Monday, 19 May 2025
NewsFeed

เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ขาดทุนหนัก หลังผลผลิตล้นตลาดวันละกว่า 4 ล้านฟอง เหตุผลหลักนักท่องเที่ยวหายจากสถานการณ์โควิด ส่งผลราคาปรับลงต่อเนื่อง เหลือ 2.50 บาทต่อฟอง ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงอยู่ที่ 2.58 บาทต่อฟอง

นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาไข่ไก่ได้ปรับลดลงต่อเนื่อง จนไข่คละหน้าฟาร์มเหลือเพียงฟอง 2.50 บาท ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยงไข่ไก่ที่ฟองละ 2.58 บาท และราคาที่ผู้เลี้ยงไข่ไก่ควรจะขายได้อยู่ที่ฟองละ 2.80 บาท โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร ได้หารือถึงแนวทางแก้ปัญหาไข่ไก่ราคาตกต่ำ

ซึ่งมีสาเหตุมาจากในช่วงไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดได้ทำให้เกิดปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดอย่างมากถึงวันละ 4 ล้านฟอง จากปกติมีผลผลิตไข่ไก่เฉลี่ย 42 ล้านฟองต่อวัน แต่กลับมีการบริโภคเพียง 38 ล้านฟอง

ทั้งนี้ ทำให้ปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่กำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก และยังเผชิญปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดอีกด้วย ซึ่งมีสาเหตุหลักเกิดจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทย ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักที่มีการบริโภคอยู่ถึงวันละ 2 ล้านฟอง ดังนั้นเมื่อนักท่องเที่ยวจำนวนนี้หายไปทำให้ไข่ไก่ส่วนเกินจึงเข้ามาในตลาดเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมจึงมีมติมาตรการบรรเทาผลกระทบจากไข่ไก่ราคาตกต่ำ โดยได้ประสานสถานีบริการน้ำมันทั้งพีทีที และบางจาก ช่วยนำไข่สดไปตั้งขายภายในสถานีน้ำมันเป้าหมาย 20 ล้านฟอง โดยจะนำไข่ไก่เบอร์ 3 ขายแผง 30 ฟอง ราคา 70 บาท รวมถึงจะเร่งผลักดันไข่ไก่ 200 ล้านฟองออกจากตลาด ด้วยการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยรัฐบาลจะสนับสนุเงินชดเชยให้เอกชน 100 ล้านฟองแรก ในราคาฟองละ 50 สตางค์ คาดว่าจะใช้งบประมาณ 51 ล้านบาท ซึ่งจะใช้งบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย! ยอดลงทะเบียน ม.33เรารักกัน แล้วกว่า 8.2 ล้านคน ทั้งยังเปิดให้ผู้ประกันตนที่ไม่เคยลงทะเบียน ไม่มีสมาร์ทโฟน พกบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด ลงทะเบียนที่ สปส. ทั่วประเทศ

โดย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงผลการลงทะเบียนออนไลน์โครงการ ม33เรารักกัน ผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.- 7 มี.ค.64 จากเป้าหมายดำเนินการ 9.27 ล้านคน ปรากฏว่า มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ลงทะเบียนทั้งสิ้น 8,208,286 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 7 มี.ค.64 เวลา 23.00 น.) คงเหลืออีกประมาณ 1 ล้านกว่าคนในจำนวนนี้ ประกอบไปด้วย ผู้ที่รับเงินในโครงการเราชนะไปแล้ว ผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีเกิน 500,000 บาท และผู้ที่มีปัญหาอื่น ๆ ทางเทคนิค เช่น ชื่อ - นามสกุล ไม่ตรงกับฐานข้อมูลสำนักทะเบียนราษฎร หรือไม่ตรงกับฐานข้อมูลผู้ประกันตน ลงทะเบียนช้า ไม่มีสมาร์ทโฟน

นายสุชาติ ยังกล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินการสำหรับผู้ประกันตนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและยังไม่เคยลงทะเบียนเลย ขอให้เข้ามาติดต่อเพื่อลงทะเบียนที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศที่ท่านสะดวกในวันที่ 15 - 28 มี.ค.64 ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตนนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดมาเพื่อลงทะเบียนขอรับสิทธิด้วย

โดยสำนักงานประกันสังคมจะจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก พร้อมให้คำแนะนำปรึกษาเรื่องการลงทะเบียน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.30 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนแล้วแต่ไม่ผ่านสามารถขอทบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ได้ในวันที่ 15 - 28 มี.ค.64 ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1 สำนักงานประกันสังคม

‘บิ๊กป้อม’ ขอบคุณคนคอนที่ลงคะแนนให้พรรคพปชร. ทุกคน ส่งผลให้ผู้สมัครของพรรคได้รับชัยชนะเลือกตั้งซ่อม เขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ลั่นเป็นเรื่องประชาธิปไตย เชื่อไม่ทำให้ผิดใจกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมินตอบกระทบการปรับครม.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ผู้สมัครของพรรคพปชร. ชนะเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ว่า ขอบคุณคนใต้ที่ลงคะแนนให้พรรคพปชร. ขอบคุณทุกคน

