Monday, 19 May 2025
NewsFeed

มือถือโนเกีย เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ Nokia 1.4 เล็งเจาะตลาดคนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน ชูจุดขายรองรับแอปฯ ‘เป๋าตัง’ ได้ ดีเดย์วางขายวันแรก 10 มีนา ราคา 2,690 บาท

นายราวี คุณวา ผู้จัดการทั่วไปของภูมิภาคแพนเอเชีย เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญสำหรับธุรกิจมือถือ Nokia เนื่องจากมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้น และตลาดลูกค้าฟีเจอร์โฟนที่จะอัพเกรดมาใช้สมาร์ทโฟน เนื่องจากการเรียนออนไลน์และการทำงานจากที่บ้านกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ ซึ่งความปกติใหม่นี้ยังส่งผลเร่งอัตราการใช้สมาร์ทโฟน เนื่องจากผู้บริโภคต้องการสมาร์ทโฟนเพื่อใช้เช็คอิน QR code ผ่านทางแอปฯ ‘ไทยชนะ’ ในการติดตามการติดต่อ

นอกจากนี้ ยังรองรับมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม ด้วยความสามารถใช้งานแอปฯ อื่น ๆ เช่น โมบายแบงก์กิ้ง หรือการทำธุรกรรมทางการเงินยบนสมาร์ทโฟน เป็นต้น โดยมีประสิทธิภาพการสแกนใบหน้าและการสแกนคิวอาร์โค้ด ด้วยกล้องมาโคร สามารถจับภาพระยะใกล้ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” รวมทั้งใช้บริการทางการเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคารต่าง ๆ ง่ายขึ้น พร้อมจุดเด่นแบตเตอรี่สามารถใช้ได้นานถึง 2 วัน

ด้าน ภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวเสริม Nokia 1.4 ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันในยุคที่ต้องสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อการเช็คอินโลเคชั่นบนแอปฯ ‘ไทยชนะ’ ‘หมอชนะ’ ตามมาตรการป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 แอปฯ เป๋าตัง ทั้งการสแกนหน้ายืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือและเยียวยาต่าง ๆ รวมถึงการโอนเงิน เติมเงิน และจ่ายเงิน ผ่านแอปฯ ของธนาคาร ช่วยให้ใช้งานแอปฯ ที่กล่าวมาได้แบบไม่ติดขัด

สำหรับ Nokia 1.4 เริ่มจำหน่ายในประเทศไทยในวันที่ 10 มีนาคม 2564 มีให้เลือก 2 สี คือ สี Fjord (สีฟ้า) และ สี Charcoal (สีเทาดำ) ในราคา 2,690 บาท

'อ.ปริญญา' ยกข้อกฎหมายยันให้ขังแกนนำม็อบที่ไม่ใช่เรือนจำ

จากกรณีศาลอาญามีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ประกันตัวแกนนำม็อบราษฎร ประกอบด้วย

1.) น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง

2.) นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์

3.) นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน

จากกรณีอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องในคดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตาม ป.อาญา ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ, ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ, ทำลายโบราณสถานฯ, ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ และความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ป.อาญา ม.112 ที่ผ่านมา

ล่าสุด ผศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว Prinya Thaewanarumitkul เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า…

การได้รับการประกันตัวในคดีอาญาหรือที่กฎหมายใช้คำว่า ‘ปล่อยชั่วคราว’ นั้นเป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องหาและจำเลยทุกคน ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติไว้ในมาตรา 107 ว่า #ผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

แม้ว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ศาลจะมีดุลพินิจสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวได้ แต่สิ่งที่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมอาจจะลืมไปคือ ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์นั้น หากศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว #ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะถูกเอาไปขังไว้ในเรือนจำกับนักโทษที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และจะถูกปฏิบัติเหมือนกับนักโทษแทบจะทุกประการ

และนี่คือปัญหาใหญ่มาก!!

เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติว่า #ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดกระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น #เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ การเอาบุคคลซึ่งยังเป็นแค่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไปขังไว้ในเรือนจำรวมกับนักโทษ ก็คือการปฏิบัติกับเขาเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดแล้ว ซึ่งย่อมไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง

ดังนั้น หากศาลท่านจะไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ก็ต้องสั่งให้ไป #กักขังในที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ และให้ปฏิบัติต่อเขาแบบคนที่ยังไม่ถูกศาลพิพากษาด้วยครับ หรือไม่งั้นก็ต้อง #อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวให้เขาสู้คดีนอกคุก อย่างหนึ่งอย่างใด หาไม่แล้วจะเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง ที่คุ้มครองประชาชนทุกคนไม่ให้ถูกปฏิบัติเยี่ยงนักโทษก่อนศาลพิพากษา ด้วยความเคารพครับ


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3980182318692343&id=100001018415956

สาธุ! ‘พระเทพวิสุทธิกวี’ เมตตาเก็บ ‘ค่าเช่า’ เก็บเพียง 9 บาท ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนผู้เช่าที่ดิน ‘วัดโพธิ์ศรี’ ช่วงโควิด

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สิงห์บุรี ว่า พระเทพวิสุทธิกวี (ถาวร อธิวโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เขตพระนคร กทม. รักษาการเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี มอบหมายให้คณะกรรมการวัดโพธิ์ศรี ประกอบด้วย พล.ท.โกศล มีจุล ประธานฯ , นายสมศักดิ์ ภักดีรักษ์ รองประธานฯ และกรรมการ จัดประชุมผู้ทำธุรกรรมการเช่านา เช่าที่ดินปลูกสร้างบ้าน เช่าที่ดินทำร้านค้าและเช่าที่อยู่อาศัย โดยการทำสัญญาเช่ากับทางวัดโพธิ์ศรี มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 50 คน

สำหรับผลการประชุมสรุปว่า พระเทพวิสุทธิกวี ให้แจ้งแก่ผู้ทำธุรกรรมการเช่าทุกประเภท ว่า ปีนี้วัดโพธิ์ศรี จะยกค่าเช่าให้ ด้วยรับทราบในสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทุกคนลำบากในการประกอบอาชีพ แต่เพื่อเป็นสิริมงคล จึงขอเก็บค่าเช่าทุกประเภทรายละ 9 บาท ทำให้ผู้เช่าหลายคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นที่ปลื้มใจแก่ผู้เช่าที่อย่างยิ่ง ผู้เช่าที่ต่างอวยชัยให้พรในความเมตตาของท่านเจ้าคุณที่ได้เห็นถึงความยากลำบากในการประกอบอาชีพปีนี้ ด้วยโรคระบาดและเศรษฐกิจ ทำให้การเงินฝืดเคืองอย่างมาก เมื่อได้ยินว่าพระเทพวิสุทธิกวี เก็บค่าเช่า 9 บาท ทั้งปลื้มใจและดีใจอย่างบอกไม่ถูก

สำหรับวัดโพธิ์ศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เป็นวัดธรรมยุตนิกาย มีหลวงพ่อนาคเป็นพระปางนาคปรก อายุกว่า 1,000 ปี และมี หลวงพ่อลา อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งพระผู้ใหญ่ในวัดบวรนิเวศฯ จะเดินทางมาดูแลเป็นประจำ และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเคยเสด็จพระราชดำเนิน และ และ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2512

นอกจากทรงพระมหากรุณาปิดทองและทรงตัดลูกนิมิตกลางอุโบสถแล้ว ได้เสด็จออกหน้าอุโบสถ แล้วโปรดเสด็จตัดลูกนิมิตทั้ง 8 โดยมีพระสังฆราชฯ เป็นผู้สวดนิมิต นับว่าเป็นวัดแรกในรัชกาลที่ทรงตัดนิมิตทั้ง 9 ลูก รอบพระอุโบสถเป็นวัดแรก และในกาลต่อมา พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานที่หน้าบัน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวจังหวัดสิงห์บุรียิ่งนัก


ที่มา : https://www.naewna.com/likesara/557841

นายกรัฐมนตรี ลั่นไม่ขอก้าวล่วง ชี้ ! เป็นอำนาจศาลพิจารณาปล่อยตัวแกนนำชุมนุมผิด ม.112

