Monday, 19 May 2025
NewsFeed

'เสี่ยเฮ้ง' เดินหน้า!! หารือ รัฐมนตรีออสเตรเลีย เจรจาเร่งขยายตลาดแรงงานในออสเตรเลีย

(7 ธ.ค. 65) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะ หารือทวิภาคีกับ ฯพณฯ เบรนดัน โอคอนเนอร์ (H.E.The Hon Brendan O’ Connor MP) รัฐมนตรีด้านทักษะและการฝึกอบรม กระทรวงการจ้างงานและแรงงานสัมพันธ์ ประเทศออสเตรเลีย ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศสิงคโปร์ เพื่อเข้าร่วมการประชุมภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Asia - Pacific Regional Meeting : APRM) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ครั้งที่ 17 และหารือความร่วมมือเปิดตลาดแรงงานในออสเตรเลีย โดยมี นายชุตินทร คงศักดิ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำสิงคโปร์ ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม Ord Meeting Room, Stamford Meeting Rooms ชั้น 4 Raffles City Convention Centre สาธารณรัฐสิงคโปร์

นายสุชาติ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้คนไทยได้ไปทำงานในต่างประเทศ รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนเพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีทักษะฝีมือเพิ่มขึ้น และนำรายได้กลับมาพัฒนาประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีสถานศึกษาที่มีศักยภาพ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน มีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่มีความพร้อมในการฝึกทักษะให้คนไทยก่อนที่จะไปทำงานในต่างประเทศ ดังนั้น การหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับออสเตรเลียในวันนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีในการกระชับความร่วมมือด้านแรงงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ รวมทั้งฟื้นความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถจัดส่งแรงงานในสาขาภาคเกษตร ช่างฝีมือ และธุรกิจบริการ ตามที่ออสเตรเลียต้องการได้ 

จากการหารือในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายในโอกาสต่อ ๆ ไป ซึ่งกระทรวงแรงงานจะนำคณะไปพบกับสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมของออสเตรเลีย เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันถึงรายละเอียดความต้องการแรงงานไทยในสาขาที่ขาดแคลน รวมทั้งการลงนามความร่วมมือในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในออสเตรเลียในโอกาสต่อไปด้วย

'ชูวิทย์' แฉ 3 พลตำรวจตรี 'เรียกรับส่วย' ขบวนการแปลงวีซ่า เอื้อ 'นายทุนจีนสีเทา'

(7 ธ.ค. 65) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมสุนัขคู่ใจ โดยตั้งชื่อเล่นให้ใหม่ว่า 'สัน' ซึ่งในการแถลงได้กล่าวถึงการเปิดหลักฐานขบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สังกัด ตม. ที่อำนวยความสะดวก ให้กลุ่มทุนจีนสีเทา รวมถึงเปิดหลักฐานการจัดตั้งมูลนิธิรับจดทะเบียนให้คนจีนเข้าพักอาศัยในไทยโดยผิดกฎหมาย

นายชูวิทย์ ตั้งชื่อการแถลงวันนี้ว่า 'ปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ' โดยเปิดเผยว่า มีนายตำรวจ ยศ พล.ต.ต. จำนวน 3 นาย ซึ่งมี 2 นาย เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านหนึ่ง เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการแปลงวีซ่า และ สมาคมเถื่อน โดยมีการเรียกรับเงินกับ 'นายทุนจีนสีเทา' ที่เข้ามาในประเทศไทย และ ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย

ทั้งนี้กลุ่มนายทุนจีนสีเทา จะอยู่ในประเทศไทยได้ 30 วัน โดยวีซ่านักท่องเที่ยว หลังจากนั้น หากต้องการเปลี่ยนประเภทวีซ่าเป็น วีซ่าสำหรับประกอบธุรกิจ (non b visa) หรือ อาสาสมัครมูลนิธิ (non o visa) จะติดต่อผ่านคนกลาง และไปสมัครเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครของมูลนิธิเถื่อน จากข้อมูลที่มีอยู่ 8 แห่ง ซึ่งหลอกว่า จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการศึกษาภาษาจีนของเด็กและเยาวชน โดยจะจ่ายเงินตรงให้ตำรวจ ตม.รายละ 100,000 - 300,000 บาท พบข้อมูลดำเนินการระหว่างปี 2563 ถึง 2564 มีการอนุมัติเปลี่ยนประเภทวีซ่า ไปกว่า 3,325 ราย 

