Sunday, 8 June 2025
สหรัฐ

‘ทรัมป์’ สนับสนุนผนวกกรีนแลนด์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ รัฐบาลกรีนแลนด์ลั่นไม่เห็นด้วย ขู่มะกันห้ามเข้ามาแทรกแซง

(14 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของกรีนแลนด์ โดยระบุว่า กรีนแลนด์มีโอกาสสูงที่จะผนวกเข้ากับสหรัฐฯ ในอนาคต ภายหลังจากที่ในช่วงปี 2019 เขาเคยเสนอให้สหรัฐฯ ซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย

ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า กรีนแลนด์เป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และตั้งอยู่ในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางการทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เขาชี้ว่า กรีนแลนด์มีทั้งทรัพยากรแร่ธาตุและการเข้าถึงเส้นทางการค้าทางทะเลที่มีมูลค่าสูงในอนาคต

ทรัมป์กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่ากรีนแลนด์มีโอกาสที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ในอนาคต เพราะมันมีความสำคัญทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างยิ่ง ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงและมีการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นมากขึ้น”

แม้ว่าข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์ในอดีตจะไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลเดนมาร์กและประชาชนในกรีนแลนด์ แต่การพูดถึงความเป็นไปได้ในการผนวกกรีนแลนด์เข้ากับสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากทั้งสื่อและนักการเมืองทั่วโลก

สำหรับกรีนแลนด์ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก และมีการปกครองตนเองในหลายๆ ด้าน แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก โดยมีข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องอธิปไตยและการปกครอง

ขณะที่ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีมูเต เอเกเดแห่งกรีนแลนด์ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งได้ประกาศว่าจะเรียกประชุมผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศ เพื่อแสดงจุดยืนและความไม่เห็นด้วยต่อแผนการผนวกกรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เราไม่สามารถยอมรับแผนการที่จะทำให้กรีนแลนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับประชาชนในกรีนแลนด์และรัฐบาลของเรา” เขายังเน้นย้ำว่า กรีนแลนด์มีความเป็นอธิปไตยและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศต้องมาจากประชาชนและรัฐบาลของกรีนแลนด์เท่านั้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่า กรีนแลนด์ยังคงยืนหยัดในการรักษาความเป็นอิสระและอธิปไตยของตนเอง ไม่ให้มีการแทรกแซงจากภายนอก

อิหร่าน-รัสเซีย-จีน หารือนิวเคลียร์ที่ปักกิ่ง เตรียมเดินเกมใหม่บนเวทีโลก ท้าทายแรงกดดันจากสหรัฐฯ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นักการทูตระดับสูงจากอิหร่าน รัสเซีย และจีน ได้ประชุมหารือร่วมกันที่กรุงปักกิ่ง เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน การประชุมครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่อิหร่านปฏิเสธคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้อิหร่านกลับมาเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์

นายคาเซม การีบาบาดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน และนายเซอร์เกย์ รยาบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้เข้าร่วมการประชุมสามฝ่ายนี้ โดยมีนายหม่า เจ้าโซ่ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นประธานการประชุม การหารือครั้งนี้ครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน, การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร และประเด็นอื่น ๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน

“ฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องควรมีพันธะในการขจัดสาเหตุหลักของสถานการณ์ปัจจุบัน และละทิ้งแรงกดดันในการคว่ำบาตรและการคุกคาม” หม่า จ้าวซู่ รองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าว

การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดการหารือแบบวงปิดเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านที่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าได้ส่งจดหมายถึงอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเสนอการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ พร้อมระบุว่า “การจัดการกับอิหร่านมีเพียง 2 ทางเลือก คือ ใช้กำลังทหาร หรือทำข้อตกลงเท่านั้น”

ทว่าประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนแห่งอิหร่าน ยืนยันว่าจะไม่ยอมเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้การถูก “ข่มขู่” และไม่มีทางยอมทำตาม “คำสั่ง” ของสหรัฐฯ ที่บีบให้ต้องเจรจา

“มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่พวกเขาจะมาบอกว่า เรากำลังออกคำสั่งให้คุณอย่าทำสิ่งนี้ อย่าทำสิ่งนั้น หรือเราควรทำสิ่งนี้ ผมจะไม่เจรจาใด ๆ กับคุณ เอาเลย ทำอะไรที่น่ารังเกียจตามที่คุณต้องการ” ประธานาธิบดีมาซูด กล่าว

ทั้งนี้ จีนและอิหร่านได้ร่วมกันเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน เพื่อเปิดทางให้ทุกฝ่ายกลับคืนสู่โต๊ะเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์อีกครั้ง

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างอิหร่าน รัสเซีย และจีน ในการแก้ไขปัญหาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และความพยายามในการหาทางออกที่สันติและยั่งยืนสำหรับประเด็นที่ซับซ้อนนี้

ทรัมป์ขู่เก็บภาษี 200% แอลกอฮอล์นำเข้าจากยุโรป ฝรั่งเศสไม่ยอมจำนนเตรียมปะทะทางการค้า เพื่อปกป้องไวน์และแชมเปญ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ที่จะเก็บภาษี 200% จากไวน์ แชมเปญ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากสหภาพยุโรปไม่ยกเลิกการเก็บภาษี 50% ต่อสุรานำเข้าจากสหรัฐฯ

การตอบโต้ทางการค้านี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษี 25% ต่อการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ส่งผลให้สหภาพยุโรป ได้ประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 26,000 ล้านยูโร (ราว 949.78 พันล้านบาท) ซึ่งรวมถึงวิสกี้และเหล้าเบอร์เบิน

ทรัมป์ระบุว่า หากยุโรปไม่ยกเลิกภาษีดังกล่าว สหรัฐฯ จะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 200% ต่อไวน์ แชมเปญ และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทั้งหมดจากฝรั่งเศสและประเทศสมาชิก EU อื่นๆ เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจไวน์และแชมเปญในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไวน์และสุราของยุโรป รวมถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น

โดยตลาดหุ้นยุโรปได้รับผลกระทบจากข่าวดังกล่าว หุ้นของบริษัทผู้ผลิตไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ เช่น LVMH, Pernod Ricard และ Rémy Cointreau ต่างปรับตัวลดลงกว่า 3% หลังมีข่าวเกี่ยวกับมาตรการภาษีของทรัมป์

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาทางออกที่ตกลงกันได้ อาจนำไปสู่สงครามการค้าที่ขยายวงกว้างและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส โลรองต์ แซงต์-มาร์แตง ประณามการกระทำของทรัมป์ โดยระบุว่าฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่และจะปกป้องอุตสาหกรรมของตน

“ฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่ดังกล่าว และเราจะปกป้องอุตสาหกรรมของเราอย่างเต็มที่ การกระทำของสหรัฐฯ ไม่เป็นที่ยอมรับ และเราพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส กล่าว 

โฆษกฝ่ายการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป โอลอฟ กิล เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมทันที และแสดงความพร้อมที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

“ภาษีเหล่านี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสีย เราควรจะมุ่งเน้นที่การเก็บภาษีที่สร้างประโยชน์ทั้งสองฝ่ายดีกว่า” นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่าสหภาพยุโรปกำลังเตรียมหารือกับสหรัฐฯ ทางโทรศัพท์ในเร็ว ๆ นี้ นายโอโลฟ กิลล์ โฆษกด้านการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว

สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางอากาศเยเมน ฮูตีดับ 9 ศพ ทำเนียบขาวส่งสัญญาณเตือนอิหร่าน

(17 มี.ค. 68) สำนักข่าวสปุตนิก รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้กองทัพเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 ราย รวมถึงพลเรือนหลายคน โดยการโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการตอบโต้หลังจากที่กลุ่มฮูตีได้โจมตีเส้นทางเดินเรือในทะเลแดงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า การโจมตีของสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปที่คลังอาวุธและฐานปฏิบัติการหลักของกลุ่มฮูตี เพื่อทำลายขีดความสามารถในการก่อเหตุโจมตีต่อไป พร้อมกันนี้ ทรัมป์ยังได้ออกคำเตือนถึงอิหร่านให้ยุติการสนับสนุนกลุ่มฮูตีทันที มิฉะนั้น สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น