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมที่กระทำผิดตามมาตรา 112 ว่า ต้องไปดูข้อกฎหมาย ซึ่งเมื่อกระทำความผิดก็ต้องต่อสู้คดี และรัฐบาลจะดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ ต้องนึกถึงว่าหากเป็นรัฐบาล เป็นศาล หรือเป็นเจ้าหน้าที่เอง คิดว่าจะทำได้หรือไม่ และต้องนึกถึงคดีอื่นๆ ด้วยว่าทำได้หรือไม่ เพราะจะเป็นการทำให้ข้อกฎหมายเสียหายไปทั้งหมด เมื่อกระทำความผิด ก็ต้องต่อสู้คดี รัฐบาลจะดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วจะทำอย่างไรได้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คืออย่าทำผิดกฎหมายเท่านั้น

พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ห้ามการชุมนุม แต่ถ้าชุมนุมแล้วเกิดความรุนแรงเกิดขึ้น และเมื่อศาลพิจารณาแล้วว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายก็เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณา ส่วนจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ก็เป็นดุลยพินิจของศาลจะพิจารณาเช่นกัน ตนคงไม่สามารถก้าวล่วงได้

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า ไม่ได้ต้องการใช้กฎหมายไปทำร้ายใคร เพราะกฎหมายเป็นของประชาชนทุกคน ไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่จะสามารถละเว้นกฎหมายได้

อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องน่ายินดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมมือวางระเบิดไปป์บอมได้ แต่ไม่ควรตั้งคำถามว่าเป็นการจัดฉากของรัฐบาลหรือไม่ โดยยืนยันว่าไม่มีนโยบายให้ทำเช่นนั้น และเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ และไม่กล้าทำอยู่แล้ว ทุกอย่างอยู่ที่หลักฐานว่าเป็นใคร ซึ่งคนที่ถูกจับได้ก็ให้การรับสารภาพแล้วว่าเป็นคนทำเอง

ครม.ขยายระยะเวลากดยืนยันตัวตน “ม33 เรารักกัน” ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม นี้ หวังให้ผู้ประกันตน ม33 ได้รับสิทธิอย่างทั่วถึง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยมติคณะรัฐมนตรีรับทราบการปรับปรุงโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ โดยขยายระยะเวลายืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิรับวงเงิน 4,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” (G-wallet) ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 โดยกลุ่มผู้ลงทะเบียนรอบแรกที่ผ่านการคัดกรอง กดใช้งานและยืนยันตัวตน ใน 3 ช่วงเวลานี้ คือ

1.) ระหว่างวันที่ 15 - 21มีนาคม 2564 ได้รับวงเงิน 1,000 บาท/สัปดาห์ ระยะเวลา 4 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน (22,29 มีนาคม 5 และ 12 เมษายน 2564)

2.) ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 11 เมษายน 2564 ได้รับวงเงินครั้งแรกในวันที่กดใช้งานฯ เป็นยอดวงเงินสะสม จนถึงวันที่กดใช้งานฯ และรับวงเงินสัปดาห์ละ 1,000 บาท จนครบ 4,000 บาท เช่น ยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ์วันที่ 29 มีนาคม 2564 จะได้รับวงเงินครั้งแรกวันที่ 29 มีนาคม 2564 จำนวน 2,000 บาท (วงเงินสะสมของสัปดาห์แรก คือ 22 มีนาคม 2564 จำนวน 1,000 บาท และสัปดาห์ที่ 2 วันที่ 29 มีนาคม 2564 จำนวน 1,000 บาท) จากนั้นจะได้รับวงเงินสัปดาห์ละ 1,000 บาท ในวันที่ 5 และ 12 เมษายน 2564

3.) ระหว่างวันที่ 12 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564 จะได้รับวงเงินสะสมในวันที่กดใช้งานฯ ครั้งเดียว จำนวน 4,000 บาท

สำหรับกลุ่มผู้ขอทบทวนสิทธิและผ่านการคัดกรองเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ สามารถยืนยันตัวตนได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564 ยืนยันเพื่อรับสิทธิ์ระหว่างวันที่ 5 - 11 เมษายน2564 จะได้รับวงเงินสะสมในวันที่ 12 เมษายน 2564 จำนวน 4,000 บาท และหากยืนยันระหว่างวันที่ 12 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564 จะได้รับวงเงินสะสมในวันที่กดใช้งานฯ จำนวน 4,000 บาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การขยายระยะเวลายืนยันตัวตนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 หวังให้ผู้ประกันตน ม 33 ได้รับสิทธิรับสิทธิรับวงเงิน 4,000 บาท อย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับโครงการเราชนะที่ไม่ได้มีการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการยืนยันตัวตน

ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ได้รับสิทธิ์เร่งเข้าร่วมยืนยันตัวตนผ่านช่องทางที่กำหนด ซึ่งภายหลังการปิดลงทะเบียนเมื่อ 7 มี.ค. เวลา 23.00 น สรุปข้อมูลโครงการ ม33 เรารักกัน ผู้สมัครสำเร็จมีจำนวนทั้งสิ้น 8,208,286 คน

ครม. เห็นชอบร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หวังช่วยลดภาระลูกหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินควร จากอัตรา 7.5% เป็น 3% ต่อปี กรณีผิดชำระลดจาก 7.5% เป็น 5% ต่อปี เตรียมส่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบร่างกฎหมายฉบับสำคัญของประเทศ เพื่อลดภาระของลูกหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินควร ด้วยการออกเป็นร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย

โดยเฉพาะลูกหนี้ที่มีภาระหนี้สินจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกทั้งยังเป็นการแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยมากขึ้นหลังจากกฎหมายฉบับเดิมมีผลบังคับใช้มานานกว่า 95 ปี ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. 2468 ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ทั้งนี้ตามกฎหมายเดิม ซึ่งมีผลบังคับใช้มาเกือบ 100 ปีนั้น โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ 7.5% ต่อปีนี้ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ทั้ง ลูกหนี้ได้รับความเดือดร้อนจากภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินควร ,เจ้าหนี้บางรายอาศัยความไม่ชัดเจน กำหนดให้ลูกหนี้เมื่อผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง ต้องจ่ายดอกเบี้ยบนเงินต้นทั้งหมด ,สร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมและ และมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยภาพรวม ดังนั้น จึงได้เสนอครม. เพื่อเป็นการช่วยลดภาระของลูกหนี้จากการชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินควร และปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย

สำหรับสาระสำคัญของกฎหมาย แยกเป็น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้กำหนดไว้ก่อนหรือไม่ได้มีกฎหมายกำหนด โดยจะแก้ไข มาตรา 7 ด้วยการปรับลดจากอัตรา 7.5% ต่อปี เป็นอัตรา 3% ต่อปี ซึ่งกระทรวงการคลัง จะทบทวนทุก 3 ปี ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยผิดนัด โดยจะแก้ไข มาตรา 224 ด้วยการปรับลดจาก 7.5% ต่อปี เป็นอัตรา 5% ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงนี้ เป็นอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 3% ต่อปี บวกด้วยอัตราเพิ่ม 2% ต่อปี

กระทรวงศึกษาธิการ หารือ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย ถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาต่อยอด ยกระดับการศึกษาไทย ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และภาษา

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวภายหลังนายยูริ ยาร์วียาโฮ (H.E. Mr. Jyri Järviaho) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย ‪เข้าเยี่ยมคารวะ ว่า ได้หารือถึงความร่วมมือด้านการศึกษา เนื่องจากประเทศฟินแลนด์จัดการศึกษาดีที่สุดในโลก ดังนั้น กระทรวงศึกษาฯ จะทำงานร่วมกันทางด้านวิทยาศาสตร์และภาษาต่างประเทศ ให้แก่ครูและผู้บริหารโรงเรียน และทางฟินแลนด์เสนอจะอบรมด้านพลศึกษาให้ด้วย ‬‬

และมีความร่วมมือทางด้านสิ่งแวดล้อม ป่าไม้ การเกษตร กำจัดขยะ พลังงานทดแทน ซึ่งขณะนี้ฟินแลนด์ได้จัดอบรมออนไลน์ภาษาต่างประเทศให้กับครูไทย จำนวน 36 คน ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือน มิ.ย.นี้ หลังจากนั้นจะประเมินผลการอบรมออนไลน์ว่าผลเป็นอย่างไร และอาจจะจัดอัพสกิล รีสกิล โดยจัดเป็นหลักสูตรระยะสั้น เนื่องจากช่วงนี้มีคนตกงานเยอะเพื่อช่วยให้ผู้ที่ตกงานกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้