นายชูวิทย์ ยังบอกอีกว่า เรื่องที่พูดทั้งหมด ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง อย่าเอาไปเชื่อมโยง เป็นแค่การตั้งคำถาม ไปยังผู้ที่มีอำนาจในรัฐสภา และ ทำเนียบรัฐบาล

'ก้าวหน้า-ก้าวไกล' เสียดายอนาคตประเทศ หลังสภาคว่ำร่าง 'ปลดล็อกท้องถิ่น'

‘ก้าวหน้า-ก้าวไกล’ แถลงเสียดายอนาคตประเทศ หลังสภาคว่ำร่างปลดล็อกท้องถิ่น ‘ธนาธร’ ยัน ไม่ได้เสนอยกเลิกกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ด้าน ‘พิธา’ รับไม้ต่อ ชูนโยบายกระจายอำนาจปราศรัยทั่วประเทศ ชี้ ส.ส. มีหน้าที่ผ่านกฎหมายก้าวหน้า ไม่ใช่ดึงงบลงบ้านใหญ่

(7 ธ.ค. 65) ที่รัฐสภา คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล ร่วมแถลงข่าวภายหลังรัฐสภามีมติไม่รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘ปลดล็อกท้องถิ่น’ จากการเข้าชื่อของประชาชน ด้วยคะแนนรับหลักการ 254 คน ไม่รับหลักการ 245 คน และ งดออกเสียง 129 คน นำโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล และวีระศักดิ์ เครือเทพ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หนึ่งในผู้ชี้แจงร่างปลดล็อกท้องถิ่น

ธนาธร กล่าวว่า เราอยู่ในความขัดแย้งทางการเมืองมานาน แต่ร่างฉบับนี้เป็นร่างที่ตั้งใจปฏิรูป เพื่อทำให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน ทันต่อสถานการณ์โลก แบ่งเบาภาระราชการส่วนกลาง ให้ท้องถิ่นดูแลบริการสาธารณะทุกอย่างในพื้นที่และมีงบประมาณเพียงพอ ขณะที่ส่วนกลาง ดูแลมาตรฐานการบริการสาธารณะให้ทุกพื้นที่มีคุณภาพเหมือนกันและพาประเทศไทยไปเวทีโลก

ธนาธร กล่าวต่อว่า บางฝ่ายให้ความเห็นว่าแนวคิดของพวกเราสุดโต่งเกินไป แต่การปล่อยให้ปัญหาของประชาชนอยู่มานานโดยไม่ได้รับการแก้ไขอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คนที่กักขังประเทศไว้แบบนี้ต่างหากที่สุดโต่ง นอกจากนี้ ร่างฉบับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน แต่ให้จัดทำแผนยกเลิกส่วนภูมิภาค และทำประชามติถามประชาชนว่าจะยกเลิกหรือไม่ภายใน 5 ปี มาถกเถียงกันว่าเมื่อกระจายอำนาจและงบประมาณไปให้ท้องถิ่นเต็มที่แล้ว ราชการส่วนภูมิภาคควรมีบทบาทอย่างไร และสุดท้ายคือเรื่องการทุจริต ตนคิดว่าทุกรายงานยืนยันตรงกัน ว่าส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีมูลค่าการทุจริตมากกว่าท้องถิ่น

