Monday, 19 May 2025
NewsFeed

'เสี่ยเฮ้ง' กล่าวถึงส่วนหนึ่งของนโยบายหาเสียงจากพรรคเพื่อไทย

ถ้ามั่นใจว่าจะทำได้จริง
ให้ช่วยทำกับบริษัท
ในเครือข่ายของท่านก่อน
ลองทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

คุณอุ๊งอิ๊งเกิดมาก็รวยเลย
ไม่รู้หรอกว่ากว่าที่บริษัท
เขาจะเติบโตกันขึ้นมาได้
เขาต้องผ่านปัญหา
อุปสรรคอะไรมาบ้าง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 
ให้สัมภาษณ์กับ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565

‘อุ๊งอิ๊ง’ ยัน ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ‘ทำได้’ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ชี้!! ต้องรอให้เศรษฐกิจทั้งประเทศพร้อมก่อน

พรรคเพื่อไทย นำโดย แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบาย พรรคเพื่อไทย เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนผู้จบการศึกษาปริญญาตรี 25,000 บาท 

แพทองธาร กล่าวว่าตนเข้าใจดีว่าเหตุใดจึงมีการถกเถียงในเรื่องนี้ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจในขณะนี้ยังไม่ดี พรรคเพื่อไทยจึงแสดงวิสัยทัศน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ถ้าเราปรับภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศให้เติบโตไปพร้อมกัน เหมือนสมัยที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเคยปรับค่าแรงเป็น 300 บาทต่อวัน 10 ปีผ่านไป ค่าแรงขั้นต่ำยังปรับขึ้นมาแค่ 54 บาท จึงเป็นเหตุให้เกิด รวยกระจุก จนกระจาย คนได้ประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำ คือคนกลุ่มเล็ก ๆ บนยอดสามเหลี่ยม 

แต่ฐานรากคือคนส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจนเดือดร้อน คนใช้แรงงานยังไม่ได้รับเกียรติไม่ได้รับศักดิ์ศรีเพียงพอ เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในประเทศอื่น อีกทั้งหากภาพรวมเศรษฐกิจของทั้งประเทศดีขึ้น แรงงานมีรายได้มากขึ้นจะสามารถจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ช่วยผลักดันเศรษฐกิจทั้งระบบ ดังนั้น การเติบโตของเศรษฐกิจในแนวทางของพรรคเพื่อไทย คือต้องการให้ทั้งประเทศ คนทุกชนชั้น เติบโตได้ทุกโอกาส สามารถออกมาจับจ่ายใช้สอยดูแลครอบครัวของตัวเองได้ การคิดเล็กไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงเป็นที่มาของแนวคิด ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’

“เราต้องเป็นทุนนิยมที่มีหัวใจ ค่าแรงต้องปรับขึ้นเมื่อเศรษฐกิจทั้งประเทศพร้อม วันนี้ค่าแรงยังปรับขึ้นเป็น 600 บาท ไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี แต่เมื่อเศรษฐกิจดีแล้ว จีดีพี จะเติบโตที่ 5% ปีแรกอาจสูงกว่า หรือปีต่อมา อาจลดน้อยลงตามเลขเฉลี่ยแต่ละปี ทั้งหมดคือหัวใจหลัก” แพทองธาร กล่าว

นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช กล่าวว่า จุดยืนหรือหัวใจหลักของพรรคเพื่อไทยคือ สร้างรายได้ ขยายโอกาส แต่ปัญหาขณะนี้คือหนี้ เราจึงต้องแก้หนี้ด้วยการสร้างรายได้ ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดีก็ไปกู้ กู้แล้วก็ขยายเพดานหนี้จึงทำให้ค่าจ้างแรงงานยังต่ำ ประเทศรายได้ก็ต่ำ ความเหลื่อมล้ำก็สูง เราจึงต้องใช้นโยบายหลายเรื่องราวที่แถลงเมื่อวานเรียงร้อยและผลักดันไปพร้อมกัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น คือต้องสร้างรายได้ใหม่ไปพร้อมกัน 

การปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ ไม่ใช่การทำลายโครงสร้าง แต่เป็นการทำงานร่วมกันในระดับไตรภาคีคือ เห็นพ้องร่วมกันระหว่างรัฐ - ผู้ประกอบการ - ประชาชน ค่าแรงขั้นต่ำคิดขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพราะค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น พรรคเพื่อไทยรู้ว่าผลิตภาพการผลิต คือที่มากำไรของผู้ประกอบการที่จะนำมาจ่ายเงินเดือน - โบนัส แรงงานได้ ส่วนรายได้เข้าประเทศอื่น ๆ อย่าง ภาคการท่องเที่ยว พรรคเพื่อไทยคิดจากฐานของรายได้ภาคท่องเที่ยวก่อนเกิดการระบาดของโควิด ซึ่งอยู่ที่มูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อไทยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 3 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถทำได้แน่นอนด้วยการสร้างแรงดึงดูดด้วยศักยภาพการท่องเที่ยวที่ไทยมีอยู่มากมาย และการจัดการการบิน - สนามบิน - การอำนวยความสะดวกด่านตรวจคนเข้าเมือง พรรคเพื่อไทยมีผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้แทนจากภาคธุรกิจ จากภาคประชาชน จึงมีความมั่นใจว่าเราคิด ทำ และขับเคลื่อนทั้งระบบได้อย่างแน่นอน

ด้าน เผ่าภูมิ โรจนสกุล ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวโดยแบ่งเป็น 4 ประเด็นคือ

1. ค่าแรง 600 บาท กับปี 2570 เหมาะสมไหม และทำได้หรือไม่? ประเด็นนี้ ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศเลย ถ้าผู้นำมองประเทศไทยแค่เป็นลูกจ้างผลิตกินค่าแรงราคาถูก ก็ผลิตแต่แรงงานไร้ฝีมือ แต่ถ้าเป็นเพื่อไทย จะยกระดับการผลิตไปอีกขั้น จากผลิตตามคำสั่งเป็นการเป็นผู้สร้างนวัตกรรม จากการเกษตรตามยถากรรรม จะเป็นการเกษตรที่กำหนดราคาได้ จากเป็นบริการราคาถูก จะเป็นภาคบริการชั้นสูง คู่แข่งเราต้องไม่ใช่เวียดนาม แต่ต้องเป็นสิงคโปร์และประเทศพัฒนาแล้ว นี่คืวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มองต่างก็จะนำไปสู่ราคาค่าแรงที่ต่าง

'อุตตม' เห็นต่าง 'เพื่อไทย' เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ชี้!! ควรยึดที่ประสิทธิภาพของแรงงาน เชื่อ ได้ประโยชน์ทั้งตัวแรงงานและผู้ประกอบการ

เมื่อไม่นานมานี้ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ได้เผยแพร่ข้อความ โดยระบุว่า...

สวัสดีครับ ช่วง 2 วันที่ผ่านมา กระแสสังคมมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่าประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ภายใต้ความสมดุลใน 2 ประเด็นหลัก คือ 1.ปรับเพื่อให้แรงงานสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพสอดคล้องกับต้นทุนค่าใช้จ่ายการใช้ชีวิตในปัจจุบัน 2.ปรับขึ้นค่าแรงต้องไม่กระทบกับผู้ประกอบการ เนื่องจากวันนี้ในภาพรวมผู้ประกอบการส่วนใหญ่โดยเฉพาะเอสเอ็มอียังไม่หายบาดเจ็บจากโควิด และเชื่อว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะฟื้นตัว

ผมอยากเชิญทุกท่านร่วมกันคิดหาทางออกว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำบนพื้นฐานของความสมดุลควรทำอย่างไร ส่วนตัวเห็นว่า เราต้องใช้ระบบกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำแบบใหม่ จากเดิมที่กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำตามพื้นที่ โดยพื้นที่ใดค่าครองชีพสูงก็ได้ค่าแรงสูง ค่าครองชีพต่ำก็ได้ค่าแรงต่ำ เปลี่ยนเป็นการกำหนดค่าแรงที่ยึดเอาประสิทธิภาพของแรงงานเป็นหลัก ซึ่งจะตอบโจทย์ความเป็นไปในสถานการณ์ปัจจุบัน และการพัฒนาประเทศในโลกอนาคตมากกว่า

วันนี้ประชากรในวัยแรงงานของไทยมีประมาณ 38 ล้านคน แบ่งเป็นภาคบริการและการค้า 18 ล้าน ภาคเกษตร 10 ล้าน และภาคการผลิตอุตสาหกรรม 10 ล้าน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) นับเป็นกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ จึงควรได้รับการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ที่เหมาะสม และส่งเสริมให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอย่างเต็มที่

