่าและน้ำผึ้งอยู่นาน 45 วัน เจ้าของฉายา 'จอมอด' จำต้องยุติการประท้วงลง เนื่องจากปัญหาสุขภาพ

ข้อมูลจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปกติร่างกายของคนทั่วไปจะทนต่อภาวะขาดอาหารได้ 30 - 60 วัน อาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงร้อยละ 30 ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ยิ่งอายุน้อยความแข็งแรงของร่างกายจะมีมากกว่าคนอายุ 40 ปี ขึ้นไป นอกจากนี้ ร่างกายคนปกติทั่วไปจะทนต่อภาวะขาดน้ำได้เพียง 3 - 7 วัน หรือไม่เกิน 1 สัปดาห์

พิษณุโลก ตำรวจภาค 6 กวดล้างอาชญากรรม ยึดปืน ยาบ้า อาวุธสงคราม

เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 66 ที่ห้องประชุมชั้น 2 ตำรวจภูธรภาค 6 ต.มะตูม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พร้อมรองผู้บัญชา และผู้บังคับการตำรวจภูธรในสังกัดภาค 6 ร่วมกันแถลงข่าวผลงานการกวาดล้างอาชญากรรม และยาเสพติด ในช่วงระหว่างวันที่ 15-24 ม.ค. 2566 ตามแผนป้องกันปราบปรามอาชญกรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 'ป้องราษฎร์ ปราบภัย หัวใจคือประชาชน' 

สำหรับการระดมกวาดล้างอาชญากรรมในครั้งนี้ เป็นกลุ่มเป้าหมายในภาพรวมของหน่วยอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้ปรากฏผลเป็นรูปธรรม โดยใช้ผลวิเคราะห์ข้อมูล สถานภาพอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และนาฬิกาอาชญากรรม เป็นข้อมูลในการวางแผนปฏิบัติ ซึ่งทางตำรวจภูธรจังหวัดในสังกัดตำรวจภูธรภาค 6 และกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค ได้ระดมกวาดล้างอาชญากรรม เน้นความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม การพนัน ยาเสพติด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง อาวุธปืน ความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และบุคคลตามหมายจับ บังเกิดผลการปฏิบัติ อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ 

ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีจุดเทียนเปิดงานเทศกาลตรุษจีน (ชิวสี่) ประจำปี 2566 เปิดมณฑลพิธีสถาน สวดชัยมงคลคาถา (พะเก่ง) เฮง เฮง เฮง ตลอดปีกระต่ายทอง

วันนี้ (วันพุธที่ 25 มกราคม 2566) เวลา 09.00 น. มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย คณะกรรมการ และผู้บริหารมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีจุดเทียนเปิดงานเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2566 ในวันชิวสี่ หรือวันที่สี่ของเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นวันที่ประกอบพิธีอัญเชิญ (รับ) เทพเจ้าลงจากสวรรค์ และเริ่มประกอบพิธีสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา (พะเก่ง) สะเดาะเคราะห์ แก้ปีชง เสริมโชคลาภ เสริมดวงชะตา โดยคณะสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกาย ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

และในวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2566 เวลา 23.00 น. มูลนิธิฯ กำหนดจัดพิธีเวียนธูปศักดิ์สิทธิ์รอบนอกศาลเจ้าไต้ฮงกง เพื่อตั้งจิตอธิษฐานเทพยดาฟ้าดิน (เจ้าแห่งสวรรค์) และหลวงปู่ไต้ฮง ช่วยดลบันดาลให้ศิษยานุศิษย์และสาธุชนประสบโชคดีตลอดปีใหม่ พร้อมกับสรรเสริญและขอพรจากเทพเจ้า ให้ปวงชนอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัย เฮง ๆ ตลอดปีเถาะ 

