Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

หลังจากความเห็นขององค์การยาแห่งยุโรป (อีเอ็มเอ) เกี่ยวกับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าในเชิงบวกปรากฏขึ้นเมื่อวันก่อน ก็ดูจะช่วยคลายข้อกังวลให้ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ มาริโอ ดรากิ นายกรัฐมนตรีอิตาลีในวันอังคาร (16 มี.ค.) ได้เป็นอย่างมาก

โดยอีเอ็มเอ ได้แถลงยืนยันถึงความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในประโยชน์ของวัคซีนตัวดังกล่าวที่เหนือกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของมัน

“ถ้อยแถลงในเบื้องต้นในวันนี้จากอีเอ็มเอ ช่วยสร้างกำลังใจ” ถ้อยแถลงของทั้งคู่ที่เผยแพร่โดยสำนักนายกรัฐมนตรีของดรากิ หลังจากผู้นำทั้งสองชาติหารือกันทางโทรศัพท์

ถ้อยแถลงระบุต่อว่า ฝรั่งเศสและอิตาลีจะกลับมาเริ่มฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในทันที หากว่าได้ไฟเขียวจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของอียู ซึ่งคาดหมายว่าจะมีการแถลงการตัดสินใจในวันพฤหัสบดี (18 มี.ค.)

สำหรับในกรณีของอิตาลี การระงับใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้านั้น หมายความว่ามีการฉีดวัคซีนประชาชนชนน้อยลงราว ๆ 200,000 ภายในสัปดาห์นี้ จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวรัฐบาล แต่จากถ้อยแถลงของอีเอ็มเอส น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา จนช่วยให้โครงการฉีดวัคซีนคืนสู่ระดับปกติ

ก่อนหน้านี้ ฝรั่งเศส, อิตาลี, เยอรมนี และประเทศอื่นๆ หลายชาติในสหภาพยุโรป ได้ระงับใช้วัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทสัญชาติอังกฤษ - สวีเดนแห่งนี้ ท่ามกลางความกังวลว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหตุเสียชีวิตจากภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

อย่างไรก็ตาม เอเมอร์ คุ้ก ผู้อำนวยการองค์การยาแห่งยุโรป ระบุในวันอังคาร (16 มี.ค.) ว่าทางหน่วยงานของเขา “ยังคงเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าประโยชน์ของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในการป้องกันความเสี่ยงอาการรุนแรงถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 มีมากกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียง”

ในขณะที่ได้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแก่ประชาชนไปแล้วหลายล้านโดส พบว่ามีคนจำนวนเล็กน้อยเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันถึงขั้นเสียชีวิตหลังได้รับวัคซีน

ซึ่งมุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกและแอสตร้าเซนเนก้า ที่ระบุว่า “ณ เวลานี้ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าวัคซีนเป็นสาเหตุของอาการเหล่านั้น” พร้อมเน้นว่าคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบ “กำลังตรวจสอบอาการไม่พึงประสงค์ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับทุกวัคซีน”


ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000025533

โดยนอกเหนือจากห้องสมุดของคนปกติทั่วไป ห้องสมุดเฉพาะทาง อย่างห้องสมุดคนตาบอด ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ ที่เป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้พิการทางสายตา ซึ่งในวันนี้เมื่อ 44 ปีก่อน เมืองไทยได้เปิดห้องสมุดสำหรับคนตาบอดเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า ห้องสมุดคอลฟิลด์

ห้องสมุดคอลฟิลด์ เป็นหน่วยงานหนึ่งของมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยที่มาของชื่อ คอลฟิลด์ มาจากชื่อของ มิสเจนีวีฟ คอลฟิลด์ สุภาพสตรีชาวต่างชาติ ที่เข้ามาบุกเบิกช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาในเมืองไทย

โดยห้องสมุดคอลฟิลด์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ในด้านการศึกษา และสาระบันเทิงต่าง ๆ สำหรับคนตาบอด เปิดบริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2520 ได้รับการสนับสนุน และร่วมบริจาคจากสมาคมต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ

เช่น สมาคมคนตาบอดสวีเดน ได้บริจาคโรงพิมพ์เก่า อันประกอบด้วยแท่นพิมพ์ อุปกรณ์สำหรับพิมพ์หนังสือเบรลล์ และมอบอุปกรณ์การผลิตหนังสือเทป ต่อมา ประเทศเยอรมนี ได้สร้างห้องบันทึกเสียงสำหรับผลิตหนังสือเทปอย่างดี ทำให้การผลิตหนังสือเพื่อป้อนห้องสมุดคนตาบอด เริ่มมีคุณภาพและผลงานมากขึ้น

กระทั่งย่างเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ ข้อมูลข่าวสารสำหรับคนตาบอด ก็ยิ่งมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว คนตาบอดสามารถอ่านหนังสือจากคอมพิวเตอร์ด้วยเสียง รวมทั้งสามารถเข้าถึง Internet ได้อย่างง่ายดาย ห้องสมุดคอลฟิลด์จึงถูกขยายกลายเป็นศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาเพื่อคนตาบอดในเวลาต่อมา

ปัจจุบัน ห้องสมุดคอลฟิลด์ ยังคงให้บริการ ทั้งการผลิตหนังสือเบรลล์ การผลิตหนังสือเทป และการบริการห้องสมุด ซึ่งเปิดให้บริการให้กับสมาชิกทั่วประเทศโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการศึกษาสำหรับคนตาบอด และเป็นการเพิ่มทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างประโยชน์แก่ประเทศต่อไป

ห้องสมุดคอลฟิลด์ ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด ตั้งอยู่ บนถนนติวานนท์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โทร.0-2583-6518


ที่มา: http://www.blind.or.th/centre/about_show/3, http://tabgroup.tab.or.th/node/30

วันนี้เป็นพิเศษของผู้นำทางการเมืองของประเทศไทย เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 67 ปี ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของเมืองไทย

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือในชื่อเล่นที่คนไทยคุ้นเคยว่า ‘ตู่’ เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2497 ที่จังหวัดนครราชสีมา แต่มาเรียนหนังสือในระดับประถมศึกษาที่จังหวัดลพบุรี กระทั่งเมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยม จึงย้ายมาเรียนที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ กรุงเทพมหานคร

ในวัยเยาว์ พลเอกประยุทธ์เป็นนักเรียนเรียนดี จนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เจ้าตัวจึงได้สอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร และเป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 23 ในเวลาต่อมา

พลเอกประยุทธ์เข้ารับราชการทหารที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ โดยเริ่มจากตำแหน่งผู้บังคับการกองพัน จนถึงผู้บังคับการกรม ต่อมาจึงได้ย้ายไปอยู่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และรับตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 1 ก่อนจะได้รับการเลื่อนขั้นดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น และได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ.2553

พลเอกประยุทธ์ เริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมือง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 โดยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ตัดสินใจเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการในขณะนั้น ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. และเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2557

ต่อมาได้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2562 ภายหลังการประชุมร่วมรัฐสภา มีการนำเสนอชื่อพลเอก ประยุทธ์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้พลเอกประยุทธ์ ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน

จากอดีตนักเรียนวิทยาศาสตร์การเรียนดี สู่การเป็นนายทหารมากความสามารถ วันนี้ ‘บิ๊กตู่’ ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ในวัย 67 ปีบริบูรณ์ ขอให้สุขภาพแข็งแรง และทำหน้าที่บริหารประเทศอย่างเต็มความสามารถตลอดไป


ที่มา:

https://th.wikipedia.org/wiki/ประยุทธ์_จันทร์โอชา,

https://siamrath.co.th/n/83202

สพฐ. คัดเลือก 349 โรงเรียน ลุยแผนบูรณาการการศึกษาจังหวัด เสนอของบพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาในปีงบประมาณ 2565 ชี้ ผู้บริหารโรงเรียนคิดโครงการยกระดับคุณภาพโรงเรียนมาคนละ 1 โครงการ ให้ ศธ.พิจารณา

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ รักษาการ รมว.ศธ. กล่าวภายหลังการประชุมมอบนโยบายแผนบูรณาการการศึกษาจังหวัดทั่วประเทศให้แก่ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ทุกจังหวัด ว่า