ทั้งนี้เราควรกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำโดยแบ่งตามประเภทแรงงานแล้วยึดเอาประสิทธิภาพหรือทักษะของแรงงานเป็นตัวกำหนดอัตราค่าแรง คือ หากเป็นประเภทแรงงานเข้มข้นหรือแรงงานที่ไม่มีทักษะก็กำหนดค่าแรงอัตราหนึ่ง ที่สามารถอยู่ได้ในคุณภาพชีวิตที่ดีพอ แต่หากเป็นแรงงานที่ต้องใช้ทักษะเพิ่มก็ควรได้รับอัตราค่าแรงที่สูงกว่า ขณะเดียวกันภาครัฐก็จะต้องมีมาตรการยกระดับทักษะแรงงาน เพื่อให้แรงงานขั้นพื้นฐานสามารถยกระดับขึ้นไปขั้นที่สูงกว่า ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับของประเทศสิงคโปร์ ตัวอย่างอาชีพแม่บ้านที่นั่นหากเป็นแม่บ้านทั่วไปก็จะได้ค่าแรงราคาที่ต่ำกว่าแม่บ้านที่ทำงานสถานที่บริการหรือในสถานที่ราชการ เพราะถือว่าต้องใช้ทักษะการบริการด้วย หากทำได้เช่นนี้ก็จะเป็นการสนับสนุนให้แรงงานเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดกิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง

สาวยืมรถพี่ชายไปซื้อของ แต่ขากลับขี่รถคนอื่นกลับบ้าน ด้านชาวเน็ตถาม ทำไมกุญแจถึงใช้ด้วยกันได้?

พี่ชายถึงกับงง น้องสาวยืมรถออกไปซื้อของ แต่กลับมาเป็นคนละคัน ทำเอาชาวเน็ตห่วงไม่ปลอดภัยซะแล้ว ใช้กุญแจดอกเดียวกันได้

ทำเอาโลกโซเชียลทั้งฮาทั้งเป็นห่วง เมื่อผู้ใช้ติ๊กต๊อก ‘manrandom01’ ได้โพสต์คลิปว่าน้องสาวขี่รถจักรยานยนต์ของพี่ชายไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน พบว่าน้องสาวขี่รถจักรยานยนต์ของใครก็ไม่ทราบ กลับมาถึงบ้าน จนทำให้พี่ชายต้องรีบบันทึกเหตุการณ์ชวนหัวเราะในครั้งนี้

จีน ยอมให้ผู้ป่วยโควิดกักตัวอยู่บ้าน พร้อมสั่งห้ามขยายพื้นที่เสี่ยงสูงตามอำเภอใจ

ปักกิ่ง, 7 ธ.ค. (ซินหัว) — วันพุธ (7 ธ.ค.) จีนออกหนังสือเวียนว่าด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพและความเหมาะสมของการรับมือโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เพิ่มเติม โดยมีการประกาศมาตรการป้องกันและควบคุม 10 ประการ

หนังสือเวียนจากกลไกร่วมป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 แห่งคณะรัฐมนตรีจีน ระบุว่า มาตรการเหล่านี้อ้างอิงสถานการณ์โรคระบาดและการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสฯ ล่าสุด เพื่อควบคุมโรคระบาดแบบพุ่งเป้าและตามหลักวิทยาศาสตร์ยิ่งขึ้น

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นต้องแก้ไขแนวทางเหมารวม และขั้นตอนทางนโยบายที่มากเกินไป ต่อต้านและยับยั้งพิธีการและระบบราชการที่ไร้แก่นสาร และดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมอย่างซื่อสัตย์ เพื่อการปกป้องชีวิตและสุขภาพของประชาชนขั้นสูงสุด และลดผลกระทบของโรคระบาดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้ได้มากที่สุด

หนังสือเวียนสั่งห้ามการขยับขยายพื้นที่เสี่ยงสูงตามอำเภอใจ และเรียกร้องการจำแนกพื้นที่เสี่ยงโรคโควิด-19 แบบพุ่งเป้าและตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยพื้นที่เสี่ยงควรถูกกำหนดตามครัวเรือน ชั้น หน่วยหลัง และอาคาร แทนเขตย่อย (หมู่บ้านและตำบล) ชุมชน และย่านที่อยู่อาศัย

ประชาชนจะไม่ถูกบังคับเข้าร่วมการทดสอบกรดนิวคลีอิกขนานใหญ่ตามภูมิภาคการปกครอง ส่วนขนาดและความถี่ของการทดสอบกรดนิวคลีอิกจะถูกปรับลดลงเพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปรับปรุงประสิทธิภาพและความเหมาะสมของการทดสอบกรดนิวคลีอิก