เทศกาลตรุษจีน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21- 30 มกราคม 2566 โดยขอเชิญชวนศิษยานุศิษย์ และสาธุชนทุกท่าน 'สักการะหลวงปู่ไต้ฮง' ขอพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีนเพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ลงชื่อสวดชัยมงคลคาถา หรือ 'พะเก่ง' เพื่อสะเดาะเคราะห์ ขอให้ครอบครัวมีสุข เสริมโชคลาภ เสริมดวงชะตา เสริมความมั่นคงสถาพร ตลอดปี พร้อมรับประทาน 'สาคูสิริมงคล' เพื่อความกลมเกลียวและอยู่เย็นเป็นสุข  อัญเชิญ 'ฮู้' (ยันต์) ของหลวงปู่ไต้ฮง ติดหน้าบ้าน หรือพกติดตัวเพื่อคุ้มครอง 'เคาะระฆังทอง' ให้ก้องกังวานเพื่อให้ชีวิตสดใส การงานรุ่งเรืองระบือไกล และร่วม "พิธีเวียนธูปศักดิ์สิทธิ์" รอบนอกศาลเจ้าไต้ฮงกง ขอพรเทพยดาฟ้าดินเนื่องในวันประสูติ (ทีกงแซ) ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 29 มกราคม 2566 ขออำนาจฟ้าดินเป็นที่พึ่ง ขอให้หลวงปู่ไต้ฮง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ ช่วยดลบันดาลให้ประสบโชคดีตลอดปีใหม่ (โดยในวันที่ 21 และ 29 มกราคม 2566 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดบริการโต้รุ่ง)

ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สายการบินแจกตั๋วเครื่องบินฟรีในฤดูกาลท่องเที่ยว

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สายการบินส่งข้อความสั้น (SMS) และโทรศัพท์ไปหลอกลวงประชาชนแจ้งว่าเป็นผู้โชคดีได้รับคูปองเที่ยวบินฟรี ดังนี้

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ ผู้เสียหายหลายรายถูกมิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) มายังโทรศัพท์มือถือของตน แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สายการบินต่างๆ เช่น สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ (Thai Lion Air) พร้อมกับข้อความในลักษณะว่า “ ขอบคุณที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ท่านได้รับบินเที่ยวฟรี ” โดยให้กดลิงก์ที่แนบมากับข้อความดังกล่าวเพื่อเป็นการเพิ่มเพื่อนสายการบินทางแอปพลิเคชันไลน์ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดต่อไปยังผู้เสียหายสอบถามข้อมูลต่างๆ และหลอกลวงให้ติดตั้งแอปพลิเคชันของสายการบินที่ส่งให้ทางไลน์อีกครั้ง เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าว มิจฉาชีพจะหลอกให้เข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลทางการเงิน หรือให้ตั้งรหัส PIN 6 หลัก รวมถึงการให้สิทธิ์แอปพลิเคชันเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนต่างๆ ทำให้มิจฉาชีพสามารถเชื่อมต่อระบบเข้ามา และควบคุมหน้าจอโทรศัพท์ของเหยื่อเมื่อใดก็ได้ โดยจะทิ้งระยะเวลาให้เหยื่อตายใจ ระหว่างนี้มิจฉาชีพจะสังเกตพฤติกรรมของเหยื่อ เช่น ใช้ธนาคารใด มีเงินในบัญชีเท่าไหร่ และจดจำรหัสผ่านจากที่เหยื่อกดเข้าระบบของแอปพลิเคชันธนาคาร กระทั่งเวลาผ่านไปจนเหยื่อเผลอ เมื่อได้โอกาสมิจฉาชีพจะเชื่อมต่อแล้วโอนเงินออกจากบัญชีไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแอบอ้างเป็นหน่วยงานต่างๆ ไปหลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้กำชับสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง รวมถึงวางมาตรการป้องกันสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ

มหากาพย์ เลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 กกต.ถูกจำคุก-จ้างพรรคเล็ก-ยุบพรรคไทยรักไทย

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนทำให้ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภา ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกตั้งอีกครั้ง โกำหนดให้วันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป

แต่ทว่า ก่อนการเลือกตั้ง วันที่ 2 เมษายน 2549 ฝ่ายค้านในห้วงนั้นประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน ได้ทำหนังสือถึงพรรคไทยรักไทย เรียกร้องให้ทำสัตยาบันร่วมกันว่า หลังการเลือกตั้งจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 313 เพื่อตั้ง ‘คนกลาง’ ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่พรรคไทยรักไทยประกาศไม่ลงสัตยาบันร่วมกับฝ่ายค้าน แต่เชิญหัวหน้าพรรคทุกพรรคให้มาทำสัญญาประชาคมร่วมกันว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญระหว่างการเลือกตั้ง จากนั้นค่อยมาตั้ง ‘คนกลาง’ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฝ่ายค้านจึงประกาศคว่ำบาตรไม่ส่งผู้สมัคร

การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 จึงเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายมากมาย มีการฉีกบัตรเลือกตั้งเพื่อแสดงอารยะขัดขืน เช่น รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร, มีการกรีดเลือดมาเป็นหมึกกาบัตรเลือกตั้ง, คูหาเลือกตั้งหันหลังออก, มีผู้สมัคร ส.ส. หลายสิบเขตได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าคะแนนโนโหวต มีการใช้ตรายางประทับบัตรเลือกตั้ง และมีบัตรเสียเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดความเคลือบแคลงใจในความโปร่งใสของการเลือกตั้งครั้งนั้นอย่างหนัก

ส่วนผลการเลือกตั้งปรากฏว่า ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ มีผู้มาใช้สิทธิ 29 ล้านคนเศษ จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 44.9 ล้านคน คิดเป็น 64.77% มีบัตรเสีย 1,680,101 ใบ หรือ 5.78% มีผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน หรือ โนโหวต สูงถึง 9,051,706 คน คิดเป็นสัดส่วน 31.12%

และผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต มีผู้มาใช้สิทธิเกือบ 29 ล้านคน หรือ 64.76% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง มีบัตรเสีย 3,778,981 ใบ 13.03% มีผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน 9,610,874 คน 33.14%

หลังจากนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพิกถอนการเลือกตั้ง และให้มีการเลือกตั้งใหม่

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2549 ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 และคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ 607-608/2549 วันที่ 16 พฤษภาคม 2549 วินิจฉัยให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการจัดคูหาที่อาจส่งผลให้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยลับ และให้จัดเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549

นอกจากนี้ ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ศาลอาญา ได้พิพากษาให้ กกต. ที่จัดการเลือกตั้งมีความผิดเนื่องจากการจัดการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม โดยให้ลงโทษจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี แต่ต่อมา เมื่อปี 2556 หลังจากที่ กกต. (สามคนในเวลานั้น) ผ่านการติดคุก/ต่อสู้คดีแล้ว ศาลกลับได้มีคำสั่งยกฟ้อง กกต. ทั้งสาม

หลังจากนั้นก็มีการสรรหา กกต.ใหม่ และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ แต่ยังไม่ทันได้เลือกตั้ง ก็ถูก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำการปฏิวัติเสียก่อนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

แต่ผลพวงจากการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใสในครั้งนั้น ยังตามหลอนพรรคไทยรักไทยไม่จบสิ้น เมื่อ ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียน กกต.ว่า พรรคไทยรักไทย จ้างพรรคการเมืองขนาดเล็ก อย่างพรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทยลงสมัคร ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อหนีเกณฑ์ร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ กกต.ปลอมแปลงฐานข้อมูลสมาชิกพรรคเล็กเมื่อปี 2549

บิ๊กตู่ แนะ ผู้บังคับบัญชา ต้องเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างใกล้ชิดในการทำงาน ชี้!! คนดี ต้องให้กำลังใจ คนไม่ดีก็เอาออกไป

วันที่ 25 มกราคม 2566 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้ตำรวจทุกนายประพฤติปฏิบัติตน อยู่ในกรอบวินัยอันดีงาม ปฏิบัติตามกฎหมาย และให้ความเป็นธรรมกับทุกคนผู้บังคับบัญชาต้องเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิดในการทำงาน คนดีต้องให้กำลังใจ คนไม่ดีก็เอาออกไป

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าว ถึงกรณีตำรวจไทยรับงานขับรถนำขบวนนักท่องเที่ยวชาวจีน ว่า ก็ผิด ซึ่งตนบอกไปแล้วและเตือนไปแล้ว ผิดก็ต้องลงโทษ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ใช้รถราชการได้หรือไม่ พฤติกรรมเหมาะสมหรือไม่ ผิดก็ต้องลงโทษ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top