Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

สปส.พร้อมส่งมอบของขวัญปีใหม่ 2566 เร่งขับเคลื่อนนโยบายปี 66 พัฒนางานประกันสังคมเพื่อผู้ประกันตนได้ประโยชน์สูงสุด

ในงานแถลงข่าวสรุปผลงานเด่น ปี 2565 เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2566 นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้กล่าวถึงของขวัญปีใหม่ ที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม พร้อมมอบของขวัญปีใหม่ 2566 เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้พี่น้อง ผู้ประกันตน ลูกจ้าง นายจ้าง มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น จำนวน 4 ชิ้น และได้เริ่มดำเนินการแล้วในขณะนี้ คือ...

ชิ้นที่ 1 ให้ สินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตนดอกเบี้ย ไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือลดค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกันตน ในเรื่องของการมีบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยสำนักงานประกันสังคม ร่วมมือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถใช้สิทธิในการไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด จากสถาบันการเงินอื่น รวมถึงเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในบัญชีเงินกู้ที่กู้อยู่กับ ธอส. “โครงการสินเชื่อ ที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน” วงเงินให้กู้สูงสุดตามจำนวนเงินต้นคงเหลือไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ ปีที่ 1-5 เท่ากับ 1.99% ต่อปี

ชิ้นที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงการรักษาของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมให้เข้าถึงการรักษา 5 โรค ตามโรงพยาบาลที่กำหนด สำนักงานประกันสังคม ได้พัฒนาระบบบริการทางการแพทย์ เพิ่มประสิทธิภาพ การเข้าถึงการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือทำหัตถการนำร่องในกลุ่ม 5 โรค โดยร่วมกับสถานพยาบาลที่บันทึกข้อตกลงร่วมมือการให้บริการ จำนวน 10 แห่ง แบ่งตามกลุ่มบริการ 1. การผ่าตัดมะเร็งเต้านม 2. ผ่าตัดก้อนเนื้อที่มดลูก 3. ผ่าตัดนิ่วในไตและถุงน้ำดี 4. หัตถการโรคหลอดเลือดสมอง 5. หัตถการโรคหัวใจและหลอดเลือด

ทั้งนี้ เมื่อดำเนินโครงการแล้ว สำนักงานประกันสังคมจะต้องมีการติดตามและประเมินผลเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดการบริการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อผู้ประกันตนต่อไป

ชิ้นที่ 3 ฟรี ค้นหาความเสี่ยงโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจในสถานประกอบการนำร่องใน 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี ระยอง พระนครศรีอยุธยา และสมุทรสาคร ซึ่งได้มีการ Kickoff โครงการดูแลสุขภาพผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ไปแล้วเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์ ในการส่งเสริมและดูแลสุขภาพของผู้ประกันตนเชิงรุก โดยร่วมมือกับสถานประกอบการที่ผู้ประกันตนทำงานอยู่ และสถานพยาบาลในพื้นที่เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับการตรวจสุขภาพ โดยใช้โมเดลเชิงรุก ดังนี้ 1.เน้นการค้นหาความเสี่ยงโรคหลอดเลือดและหัวใจ 2.แบ่งกลุ่มตามความเสี่ยง เสี่ยงสูง ปานกลาง และน้อย 3.โรงพยาบาลนัดหมายประเมิน เรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรายบุคคลระยะเวลา 6 เดือน 4.ติดตามผลระบบ Telemedicine และดำเนินการปรับพฤติกรรม

เป้าหมาย ผู้ประกันตน 300,000 คน ได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อค้นหาความเสี่ยงด้านสุขภาวะนำไปสู่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันการเจ็บป่วย

ชิ้นที่ 4 ลดเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตามค่าประสบการณ์ของนายจ้าง สำนักงานประกันสังคม ได้แก้ไขประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณอัตราส่วนการสูญเสีย ลงวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2562 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้มีเพดานขั้นสูงของอัตราส่วนการสูญเสียอยู่ที่ 200 ส่งผลให้นายจ้างที่ถูกเรียกเก็บเงินสมทบตามอัตราค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 จากอัตราเงินสมทบ ในปีที่ผ่านมา จ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลาเพียงไม่เกิน 3 ปี จากเดิมที่ไม่มีการกำหนดเพดานขั้นสูงของอัตราส่วนการสูญเสีย และการเรียกเก็บเงินสมทบตามค่าประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ดังกล่าวมีระยะเวลาสูงสุดถึง 22 ปี เพื่อเป็นการช่วยเหลือนายจ้างที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว (การแก้ไขหลักเกณฑ์ส่งผลให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบลดลง และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ จำนวน 229.22 ล้านบาท)

นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้กล่าวถึงนโยบายในการขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของสำนักงานประกันสังคมที่จะเกิดขึ้นในปี 2566

***การพัฒนางานประกันสังคมเพื่อผู้ประกันตน 

สร้างการรับรู้ โดยการประชาสัมพันธ์เชิงรุก โดยดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสาร สาระความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันสังคมและสิทธิประโยชน์เพื่อเข้าถึงนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ประกันตน ซึ่งปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้นำ Social Media เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร เพื่อเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับสำนักงานประกันสังคมได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้รับบริการ เน้นการปรับเปลี่ยนราชการสู่ความเป็นดิจิทัล โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนและผู้ใช้แรงงาน อย่างโปร่งใส เข้าถึงง่าย รวดเร็ว แม่นยำ ลดความซ้ำซ้อน และสามารถเชื่อมโยงการบริการของหน่วยงานรัฐได้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อพี่น้องประชาชน การเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรให้มีความทันสมัย คล่องตัว โปร่งใส มีธรรมาภิบาล ซึ่งในปี 2565 สำนักงานประกันสังคมได้ผ่านผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือ ITA ได้คะแนน 90.24 อยู่ในระดับ A สร้างองค์กรที่เป็นสุขต้องสร้างความสมดุลให้ชีวิตทั้งการงาน ครอบครัว และสุขภาพ โดยการรักษาสมดุลในการบริหารงานและชีวิต Work Life Balance เปลี่ยนจากการทำงานหนัก บริหารชีวิตให้เหมาะสม รวมทั้งการปรับภาพลักษณ์องค์กรให้มีความทันสมัย และรักษามาตรฐานการให้บริการตามมาตรฐานการให้บริการ ของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) และให้บริการกับนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชน ให้ได้รับความสะดวกสูงสุด โดยยึดหลักพี่น้องประชาชน และผู้ใช้แรงงานเป็นศูนย์กลาง

***การขับเคลื่อนงานตามภารกิจสำคัญ

การขยายความคุ้มครองให้กับผู้ประกันตนในทุกมาตรา โดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น ออกหน่วยเคลื่อนที่บริการเบ็ดเสร็จ (Service Delivery Unit) การรักษาอัตราการจ่ายเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง สร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ผ่านกลไกเครือข่าย บวร และ “ครอบครัวประกันสังคม” ทั่วประเทศให้ตระหนักถึงความสำคัญ และความจำเป็นในการเข้าสู่ระบบประกันสังคม และจ่ายเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มสิทธิประโยชน์ เพิ่มเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยแต่ไม่ได้นอนโรงพยาบาล (ไป-กลับ) เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 จ่ายประโยชน์ทดแทนเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีติดเชื้อโควิด 19 แก่ผู้ประกันตนมาตรา 40 ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ กรณีบำนาญชราภาพของผู้ประกันตน ขยายอายุการรับสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรของผู้ประกันตน การติดตามเร่งรัดหนี้ เช่น เร่งรัดหนี้เงินสมทบ (ติดตามนายจ้าง) ปรับปรุงแนวปฏิบัติ และกระบวนการติดตามเร่งรัดหนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การจ่ายประโยชน์ทดแทนเกินสิทธิ (ติดตามผู้ประกันตน) กำหนดตัวชี้วัดรายจังหวัด การพัฒนาระบบสารสนเทศ ติดตั้งระบบเบิกจ่ายประโยชน์ทดแทนด้วยตนเอง พัฒนาระบบการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พัฒนาระบบบริการ ทางการแพทย์ พร้อมการประชาสัมพันธ์เชิงรุก พัฒนาการสื่อสาร สร้างการรับรู้ เรื่องการประกันสังคม และภาพลักษณ์องค์กรที่ตรงใจ กระชับ ฉับไว เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

นราธิวาส-มทภ.4 ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ จ.นราธิวาส กำชับหน่วยปฏิบัติการพิเศษฯ สร้างความมั่นคง พื้นที่ปลอดเหตุ ประชาชนปลอดภัย