นอกจากนั้นประชาชนจะไม่ต้องแสดงผลทดสอบกรดนิวคลีอิกที่เป็นลบและผ่านการตรวจเช็ก รหัสสุขภาพเพื่อเข้าถึงสถานที่สาธารณะหรือเดินทางสู่ภูมิภาคอื่น ๆ อีกต่อไป ยกเว้นบ้านพักคนชรา สถาบันการแพทย์ โรงเรียนประถมและมัธยมต้น โรงเรียนอนุบาล และสถานที่พิเศษอื่นๆ

รู้จัก ‘พรรคภูมิใจไทย’ พรรคที่มีสโลแกนจดจำง่าย ‘พูดแล้วทำ’

พรรคภูมิใจไทยกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 พร้อมกับชื่อของ นายพิพัฒน์ พรมวราภรณ์ ในตำแหน่งหัวหน้าพรรค และนายมงคล ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค 

'อลงกรณ์' ปาฐกถานานาชาติชูนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0 ยกระดับการผลิตภาคเกษตรของไทยสู่เป้าหมาย 3 สูง 'ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง รายได้สูง' ภายใต้แนวทางเศรษฐกิจใหม่ BCG โมเดล

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0 ได้ให้เกียรติ เป็นองค์ปาฐกในงานการอบรมเชิงปฏิบัติการนานาชาติว่าด้วย 'การจัดการฟาร์มแบบอัจฉริยะอย่างยั่งยืน' (Sustainable Smart Farming Workshop) จัดโดย SUNSpACe ERASMUS+ CBHE Project ณ Bamboo Whisper Garden เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ โดยมี นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร CTPI, Professor Yacine Ouzrout, Director of IUT, University Lumiere Lyon 2 และ Professor  Aicha SEKHARI SEKLOULI, ผู้ประสานงานโครงการ SUN Space ให้การต้อนรับ นายอลงกรณ์ ได้กล่าวปาฐกถาว่า ถือเป็นโอกาสอันดี ที่ภาคเอกชน ภาควิชาการ นานาชาติ ให้ความสนใจและขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน และมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ 'การจัดการฟาร์มแบบอัจฉริยะอย่างยั่งยืน' เป็นแนวทางหรือเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ ส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีวิสัยทัศน์ 'เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น ได้ขับเคลื่อนนโยบาย '3S' คือ ความปลอดภัยของอาหาร (Safety) ความมั่นคงของภาคเกษตรและอาหาร (Security) และความยั่งยืนของภาคการเกษตร (Sustainability) สนับสนุนการเปิดตลาดต่างประเทศใหม่ ๆ โดยกำหนด Model การค้าเพื่อให้เกิดระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) รวมถึงการนำเทคโนโลยี Smart Farming มาใช้ในการพัฒนา Packaging และสร้างแบรนด์อีกด้วย โดย ได้จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร (Agritech and Innovation Center: AIC) ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นศูนย์การศึกษา การวิจัยและพัฒนา การอบรมบ่มเพาะและ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร รวมทั้งยังจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Execellence: CoE) จำนวน 23 ศูนย์ ที่มีการคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานการเกษตร ตั้งแต่ ต้นน้ำด้านการวิจัยและพัฒนา กลางน้ำ ด้านการแปรรูป และปลายน้ำ ด้านการตลาด การขาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคี เครือข่ายทั้งภาคเอกชน สถาบันเกษตรกร ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม  นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ส่งเสริมช่องทางการตลาด 'ตามนโยบายการตลาด นำการผลิต' ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนทั้งการค้าออนไลน์และออฟไลน์

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจ BCG Model (the Bio-Circular and Green Economic Model) ภายใต้เป้าหมายและทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนซึ่งเป็นไฮไลต์ในการจัดประชุมAPECที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนที่แล้ว โดยเน้นการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตภาคเกษตรของประเทศไทยสู่ 3 สูง ได้แก่ ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง และ รายได้สูง ซึ่งประสิทธิภาพสูง คือการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมยกระดับผลผลิตเกษตร มาตรฐานสูง ด้วยระบบการผลิตที่ยั่งยืน ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพผลผลิต โภชนาการมีความปลอดภัย ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และ รายได้สูง ด้วยการผลิตสินค้าเกษตรที่เน้นความเป็นพรีเมียม หรือตลาดเฉพาะ และสามรถกำหนดราคาขายได้ตามคุณภาพของผลผลิตเกษตร เพื่อให้การทำการเกษตรเป็นอาชีพที่สร้างความมั่นคง