เมื่อถามว่าหลังจากนี้ทิศทางทางการเมืองในภาคใต้จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของประชาธิปไตย ก็ว่ากันไป ไม่มีการโกรธกัน ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคปชป. หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี เป็นเรื่องของประชาธิปไตย

หลังจากนี้ หากมีการเลือกตั้งภาคใต้อีกพรรคพปชร. จะส่งลงแข่งขันหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่แน่ ก็แล้วแต่ว่าเรามีความพร้อมหรือไม่ เมื่อถามว่า การชนะเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคพปชร. กล่าวว่า พรรคพปชร. ก็มีนิมิตหมายที่ดีมาตลอด เมื่อถามว่า ขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนเรื่องปัญหาการรณรงค์หาเสียงมาที่พรรคพปชร. หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ไม่มีเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ผู้สมัครของพรรคพปชร. ได้รับเลือกเข้ามาจะกระทบต่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธตอบคำถาม

กยศ. แจงข่าวกรณีให้นายจ้างเอกชนหักเงินเดือนลูกจ้าง เพื่อคืนให้กองทุน เผยนายจ้างทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือ หนุนลูกหนี้ช่วยจ่ายหนี้กว่า 1.35 ล้านคน ปี 64 เตรียมปล่อยกู้ 38,000 ล้านบาท ส่งต่อโอกาสการศึกษาให้นักเรียน - นักศึกษา

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า จากการที่กองทุนได้มีหนังสือถึงหน่วยงานองค์กรนายจ้างภาคเอกชนในการหักเงินเดือนเพื่อชำระเงินคืนกองทุนตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 นั้น

ขอชี้แจงว่า การดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 เริ่มจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเอกชนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กตามลำดับ ทั้งนี้ มีหน่วยงานที่กองทุนต้องแจ้งหักเงินเดือนทั้งหมดประมาณ 107,000 แห่ง และมีผู้กู้ยืมที่เป็นพนักงานของหน่วยงานเหล่านี้ที่อยู่ในเกณฑ์หักเงินเดือนทั้งหมด 1,735,000 ราย ในช่วงที่ผ่านมา

โดยกองทุนได้แจ้งหักเงินเดือนไปยังนายจ้างแล้ว 14,813 แห่ง เป็นจำนวนผู้กู้ยืมทั้งสิ้น 1,268,000 ราย และอยู่ในระหว่างการแจ้งหักเงินเดือนในเดือนมีนาคมอีก 92,935 แห่ง ซึ่งมีผู้กู้ยืมจะอยู่ในเกณฑ์หักเงินเดือนจำนวน 466,000 ราย

ทั้งนี้ กองทุนได้จัดประชุมชี้แจงให้นายจ้างได้รับทราบและเข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็น ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นายจ้างทุกภาคส่วนได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่งผลให้ ณ 31 ธ.ค.63 มีลูกหนี้จ่ายหนี้ปกติกว่า 1.35 ล้านคน

สำหรับขั้นตอนการหักเงินเดือนของพนักงานหรือลูกจ้างที่เป็นผู้ยืมเงิน กยศ. ผ่านองค์กรนายจ้างนั้น กองทุนจะจัดส่งหนังสือแจ้งหักเงินเดือนไปตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์ของผู้กู้ยืมเงินได้รับทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน จากนั้นกองทุนจะจัดส่งหนังสือแจ้งให้นายจ้างทราบถึงข้อมูลของผู้กู้ยืมเงิน รวมทั้งจำนวนเงินที่ต้องหักนำส่งล่วงหน้าประมาณ 30 วัน

ทั้งนี้ นายจ้างสามารถตรวจสอบข้อมูลที่ต้องหักและนำส่งผ่านระบบรับชำระเงินกู้ยืมคืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาผ่านกรมสรรพากร (e-PaySLF) โดยเข้าใช้งานได้ที่เว็บไซต์ กยศ. www.studentloan.or.th ซึ่งกองทุนจะมีการปรับข้อมูลผู้กู้ยืมให้เป็นปัจจุบัน และจะแจ้งข้อมูลที่ต้องหักและนำส่งให้นายจ้างได้ทราบผ่านระบบดังกล่าวในทุกวันที่ 5 ของเดือน ทั้งนี้ กองทุนขอชี้แจงรายละเอียดการหักเงินเดือนเพื่อความชัดเจน ดังนี้

1.) เมื่อพนักงานได้รับเงินเดือน ลำดับการหักเงินเดือนกองทุนอยู่ในลำดับ 3 โดยลำดับแรกเป็นการหักภาษี ณ ที่จ่าย ลำดับที่ 2 หักกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และประกันสังคม และลำดับที่ 3 หักเงินกองทุน กยศ.

