Sunday, 8 June 2025
สหรัฐ

ทรัมป์สั่งปล่อยแฟ้มลับคดี JFK 80,000 หน้า เริ่มต้นยุคใหม่แห่งความโปร่งใส เผยทุกข้อมูลไม่มีเซ็นเซอร์

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เปิดเผยเอกสารลับจำนวน 80,000 หน้า ที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) ในปี 1963 โดยไม่มีการแก้ไขหรือเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ

การเปิดเผยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างความโปร่งใสของรัฐบาล โดยทัลซี แก็บบาร์ด ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ ระบุว่า นี่เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของความโปร่งใสสูงสุด

เอกสารที่เปิดเผยประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการสืบสวนของคณะกรรมาธิการวอร์เรนในปี 1964 ซึ่งสรุปว่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ เป็นผู้ลงมือสังหารเคนเนดีเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าเอกสารบางส่วนอาจชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการมีส่วนร่วมของกลุ่มอื่น ๆ เช่น ซีไอเอ หรือกลุ่มผู้ลี้ภัยคิวบา

นอกจากนี้ เอกสารยังเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับปฏิบัติการลับของซีไอเอในช่วงทศวรรษที่ 1960 รวมถึงการพยายามโค่นล้มฟิเดล คาสโตร ผู้นำคิวบา

แม้ว่าการเปิดเผยเอกสารครั้งนี้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความโปร่งใส แต่ผู้เชี่ยวชาญและนักประวัติศาสตร์บางคนยังคงสงสัยว่าเอกสารเหล่านี้จะเปิดเผยข้อมูลใหม่ที่สำคัญหรือไม่ โดยระบุว่าเอกสารส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนหน้านี้แล้ว

การเปิดเผยเอกสารครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางข้อกล่าวหาว่า “รัฐเร้นลึก” (Deep State) คือการปกครองลับรูปแบบหนึ่งประกอบด้วยเครือข่ายอำนาจที่ดำเนินการอย่างเป็นอิสระจากคณะผู้นำทางการเมืองของประเทศ เพื่อผลักดันระเบียบวาระหรือเป้าหมายของตนเอง ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเคนเนดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันข้อกล่าวหาดังกล่าว

ทั้งนี้ เอกสารทั้งหมดสามารถเข้าถึงได้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติในรัฐแมริแลนด์ และจะถูกเผยแพร่ออนไลน์เมื่อมีการแปลงเป็นดิจิทัลแบบเสร็จสมบูรณ์

‘เซเลนสกี’ ยกหูคุย ‘ทรัมป์’ 1 ชั่วโมง การสนทนาเป็นไปด้วยดี เชื่อสันติภาพเกิดขึ้นได้ในปีนี้

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนเป็นที่เรียบร้อย โดยการสนทนาดังกล่าวเป็นไปด้วยดีและใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ทรัมป์ระบุผ่าน Truth Social ว่า “การหารือส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการที่ผมได้สนทนากับประธานาธิบดีปูตินเมื่อวานนี้ เพื่อทำให้ความต้องการของรัสเซียและยูเครนสอดคล้องกัน ซึ่งเรากำลังเข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าว”

ก่อนหน้านี้ เซเลนสกีได้กล่าวว่า เขาจะสนทนาทางโทรศัพท์กับทรัมป์ เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ จับตาการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง 30 วันระหว่างรัสเซียและยูเครน

“เราเห็นชอบร่วมกันว่ายูเครนกับสหรัฐฯ ควรทำงานร่วมกันต่อไป เพื่อบรรลุจุดจบที่แท้จริงของสงครามและสันติภาพที่ยั่งยืน” เซเลนสกี กล่าว “เราเชื่อว่าการร่วมมือกับอเมริกา กับประธานาธิบดีทรัมป์ และภายใต้การนำของอเมริกา จะนำพาสันติภาพที่ยั่งยืนที่สามารถเกิดขึ้นได้ในปีนี้”

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) โดยปูตินเห็นพ้องที่จะให้มีการหยุดยิงเป็นเวลา 30 วันต่อเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในยูเครน

เซเลนสกีกล่าวว่า คำพูดของปูตินยังคงไม่เพียงพอ และยูเครนจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าในประเทศ เพื่อให้สหรัฐฯ และพันธมิตรช่วยจับตาการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง

“ผมหวังว่าจะมีการควบคุมในเรื่องนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าควรจะมาจากสหรัฐฯ ขณะที่ยูเครนพร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งถ้ารัสเซียไม่โจมตีโรงไฟฟ้าของเรา เราก็จะไม่โจมตีโรงไฟฟ้าของพวกเขา” เซเลนสกีกล่าว

การสนทนาระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะคารมกันในทำเนียบขาว ซึ่งการพูดคุยล่าสุดผู้นำทั้งสองต่างบอกว่าเป็นไปด้วยดี

นอกจากนี้ มีรายงานว่าทรัมป์และเซเลนสกีได้หารือเกี่ยวกับกระบวนการสร้างสันติภาพ และโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าไปเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครน

หลายฝ่ายเฝ้าจับตามองการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์และปูตินที่เกิดขึ้นนานกว่า 2 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีได้ขอให้ทรัมป์สนับสนุนด้านการป้องกันทางอากาศเพิ่มเติม เพื่อปกป้องจากการโจมตีของรัสเซีย โดยทรัมป์กล่าวว่าจะช่วยหาอุปกรณ์ทางทหารที่จำเป็น

อย่างไรก็ดี การสนทนาระหว่างผู้นำทั้งสองในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาค

ส่งออกชิปเกาหลีใต้ไปจีนร่วง 31.8% หลังสหรัฐคุมเข้มกฎส่งออกเทคโนโลยี

(20 มี.ค. 68) สื่อต่างประเทศรายงานว่า การส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ไปยังจีน ลดลง 31.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) ในเดือนกุมภาพันธ์ ท่ามกลางแรงกดดันจากกฎควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นต่อจีน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก

สำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า การชะลอตัวการส่งออกของไปจีนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดยอดส่งออกชิปของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ซึ่งทำให้ซัพพลายเชนชิปต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้น

โดยสาเหตุหลักของการลดลงนี้มาจาก มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องขอใบอนุญาตก่อนส่งออกชิปที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ส่งผลให้ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ เช่น Samsung Electronics และ SK Hynix ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้า

ซึ่งจีนถือเป็น ตลาดนำเข้าชิปที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ การลดลงของยอดส่งออกจึงสะท้อนถึง ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ ที่ต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนอย่างมาก

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า หากมาตรการของสหรัฐฯ ยังคงเข้มงวดขึ้น เกาหลีใต้อาจต้อง เร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น เพื่อลดการพึ่งพาจีน ในขณะที่จีนเองก็กำลัง พัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ

ขณะที่ รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณา แนวทางนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยอาจมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนในประเทศ หรือส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกฎควบคุมของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สถานการณ์ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนโลก และมีแนวโน้มจะกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในระยะยาว

‘ทรัมป์’ ลงนาม ปูทางยุบกระทรวงศึกษาฯ ฝ่ายค้านเตือนเตรียมรับผลกระทบที่ร้ายแรง

(21 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหารที่อาจเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของประเทศไปตลอดกาล โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การยุบกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักของรัฐบาลกลาง

คำสั่งดังกล่าวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คำสั่งปรับปรุงผลลัพธ์ทางการศึกษา ด้วยการส่งเสริมผู้ปกครอง รัฐ และชุมชน” โดยทรัมป์ย้ำว่า การปิดกระทรวงศึกษาธิการเป็น “สิ่งที่ถูกต้อง” และรัฐบาลจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

ภายใต้คำสั่งนี้ รัฐบาลกลางจะ ลดบทบาทของตนในด้านการศึกษา และ กระจายอำนาจ ไปยังระดับรัฐและท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งทรัมป์เชื่อว่า รัฐและผู้ปกครองควรเป็นผู้กำหนดแนวทางการศึกษาเอง มากกว่าถูกกำกับโดยรัฐบาลกลาง

“เราต้องให้พ่อแม่ ชุมชน และรัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กๆ ไม่ใช่ข้าราชการในวอชิงตัน” ทรัมป์กล่าวระหว่างการลงนาม

แผนการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มองว่า กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ มีบทบาทมากเกินไปและไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการเรียนการสอน 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามรวมถึงพรรคเดโมแครต และองค์กรด้านการศึกษาออกมาคัดค้านอย่างหนัก โดยเตือนว่า การยุบกระทรวงอาจส่งผลให้การศึกษาขาดมาตรฐานและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา

สหพันธ์ครูแห่งอเมริกาออกแถลงการณ์ว่า “ไม่มีใครชอบระบบราชการ และทุกคนก็เห็นด้วยกับประสิทธิภาพที่มากขึ้น ดังนั้นเรามาหาวิธีการทำให้สำเร็จกันดีกว่า แต่อย่าใช้การ 'ทำสงครามกับคนตื่นรู้' เพื่อโจมตีเด็กที่อาศัยอยู่ในความยากจนและเด็กพิการ”