“ขณะนี้ให้อาชีวะร่างโครงการความร่วมมือ ซึ่งภายใน 2 อาทิตย์นี้กระทรวงศึกษาธิการ จะเซ็น MOU กับ ศูนย์การเรียนรู้ของประเทศฟินแลนด์ ผ่านสถานทูตฟินแลนด์ เพื่อพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว และหลังจาก MOU แล้ว ก็จะไปพัฒนาโครงการร่วมกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าโครงการใดจะเกี่ยวข้องกับวิทยาลัยอาชีวศึกษาใด หรือนักเรียนระดับประถมฯมัธยมฯ รวมทั้งครูและผู้บริหารโรงเรียนใดบ้าง

ส่วนความร่วมมือยังไม่มีรายละเอียด แต่อาจจะขอให้ทางฟินแลนด์ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ แล้วเรานำมาพัฒนาต่อเอง โดยเราจะไม่เอาทุกอย่างของฟินแลนด์มาใช้ทั้งหมด แต่จะดูความต้องการและบริบทของแต่ละสถานศึกษาแต่ละพื้นที่” คุณหญิงกัลยา กล่าว


ที่มา: https://www.naewna.com/local/557672/

‘จุรินทร์’ เตรียม "ลงนามข้อตกลงขายข้าว 1 ล้านตันต่อปี" หลังครม.อนุมัติร่าง MOU การค้าข้าว ไทย - อินโดนีเซีย เพิ่มโอกาสส่งออกข้าวไทยเจาะตลาดอินโด

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำ MOU ว่าด้วยการค้าข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์ ของไทย กับ กระทรวงการค้าแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยรัฐบาลอินโดนีเซียได้แจ้งความประสงค์ขอจัดทำ MOU และได้ประชุมหารือประเด็นดังกล่าวผ่านระบบ Video Conference กับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เมื่อช่วงปลายปี 2563 โดยสาระสำคัญของ MOU ดังกล่าวระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงจะซื้อขายข้าวปริมาณไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและระดับราคาในตลาดโลก ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการเจรจาและทำสัญญากันต่อไป โดยที่ MOU ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 4 ปี

"รัฐบาลอินโดนีเซียขอทำ MOU โดยเป็นข้าว 15% - 25% กับรัฐบาลไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสำรองข้าว เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ หากเกิดเหตุการณ์ที่ปริมาณผลผลิตข้าวภายในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินโดนีเซียมีนโยบายพึ่งพาตนเองด้านอาหาร (self-sufficiency policy) ส่งเสริมการปลูกข้าวภายในประเทศ เพื่อให้เพียงพอและนำเข้าเท่าที่จำเป็น แต่ในบางปีอินโดนีเซียประสบปัญหาผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 จึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ เพื่อบริโภคและเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวภายในประเทศ "

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การทำข้อตกลง หรือ MOU ดังกล่าว จะเป็นโอกาสให้รัฐบาลอินโดนีเซียนำเข้าข้าวจากไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดอินโดนีเซียให้มากขึ้น รวมทั้งยังเป็นการรักษาความสัมพันธ์และความร่วมมือ ทางการค้าข้าวอันดีระหว่างไทยและอินโดนีเซียที่มีมาอย่างยาวนานด้วย

ทั้งนี้กรมการค้าต่างประเทศ รายงานว่า ในปี 2563 ไทยส่งออกข้าวไป อินโดนีเซีย ปริมาณ 89,406 ตัน มูลค่า 2,262 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ร้อยละ 46.23

เขตลาดพร้าวนำร่อง!! เตรียมรวบกลุ่มมอเตอร์ไซต์วิน - ไรเดอร์ส่งอาหาร ฝ่าฝนขับ - จอดบนทางเท้าช่วง 06.00 - 19.00 น.

นางสุภาพร ศรีศาสนวงศ์ ผู้อำนวยการเขตลาดพร้าว นำคณะผู้บริหาร ร่วมกับตำรวจสน.โชคชัย 4 ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของทางเท้าและทางจักรยาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ประชาชนชาวลาดพร้าวในการสัญจรผ่านไป-มา

ทั้งนี้ได้จัดเจ้าหน้าที่เทศกิจ ออกปฏิบัติหน้าที่ตามแผนการตั้งด่านกวดขันจับกุม ผู้ฝ่าฝืน ขับขี่หรือจอดรถจักรยานยนต์ รถยนต์ และรถจักรยานยนต์บริการรับส่งอาหาร บนทางเท้าและทางจักรยาน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 19.00 น. เพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้แก่ผู้ใช้ทางเท้าและทางจักรยานหากฝ่าฝืนจะทำการจับกุม เปรียบเทียบปรับในอัตราโทษสูงสุดตามกฎหมายรักษาความสะอาดฯ และเป็นไปตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร ณ บริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม

นอกจากนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ข่าวสารและข้อกฎหมายให้กับผู้ขับขี่โดยตรงกับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถจักรยานยนต์บริการรับส่งอาหาร เช่น แกร็บฟู้ดแพนด้า และไลน์แมน รวมทั้งผ่านทางกลุ่มไลน์ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในพื้นที่เขตลาดพร้าวจำนวน 57 วินเพื่อขอความร่วมมือ ผู้ขับขี่ไม่ให้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย และช่วยแจ้งข่าวสารทางกลุ่มไลน์หากพบผู้ฝ่าฝืนขับขี่หรือจอดรถจักรยานยนต์บนทางเท้าทางจักรยาน ซึ่งเป็นการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนในการบังคับใช้กฎหมายอีกช่องทางหนึ่ง


ที่มา: https://www.naewna.com/local/557992

‘เจ้าชายแฮร์รี’ และ ‘เมแกน มาร์เคิล’ ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ เปิดใจเกี่ยวกับชีวิตในวังบักกิงแฮมของทั้งคู่ที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เมแกนเผย เคยคิดฆ่าตัวตายเพราะถูกปฏิบัติไม่ดีหลังการเสกสมรส และเคยถูกถามเรื่องสีผิวของพระโอรสด้วย

ประเด็นดราม่าระหว่าง ‘ราชวงศ์อังกฤษ’ กับ ‘เมแกน มาร์เคิล’ ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ชายาของ ‘เจ้าชายแฮร์รี’ ดูเหมือนจะยิ่งบานปลายมากขึ้น เมื่อบทสัมภาษณ์ล่าสุดของดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ กลายเป็นการ ‘ทิ้งระเบิด’ ใส่พระราชวังบักกิงแฮมอย่างชัดเจน

เมแกน พระชันษา 39 ปี เปิดใจในการให้สัมภาษณ์ ‘โอปราห์ วินฟรีย์’ ที่สถานีโทรทัศน์ซีบีเอสออกอากาศเทปเมื่อค่ำวันอาทิตย์ (7 มี.ค.) ตามเวลาสหรัฐว่า เธอยอมรับว่าตัวเองไร้เดียงสา ก่อนเข้าเป็นสมาชิกราชวงศ์ในปี 2561

โดยหลังเข้าสู่รั้ววังบักกิงแฮมแล้ว เธอก็กลายเป็นคนคิด ‘อยากฆ่าตัวตาย’ และ ‘อยากทำร้ายตัวเอง’ เพราะไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ แม้เธอร้องขอแล้วก็ตาม

“ตอนนั้น ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว และมันเป็นความคิดชั่ววูบที่ชัดเจนและน่าตกใจมากทีเดียว" เมแกนเปิดใจกับวินฟรีย์ในรายการยาว 2 ชั่วโมงทางช่องซีบีเอส

เมแกนเผยว่า ตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่เธอตั้งครรภ์เจ้าชายอาร์ชี ราชวงศ์อังกฤษไม่ต้องการให้ทายาทของเธอมีพระยศ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ซึ่งจะทำให้ไม่ได้รับการอารักขาตลอด 24 ชั่วโมง

เมแกน ซึ่งมีบิดาเป็นชาวอเมริกันยุโรปและมารดาเป็นชาวอเมริกันแอฟริกันเผยว่า ในวังมีการพูดเรื่อง ‘สีผิวของทายาท’ ที่จะเกิดมาด้วย แต่เธอไม่ยอมตอบว่าใครพูดเรื่องนี้

“มีความกังวลและบทสนทนาในวังด้วยว่า ผิวของเจ้าชายอาร์ชีจะสีเข้มขนาดไหนเมื่อเขาประสูติ”