ก่อนหน้านั้นเพียง 1 วัน สหรัฐฯ และอิรักเปิดเผยข้อมูลตรงกันว่า ผู้นำของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ถูกสังหารจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา รายงานระบุว่าการโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ทางตอนเหนือของอิรัก และถือเป็นความสำเร็จสำคัญในการกวาดล้างเครือข่ายก่อการร้ายของไอเอส

ด้าน อิซา บลูมี (Isa Blumi) ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านตะวันออกกลาง ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมน เป็นมากกว่าการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายอิทธิพลของอิสราเอลในภูมิภาค

“การตัดสินใจของทรัมป์คือการปกป้องและช่วยขยายอำนาจของอิสราเอลให้ครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่” บลูมี กล่าวพร้อมชี้ว่าการโจมตีดังกล่าวอาจมีเป้าหมายเพื่อทำลายกลุ่มต่อต้านอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน

ทั้งนี้ การโจมตีทางอากาศของกองทัพสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูตีในเยเมน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต รวมถึงพลเรือน หลายราย และก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมายและผลกระทบของปฏิบัติการนี้

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ อาจทำให้ความขัดแย้งในภูมิภาครุนแรงขึ้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มฮูตี และอาจทำให้ตะวันออกกลางกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการเผชิญหน้าในระดับนานาชาติ

กองทัพเรือสหรัฐฯ เตรียมส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 4 ลำ ประจำการออสเตรเลีย เพื่อถ่วงดุลจีนในอินโด-แปซิฟิก

(17 มี.ค. 68) กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้ประกาศแผนการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้นเวอร์จิเนีย จำนวน 4 ลำ เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ภายในปี 2570 โดยภายใต้ข้อตกลง AUKUS ซึ่งเป็นความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย

ขณะนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำน้ำ USS Minnesota (SSN-783) เข้าร่วมการฝึกซ้อมนำร่องที่ฐานทัพเรือในออสเตรเลียแล้ว โดยการฝึกซ้อมดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่เหลือเข้าประจำการในอนาคต นอกจากนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังเตรียมส่งกำลังพล 50-80 นาย เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling ภายในกลางปี 2568 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเรือดำน้ำเหล่านี้

สำหรับที่ตั้งของ HMAS Stirling ตั้งอยู่ใกล้เอเชียและมหาสมุทรอินเดียมากกว่าที่ตั้งกองบัญชาการกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่ฮาวาย มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐฯ “การปกป้องมหาสมุทรอินเดียจากศักยภาพและอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีนเป็นสิ่งสำคัญ” ปีเตอร์ ดีน ผู้อำนวยการด้านนโยบายต่างประเทศและการป้องกันของศูนย์ศึกษาสหรัฐฯ แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าว

การส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์และกำลังพลดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคในการขยายอิทธิพลทางทะเล เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะการถ่วงดุลอิทธิพลของจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่ดังกล่าว

การประจำการของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในออสเตรเลียตามข้อตกลง AUKUS จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปฏิบัติการทางทะเลของพันธมิตรในภูมิภาค และส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนพันธมิตรในออสเตรเลียและภูมิภาคนี้ในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

นักการเมืองฝรั่งเศส จี้สหรัฐฯ คืนรูปปั้น ‘เทพีเสรีภาพ’ หลังมองว่าอเมริกาเปลี่ยนไปจากอุดมการณ์เดิม

(17 มี.ค. 68) ราฟาเอล กลุกส์มันน์ (Raphaël Glucksmann) นักการเมืองฝ่ายกลางซ้ายจากพรรค Place Publique และสมาชิกรัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้กล่าวระหว่างการประชุมพรรคว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ควรคืนเทพีเสรีภาพให้กับฝรั่งเศส โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ ในปัจจุบันไม่ได้เป็นตัวแทนของค่านิยมประชาธิปไตยและเสรีภาพ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ฝรั่งเศสยึดถือเมื่อครั้งที่มอบอนุสาวรีย์ดังกล่าวให้กับอเมริกา