ขณะนี้แผนบูรณาการการศึกษาจังหวัดมีความคืบหน้าอย่างมาก ศธ.พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้ต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ทำการคัดเลือกโรงเรียนจำนวนทั้งสิ้น 349 โรงเรียน ประกอบด้วย โรงเรียนคุณภาพของชุมชนจำนวน 183 แห่ง โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมืองจำนวน 77 แห่ง และโรงเรียนขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง (Stand Alone) จำนวน 89 แห่ง เพื่อเสนอของบประมาณพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาในปีงบประมาณ 2565 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่ในปี 2564 นี้ ตนต้องการคัดเลือกโรงเรียนนำร่องที่สามารถเป็นต้นแบบของโรงเรียนคุณภาพของชุมชน โรงเรียนมัธยมดีสี่มุมเมือง และโรงเรียน Stand Alone แบ่งเป็น 5 ภูมิภาค จำนวนทั้งสิ้น 15 แห่งให้แต่ละโรงเรียนเขียนโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา 1 โครงการเพื่อเสนอของบประมาณปี 2564

“ขอให้ผู้บริหารโรงเรียนทั้ง 349 แห่ง คิดโครงการในการยกระดับคุณภาพโรงเรียนมาคนละ 1 โครงการ และส่งเข้ามาให้ ศธ.พิจารณา เราจะมีคณะกรรมการพิจารณา แต่หากโครงการไม่ตอบโจทย์ตัวชี้วัดด้านคุณภาพเราก็จะไม่อนุมัติโครงการให้ ทั้งนี้เชื่อว่า รมว.ศธ.คนใหม่จจะให้ความสำคัญกับแผนการศึกษาจังหวัด” คุณหญิงกัลยา กล่าว


ที่มา: https://www.facebook.com/312592942736950/posts/728841491112091/

มูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคมแห่งนครควังจู สาธารณรัฐเกาหลีใต้ ออกแถลงการณ์เรียกร้องทางการไทย หยุดคุกคามนักกิจกรรมในเรือนจำ

ความว่า มูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคม ขอเตือนทางรัฐบาลไทยว่า โลกกำลังจับตามองปฏิบัติการ อันน่าสงสัยของเจ้าหน้าที่ และรัฐบาลไทยในการความพยายามกระทำการ ต่อ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ผู้ได้รับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2017 และ นายอานนท์ นำภา ผู้ได้รับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2021 กับเพื่อนนักกิจกรรมของเขา ในคืนวันที่ 15 มีนาคม 2564

ทางเจ้าหน้าที่รัฐของไทยได้ใช้ความพยายามอันน่าสงสัยถึง 3 ครั้ง เพื่อจะนำเอาตัว นายจตุภัทร์และนายอานนท์กับพวกไปยังส่วนอื่นของเรือนจำ ในเวลากลางดึกจนถึงช่วงวันใหม่ และพวกเรามีความกังวลต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัย ของผู้ได้รับรางวัลทั้งสองกับเพื่อนนักกิจกรรมของเขาเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นทางมูลนิธิฯ กับกลุ่มองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนนานาชาติ จะจับตาปฏิบัติการของรัฐบาลไทย ที่กระทำกับพวกเขาอย่างใกล้ชิด ในโอกาสนี้ ทางมูลนิธิขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวผู้ได้รับรางวัลของเรา และเพื่อนนักกิจกรรมของเขาในทันที

ทั้งนี้มูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคม แห่งนครควังจู สาธารณรัฐเกาหลีใต้ เป็นมูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรำลึกวีรชนและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนให้กับโลก มูลนิธิเกิดขึ้นจากการรวมตัวของครอบครัววีรชนชาวควังจู ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารเกาหลีใต้ในปี 1980 ซึ่งทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก

และในระหว่างเรียกร้องความเป็นธรรมนั้น ก็มีผู้สละชีวิตประท้สวงรัฐบาลเกาหลีใต้ให้หันมาสนใจ และคืนความเป็นธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เมื่อเกาหลีใต้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น การเรียกร้องให้คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และคืนความเป็นธรรมให้กับวีรชนและครอบครัวผู้เสียชีวิต ชาวควังจูก็ได้เล็งเห็นความสำคัญในการรณรงค์ เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

จึงได้มอบรางวัลสิทธิมนุษยชนฯ ดังกล่าว แก่ผู้มีผลงานในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และสันติภาพ ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมามูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคม ได้มอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้แก่ ซานาน กุสเมา ปี 2000, อองซานซูจี ปี 2004 ในบทบาทยุคที่ถูกเผด็จการทหารกักตัว, สำหรับประเทศไทย ผู้ได้รับรางวัลนี้ได้แก่ นางอังคณา นีละไพจิตร ปี 2006, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ปี 2017 และ นายอานนท์ นำภา ปี 2021