นอกจากนี้ เมื่อวินฟรีย์ถามว่า เธอเป็นฝ่ายนิ่งเฉยเอง หรือถูกขอให้นิ่งหลังประสบกับเหตุการณ์นี้ เธอตอบว่า “เป็นอย่างหลัง” โดยดัชเชสแห่งซัสเซกซ์กล่าวถึงคนในวังว่า ไม่เพียงไม่ปกป้องเธอที่ถูกให้ร้าย แต่ยังโกหกเพื่อปกป้องสมาชิกราชวงศ์คนอื่น ในวังมีครอบครัวและมีคนที่บริหารสถาบัน เธอย้ำว่าเรื่องนี้ต้องแยกแยะให้ดี เพราะสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีพระกรุณาธิคุณกับเธออยู่เสมอ

ส่วนรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่ว่าเธอทำให้ ‘เจ้าหญิงเคท’ ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์และพระชายาในเจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ พระเชษฐาของเจ้าชายแฮร์รี ร้องไห้ก่อนพิธีเสกสมรสของเธอในปี 2561 เมแกนปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง

ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์บอกอีกว่า ข่าวนี้เป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับสื่อเปลี่ยนไป และว่าความจริงเป็นคนละเรื่อง ทุกคนในวังต่างรู้ดี

“เจ้าหญิงเคทเพียงไม่พอใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่วันก่อนงาน และคนที่ร้องไห้คือฉัน เพราะถูกทำร้ายความรู้สึก แต่เจ้าหญิงเคทได้ขอโทษแล้ว”

ด้านเจ้าชายแฮร์รีเผยว่า พระทายาทในครรภ์พระชายาเป็นเพศหญิง พร้อมกับเผยเรื่องความสัมพันธ์กับเจ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารและพระบิดาว่า รู้สึกผิดหวังอย่างมาก เพราะพระบิดาทรงเคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันมาก่อน ทรงรู้ถึงความเจ็บปวด

อย่างไรก็ตาม ดยุคแห่งซัสเซกซ์ ตรัสว่า พระองค์จะยังคงรักพระบิดาเสมอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความเจ็บปวดมากมาย พระองค์คงไม่ถอยออกมาจากราชวงศ์หากพระชายาไม่ถูกกระทำ ทรงถูกตัดความช่วยเหลือทางการเงิน แต่ที่ยังอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะสิ่งที่พระมารดา (เจ้าหญิงไดอานา) ทิ้งไว้ให้

บทสัมภาษณ์ของดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์มีขึ้นหลังจากเมื่อต้นสัปดาห์นี้ หนังสือพิมพ์ เดอะไทม์ส (The Times) ของอังกฤษ เผยรายงาน Exclusive ที่อ้างข้อมูลจากอีเมลของข้าราชบริพารผู้หนึ่งซึ่งระบุว่า เมแกน เคยไล่ผู้ช่วย 2 คนออกจากพระราชวังเคนซิงตัน และยังข่มเหงรังแกทำลายความเชื่อมั่นของข้าราชบริพารอีกคนหนึ่ง

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 มี.ค. สำนักพระราชวังบักกิงแฮม แถลงถึงรายงานของเดอะไทม์สว่า รู้สึก “กังวลอย่างยิ่ง” และจะดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง

“เรามีความกังวลอย่างยิ่งต่อข้อครหาต่าง ๆ ที่อดีตข้าราชบริพารของดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ออกมาเปิดเผยผ่านเดอะไทม์ส ทีมงานด้านทรัพยากรบุคคลของเราจะตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้” แถลงการณ์จากสำนักพระราชวังอังกฤษ ระบุ

คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า พระราชวังบักกิงแฮมจะออกแถลงการณ์ตอบโต้ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์หรือไม่ แม้ตอนนี้บรรดาผู้สังเกตการณ์คาดว่าฝั่งราชวงศ์อังกฤษอาจเลือกที่จะนิ่งเฉยมากกว่า ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่กับราชวงศ์อังกฤษ ตกอยู่ในเครื่องหมายคำถามก็ตาม


ที่มา:

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926313?anf=

https://www.cnbc.com/2021/03/08/meghan-says-palace-had-concerns-about-how-dark-her-sons-skin-might-be.html

https://news.sky.com/story/harry-and-meghan-when-is-their-oprah-interview-and-what-will-they-talk-about-12236628

https://www.forbes.com/sites/carlieporterfield/2021/03/07/heres-why-harry-and-meghans-interview-with-oprah-could-be-a-bombshell-for-the-royal-family/?sh=25f6397c6107


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top