2.) หากนายจ้างไม่ดำเนินการหัก ฯลฯ ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ได้ระบุให้ นายจ้างจะต้องชดใช้เงินที่ต้องนำส่งในส่วนของผู้กู้ยืมเงินตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ และต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของจำนวนเงินที่นายจ้างยังไม่ได้นำส่ง หรือตามจำนวนที่ยังขาดไปแล้วแต่กรณี

แต่ที่ผ่านมาหากหน่วยงานแจ้งเหตุผลข้อขัดข้อง หรือความจำเป็นที่ไม่สามารถดำเนินการหักเงินเดือนผู้กู้ยืมได้ผ่านขั้นตอนในระบบให้กองทุนรับทราบก็ไม่ต้องชดใช้เงินให้กับกองทุน และหากไม่สามารถดำเนินการหักเงินเดือนได้ กองทุนยินดีที่จะอนุโลมและผ่อนผันให้ ซึ่งในปัจจุบันกองทุนยังไม่เคยเรียกให้นายจ้างชดใช้เงินหรือเรียกเงินเพิ่มจากนายจ้างแต่อย่างใด

3.) การคำนวณยอดหักเงินเดือน กองทุนจะใช้ยอดหนี้ตามตารางชำระรายปี หารด้วย 12 เดือน หรือจำนวนเดือนที่เหลือก่อนถึงวันครบกำหนดชำระหนี้ (5 กรกฎาคมของทุกปี) และในงวดปีถัดไปจะเริ่มหักเงินเดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมของทุกปีจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น

ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมเงินที่ไม่สามารถชำระตามอัตราที่แจ้ง สามารถขอปรับลดจำนวนเงินได้โดยแจ้งความประสงค์ขอลดจำนวนการหักเงินเดือนได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” โดยกองทุนอนุโลมให้ชำระขั้นต่ำเพียง 100 บาท แต่ผู้กู้ยืมเงินยังมีหน้าที่ต้องไปชำระเงินในส่วนที่ขาดไปของงวดนั้นให้ครบตามจำนวนที่ต้องชำระก่อนวันครบกำหนดชำระหนี้รายปี

“กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตั้งต้นมาจากงบประมาณแผ่นดินที่มาจากเงินภาษีของประชาชน และใช้เงินชำระหนี้ของผู้กู้ยืมรุ่นพี่หมุนเวียนเพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้อง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กองทุนขอเรียนว่า ปัจจุบัน กองทุนไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินตั้งแต่ปี 2561 และในปีการศึกษา 2563 มีผู้ขอกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นจาก 28,000 ล้านบาท เป็น 33,000 ล้านบาท”

สำหรับปีการศึกษา 2564 นี้กองทุนได้เตรียมเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา จำนวน 38,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมจำนวน 624,000 รายไว้เรียบร้อยแล้ว กองทุนขอยืนยันว่า กองทุนจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัว เพื่อให้บุตรหลานและนักเรียน นักศึกษารุ่นหลังมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้ทุกคนอย่างแน่นอน โดยไม่มีการจำกัดโควตาการให้กู้ยืมแต่อย่างใด

ทั้งนี้ หากนายจ้างมีข้อสงสัยสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.องค์กรนายจ้าง” หรือ โทร. 09 4212 6250 - 79 (30 คู่สาย) และสำหรับผู้กู้ยืมที่ชำระเงินผ่านองค์กรนายจ้างที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.หักเงินเดือน” หรือโทร. 0 2016 4888


ที่มา: https://www.prachachat.net/finance/news-625000

กองสลากฯ เตรียมทดองใช้แอปฯ ซื้อ-ขาย "สลากกินแบ่งรัฐบาล" แก้ปัญหาหวยแพง นำร่องใช้กับเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย GLO official Sellers ในกรุงเทพฯ และนนทบุรี 56 แห่ง

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 64 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า เตรียมทดลองนำระบบแอปพลิเคชันรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ซื้อขายสลากแทนเงินสด เพื่อแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคา และปัญหาการขายต่อทำกำไร โดยวิธีการซื้อขายสลากจะยังซื้อขายเป็นใบผ่านตัวแทนจำหน่ายตามปกติ เพียงแต่ชำระเงินด้วยแอปฯ แทนการจ่ายเงินสดเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้นจะนำร่องใช้กับเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายสลาก 80 บาท จีแอลโอ ออฟฟิเชียล เซลเลอร์ส (GLO official Sellers) ในกรุงเทพฯ และนนทบุรี 56 แห่ง ซึ่งกำลังเปิดรับสมัครและคัดเลือกในขณะนี้ก่อน