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/politic/2051601

'พานทองแท้' บ่นตอนพ่อเป็นนายกฯ ไปเจรจาระหว่างประเทศ เคยนั่งเครื่องไปด้วยหลายสิบครั้ง เสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้เรียนรู้เทคนิคการเจรจาระดับสูงจากพ่ออย่างเต็มที่ ก่อนถามเสียดายโอกาสของประเทศไทยที่หายไปกันบ้างหรือเปล่า

จากเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ของนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน ได้โพสต์ข้อความเล่าความหลังว่า...

“โดนจับนั่งเครื่องไปด้วยตอนพ่อเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเจรจาระหว่างประเทศหลายสิบครั้ง #ไปเองจ่ายเองนักเลงพอ #ไม่ใช้เงินหลวง #NoDrama

ตอนนั้นยังเรียนไม่จบเพิ่ง 20 ต้น ๆ ยังไม่สนใจการเมือง จึงไม่สนใจว่าพ่อจะเจรจาอย่างไรบ้าง เพิ่งจะได้ฟังเทคนิคการเจรจาระดับสูงจากพ่อ ตอนมาฟังคลับเฮาส์พร้อมๆ กับ Tony’s FC วันนี้นี่เอง ฟังแล้วก็คิดถึง และเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้เรียนรู้จากพ่ออย่างเต็มที่

เพื่อน ๆ ล่ะครับ!! เสียดายโอกาสของประเทศไทย ที่หายไปกันบ้างหรือเปล่า? #tonywoodsome”


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000025528

จีนเตรียมผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเข้าประเทศ ด้วยการออกวีซ่าให้แก่ชาวต่างชาติจากบางประเทศ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของจีน หากสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น จนสามารถกลับมาเดินทางได้ตามปกติอีกครั้ง

โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงปักกิ่งว่า สถานทูตจีนในหลายประเทศพร้อมเปิดให้ประชาชนในบางประเทศที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของจีนแล้วสามารถยื่นขอวีซ่าเข้าจีนได้ สถานทูตจีนในสหรัฐฯ แถลงลงวันที่ 15 มีนาคม ว่า ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดรับการยื่นขอวีซ่าจากผู้รับการฉีดวัคซีนจีนที่จะเดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อไปทำงาน ทำธุรกิจ หรือความจำเป็นทางมนุษยธรรม เช่น กลับไปพบหน้าครอบครัว ผู้มีสิทธิยื่นขอวีซ่าจะต้องรับการฉีดวัคซีนจีนครบ 2 โดส หรืออย่างน้อย 1 โดส ในช่วง 14 วันก่อนยื่นขอวีซ่า และมีผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นลบ ด้านสถานทูตจีนในอินเดีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อิตาลี และศรีลังกาก็ออกประกาศลักษณะเดียวกัน

จีนกำลังเร่งเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนผลิตเองในประเทศที่ได้รับอนุมัติแล้ว 4 ขนาน ได้แก่ Sinapharm, Sinovac, Coronavac และวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทอันฮุย จื้อเฟย หลงเขอ ไบโอฟาร์มาซูติคัล ให้แก่คนในประเทศ แต่ยังไม่อนุมัติวัคซีนที่ผลิตจากต่างประเทศแม้แต่ขนานเดียว

นอกจากนี้ ยังส่งออกหรือบริจาควัคซีนที่ผลิตเองให้แก่หลายประเทศ เช่น ตุรกี อินโดนีเซีย กัมพูชา ปากีสถาน ส่งผลให้สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก ประกาศแผนร่วมมือกันเตรียมส่งวัคซีนให้กับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียเช่นกันเพื่อแข่งขันกับจีนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘การทูตวัคซีน’ เต็มรูปแบบ

ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดภายในประเทศ หลังจากที่พบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นเป็นที่แรกของโลกเมื่อปลายปี 2019 แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่ผู้เดินทางจากต่างประเทศจะนำไวรัสเข้ามาแพร่จนเกิดการระบาดซ้ำ จีนได้ใช้นโยบายจำกัดการเข้าเมือง โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศภายใต้วัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น มาทำงาน เป็นต้น และผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้วก็จะต้องผ่านกระบวนการกักตัวตามระเบียบ