“เราควรนำเทพีเสรีภาพกลับคืนมา เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้สะท้อนคุณค่าที่ทำให้เราตัดสินใจมอบอนุสาวรีย์นี้ให้พวกเขาอีกต่อไป” กลุกส์มันน์ กล่าวในที่ประชุม พร้อมระบุว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทิศทางทางการเมืองของสหรัฐฯ มีแนวโน้มถดถอยจากแนวคิดประชาธิปไตยและความเป็นเสรีนิยม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการมอบเทพีเสรีภาพให้เป็นของขวัญแก่สหรัฐฯ ในปี ค.ศ.1886

เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) เป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งฝรั่งเศสได้มอบให้แก่สหรัฐฯ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างทั้งสองชาติ และเป็นอนุสรณ์ถึงอุดมการณ์เสรีภาพที่ทั้งสองประเทศเคยมีร่วมกัน

การเรียกร้องของกลุกส์มันน์สะท้อนถึงความกังวลของนักการเมืองบางส่วนในยุโรปที่มองว่า บทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลกกำลังเปลี่ยนไป และอาจไม่ยึดมั่นในหลักการเสรีภาพและประชาธิปไตยเช่นในอดีต อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของเขาก็อาจกลายเป็นประเด็นถกเถียงทั้งในฝรั่งเศสและในสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานะของเทพีเสรีภาพในฐานะสัญลักษณ์ของเสรีภาพระดับโลก

อย่างไรก็ตามยังไม่มีปฏิกิริยาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อคำเรียกร้องของกลุกส์มันน์ แต่แน่นอนว่าความคิดเห็นดังกล่าวอาจกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำประชาธิปไตยของโลกในยุคปัจจุบัน

นอกจากนี้ กลุกส์มันน์ เคยออกมาโจมตี การตัดงบประมาณด้านวิจัยของสหรัฐฯ ในยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่าการลดงบสนับสนุนสถาบันวิจัยและโครงการทางวิทยาศาสตร์ของอเมริกาทำให้เกิด ความเสียหายต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ระดับโลก

“การตัดงบประมาณในสถาบันวิจัยของสหรัฐฯ เป็นการทำลายรากฐานของนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขัดแย้งกับคุณค่าของความก้าวหน้าทางปัญญาที่เราควรปกป้อง” กลุกส์มันน์กล่าว

ผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มเดินหน้าดึงดูดนักวิจัยจากสหรัฐฯ ให้เข้ามาทำงานในฝรั่งเศส โดยมีการริเริ่มโครงการให้ เงินทุนสนับสนุนและโอกาสด้านการวิจัยที่มั่นคงมากขึ้น สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับผลกระทบจากการลดงบประมาณในอเมริกา

แผนการดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายของฝรั่งเศสที่ต้องการยกระดับบทบาทของประเทศในฐานะศูนย์กลางด้านการวิจัยและนวัตกรรมของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่บางประเทศกำลังลดการลงทุนในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นโยบายดึงดูดนักวิจัยต่างชาติของฝรั่งเศสไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุครัฐบาลปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ก็เคยประกาศโครงการ "Make Our Planet Great Again" เพื่อเชิญชวนนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก โดยเฉพาะนักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ ให้มาทำงานในฝรั่งเศส

ขณะที่การตัดงบประมาณด้านวิจัยของสหรัฐฯ กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายวงการ กลุกส์มันน์ชี้ว่า ฝรั่งเศสควรฉวยโอกาสนี้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ของตัวเอง และต้อนรับนักวิจัยที่กำลังมองหาสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทำงานอย่างแท้จริง

กองทัพจีนประกาศเฝ้าระวังขั้นสูง พร้อมรบทุกเวลา หากไต้หวันแยกตัว อาจเกิดสงครามทันที