ทั้งนี้ การเปิดให้มีการซื้อขาย "ลอตเตอรี่" ผ่านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้มีข้อมูลยืนยันได้ว่า มีการขายสลากในราคาใบ 80 บาทจริง และระบุตัวตนของผู้ซื้อและผู้ขายได้ว่ามีการขายให้กับใคร ขายแล้วมีการนำไปจัดรวมชุดหรือเก็งกำไรต่อหรือไม่ นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ให้นักเสี่ยงมีความมั่นใจว่า เมื่อซื้อลอตเตอรี่ไปแล้วหากเกิดถูกรางวัลขึ้นมาก็มีหลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นผู้ซื้อลอตเตอรี่จากร้านนี้จริง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการเกิดดราม่าหวย และฟ้องร้องกันหลายกรณี

สำหรับแอปพลิเคชันรับชำระเงินที่นำมาใช้ จะเป็นแอปฯ ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้อยู่แล้ว เช่น เป๋าตัง และ ถุงเงิน แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นแอปฯ รับชำระเงินประเภทนี้เท่านั้น อาจเป็นของสถาบันการเงินอื่นๆ ก็นำมาใช้ซื้อขายลอตเตอรี่ได้

ส่วนการรับสมัครตัวแทนจำหน่ายสลาก 80 บาท จีแอลโอ ออฟฟิเชียล เซลเลอร์ส ในกรุงเทพฯ และ นนทบุรี ซึ่งปิดไปเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา มียอดสมัครทั้งสิ้น 520 ราย แบ่งเป็นตัวแทนในเขตกรุงเทพ 460 ราย นนทบุรี 60 ราย โดยพื้นที่ที่สมัครมากสุดในกรุงเทพฯ เป็นเขตพระนครซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดค้าสลากคอกวัว ส่วนจังหวัดนนทบุรี มีอำเภอเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดค้าสลากสนามบินน้ำสมัครเข้ามามากสุด

ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย โฆษกกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า หลังจากปิดรับสมัครแล้ว จะนำรายชื่อผู้สมัครเข้าตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น จากนั้นจะมีการสอบสัมภาษณ์ถึงแผนดูแลการจำหน่ายสลากไม่เกิน 80 บาท ซึ่งหากมีผู้ผ่านเกณฑ์มากกว่าเขตละ 1 ราย ก็จะมีจับสลากเลือกเพื่อหาตัวแทนเข้าร่วมเครือข่ายขายสลาก 80 บาทต่อไป โดยคาดว่าจะทราบผลได้ประมาณเดือนพ.ค.นี้ โครงการนี้เป็นหนึ่งในหลายแนวทาง ที่พยายามนำมาแก้ไขปัญหาสลากขายเกินราคา โดยจะนำร่องเปิดให้เฉพาะตัวแทนผู้ค้าเดิมที่อยู่พื้นที่กรุงเทพ และนนทบุรีเข้ามาสมัครผ่านทางออนไลน์ก่อน

จากนั้นจะใช้เวลา 3 - 6 เดือนเพื่อประเมินผล หากได้ผลดีจะขยายไปยังจังหวัดอื่นต่อไป ซึ่งผู้เข้าร่วมเครือข่ายผู้ค้าจะต้องขายลอตเตอรี่ไม่เกินฉบับละ 80 บาท และจะได้รับสลากไปขายงวดละ 25 เล่มโดยมีการทำสัญญาแบบปีต่อปี

รัฐบาลจีนกำลังจะเป็นชาติแรกที่ใช้งาน ‘เงินดิจิทัล’ (ดิจิทัลหยวน) อย่างเป็นรูปธรรม หลังจากพัฒนามานานถึง 7 ปี เชื่ออาจจะสะเทือนถึงโลก Bitcoin

บลูมเบิร์ก ได้เผย ถึงการที่จีนเริ่มเร่งปล่อยเงินหยวนดิจิทัลออกมาสู่ตลาด เป็นการแสดงถึงความพยายามที่จริงจังของรัฐบาลจีนที่ต้องการควบคุมระบบการเงินในโลกใหม่ ซึ่งในปัจจุบันทางธนาคารกลางจีน ได้ทำการทดสอบใช้เงินหยวนดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้จะถึงขั้นที่พร้อมปล่อยใช้แบบเต็มตัว

อย่างไรก็ตาม หากจีนสามารถนำเงินดิจิทัลของตนออกใช้ได้จริงจัง ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดเงินดิจิทัล โดยเฉพาะกับ Bitcoin พอสมควร

สำหรับการเร่งผลักดันเงินดิจิทัลของจีนออกมา เพราะเหตุผลหลักๆ มาจากการที่จีนไม่ค่อยชื่นชอบสกุลเงินดิจิทัลที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้เกิดมาตรการในการห้ามแลกเงินหยวนกับโทเคนดิจิทัลต่างๆ หรือแม้แต่การสั่งแบนขุด Bitcoin ในหลายพื้นที่ หลังจากนักขุด Bitcoin ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก จนทำให้พื้นที่เหล่านั้นไม่สามารถทำตามนโยบายประหยัดพลังงานได้