ที่ห้องประชุมหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมคณะฝ่ายอำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมประชุมติดตามผลการปฏิบัติงาน และสถานการณ์สำคัญในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานในพื้นที่ และหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมป่าภูเขา ทั้งนี้เพื่อเน้นย้ำนโยบายสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ยังคงเคลื่อนไหวในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานด้านการข่าว พร้อมการลาดตระเวนพิสูจน์ทราบจากชุดปฏิบัติการต่าง ๆ นั้น ยืนยันว่ามีการตรวจพบความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเข้ามาอาศัยในพื้นที่ Support site และมีความพยายามก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายการก่อเหตุคือกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ และเป้าหมายอ่อนแอ เพื่อควบคุมพื้นที่ให้เกิดความปลอดภัย ทุกหน่วยต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน พร้อมสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้แก่พี่น้องประชาชน ก่อนเดินทางไปให้กำลังใจ มอบสิ่งของอุปโภคบริโภคแก่ชุดปฏิบัติการพิเศษร่วมป่าภูเขา ที่ปฏิบัติการในพื้นที่ 

แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า "เป็นความตั้งใจในการมาให้กำลังใจกำลังพลเจ้าหน้าที่ ที่ผ่านมาติดตามการปภูิบัติงานมาอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ในพื้นที่นั้นทุกหน่วยสามารถควบคุมได้ ทำให้เห็นถึงความพร้อม ของทุกส่วนที่บูรณาการความร่วมมือกันให้งานออกมาสำเร็จ ขอชื่นชมในการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ปฏิบัติการด้วยความอดทน จากเบาไปหาหนักตามขั้นตอนโดยได้รับความร่วมมือจากผู้นำชุมชน ผู้นำหมู่บ้าน และผู้นำศานา สุดท้ายแล้วกำลังพลไม่สูญเสีย และประชาชนมีความปลอดภัย 

"จะเห็นได้ว่ายังมีผู้หลงผิดให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงอยู่ และประกอบกับพื้นที่จังหวัดนราธิวาสบริเวณดังกล่าวติดป่าภูเขามีช่องโหว่ในการหลบหนี จำเป็นจะต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมและรวมถึงสกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายเข้าออกในพื้นที่ ด้านกำลังเจ้าหน้าที่ก็ต้องเพิ่มการลาดตระเวนที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญด้วย ใช้บทเรียนที่ผ่านมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบันเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก ปฏิบัติการด้านการข่าว และปฏิบัติการทหารแบบเชิงรุก ลาดตระเวน กดดันกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยง ล่อแหลม เพื่อลดความพยายามในการก่อเหตุ ติดตามบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุโดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน สร้างความเชื่อมั่น ปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนให้ได้ 

"ทั้งนี้ให้หน่วยทำความเข้าใจ และขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชน อย่าได้ให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำผิดทั้งการให้ที่พักพิง แหล่งหลบซ่อน จัดหาเสบียง เพราะจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งให้แจ้งเบาะแสมายังเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง หากพบเห็นสิ่งผิดปกติ หรือบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ ขอเป็นกำลังใจแก่กำลังพลทุกนาย ที่เสียสละมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน ขอให้มีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในทุกรูปแบบ ถึงแม้มีความยากลำบากแต่ขอให้คิดคำนึงว่ามันคือหน้าที่ ในการทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยึดมั่นในยุทธศาสตร์การเป็นคนดี เข้าใจหน้าที่ มีความรับผิดชอบ ซึ่งนั่นจะทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพ ขอเป็นขวัญและกำลังใจให้กับพวกเราในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป"

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 16 – 20 ม.ค. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 23 – 27 ม.ค. 66

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 16 – 20 ม.ค. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 23 – 27 ม.ค. 66

ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent, NYMEX WTI และ Dubai สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3-4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยได้แรงสนับสนุนจากแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันของจีนฟื้นตัวหลังเปิดประเทศ โดย IEA, EIA และ OPEC คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันของจีน เฉลี่ยในปี 66 เพิ่มขึ้น 630,000 บาร์เรลต่อวัน จากปีก่อน อยู่ที่ 15.62 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่การท่องเที่ยวช่วงเทศกาลตรุษจีนคึกคัก โดยสื่อ China Central Television (CCTV) ของจีนรายงานจำนวนการเดินทางโดยรถไฟ ทางหลวง เรือ และเครื่องบิน ในช่วง 7-21 ม.ค. 66 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 50.8% อยู่ที่ 26.23 ล้านเที่ยว ส่วนทางเทคนิคราคาน้ำมันดิบ ICE Brent สัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 85-90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

จับตาการคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee: FOMC) โดย Reuters Poll วันที่ 20 ม.ค. 66 คาดการณ์ FOMC มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งๆ ละ 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.0% ในการประชุมช่วง 31 ม.ค.- 1 ก.พ. 66 และ 15-16 มี.ค. 66 และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวไปจนถึงอย่างน้อยสิ้นปี 66 หากเป็นไปตามคาด เงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่า สนับสนุนให้เงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) สู่สินทรัพย์เสี่ยง สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมัน

ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรหลอกลวงประชาชนในช่วงยื่นภาษีประจำปี

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ฉวยโอกาสใช้สถานการณ์ต่างๆ สร้างความน่าเชื่อ มาก่อเหตุหลอกลวงประชาชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้...

ตามที่ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาให้ประชาชนยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90/91) ซึ่งมิจฉาชีพก็จะฉวยโอกาสในช่วงเวลาดังกล่าว แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ติดต่อไปยังประชาชนหลอกลวงด้วยวิธีการต่างๆ ได้แก่ โทรศัพท์เข้ามาหลอกลวงเป็นขบวนการ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) หรือส่งข้อความสั้น (SMS) หลอกให้กดลิงก์แอดไลน์เพิ่มเพื่อน แล้วให้ติดตั้งโปรแกรมของกรมสรรพากรปลอม หรือแอปพลิเคชันกรมสรรพากรปลอม หรือให้กรอกข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลทางการเงิน โดยอ้างเหตุผลต่างๆ เช่น เพื่อเป็นการตรวจสอบรายได้ของท่าน หรือแจ้งเตือนให้ท่านชำระภาษี หรือให้ทำการยกเลิกเสียภาษีจากโครงการคนละครึ่ง หรืออ้างว่าสามารถช่วยเหลือไม่ให้เสียภาษีย้อนหลังได้ ผ่านแอปพลิเคชันกรมสรรพากรปลอมดังกล่าว นอกจากนี้แล้วมิจฉาชีพยังมีการใช้สัญลักษณ์ของสรรพากร และเอกสารราชการปลอม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออีกด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแอบอ้างเป็นหน่วยงานของรัฐ หรือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไปหลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้กำชับสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง รวมถึงวางมาตรการป้องกันสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชาผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ

โฆษก บช.สอท. กล่าวอีกว่า รูปแบบการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวมิจฉาชีพจะใช้วิธีการเดิมๆ เพียงแต่ปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องไปตามสถานการณ์ หรือวันเวลาให้เข้ากับสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ เช่น ช่วงที่มีภัยพิบัติธรรมชาติ ก็อาจจะสร้างเรื่องมาหลอกรับเงินบริจาค หรือช่วงที่มีข่าวการชำระค่าปรับจราจร ก็จะสร้างเรื่องมาข่มขู่ว่าถ้าไม่ชำระจะถูกออกหมายจับดำเนินคดี มิจฉาชีพมักจะอาศัยความไม่รู้ ความโลภ ความกลัว ของประชาชนเป็นเครื่องมือในการหลอกลวง โดยยืนยันทุกคนทุกวัยสามารถตกเป็นเหยื่อได้หมด อย่างไรก็ตาม บช.สอท. ยังคงมุ่งมั่นปราบปราม กดดัน จับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และขอฝากไปยังภาคประชาชนช่วยแจ้งเตือน ซึ่งกันและกัน หรือรายงานไปยังหน่วยงานรัฐ หากพบแอปพลิเคชันปลอม หรือลิงก์ปลอมน่าสงสัย เพื่อลดการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

มวยไทยผงาด!! คณะกรรมการโอลิมปิก รับรอง 'มวยไทย' อย่างเป็นทางการ

ข่าวดีของชาวไทย คณะกรรมการโอลิมปิกและพาราลิมปิกแห่งสหรัฐอเมริกา ได้มีจดหมายแจ้งรับรองมวยไทย โดยข้อความจดหมายระบุดังนี้...