“ขอยืนยันความตั้งใจของเรา ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เป็นการทำให้การบริการของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลายข้อกล่าวหาที่เราได้รับจึงไม่ได้ตั้งอยู่บนความจริง แต่ตั้งอยู่บนอคติที่ผิด เสียดายเวลาและโอกาสของประเทศ ทั้งที่หากเราเห็นไม่ตรงกัน รัฐสภาควรรับหลักการในวาระ 1 เพื่อไปถกเถียงแลกเปลี่ยนในวาระ 2 ต่อ เพราะเรายืนยันชัดเจนว่าพร้อมประนีประนอม แต่แม้วันนี้ทำไม่สำเร็จ คณะก้าวหน้าจะเดินหน้ารณรงค์เรื่องการกระจายอำนาจต่อไป และเชื่อว่าเพื่อนร่วมงานของเราในพรรคก้าวไกล จะสานต่อภารกิจนี้” ธนาธรกล่าว

ขณะที่ พิธา กล่าวว่า การกระจายอำนาจอย่างแท้จริงเป็นหนทางเดียวของประเทศไทย เป็นนโยบายที่จะปราศรัยทุกเขต เช่นนโยบายยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ล้วงลูกการทำงานของท้องถิ่น หรือการเพิ่มงบของท้องถิ่นทั่วประเทศ 200,000 ล้านบาท ภายใน 4 ปี โดยที่ผ่านมาเห็นว่าเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี จากการลงพื้นที่ ตนได้เห็นท้องถิ่นที่มีศักยภาพ แต่หากไม่มีการแก้ไขกฎหมายให้กระจายอำนาจมากขึ้น ประเทศไทยก็จะกระจุกตัวต่อไป

'อุ๊งอิ๊ง' เชื่อคนเห็นด้านดี-ไม่ดี 'บิ๊กตู่' มาแล้ว ไม่ต้องว่ากัน ส่วนตนขอทำหน้าที่และนโยบายให้ดีที่สุด

'อุ๊งอิ๊ง' เผยประชาชนรู้ดี 'ประยุทธ์' อยู่มานานเห็นทั้งด้านดี ไม่ดี ท่องคาถาขอนำเสนอนโยบายให้ประชาชนตัดสินใจ มากกว่ามุ่งต่อสู้-ต่อว่ากัน

(7 ธ.ค. 65) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เหลือเวลาอีก 2 ปีสำหรับเส้นทางการเมือง จะเป็นเรื่องที่ดีกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ว่า ไม่สามารถตัดสินใจแทนพล.อ.ประยุทธ์ได้ แต่พรรคมีความพร้อมและมีความชัดเจนที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ความชัดเจนที่เกิดขึ้นมากที่สุดของประเทศ คือประชาชนเดือดร้อน ดังนั้น ควรจะชัดเจนในเรื่องที่ควรจะชัดเจนมากกว่าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชน

ถามว่า รู้สึกอย่างไรที่จะได้สู้กับพล.อ.ประยุทธ์ในสนามการเมืองในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คิดว่าการแข่งขันทางการเมืองคือเป็นการเมืองอย่างหนึ่งที่เราจะต้องแข่งขันเพื่อให้ประชาชนเลือก คือการแข่งขันสำหรับตน ซึ่งการแข่งขันอื่น ๆ มันไม่ใช่การแข่งขัน มันคือการที่ต้องทำนโยบายที่ต้องทำให้ประชาชนมากกว่า เราโฟกัสตรงนั้น เกมต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นนอกเหนือจากการเลือกตั้ง คิดว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรให้ความสำคัญ ความสำคัญคือนโยบาย และปัญหาของประเทศ ส่วนการต่อสู้ทางการเมืองจะหวนนึกถึงอดีตหรือไม่ ถ้าเรามัวแต่นึกถึงอดีตเราก็จะไปข้างหน้าไม่ได้

ตัวตนของคนชื่อ 'อนุทิน'

อุณหภูมิการเมืองช่วงนี้ร้อนแรง แต่ละพรรคการเมืองออกอาวุธทิ่มแทง เตะตัดขากันสารพัด แต่กลับกันกับ 'เสี่ยหนู' นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และท่าทีของพรรคภูมิใจไทย ที่วันนี้ดูจะไม่ยี่หระกับสงครามการเมืองในรูปแบบใด แถมออกมาพูดถึงจุดยืนและตัวตนของตัวเอง แบบไม่แคร์การเมืองว่าจะตีรวนกันแรงแค่ไหนเสียด้วย!!