ผบ.ตร.มอบ จเรตำรวจ ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี นายชูวิทย์ฯ แฉ ตำรวจ ตม.เอี่ยวทุนจีนสีเทา หากพบดำเนินการเด็ดขาด องค์กรต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้

วันนี้ (8 ธ.ค.2565) เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.เปิดเผยถึง กรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง แถลงข่าวปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ กรณีมีตำรวจสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) คอยอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนจีนสีเทา พร้อมเปิดหลักฐานการจัดตั้งมูลนิธิรับจดทะเบียนให้คนจีนพักอาศัยในไทยโดยผิดกฎหมาย

‘เสี่ยเฮ้ง’ ส่งตัวแทนเยี่ยมแรงงานไทยในสิงคโปร์ พร้อมกำชับดูแล ‘สิทธิประโยชน์แรงงาน’ อย่างเป็นธรรม

(8 ธ.ค. 65) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) และนางดัชนี คูหาทอง ที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) รักษาการในตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศสิงคโปร์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพบปะให้กำลังใจและมอบข้าวสารแก่แรงงานไทยในสิงคโปร์ที่ไซต์งานของบริษัท Ed.Zublin AG Singapore ซึ่งเป็นบริษัทของเยอรมัน ประกอบธุรกิจสร้างท่อและวางท่อน้ำเสียขนาดใหญ่และเล็ก ที่ผลิตและนำเข้ามาจากสาขาของบริษัทในประเทศไทย ปัจจุบันมีโครงการวางท่อน้ำเสียในประเทศสิงคโปร์อยู่ 5 โครงการ โดยไซต์งาน F3C3 อยู่ที่ Jalan Buroh เป็นโครงการวางท่อน้ำใหญ่ มีหัวหน้าคนงานไทยเป็นคนผู้ควบคุมงาน มีคนงานไทยทำงานในบริษัทประมาณ 100 คน 

นายบุญชอบ กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนายจ้างพบว่า ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 แรงงานไทยได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานถือใบอนุญาตการทำงานประเภท Work Permit ในภาคก่อสร้าง อู่ต่อเรือ และภาคกระบวนการผลิต เนื่องจากประเทศไทยได้ถูดจัดให้อยู่ในกลุ่ม Non-Traditional Sources (NTS) ที่ประกอบด้วย ไทย อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา เมียนมา ฟิลิปปินส์ แต่ไม่สามารถทำงานในภาคบริการ และอุตสาหกรรมได้ ปัจจุบันสิงคโปร์เปิดประเทศภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรมการผลิตจึงประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากสิงคโปร์พึ่งพาแรงงานต่างชาติ จากจีน และมาเลเซียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนโยบายของประเทศดังกล่าวทำให้มีแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศสิงคโปร์น้อยลง รัฐบาลจึงอนุญาตเป็นกรณีเฉพาะสำหรับการจ้างงานแรงงานจากประเทศอื่น ๆ รวมถึงแรงงานจากประเทศไทยด้วย จึงส่งผลให้มีแรงงานไทยเข้ามาทำงานในภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งนายจ้างส่วนใหญ่ต่างสนใจที่จะจ้างแรงงานไทยเพราะคนไทยมีความอดทน อุปนิสัยอ่อนโยน มีบุคลิกภาพที่เหมาะกับงานบริการ 

อีกทั้งในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานมีความละเอียด รอบคอบ มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ และรวมถึงความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นายจ้างภาคอุตสาหกรรมจึงได้จ้างคนไทยมาประมาณ 2-3 ปี ที่ผ่านมา ยังไม่มีปัญหาที่จะส่งผลกระทบกับการจ้างงานคนไทยในอนาคต 

ส่วนภาคบริการได้มีการเริ่มจ้างตั้งแต่ปี 2563 ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะเป็นการเปิดตลาดแรงงานอาชีพใหม่ ๆ ได้ในอนาคต ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานแรงงานในประเทศสิงคโปร์ ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 พบว่า มีจำนวนแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศสิงคโปร์ที่มีการรับรองเอกสารการจ้างงานตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 - 2566 แล้วจำนวนเกือบ 5,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในสาขาช่างกึ่งฝีมือ เช่น ช่างเชื่อม ช่าง PCM ช่างในอู่ต่อเรือ รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรม ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ก่อสร้าง ช่างฝีมือ และภาคบริการ เป็นต้น