เรียน คุณคอร์ลีย์

ในนามของสภาองค์กรในเครือคณะกรรมการโอลิมปิกและพาราลิมปิกแห่งสหรัฐอเมริกา ขอแสดงความยินดี! สหพันธ์มวยไทยแห่งสหรัฐอเมริกาได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ USOPC ให้เป็นสมาชิกใหม่ของ AOC ในหมวดองค์กรกีฬาที่ได้รับการยอมรับ สถานะใช้งานมีผลทันที

'ลุงหนู' ไฟเขียว!! ร่างงบฯ ปี 67 แตะ 2.44 แสนล้านบาท ดันเมกะโปรเจ็กต์ หนุนแผนระบบขนส่งคมนาคม

‘อนุทิน’ นั่งหัวโต๊ะไฟเขียวร่างงบประมาณปี 67 กว่า 2.44 แสนล้านบาท ดันโครงการเมกะโปรเจ็กต์ หนุนแผนระบบขนส่งคมนาคม เร่งสรุปผลงบประมาณรายจ่าย ชงสำนักงบประมาณภายใน 27 ม.ค.นี้

(24 ม.ค. 66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 คณะที่ 3.2 แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างคำของบประมาณบูรณาการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน 108 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 244,505.6705 ล้านบาท โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันของ 7 กระทรวง 26 หน่วยงาน

ทั้งนี้แบ่งเป็น เป้าหมายที่ 1 จำนวน 11 หน่วยงาน สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม (สปค.)กรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.)กรมเจ้าท่า (จท.) กรมท่าอากาศยาน (ทย.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) (กรมการขนส่งทางราง (ขร.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) (การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) รวม 88 โครงการ วงเงิน 243,660.1700 ล้านบาท คิดเป็น 99.65% มีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) M6 บางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี โครงการทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1065 สาย อ.พรานกระต่าย-พิษณุโลก

โครงการพัฒนาทาง และสะพานโครงข่ายทางหลวงชนบท สนับสนุนด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย โครงการศูนย์ขนส่งชายแดน จ.นครพนม โครงการปรับปรุงท่าอากาศยาน 16 แห่ง โครงการทางพิเศษ (ด่วน) สายกระทู้-ป่าตอง จ.ภูเก็ต โครงการทางหลวงพิเศษฉลองรัช ส่วนต่อขยาย ช่วงจตุโชติ-ลำลูกกา โครงการออกแบบรายละเอียดงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม และสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็นต้น

สำหรับป้าหมายที่ 2 จำนวน 15 หน่วยงาน (จท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานสภาพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์/กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ/กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน/สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) สถาบันพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ม.พะเยา ม.เชียงใหม่ ม.บูรพา และ ม.เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา รวม 20 โครงการ วงเงิน 845.5005 ล้านบาท คิดเป็น 0.35% มีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและการให้บริการประชาชนเพื่อรองรับงาน NSW

นอกจากนี้ยังมี โครงการพัฒนาระบบการทำเครื่องหมายและขึ้นทะเบียนสัตว์แห่งชาติ (NID) และเครื่องหมายประจำตัวสำหรับซากสัตว์ โครงการออกแบบและพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลใบรับรองสุขอนามัยพืชอิเล็กทรอนิกส์ (ePhyto) ผ่านระบบ NSW โครงการเสริมสร้างความสามารถการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้วยการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน โครงการส่งเสริมการพัฒนาบริการและขยายเครือข่ายของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ การศึกษาเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนระบบโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของประเทศไทย

ก้าวหน้า-ก้าวไกล ผนึกกำลัง เรียกร้องสิทธิประกันตัว ย้ำจุดยืน หยุดใช้กฎหมายปิดปากผู้เห็นต่าง

ก้าวหน้า-ก้าวไกล ผนึกกำลัง 'ยืนหยุดขัง' เรียกร้องสิทธิประกันตัว หยุดใช้กฎหมายปิดปากผู้เห็นต่าง ‘พิธา’ ย้ำข้อเสนอก้าวไกลแก้ไข ม.112 ชี้ ถ้าไม่ปฏิรูประบบยุติธรรม สังคมไทยอาจถึงทางตัน ด้าน ‘ธนาธร’ ขอสภาทำหน้าที่นำการพูดคุยปัญหา 112 อย่างมีวุฒิภาวะ เป็นทางออกให้สังคมไทย