เบ็ตซี่ เดวอส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการกระจายอำนาจทางการศึกษา กล่าวว่าการยุบกระทรวงเป็น 'ก้าวที่กล้าหาญ' ที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชน ขณะที่นักวิจารณ์มองว่า อาจทำให้โครงการช่วยเหลือนักเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสได้รับผลกระทบ

แม้ว่าคำสั่งบริหารฉบับนี้จะเป็นก้าวแรกสู่การปิดกระทรวงศึกษาธิการ แต่การดำเนินการจริงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก 'สภาคองเกรส' ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อแผนของทรัมป์

ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปิดกระทรวง แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยืนยันว่าจะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ท่ามกลางเสียงถกเถียงที่ร้อนแรงในวงการการศึกษาและการเมืองของสหรัฐฯ

อังกฤษและเยอรมนีเตือนพลเรือนที่เดินทางไปสหรัฐฯ อาจถูกส่งกลับ หลังจากนโยบายการเข้าเมืองเข้มงวดขึ้น

(21 มี.ค. 68) อังกฤษและเยอรมนีออกคำเตือนพลเรือนของตัวเองที่มีแผนจะเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ โดยระบุว่า พลเรือนเหล่านี้อาจเผชิญกับความเสี่ยงสูงในการถูกปฏิเสธการเข้าประเทศ หลังจากหลายรายได้รับผลกระทบจากนโยบายการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้นภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นหลังจากกรณีที่มีการรายงานว่า พลเรือนจากหลายประเทศได้เผชิญสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดจากการตรวจสอบที่เข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติหรือความคิดเห็นที่อาจถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกปฏิเสธหรือถูกเนรเทศออกจากประเทศ

โดยมีกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐเทกซัส พลเรือนจากฝรั่งเศสประสบปัญหาคล้ายกันเมื่อกลุ่ม กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากแดนน้ำหอมที่เดินทางไปประชุมวิชาการในสหรัฐฯ ได้ประสบปัญหาถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียด และถูกจับกุมภายหลังการสอบสวน

หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ถูกส่งกลับประเทศฝรั่งเศส หลังจากพบว่ามีชื่ออยู่ในระบบฐานข้อมูลของ FBI โดยเหตุผลในการจับกุมและเนรเทศนั้น เกิดจากการวิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ในอดีต ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด เพื่อลงโทษบุคคลที่มีความเห็นต่างทางการเมือง

ต่อมาเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ชี้แจงว่า นักวิทยาศาสตร์คนดังกล่าวถูกจับกุม เนื่องจากได้รับแจ้งจากทาง FBI ตรวจสอบแล้วว่า เป็นบุคคลที่อาจมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือไม่พึงประสงค์ต่อความมั่นคงของประเทศ

กรณีนี้สร้างความวิตกกังวลในหมู่ผู้ที่เดินทางไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะนักวิจัยและผู้ที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่าง เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการควบคุมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่เข้มงวดมากขึ้นในสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ ซึ่งสร้างคำถามเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของบุคคลในประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเสรีภาพและสิทธิพลเมือง

ด้านทางการฝรั่งเศสแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์ดังกล่าว โดยกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสได้ออกแถลงการณ์ประณามการปฏิบัติต่อพลเรือนฝรั่งเศสและเรียกร้องให้มีการทบทวนกระบวนการตรวจสอบของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิของพลเมืองจากพันธมิตร

ทั้งนี้ อังกฤษและเยอรมนีจึงได้ออกคำเตือนต่อพลเรือนของตนว่า ควรเตรียมตัวให้พร้อมหากเดินทางไปสหรัฐฯ โดยต้องระวังเสี่ยงที่จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง หากมีประวัติหรือความคิดเห็นที่อาจเข้าข่ายการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากทางการสหรัฐฯ

นอกจากนี้ มีรายงานว่าผู้ถือกรีนการ์ด ก็ไม่รอดจากการถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ (ICE) โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความตื่นตระหนกในสังคมอเมริกัน

หนึ่งในกรณีที่ได้รับการรายงานจากสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษคือ การจับกุม มาห์มู๊ด คาลิล (Mahmoud Khalil) นักศึกษาชาวซีเรียจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขาถือกรีนการ์ดและเพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโทในสหรัฐฯ เขายังเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของชาวปาเลสไตน์ และได้เข้าร่วมการประท้วงหลายครั้งเพื่อเรียกร้องสิทธิของชาวปาเลสไตน์ ในที่สุดเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ ICE จับกุมในอพาร์ทเมนท์ของเขาในมหาวิทยาลัย