‘สืบนครบาล’ รวบ ‘ปุยนุ่น’ แม่ค้าออนไลน์ หลอกขายอาหารเสริมฯ เสียหายกว่า 5 ล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบที่สร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยต่อมาชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. ได้รับแจ้งเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนทางเพจ ‘สืบสวนนครบาล IDMB’ ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมตัว นางสาวปุยนุ่น คนระแหง ซึ่งมีพฤติการณ์เป็นตัวการในการเปิดบัญชีเฟซบุ๊กหลอกขายอาหารเสริมประเภทคอลลาเจนเม็ดยี่ห้อ JOJU, โลชั่นทาผิวยี่ห้อออร่าไวท์, เซรั่มสตอเบอรี่ลดริ้วรอยยี่ห้อ Yerpall, สบู่ใบบัวบกยี่ห้อ Chariya, เซรั่มทาบำรุงผิวยี่ห้อโดสแดง นาโนไวท์โดส 

โดยใช้เฟซบุ๊กชื่อบัญชี ‘ปุย นุ่น (อาฟิวส์)’, ชื่อบัญชี ‘สุมินตรา สุนาชัย’, ชื่อบัญชี ‘นุ่น นนนนนน’, ชื่อบัญชี ‘มณีรัตน์ ทองคำ’, ชื่อบัญชี ‘ศิรินันท์ ภูมิใจ’ ในการโพสต์หลอกขาย จนมีชื่อติดในติดแบล็กลิสต์ บัญชีคนโกง สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก มูลค่าความเสียหายกว่า 5 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 เวลาประมาณ 12.30 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่, พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี, พ.ต.อ.กมล นุ่มหอม รอง ผบก สส.บช.น., พ.ต.อ.ฤตวีร์ สุขเจริญ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น, พ.ต.ต.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.ธนพล มโนสร รอง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. และเจ้าหน้าที่ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ได้สืบสวนติดตามจับกุมตัว นางสาวมณีรัตน์ ทองคำ หรือ ‘นุ่นศรี’ หรือ ‘ปุย นุ่น (อาฟิวส์)’ หรือ ‘สุมินตรา สุนาชัย’ หรือ ‘นุ่น นนนนนน’ หรือ ‘มณีรัตน์ ทองคำ’ หรือ ‘ศิรินันท์ ภูมิใจ’ อายุ 19 ปี ที่อยู่ 158 หมู่ 4 ตำบลบ้านมุง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก 

โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกง และมาตรา 14 วรรคสอง (1) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550’

พบหมายจับจำนวน 2 หมาย ประกอบด้วย
1. หมายจับศาลแขวงเชียงใหม่ ที่ จ 486/2565 ลงวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกง และมาตรา 14 วรรคสอง (1) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550’ ท้องที่ สภ.ช้างเผือก ภ.จว.เชียงใหม่

2. หมายจับศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง (สาขามีนบุรี) ในความผิดฐาน ‘ไม่มาศาลตามกำหนดนัด’ ในคดีที่ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน’ ตามหมายจับระหว่างพิจารณา ที่ 21/2565

จับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่บริเวณหน้าที่พักคนงานริมถนนเทศบาล 7 หมู่ 4 ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหารับสารภาพว่าตนเองเป็นคนพื้นเพเกิดที่จังหวัดพิษณุโลก เรียนจบชั้น ป.6 ย้ายมาอาศัยในพื้นที่ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่อายุ 12 ปี โดยสารภาพว่าก่อนที่จะมาเริ่มก่อเหตุ เคยทำอาชีพขายครีมบำรุงผิวผ่านทางออนไลน์ แต่เมื่อประสบปัญหาหมุนเงินไม่ทัน จึงรับออเดอร์ลูกค้ามาแล้วนำเงินไปหมุนใช้จ่ายอย่างอื่นแทนก่อน เมื่อถึงกำหนดส่งสินค้าตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งก็ไม่สามารถหาสินค้ามาส่งให้ลูกค้าได้ จึงไปซื้อสินค้าชนิดอื่น เช่น แชมพูราคาถูก, น้ำดื่มในร้านสะดวกซื้อ หรืออื่น ๆ ที่สามารถหาได้ส่งให้ลูกค้าแทนสินค้าที่ต้องการ เมื่อเห็นว่าได้กำไลดีจึงหลงผิดทำต่อเนื่องเรื่อยมา 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top