โดยไม่นานมานี้ เจ้ากระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวไว้ดังนี้ ว่า...

ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกดดันต่าง ๆ ได้มาก ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบ และเกลียดมากด้วย

แต่พอโตขึ้นมา สิ่งนี้ก็กลายเป็นข้อดีติดตัว แล้วก็จะไม่มีวันเลือนหายไปจากจิตวิญญาณของเรา เพราะทำให้เราสามารถเติบโตมาได้ถึงวันนี้ 

‘อลงกรณ์’ ไอเดียกระฉูด!! มุ่งพัฒนาเกษตรวิถีเมือง สอดรับ BCG Model ช่วยยกระดับเศรษฐกิจสีเขียว

วันนี้ (7 ธันวาคม 2565) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้เกียรติบรรยาย ในหัวข้อเรื่อง ‘เกษตรอินทรีย์วิถีในเมือง สู่ BCG Model’ ในงานสัมมนาออนไลน์ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนวิถีในเมือง ผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting ซึ่งจัดขึ้นโดย สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาตระหนักถึงนโยบายและความสำคัญของเกษตรกรรมยั่งยืนโดยเฉพาะพื้นที่ในเมืองที่สร้างความมั่นคงทางอาหารของคนเมือง รวมถึงสนับสนุนการสร้างพื้นที่เกษตรกรรมในเมืองให้เป็นแหล่งผลิตอาหาร ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจชุมชนมีรายได้ด้วยเศรษฐกิจสีเขียว

นายอลงกรณ์ ได้กล่าวถึง 17 เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางในการกำหนดแผนแม่บทเพื่อการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมสู่ความยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยเป็นครัวของโลกมีศักยภาพและเป้าหมายในการเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกเกษตรปลอดภัย และอาหารปลอดภัยท็อปเทนของโลก โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ ยุทธศาสตร์ 3 s (Safety-Security-Sustainability )เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง และเกษตรยั่งยืน 

โดยยกตัวอย่างการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการทำเกษตรกรรมยั่งยืนในประเทศ ๆ เช่น จีน สวีเดน สิงคโปร์ อัลบาเนีย เกาหลี ญี่ปุ่นที่สามารถนำมาเป็นแนวทางในการปรับพื้นที่สีเขียวในเมืองให้เข้ากับพื้นที่ในประเทศไทย

ปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้วางหมุดหมายการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนทั้ง 5 สาขา คือ เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ เกษตรทฤษฎีใหม่ และเกษตรผสมผสานครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและทำการเกษตร เป็นการพัฒนาแบบคู่ขนานทั้งในเมืองและชนบท

'บิ๊กตู่' นั่งประธานประชุมใหญ่คณะกรรมการนโยบายตำรวจ ย้ำ!! ทุกความเคลื่อนไหว สตช. ต้องทำให้ปชช.กระจ่าง

(7 ธ.ค. 65) ที่ห้องประชุมศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และ ประชุม คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ครั้งที่ 2/2565 โดยมีพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้การต้อนรับ

หลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น โดยเดินตรงดิ่งไปขึ้นรถที่จอดเตรียมรอไว้ หลังจากนั้นไม่นาน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้ออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชน ถึงการประชุมที่ได้หารือถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) โดยได้สรรหาและคัดเลือกในด้านต่าง ๆ จำนวน 5 คน ดังนี้...