การจับกุมมาห์มู๊ด คาลิลสร้างความตกใจและความหวาดกลัวในหมู่ผู้ถือกรีนการ์ดและพลเมืองที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เนื่องจากการดำเนินการนี้เกิดขึ้นหลังจากการปรับนโยบายของทรัมป์ที่เน้นการเข้มงวดต่อการตรวจสอบและกักกันผู้ที่ถือกรีนการ์ด รวมทั้งผู้ที่มีกิจกรรมทางการเมืองที่รัฐบาลไม่เห็นด้วย

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ยังคงยึดมั่นในนโยบายที่มุ่งเน้นความมั่นคงของประเทศ และการควบคุมการเข้าเมืองอย่างเข้มงวด โดยมักมีการตรวจสอบผู้เดินทางที่มีท่าทีหรือความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสายตาของรัฐบาล

สถานการณ์นี้จึงเป็นที่จับตามองในระดับสากลและอาจสร้างความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรบางประเทศ ที่ถูกมองว่าอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเข้าเมืองของสหรัฐฯ

ญี่ปุ่นประกาศยังคงมีความมุ่งมั่นในการกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แม้วอชิงตัน อาจปรับแผนการขยายกำลังทหารเพื่อลดค่าใช้จ่าย

(21 มี.ค. 68) ญี่ปุ่นประกาศยังคงมุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แม้จะมีรายงานว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจยกเลิกแผนขยายกำลังทหารสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น เพื่อประหยัดงบประมาณราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33.64 พันล้านบาท)

เก็น นากาทานิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น แถลงต่อสื่อมวลชนในวันนี้ (21 มีนาคม) ว่า “ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” ในแผนความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ได้ตกลงกันระหว่างการพบปะของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่นยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสองประเทศว่า “เราจำเป็นต้องทุ่มเทมากขึ้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพันธมิตร” ซึ่งถือเป็นท่าทีที่ชัดเจนของรัฐบาลญี่ปุ่น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายระหว่างประเทศของสหรัฐฯ

การแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ทั่วโลกแสดงความกังวลเกี่ยวกับท่าทีของสหรัฐฯ ต่อพันธมิตรในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงยืนหยัดในการรักษาความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงระดับภูมิภาคให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ แหล่งข่าวจากรัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ทางการโตเกียวกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมระบุว่า “ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ และจะยังคงทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค”

ทั้งนี้ หากสหรัฐฯ ตัดสินใจยกเลิกแผนการขยายกำลังทหารในญี่ปุ่น อาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลของอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มาก 

โดยเฉพาะในช่วงที่จีนกำลังเพิ่มกิจกรรมทางทหารในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความตึงเครียดระหว่างจีนและประเทศอื่นๆ รวมถึงในช่วงที่เกาหลีเหนือยังคงทดสอบขีปนาวุธ ทำให้การตัดสินใจของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อการรักษาเสถียรภาพ และดุลอำนาจในภูมิภาคนี้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการจากสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว และยังคงเดินหน้ากระชับความร่วมมือทางทหารกับวอชิงตันต่อไป

นายกฯ แคนาดาประกาศเลือกตั้ง 28 เม.ย. หวังเสียงสนับสนุนต้านแรงกดดันจากสหรัฐฯ

(24 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีมาร์ค คาร์นีย์ (Mark Carney) ของแคนาดา ประกาศยุบสภาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (23 มี.ค.) และเตรียมจัดการเลือกตั้งในวันที่ 28 เมษายน โดยระบุว่าการตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อขออาณัติที่หนักแน่นจากประชาชน ในการรับมือกับภัยคุกคามจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

คาร์นีย์กล่าวว่า ทรัมป์พยายาม “ทำลายเรา เพื่อที่อเมริกาจะได้เป็นเจ้าของเรา” ซึ่งหมายถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองที่สหรัฐฯ กำลังกระทำต่อชาวแคนาดา เขาย้ำว่ารัฐบาลแคนาดาต้องการเสียงสนับสนุนที่ชัดเจนจากประชาชน เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศและรักษาผลประโยชน์ของชาวแคนาดาทุกคน

“เรากำลังเผชิญกับวิกฤตที่ใหญ่หลวงที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเรา สืบเนื่องจากแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมของประธานาธิบดีทรัมป์ และภัยคุกคามของเขาต่ออธิปไตยของเรา” คาร์นีย์กล่าวกับผู้สื่อข่าว หลังยื่นคำร้องขอยุบสภา