นักวิเคราะห์มองว่าถ้าหากจีนปล่อยเงินหยวนดิจิทัล ที่อยู่ภายใต้การควบคุมออกมา พร้อมกับออกกฎที่เคร่งครัดต่อเงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ มากยิ่งขึ้นนั้น จะยิ่งทำให้ตลาดเงินดิจิทัลในจีนนั้นเกิดอาการ ‘Panic Sell’ หรือแห่กันเทขายออกมา ซึ่งนั่นอาจจะทำไปสู่การตกลงที่รุนแรงของราคา Bitcoin โลก ที่อาจจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ หรืออนาคตอันใกล้ก็เป็นไปได้

ว่าแต่ ‘หยวนดิจิทัล’ ว่าคืออะไร?

ประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นประเทศตัวอย่างของ ‘สังคมไร้เงินสด’ นั่นก็เพราะมีการใช้จ่ายเงินผ่านทางโทรศัพท์มือถือสูงมาก โดยจากข้อมูลในปี 2009 ได้มีการระบุยอดผู้ใช้จ่ายเงินออนไลน์แล้วประมาณ 94 ล้านคน

หลังจากนั้นอีก 10 ปี หรือในปี 2019 ตัวเลขผู้ใช้จ่ายเงินออนไลน์เพิ่มเป็น 800 ล้านคน หรือก็คือเกินครึ่งของประชากร 1,400 ล้านคนทั่วประเทศ

เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เราจะเห็นร้านสะดวกซื้อ แม่ค้าในตลาด หรือกระทั่งขอทาน มี QR Code สำหรับรับเงินโดยเฉพาะ และหากมองตลาดการจ่ายเงินผ่านมือถือของจีน จะพบว่ามีรายใหญ่ได้แก่

...Alipay (Alibaba) ครองส่วนแบ่งสูงสุด 55%

...Tenpay (Tencent + WeChat) ครองส่วนแบ่ง 40%

...ที่เหลือก็คือผู้ให้บริการรายย่อยอื่น ๆ

นั่นเท่ากับว่าการรับจ่ายเงินหยวนแต่ละครั้งผ่านระบบออนไลน์ บริษัทเอกชนเหล่านั้นก็จะมีข้อมูลการเคลื่อนไหวของเงินเก็บไว้ ซึ่งพวกเขาก็จะมีข้อมูลลูกค้าเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ (หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าส่งต่อข้อมูลให้ทางรัฐบาลจีน)

ต่อมาในปี 2014 พอทั่วโลกได้เริ่มรู้จักกับสกุลเงินดิจิทัลที่ชื่อว่า Bitcoinก็ทำให้ธนาคารจีนเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของการมีสกุลเงินดิจิทัลของประเทศตัวเองด้วย โดยในปี 2017 ทางธนาคารพาณิชย์ และผู้เชี่ยวชาญได้มาร่วมกันออกแบบระบบสร้างสกุลเงิน ‘หยวนดิจิทัล’ ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ดิจิทัลหยวน กับ Bitcoin จะมีความต่างกันอยู่พอสมควร โดยเงินหยวนดิจิทัล จะอ้างอิงกับค่าเงินหยวนแบบ 1:1 นั่นหมายความว่าถ้าเงินหยวนมีค่าเท่าไร เงินหยวนดิจิทัลก็จะมีค่าเท่านั้น ซึ่งต่างจาก Bitcoin ที่ไม่ได้อ้างอิงกับสินทรัพย์ใดๆ หรือ Libra (Facebook) ที่อ้างอิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่

ในขณะที่ Bitcoin ขึ้นชื่อเรื่องของความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมใดๆ และสามารถรับจ่ายเงินได้โดยไม่ต้องระบุตัวตน แต่เงินหยวนดิจิทัลนั้น ธนาคารกลางจีนมีสิทธิ์ควบคุมโดยตรง เพราะเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ทำให้สามารถติดตามได้ว่าเงินไปอยู่ตรงไหนแล้ว ถูกใช้จ่ายอย่างไรบ้าง ประชาชนหรือบริษัทไหนเป็นผู้ครอบครองอยู่

ทั้งนี้ หลังจากมีการทดสอบดิจิทัลหยวนจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหา ธนาคารกลางจีนก็เริ่มดำเนินการทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัล ในหลายเมือง เช่น เซินเจิ้น, เฉิงตู หรือซูโจว โดยช่วงแรกเริ่มใช้ในวงแคบ ๆ ก่อนจะต่อยอดทดสอบจ่ายเป็นเงินเดือนบางส่วน และสวัสดิการให้กับข้าราชการ ซึ่งเป็นเหมือนการบีบบังคับให้พวกเขาต้องใช้เงินดิจิทัลไปในตัว แล้วถ้าการทดสอบนี้ได้ผลดี ก็อาจจะขยายต่อไปยังส่วนธุรกิจอื่น ๆ ต่อ ซึ่งรวมไปถึงห้างร้านต่าง ๆ อีกด้วย