ที่มา : รอยเตอร์

https://www.naewna.com/inter/559621

คิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตือนสหรัฐฯ อย่ากระทำการใด ๆ ที่จะทำให้ ‘หลับไม่ลง’ เมื่อรัฐบาลโจ ไบเดน เริ่มส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศเยือนประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

หนังสือพิมพ์โรดอง ชินมุน ของทางการเกาหลีเหนือตีพิมพ์ถ้อยแถลงของคิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึนผู้นำเกาหลีเหนือ หลังจากสหรัฐและเกาหลีใต้เปิดฉากซ้อมรบร่วมเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ขอแนะนำรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ที่กำลังหาทางแพร่กระจายกลิ่นดินปืนในดินแดนเกาหลีเหนือว่า หากอยากนอนหลับสบายตลอด 4 ปีข้างหน้า ทางที่ดีอย่าได้หาเรื่องตั้งแต่ต้น ที่จะทำให้ข่มตาหลับไม่ลง 

นับเป็นครั้งแรกที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีต่อรัฐบาลไบเดนที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม แม้ว่ายังไม่เอ่ยชื่อไบเดนโดยตรง และมีขึ้นหลังจากที่ พล.อ.ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหม และนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางถึงญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ เพื่อเริ่มการเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก หวังตอกย้ำความร่วมมือต่อต้านอิทธิพลจีนและการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

นักวิเคราะห์ในเกาหลีใต้มองว่า ที่ผ่านมาการออกถ้อยแถลงของเธอมักเป็นการส่งสัญญาณว่าเกาหลีเหนือเตรียมเพิ่มท่าทีแข็งกร้าว จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเกาหลีเหนืออาจยั่วยุทางทหารระหว่างหรือหลังจากที่รัฐมนตรีทั้งสองคนของสหรัฐเสร็จสิ้นการเยือนพันธมิตร ส่วนช่วงไม่กี่วันก่อนไบเดนเข้ารับตำแหน่ง นายคิม จอง อึน ตราหน้าสหรัฐว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของประเทศ และใช้พิธีสวนสนามเปิดตัวขีปนาวุธนำวิถียิงจากเรือดำน้ำรุ่นใหม่ อย่างไรก็ดี ตอนที่ประธานาธิบดีไบเดน ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆ เกาหลีเหนือก็ไม่ได้ยิงทดสอบขีปนาวุธเป็นการท้าทายอย่างที่เคยทำมา

ท่าทีของเกาหลีเหนือมีขึ้น ท่ามกลางการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ที่ลดขนาดลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่นางเจน ซากี โฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว ไม่ได้กล่าวถึงแถลงการณ์จากน้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ แต่ยอมรับว่า จนถึงปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีเหนือยังไม่ตอบกลับความพยายามติดต่อผ่านทุกช่องทางของรัฐบาล รวมถึงผ่านคณะผู้แทนถาวรเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ มาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และใน 1 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ เองไม่ได้มีการเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่องแม้จะมีความพยายามมาจากฝ่ายสหรัฐฯ ก็ตาม

ขณะเดียวกัน นายโนบูโอะ กิชิ รัฐมนตรีกลาโหมของญี่ปุ่น พบปะกับ พล.อ.ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ที่กรุงโตเกียว เรื่องความเคลื่อนไหวทางทหารของกองทัพจีนในบริเวณทะเลจีนใต้ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะหลายแห่ง นายกิชิ กล่าวว่า บรรยากาศในทะเลจีนใต้และทะเลฝั่งตะวันออกเต็มไปด้วยความตึงเครียดและรุนแรง

จากการเคลื่อนไหวทางทหารทั้งของกองทัพจีน และกองทัพสหรัฐฯ จนน่าวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคง ประเทศพันธมิตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งพื้นที่ในทะเลจีนใต้จึงหวังว่า สหรัฐฯ กับจีนจะใช้วิธีทางการทูตด้วยการเจรจาจำกัดกรอบการเคลื่อนไหวทางทหารในพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อให้บรรยากาศต่าง ๆ ดีขึ้น จนนำไปสู่การเจรจาในระดับต่อไปได้


ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์/บีบีซีนิวส์
https://www.naewna.com/inter/559622


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top