เมื่อวันที่ (23 ม.ค. 66) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แกนนำพรรคก้าวไกล และ คณะก้าวหน้า ประกอบด้วย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรม 'ยืนหยุดขัง' ร่วมกับภาคประชาชนหลายเครือข่ายที่มาร่วมกันรณรงค์เรียกร้องการปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด หลังจาก 'ตะวัน' ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ 'แบม' อรวรรณ ภู่พงศ์ นักกิจกรรมทางการเมืองและผู้ต้องหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประกาศถอนประกันตนเอง อดอาหารและน้ำประท้วงกระบวนการยุติธรรม จากกรณีที่ปัจจุบันมีนักโทษการเมืองหลายคนถูกปฏิเสธสิทธิการประกันตัวอย่างไม่เป็นธรรม

พิธา ระบุว่า วันนี้ตนมาร่วมกิจกรรมยืนหยุดขังด้วยความห่วงใย ต่อทั้งตะวัน-แบม และนักโทษทางการเมืองทุกคน ทั้งในฐานะนายประกันของตะวัน และในฐานะประชาชนคนหนึ่ง และเพื่อมาแสดงความเคารพด้วยจิตคารวะต่อนักเคลื่อนไหวที่ถูกจองจำทุกคน และเพื่อยืนหยัดกับทุกคนว่าพวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง สิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งตะวัน-แบม และนักโทษการเมืองทุกคนวันนี้ คือข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยมีปัญหาบิดเบี้ยวมาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีปัญหาทั้งเรื่องการบังคับใช้ อัตราโทษที่ไม่ได้สัดส่วน และการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยมีความจำเป็นต้องทำให้กระบวนการที่บิดเบี้ยวมาตั้งแต่ทางนี้ ดีขึ้น

“ทางออกที่ดีที่สุด ควรต้องใช้สภาผู้แทนราษฎรเป็นพื้นที่ให้ทุกฝ่ายมาหาทางออกร่วมกัน ต่อประเด็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นคุณระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และแม้ว่าพรรคก้าวไกลจะได้นำเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมกับกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพอื่น ๆ ไปตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา แต่สภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันก็ปฏิเสธไม่ตอบรับ แต่อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้เกิดการแก้ไขกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยวเช่นนี้ให้ได้” พิธากล่าว

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เป็นเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ คือการเรียกร้องต้องให้สิทธิการประกันตัวแก่นักโทษการเมืองทุกคน ยุติการใช้กฎหมายปิดปากผู้เห็นต่างในทันที และในอนาคตอันใกล้นี้ จะต้องมีการพิจารณาข้อเสนอนิรโทษกรรมคดีการเมืองทั้งหมด โดยการเดินตามขั้นตอนเหล่านี้เท่านั้น จึงจะนำไปสู่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทย ส่วนปัญหาเรื่องมาตรา 112 นั้น พรรคก้าวไกลยืนยันที่จะผลักดันให้เกิดการแก้ไข ในฐานะข้อเสนอขั้นต่ำที่เราเห็นว่ายังสามารถเป็นหนทางให้ผู้เห็นต่างในสังคมไทยมาพูดคุยกันได้ และแม้ข้อเสนอดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ทันได้ถูกนำมาพิจารณาในสภาชุดปัจจุบัน แต่พรรคก้าวไกลยืนยันที่จะเสนอและผลักดันร่างดังกล่าวต่อในสภาชุดต่อไปที่จะมีขึ้นหลังการเลือกตั้ง

พิธายังระบุด้วยว่า หากสภาผู้แทนราษฎรไม่ตอบรับข้อเสนอเรื่องการแก้ไขนี้ในอนาคต ตลอดจนการพูดคุยเพื่อหาทางออกกันอย่างมีวุฒิภาวะ ก็เป็นที่น่ากังวลเหลือเกินว่าทางเลือกของสังคมไทยจะถูกบีบให้เหลือน้อยลง

“สภาควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกฝ่ายมาพูดคุยกันได้อย่างมีวุฒิภาวะ โดยไม่มีใครต้องเสียสละเลือดเนื้อเพื่อเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐาน ใช้โอกาสนี้พูดถึงการปฏิรูประบบยุติธรรมทั้งหมด เพราะถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้สังคมไทยก็อาจจะไปถึงทางตัน ถ้าสภาไม่ทำหน้าที่ ผมก็กังวลเหลือเกินว่าจะเหลือทางเลือกอื่นให้กับสังคมไทยอีกหรือไม่” พิธากล่าว

'พงศพรหม' โพสต์!! 'ต่างชาติ-ต่างด้าว' ไม่ได้มาแย่งงานคนไทย แต่คนยุคใหม่ หนักไม่เอา เอาแต่เงินเดือนเกินความสามารถ

ไม่นานมานี้ นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ระบุว่า...