และหากไปถึงจุดนั้นได้จริง ร้านค้าที่รับจ่ายเงินผ่าน QR Code ของผู้ให้บริการต่าง ๆ ก็จะถูกบังคับให้รับทั้งสกุลเงินเดิม และสกุลเงินดิจิทัลนี้ควบคู่กันไป ในขณะที่แอปฯ จ่ายเงินชื่อดังของทั้ง Alibaba และ Tencent ที่ตอนนี้ให้บริการรับจ่ายเงินสกุลหยวน ก็พร้อมให้ความร่วมมือหากรัฐบาลขอให้เปิดใช้เงินใหม่นี้ด้วย

มีการคาดเดากันว่า หากประชากรจีนที่มีร่วม 1,400 ล้านคน สามารถเข้าสู่ระบบการเงินผ่านออนไลน์ได้ทั้งหมด โอกาสที่เหรียญดิจิทัลหยวนจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการรับจ่ายเงินผ่านระบบทั้งหมด ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะอย่างที่บอกว่าจีนต้องการที่จะควบคุมและตรวจสอบเส้นทางการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของการ ‘ทุจริตและฟอกเงิน’ อยู่แล้ว

ขณะเดียวกันประชากรร่วม 1,400 ล้านคน นี้ ก็เป็นตัวเลขประชากรมหาศาล ได้ตั้งตนที่จะรับระบบแลกเปลี่ยนเงินด้วย ‘ดิจิทัลหยวน’ ขึ้นมา ใครที่คิดจะค้าขายได้ ก็คงต้องยอมรับเงื่อนไขของสกุลเงินนี้

แล้วก็ดูจะเป็นไปได้มากเสียด้วย ในวันที่จีนกำลังเป็นมหาอำนาจในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจโลก...


อ้างอิง:

https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1169233243518414/

https://www.bloomberg.com/.../china-s-plan-for-digital...

https://www.efinancethai.com/Laste.../LatestNewsMain.aspx...

https://cntechpost.com/.../alipay-maintains-no-1-spot-in.../

https://www.theguardian.com/.../china-starts-major-trial…

ก้าวไกล เปิดอบรม ว่าที่ผู้สมัคร สก. เตรียมพร้อมลงสนามเลือกตั้ง กทม. เป้าหมายทำนโยบายเพื่อชาวกรุงเทพฯ พร้อมเผย ผู้ท้าชิงผู้ว่ากรุงเทพฯพรรคก้าวไกล "ใหม่ ชัด โดน” แน่นอน!

ณ สำนักงานพรรคก้าวไกล เขตบางเเค กรุงเทพมหานคร พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต25 บางขุนเทียน ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์ กรุงเทพมหานคร ฝ่ายอบรมพรรคก้าวไกล อมรมเเละพบปะว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สังกัดในนามพรรคก้าวไกลที่จะร่วมผลักดันเเละดูเเลนโยบายยุทธศาสตร์โครงสร้างของกรุงเทพมหานครเพื่อยกระดับเเลคุณภาพชีวิต เเละแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนคนกรุงเทพมหานคร

พิธา กล่าวถึงความพร้อมของพรรคก้าวไกลในการส่งผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เพื่อเเข่งขันพัฒนาศักยภาพ เเละกำหนดนโยบายเพื่อชาวกรุงเทพมหานคร ซึ่งกรุงเทพมหานครมีปัญหาสำคัญที่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการไร้รอยต่อของการคมนาคม เเละนโยบายในการเอางบประมาณ 5% มาให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการออกเเบบกรุงเทพมหานคร

พิธา กล่าวต่อไปว่า "ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาผมลงพื้นที่กว่า 8 จังหวัดในการรับฟังปัญหาประชาชน เพื่อสะท้อนเเละนำไปผลักดันในสภาผู้แทนราษฎร เเละตั้งเเต่วันนี้เป็นต้นไป จะลงพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วยเพื่อทำงานเชิงโครงสร้างเเละนโยบายอย่างเข้มข้น เเละขอให้ผู้สมัครทุกคนมีความมุ่งมั่น ตั้งใจไม่ย่อท้อ ให้นึกถึงวันเเรกที่ได้เข้ามาทำงานการเมือง

สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ถึงจุดประสงค์ที่ตั้งเป้าหมาย ว่าเข้ามาทำการเมืองในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติที่ช่วยผลักดันนโยบายต่าง ๆ เพื่อคุณภาพชีวิตของชาวกรุงเทพมหานคร โดยเป้าหมายที่สำคัญ คือต้องมาจากใจของผู้สมัคร ในการตั้งเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพกรุงเทพมหานคร เเละในประเด็นต่อมาคือให้ตั้งเป้าหมายเป็นตัวเลข จากสถิติเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา อดีตพรรคอนาคตใหม่มีฐานเสียงกว่า 800,000 คะเเนนสำหรับกรุงเทพมหานคร เป็นป๊อบปูลาร์โหวตในกรุงเทพที่เยอะที่สุดในบรรดาทุกพรรคการเมือง"