(17 มี.ค. 68) พลเอก หลิน เซี่ยงหยาง (Lin Xiangyang) ผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ประกาศว่า กองทัพจีนอยู่ในภาวะเฝ้าระวังขั้นสูง และมีความพร้อมเต็มที่ในการทำสงครามได้ทุกเวลาหากจำเป็น เพื่อสกัดกั้นความพยายามแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน

“กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนมีความสามารถในการตอบโต้ภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงที และพร้อมใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ” หลิน เซี่ยงหยาง กล่าว

คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลาง สถานการณ์ที่ตึงเครียดขึ้นในช่องแคบไต้หวัน โดยจีนได้เพิ่มกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ใกล้เกาะไต้หวันมากขึ้น เช่น การซ้อมรบทางทะเล การส่งเครื่องบินรบเข้าสู่เขตป้องกันภัยทางอากาศ (ADIZ) ของไต้หวัน และการเสริมกำลังทางยุทธศาสตร์รอบพื้นที่

ด้านไต้หวัน รัฐบาลไทเปยืนยันว่าตนเป็นประชาธิปไตยที่ปกครองตนเอง และไม่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งยังคงย้ำว่า ไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งของจีน และ พร้อมใช้ทุกวิถีทาง รวมถึงกำลังทหาร เพื่อรวมไต้หวันกลับสู่แผ่นดินใหญ่

การประกาศของหลิน เซี่ยงหยาง ได้รับความสนใจจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของไต้หวัน โดยสหรัฐฯ ได้แสดงท่าที คัดค้านการใช้กำลังทหารเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะของไต้หวัน และยังคงให้การสนับสนุนด้านอาวุธและความร่วมมือด้านความมั่นคงกับไทเป

ความเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกตึงเครียดมากยิ่งขึ้น โดยหลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่าจีนจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอย่างไรในการเผชิญหน้ากับไต้หวันและพันธมิตรตะวันตก

‘ทรัมป์’ เผยเป็นนัย ‘สี จิ้นผิง’ อาจบินสู่สหรัฐฯ หารือประเด็นร้อน

(18 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาแย้มว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน อาจจะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ในอนาคตอันใกล้ท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง โดยทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในระหว่างการปรากฏตัวที่งานประชุมสาธารณะในสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

ทรัมป์ได้กล่าวว่า การเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดที่ยืดเยื้อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยทั้งสองประเทศยังคงมีข้อขัดแย้งในหลายด้าน รวมถึงการเก็บภาษีสินค้าจีนที่สหรัฐฯ กำหนดไว้รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการค้า และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา 

แหล่งข่าวจากรัฐบาลจีนระบุว่า การเยือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า และความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่มีผลดีต่อทั้งสองประเทศ โดยทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างต้องการลดความตึงเครียดที่มีอยู่ และหาทางปรับปรุงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ รวมถึงการบริหารจัดการข้อขัดแย้งอย่างยั่งยืน

ในขณะเดียวกัน จีนหวังว่าจะสามารถเพิ่มความเข้าใจและความไว้วางใจ ระหว่างทั้งสองประเทศได้และมุ่งเน้นไปที่การร่วมมือในระดับโลก โดยเฉพาะในด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจทั่วโลก

การเยือนครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะได้พูดคุยเกี่ยวกับข้อขัดแย้งทางการค้า และหาทางออกร่วมกันเพื่อบรรเทาความตึงเครียดในพื้นที่เศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าการเจรจานี้อาจจะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในอนาคต

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐฯ และจีน ได้เริ่มหารือเกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ในการจัด “การประชุมสุดยอดวันเกิด” (Birthday Summit) ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเดือนมิถุนายน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงวันเกิดของประธานาธิบดีสีตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน แต่การหารือยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่มีการระบุวันที่ชัดเจน 

ประณามสหรัฐฯ แทรกแซงไทย กรณีคว่ำบาตรวีซ่า ปมส่งอุยกูร์กลับจีน

(18 มี.ค. 68) กระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกมาแสดงท่าทีเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ หลังจากที่ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศมาตรการจำกัดวีซ่า และคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน

เหมา หนิง (Mao Ning) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการตอบคำถามของผู้สื่อข่าวว่า จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นภายใต้ข้ออ้างด้านสิทธิมนุษยชน และมองว่ามาตรการของสหรัฐฯ เป็นการใช้แรงกดดันทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม

“จีนยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอธิปไตย และเราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการใช้สิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกดดันประเทศอื่น” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าว

จีนเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและจีนในด้านความมั่นคง และกล่าวว่าการส่งตัวบุคคลกลับประเทศต้องเป็นไปตามกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลจีนได้ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและเสถียรภาพภายในประเทศ ขณะเดียวกันก็เคารพอธิปไตยของไทยในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายด้านความมั่นคงของตนเอง

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยอย่างใกล้ชิดในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ

ในขณะที่จีนออกมาตอบโต้ สหรัฐฯ ยังคงยืนกรานว่าการคว่ำบาตรครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ 

อย่างไรก็ตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ค.ร.ม. ถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ยังไม่มีและยังไม่ทราบ” เรื่องโดนสหรัฐ จำกัดวีซ่า กรณีส่งชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตกลับจีน ต้องให้กระทรวงต่างประเทศช่วยอธิบายเรื่องข้อมูลกับสหรัฐฯ อีกที

ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า กรณีนี้อาจกลายเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย สหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ธุรกิจต้องมาก่อน เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐกว่า 150 แห่ง ยังทำธุรกิจในรัสเซีย แม้ถูกคว่ำบาตรหนัก

(19 มี.ค. 68) บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ราว 150 แห่ง นำโดย โคคา-โคลา ฟอร์ด ไมโครซอฟท์ ไอบีเอ็ม แมคโดนัลด์ ยังคงเดินหน้าทำธุรกิจในรัสเซีย แม้วอชิงตันจะประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อมอสโกหลายต่อหลายรอบ จากการเปิดเผยของ คิริล ดมิทรีเยฟ ผู้แทนพิเศษด้านการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน

ดมิทรีเยฟระบุว่า แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย แต่บริษัทอเมริกันหลายแห่งยังคงเลือกที่จะรักษาผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลังงาน เทคโนโลยี และสินค้าอุปโภคบริโภค

“มีบริษัทสหรัฐฯ จำนวนมากที่ยังคงดำเนินธุรกิจในรัสเซีย เนื่องจากตระหนักถึงความสำคัญของตลาดและโอกาสทางเศรษฐกิจที่นี่” ดมิทรีเยฟกล่าว

ดมิทรีเยฟ กล่าวเสริมอีกว่าบริษัทอเมริกันจะประสบความยากลำบากในการกลับสู่รัสเซีย และทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทเหล่านี้คือการร่วมทุนกับธุรกิจในท้องถิ่น “หอการค้าอเมริกันแสดงให้เห็นว่ามีบริษัทสหรัฐฯ 150 แห่งอยู่ในตลาดรัสเซีย โดย 75% ของบริษัทเหล่านี้ดำเนินกิจการมานานกว่า 25 ปีแล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาต้องการดำเนินธุรกิจต่อไปในรัสเซีย”

รายงานระบุว่า บริษัทข้ามชาติบางแห่งได้ปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้ตัวแทนท้องถิ่นหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุนเพื่อให้ยังสามารถดำเนินงานในรัสเซียได้ โดยไม่ขัดต่อมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯ

ในขณะที่หลายบริษัทตะวันตกถอนตัวจากรัสเซียหลังจากความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2022 บริษัทอเมริกันบางแห่งกลับ ยังคงรักษาผลประโยชน์ทางธุรกิจในรัสเซีย ท่ามกลางสภาวะที่ซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า แม้มาตรการคว่ำบาตรจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซีย แต่ในความเป็นจริง บริษัทต่างชาติบางแห่งยังต้องพึ่งพาตลาดรัสเซีย ทำให้ไม่สามารถถอนตัวออกจากธุรกิจได้โดยง่าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top