ทานอาหารร้านคนรู้จัก ตั้งแต่กรุงเทพยันศรีราชา เดี๋ยวนี้เจอแต่คนเสิร์ฟ และผู้จัดการร้านชาวต่างชาติ

ร้านท้องถิ่นหน่อยก็พม่า ร้านแพงหน่อยก็ฟิลิปปินส์, จีน, อินเดีย, ศรีลังกา, อิตาเลียน หรือฝรั่งเศส อังกฤษโน่น

เน้นว่าพนักงานนะครับ ไม่ใช่เจ้าของร้าน!!

มองผิว ๆ ก็อาจมีคนบอกว่าต่างชาติมาแย่งงานคนไทย

แต่เปล่าเลย!!

ลือสะพัด!! ‘ลิซ่า’ ได้รับข้อเสนอย้ายค่าย มูลค่าเกือบ 3 พันล้านบาท

ฮือฮาไปบนโลกออนไลน์ กำลังเป็นกระแสติดเทรนด์ ‘LISA LEAVE YG’ และ #GetThatMoneyLISA หลังจากมีรายงานว่า ลิซ่า แห่ง BLACKPINK ซูเปอร์สตาร์ดังชาวไทย ได้รับข้อเสนอ 81 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อออกจากค่าย YG เพราะกำลังจะหมดสัญญาลงในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

ตัวเลขข้อเสนอถือว่าน่าสนใจและน่าตกใจเป็นอย่างมากนั่นคือ 100,000 ล้านวอน คิดเป็นเงินไทยคือ 2,665,839,713 บาท หรือเกือบ 3 พันล้านบาท

ลิซ่า ลลิษา มโนบาล แห่งค่าย YG ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งแดนกิมจิ ประเทศเกาหลีใต้ ที่มีพี่น้องร่วมค่ายอย่าง Big Bang และ 2NE1 เธอเป็นเด็กไทยมากความสามารถ ที่ไปแจ้งเกิดโด่งดังเป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปที่ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งฮอตและมากความสามารถ สมกับเป็นไอดอลรุ่นใหม่ แถมความสวยยังโกอินเตอร์ระดับโลก

‘เพื่อไทย’ รับหนังสือจากเครือข่ายภาคประชาชน เสนอ นศ.เรียนพร้อมฝึกงาน ลดรายจ่ายผู้ปกครอง

(24 ม.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรค นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย และผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส. กทม. ประกอบด้วย น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เขตยานนาวา-บางคอแหลม นายศิลปวิชญ์ น้อยสมมิตร เขตธนบุรี และนายขจรศักดิ์ ประดิษฐาน เขตห้วยขวาง-วังทองหลาง รับมอบหนังสือจากเครือข่ายภาคประชาชน สำนักความคิด (ประเทศไทย) เครือข่ายลมใหม่ นำโดยนายพิษณุวัฒน์ สิงห์ชัย ประธานเครือข่าย เสนอนโยบายด้านอาชีพเพื่อสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ 

นายพิษณุวัฒน์ กล่าวว่า ภายหลังที่พรรคพท.ได้เปิดนโยบายเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน และเงินตอบแทนปริญญาตรีขั้นต่ำ 25,000 บาทต่อเดือน ทางกลุ่มภาคประชาชนที่ประกอบด้วยนักเรียน นักศึกษาสายอาชีพ เล็งเห็นว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะเป็นพรรคที่ทำตามนโยบายได้จริง จึงได้รวบรวมคิดเป็นนโยบายมานำเสนอ ตั้งแต่นโยบายสายอาชีพมีรายได้ คือการส่งเสริมให้บริษัทเอกชนรับนักศึกษาระดับ ปวช. และ ปวส.เข้าฝึกงานจริงตามสายอาชีพ ให้เรียนไปทำงานไปมีรายได้ตั้งแต่ 6,000 บาทขึ้นไป การสนับสนุนสวัสดิการคนวัยเริ่มงาน ด้วยการอุดหนุนค่าอินเทอร์เน็ต รถเมล์ฟรี นอกจากนี้กลุ่มนักเรียน นักศึกษาหรือแม้แต่ผู้สูงอายุ ควรได้โอกาสเข้าอบรมฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ ฟรีในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top