1. ด้านยุทธศาสตร์
2. ด้านกฎหมาย
3. ด้านพัฒนาองค์กร
4. ด้านสื่อสารมวลชนหรือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือการสื่อสาร
และ 5. ด้านภาคประชาชน

ม.แม่โจ้ จัด Maejo Innovation day 2022 ลงนามอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลงานวิจัย พร้อมประกาศเกียรติคุณผลงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง

วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 เวลา 09.30 น. อุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร (MAP) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จัดให้มีกิจกรรม Maejo Innovation day 2022 พร้อมพิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลงานวิจัย และพิธีมอบรางวัลด้านทรัพย์สินทางปัญญา ให้กับนักวิจัยและหน่วยงานที่ยื่นขอจดสิทธิบัตร โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีเงินยวง รองอธิการบดี เป็นประธานในพิธีเปิด ณ ห้องข้าวหอมมะลิ อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  มหาวิทยาลัยแม่โจ้

Maejo Innovation day 2022  จัดขึ้นภายใต้แนวคิดโดยการนำนวัตกรรมไปใช้ในเชิงธุรกิจ โดยการเชื่อมโยงองค์ความรู้และภูมิปัญญาจากผลงานวิจัยให้สามารถนำไปต่อยอดและขยายผลให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยผ่านช่องทางการอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลงานวิจัยถือเป็นการประกาศเกียรติคุณสำหรับนักวิจัยและผู้ประกอบการที่มีส่วนส่งเสริมสนับสนุนให้มีนำผลงานวิจัยสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย ไปสู่ภาคธุรกิจอย่างมีศักยภาพ มีการเสวนาในหัวข้อ “เทรนด์การทำวิจัยที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 

โอกาสเดียวกันนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นประธานมอบรางวัลด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้กับหน่วยงาน/นักวิจัย ที่ได้ยื่นขอรับความคุ้มครองมากที่สุด ดังนี้

นักวิจัยที่ยื่นจดสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรมากที่สุด ได้แก่
1. รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพร จันทร์ฉาย สังกัด มหาวิทยาลัยแม่โจ้ - แพร่ เฉลิมพระเกียรติ
2. รองศาสตราจารย์ ร.ดวงพร อมรเลิศพิศาล สังกัด คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ

หน่วยงานที่ยื่นจดสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรมากที่สุด ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐปน ชื่นบาล คณบดีคณะวิทยาศาสตร์

นักวิจัยที่ยื่นแจ้งข้อมูลจดลิขสิทธิ์มากที่สุด ได้แก่ นายยมนา ปานันท์ สังกัด คณะเศรษฐศาสตร์

หน่วยงานที่ยื่นแจ้งข้อมูลจดลิขสิทธิ์มากที่สุด ได้แก่ คณะเศรษฐศาสตร์ โดย รองศาสตราจารย์ ว่าที่ร้อยตรี ตร.สุรชัย กังวล คณบดีคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์

หน่วยงานที่มีการอนุญาตใช้สิทธิในผลงานวิจัยมากที่สุด ได้แก่ 
คณะวิศวกรรมและอุดสาหกรรมการเกษตร โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คร.กาญจนา นาคประสม  รองคณบดีคณะวิศวกรรมและอุดสาหกรรมเกษตร ฝ่ายบริการวิชาการ และวิจัย

สำหรับผลงานวิจัยที่จะเข้าร่วมลงนามอนุญาตใช้สิทธิในผลงานครั้งนี้มี ได้แก่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เร่งสืบคดียิงบ้านและรถผู้รับเหมา เชื่อฝีมือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่

จากกรณีเมื่อวันที่ 23 พ.ย.65 ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในบ้านของนายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย อดีตเลขาผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวนหลายนัด ทำให้หน้าต่างและกำแพงบ้านได้รับความเสียหาย แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.พยุหะคีรี ภ.จว.นครสวรรค์ ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลได้นำเสนอไปแล้ว นั้น

(7 ธ.ค.65) เวลาประมาณ 18.00 น. ณ ภ.จว.นครสวรรค์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท. พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการสืบสวนและสอบสวน ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุ เนื่องจากประชาชนรู้สึกหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งประเด็นการสืบสวนไว้หลายประเด็นด้วยกัน แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด น่าจะเกิดจากความขัดแย้งทางธุรกิจ เนื่องจากผู้เสียหายเพิ่งชนะการประมูลงานในระดับท้องถิ่น ซึ่งมีผู้เสียผลประโยชน์จากกรณีดังกล่าว สืบทราบว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในระดับการเมืองท้องถิ่น จึงได้ก่อเหตุดังกล่าวเพื่อข่มขุ่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวจนจะต้องถอนตัวออกจากโครงการ อยู่ระหว่างการสืบสวนหาพยานหลักฐานมาประกอบเพิ่มเติม

นอกจากนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า ในช่วงระหว่างปี 2563 – 2565 ได้มีเหตุที่มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกันเกิดขึ้นในพื้นที่นครสวรรค์และอุทัยธานีหลายครั้ง ซึ่งพฤติการณ์ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีบริษัทชนะการประมูลงานในระดับท้องถิ่น จากนั้นจะมีคนโทรมาเจรจาเพื่อของานดังกล่าวไปทำ เมื่อถูกปฏิเสธก็มักจะมีคนร้ายมาก่อเหตุเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับคนทำงานของบริษัทดังกล่าวที่อยู่หน้างาน หรือทำลายข้าวของเพื่อมิให้สามารถส่งมอบงานได้ 

มุกดาหาร-ตำรวจบุกจับ 2 ผู้ต้องหาค้ายาเสพติดพร้อมของกลางไอซ์ 9 กก. ยาบ้า 1,374 เม็ด พร้อมอาวุธปืน 1 กระบอกและกระสุน

มุกดาหาร ตำรวจนำหมายค้นบุกค้นบ้านเอเยนต์ค้ายาเสพติดรวบผู้ต้องหาได้ 2 รายพร้อมของกลางเป็นยาเสพติดตรวจค้นพบยาไอซ์ หนัก 9 กก.ยาบ้า 1,374 เม็ด สอบสวนผู้ต้องหารับว่ามีเครือข่ายจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านขนข้ามโขงข้ามมาส่งให้โดยมี นายวรญาณบุญราช ผู้ว่าราชการ จ.มุกดาหาร พล โท สวราชย์ แสงผล แม่ทับภาค 2 และพลตำรวจตรี ชัชชัย วงศ์สุนะ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.มุกดาหาร ร่วมแถลงข่าวที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 เวลาประมาณ 06.00 น.กก.สส.ภ.จว.มุกดาหาร ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.วิจิตร บุญวรรณ ผกก.สืบสวน ภ.จว.มุกดาหารหลังสืบทราบว่าที่บ้านเลขที่ 46/6 ถนนสุทธิมรรค ต.ศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.มุกดาหารมีพฤติกรรมเปิดบ้านค้ายาเสพติดขายปลีกและขายส่งจึงขอหมายค้นของ ศาลจังหวัดมุกดาหาร ที่ ค.125/2565 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2565 ก่อนสั่งการ ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ต.เดชา เวฬุวนารักษ์ สว.ฯ ปรก.กก.สส.ภ.จว.มุกดาหาร พร้อมพวก ได้ทำการเข้าตรวจค้นตามหมายค้นของ ศาลจังหวัดมุกดาหาร พบนายอรรณพ หรือเบิร์ด คูสกุล อายุ 36 ปี เป็นเจ้าของบ้านเจ้าหน้าที่ได้แสดงหมายค้นก่อนเข้าทำการตรวจค้น

จากการตรวจค้นภายในบ้านได้พบนายธนากร ขันติยะ อายุ 37 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 80/5 ถนนสุทธิมรรค ต.ศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.มุกดาหาร อยู่ภายในบ้านเจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นภายในห้องนอนพบกล่องโฟมด้านในบรรจุ ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) จำนวน 9 ห่อ/น้ำหนักประมาณ 9 กิโลกรัมพร้อมยาบ้ารวมจำนวน 1,374 เม็ดตรวจสอบใต้ที่นอนพบอาวุธปืนพกสั้น ออโตเมติก ขนาด 7.65 มม. ยี่ห้อ WALTHER.PP จำนวน 1 กระบอก พร้อมแม็กกาซีน จำนวน 1 แม็ก โดย 2 ผู้ต้องหารับสภาพว่าเป็นผู้ครอบครองยาเสพติดทั้งหมดพร้อมอาวุธปืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top