"ผมในฐานะหัวหน้าพรรค เห็นว่ากรุงเทพมหานครมีความสำคัญต่อพรรคก้าวไกลมาก 800,000 เสียง ของชาวกทม.ที่ไว้วางใจพรรคอนาคตใม่คือ คะเเนนที่สำคัญ ที่เราจำเป็นต้องสานต่อความหวังของพี่น้องประชาชน ทำนโยบายเพื่อชาวกรุงเทพมหานครให้มีประสิทธิภาพที่สุด"

"ผมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลและส.ส. จะไปร่วมลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาของพี่น้องประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาได้จริงอย่างตรงจุด มีการพูดกันเเบบปากต่อปากถึงศักยภาพ เเละจุดเเข็งของว่าที่ผู้สมัครของเรา เราต้องมีหัวคะเเนนทางอุดมคติ ทางอุดมการณ์ ทางนโยบาย ที่เราจะช่วยกันพัฒนาศักยภาพของกรุงเทพมหานครเเละผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน เพื่อร่วมทำกรุงเทพในฝันของเราอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวกรุงเทพมหานคร" พิธา กล่าว

"การทำงานของผมจะเป็นการทำงานแบบไร้รอยต่อ เราจะทำงานตั้งเเต่สภาผู้เเทนราษฎร จนถึงระดับท้องถิ่น เพื่อรับทราบปัญหา นำไปสู่การผลักดันให้เกิดการเเก้ไขอย่างตรงจุด"

ขณะที่ ณัฐชา กล่าวว่า ในวันนี้สนามการเเข่งขันสมาชิกสภากรุงเทพมหานครเริ่มเข้มข้น ซึ่งจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สก. ในช่วงเดือนตุลาคม ดังนั้นพรรคก้าวไกล เรามีเวลาในการเตรียมความพร้อมกว่า 7 เดือน ที่สำคัญคือขอให้ผู้สมัครทุกท่านมั่นใจว่าพรรคก้าวไกล พร้อมผลักดันเเละร่วมสร้าง ร่วมนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง ให้กับชาวกรุงเทพมหานคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อถามถึงผู้ท้าชิงผู้ว่ากรุงเทพมหานครในนามพรรคก้าวไกลเป็นใคร ด้าน พิธาระบุว่ายังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อในขณะนี้แต่ขอรับประกันว่าเขาคือความหวังและโอกาสของชาวกรุงเทพมหานครอย่างแน่นอน อย่างที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า “ผู้ท้าชิงผู้ว่าฯกรุงเทพในนามพรรคก้าวไกล “ใหม่ ชัด โดน” อย่างแน่นอน”

ส่วน บรรยากาศในการพบปะระหว่างหัวหน้าพรรคก้าวไกล เเละว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร บรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นกันเอง มีการเปิดโอกาสให้ผู้ว่าสมัคร สก. ได้ซักถามข้อสงสัย เกี่ยวกับปัญหาในการลงพื้นที่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อที่จะตอบข้อสงสัยจากพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปปรับปรุง เเละสร้างนโยบายเพื่อไปพัฒนาคุณภาพชีวิตกรุงเทพมหานครเพื่อให้ได้กรุงเทพในฝัน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมืองในอนาคตต่อไป

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งแบนการนำเข้าสับปะรดจากไต้หวัน โดยอ้างว่าพบสารพิษ ยาฆ่าแมลงตกค้างที่เป็นอันตรายจากสินค้าล็อตที่เพิ่งส่งมา ซึ่งการสั่งห้ามการนำเข้าสับปะรดไต้หวันเริ่มมีผลทันทีตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป

เรื่องนี้นาย เฉิน ชีชุง รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของไต้หวันออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากทางหน่วยงานมีการตรวจสอบคุณภาพผลผลิตอย่างเข้มงวด และไม่เคยได้รับคำตำหนิจากประเทศคู่ค้าชาติอื่น ดังนั้นคำกล่าวหาของรัฐบาลจีนจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจรับได้

แต่เมื่อทางรัฐบาลจีนได้มีคำสั่งออกมาแล้วว่าให้แบน ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ จึงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในไต้หวันต่างเดือดร้อนไปตามๆกัน เพราะ จีนเป็นผู้นำเข้าสับปะรดรายใหญ่ที่สุดของไต้หวัน กว่า 97% ของสับปะรดไต้หวันส่งไปขายในประเทศจีน ตกเฉลี่ยปีละ 41,660 ตัน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1.5 พันล้านบาท

มิหนำซ้ำ คำสั่งแบนจากจีนออกช่วงหน้าสับปะรดไต้หวันออกมาพอดี ชาวไต้หวันถึงเป็นเดือด เป็นแค้นมาก ว่า จะนำสับปะรดกว่า 4 หมื่นตันไปไว้ไหนและมองว่าจีนใช้นโยบายแบนสับปะรด เพื่อโจมตีภาคอุตสาหกรรมเกษตรของไต้หวันโดยตรง ซึ่งเป็นนโยบายที่จีนนิยมใช้ เมื่อต้องการตอบโต้ชาติใดก็ตามที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจีน

อย่างที่ออสเตรเลียเคยเจอมาแล้วเมื่อช่วงปี 2020 ที่โดนจีนตั้งกำแพงภาษีนำเข้า ไวน์ ถ่านหิน และข้าวบาร์เลย์จากออสเตรเลีย เพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลออสเตรเลียที่เคยกล่าวหาจีนว่าปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาด Covid-19 และเรียกร้องให้องค์การอนามัยโลกตั้งทีมสืบสวนหาต้นกำเนิดไวรัส Covid -19 ที่ประเทศจีน

และเมื่อจีนต้องการเปิดศึกสับปะรด ทางไต้หวันก็จำเป็นต้องออกมาสู้ โดน นาย อู๋ จาวเซี่ย รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันก็ประกาศเปิดแคมเปญ "Freedom Pineapple" สับปะรดแห่งเสรีภาพผ่านทางทวิตเตอร์ พร้อมๆกับนาง ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน ก็ออกมาโพสต์ รณรงค์ให้ชาวไต้หวันช่วยกันซื้อสับปะรดกินกันในช่วงนี้

หลังจากที่เปิดแคมเปญ ก็เกิดแนวร่วมพันธมิตรสับปะรดขึ้นทันที เมื่อทูตพิเศษของแคนาดา และสหรัฐในไต้หวันออกมารับลูกเชียร์ความเอร็ดอร่อยของสับปะรดไต้หวันว่าสุดยอดแค่ไหน

และหน้าเพจ Facebook ของสำนักงานหอการค้าแคนาดาก็ได้โพสต์ว่า พวกเราชาวแคนาดาชอบกินพิซซ่าหน้าสับปะรดมาก โดยเฉพาะสับปะรดจากไต้หวัน และยังเล่าถึงประวัติว่าชาวแคนาดาคือผู้คิดค้นการใส่สับปะรดบนหน้าพิซซ่าเป็นครั้งแรกในปี 1962

และยังมี เบรนท์ คริสเตียนเซ่น ผู้อำนวยการสถาบันอเมริกันแห่งไต้หวัน ได้โพสต์รูปตัวเขากับสับปะรดไต้หวัน 3 ลูกบนโต๊ะทำงานของเขา พร้อมคิดแฮชแท็ก #pineapplesolidarity

ส่วนการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ก็คึกคักไปด้วยแท็ก #FreedomPineapple ที่ชวนกันไปซื้อสับปะรดมากินโชว์ในโซเชียล และทางไต้หวันก็เตรียมเปิดตลาดสับปะรดใหม่ในประเทศพันธมิตร เช่น สิงคโปร์ มาเลยเซีย และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น

และล่าสุด นายเฉิน ชีชุง รัฐมนตรีเกษตรก็ประกาศข่าวดีว่า ตอนนี้ทางเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดได้ยอดสั่งจองล่วงหน้ามาแล้วอย่างถล่มทลายถึง 41,687 ตัน เกินจำนวนยอดที่ส่งออกไปจีนตลอดทั้งปีเรียบร้อยแล้ว

โดยที่ยอดจองส่วนใหญ่มาจากทางอินเตอร์เนตบ้าง จากโรงงานผลิตสับปะรดแปรรูป โรงงานเครื่องดื่ม ตลาดค้าส่ง และค้าปลีกผลไม้และยังมีออเดอร์จากต่างประเทศเพิ่มเติมด้วย เข้ามาช่วยพยุงชาวสวนสับปะรดไต้หวันได้อย่างทันท่วงที

เรียกได้ว่าแผนแก้เกมจีนด้วยพันธมิตรสับปะรดได้ผล และมีกำลังซื้อจริง แต่ทางไต้หวันก็ต้องเร่งหาตลาดต่างประเทศสำรองไว้สำหรับสินค้าเกษตรตัวอื่นๆ ที่อาจโดนจีนสั่งแบนเพิ่มอีกในอนาคตที่อาจต้องสร้างพันธมิตรมะละกอ กล้วย ส้ม กันอีกยาว


อ้างอิง

https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4140768

https://www.theguardian.com/world/2021/mar/02/taiwanese-urged-to-eat-freedom-pineapples-after-china-import-ban

https://www.cnbc.com/2021/03/04/taiwan-chinas-ban-on-pineapples-not-in-line-with-global-trade-rules.html


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top