อย่างที่ทราบกันดีว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ของแคนาดาเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ซึ่งมีนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของแคนาดา อาทิ

ประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาจาก 25% เป็น 50% เพื่อตอบโต้การที่มณฑลออนแทรีโอของแคนาดาประกาศขึ้นค่าไฟฟ้าสำหรับลูกค้าชาวอเมริกัน 25%

พร้อมทั้งขู่ว่าจะปรับขึ้นอัตราภาษีสำหรับนำเข้ารถยนต์จากแคนาดา หากแคนาดาไม่ยกเลิกอัตราภาษีนำเข้าสินค้านมเนยจากสหรัฐฯ ที่สูงถึง 250%-390%

“การตอบโต้ของเราต้องเป็นการสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและแคนาดาที่มั่นคงกว่าเดิม ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่าแคนาดาไม่ใช่ประเทศที่แท้จริง เขาต้องการทำลายเรา เพื่ออเมริกาจะได้เป็นเจ้าของเรา เราจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น” นายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวอย่างหนักแน่น

นอกจากนี้ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยืนยันความตั้งใจในการผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ โดยอ้างว่าสหรัฐฯ ต้องสูญเสียเงินกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในการสนับสนุนแคนาดา ซึ่งมาร์ค คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ โดยกล่าวว่า “เราจะไม่มีวันเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะในแนวทางไหนหรือรูปแบบใดก็ตาม”

อย่างไรก็ดี รัฐบาลแคนาดาประกาศปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นต่ำสุดลง 1% โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ประกาศงดเก็บภาษีสินค้าและบริการ (GST/HST) เป็นระยะเวลา 2 เดือน ในช่วงระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2567 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลวันหยุด

โดยมาตรการเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลแคนาดาในการปกป้องเศรษฐกิจและประชาชนของตนเองจากผลกระทบของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ 

ด้านนักวิเคราะห์มองว่าการตัดสินใจของคาร์นีย์เป็นการเดิมพันทางการเมืองครั้งสำคัญ โดยเขาหวังใช้กระแสชาตินิยมและความกังวลของประชาชนต่อการแทรกแซงจากสหรัฐฯ เพื่อคว้าชัยชนะและสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาลชุดต่อไป

ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนล่าสุดระบุว่า ‘พรรคลิเบอรัล’ ของคาร์นีย์ ซึ่งครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2015 สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้นำในคะแนนนิยมเหนือ ‘พรรคคอนเซอร์เวทีฟ’ ซึ่งเคยมีคะแนนนำในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ผู้แทนทรัมป์เผยเคียฟตกลงเลือกตั้งใหม่ พร้อมอ้างว่าผู้นำยูเครนยอมรับ ไม่เป็นสมาชิกนาโต

(24 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ผู้พัฒนาและนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก ที่ดำรงตำแหน่งผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ ทัคเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวสหรัฐฯ 

โดยเปิดเผยว่า เคียฟตกลงที่จะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในยูเครน และเสริมว่าผู้นำของประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงครามแห่งนี้ (ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี) ก็ตกลงกับเรื่องนี้แล้ว เนื่องจากกำลังตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบากมาก เพราะรัสเซียมีประชากรและมีอาวุธนิวเคลียร์ที่มากกว่า

วิตคอฟฟ์เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี และอันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดียูเครน ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดแล้วว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของ นาโต (NATO) ในอนาคตอันใกล้

การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงจากผู้นำยูเครน ซึ่งในอดีตเคยหวังที่จะเข้าร่วมกลุ่มนาโตอย่างเต็มที่ เพื่อต่อสู้กับความท้าทายด้านความมั่นคงจากรัสเซียที่ขยายอิทธิพลในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีและเยอร์มักได้ยืนยันว่า ยูเครนจะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของนาโตได้ตามที่เคยตั้งใจไว้

“พวกเขา (เซเลนสกีและเยอร์มัก) ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของนาโตในตอนนี้ และการเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์นี้เป็นการยอมรับสถานการณ์ปัจจุบัน” วิทคอฟฟ์กล่าวในระหว่างการสัมภาษณ์กับคาร์ลสัน

การยอมรับนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยูเครนต้องเผชิญกับความท้าทายจากการรุกรานของรัสเซีย และการทำงานร่วมกับนาโตในหลายๆ ด้าน เช่น การสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจ ถึงแม้ยูเครนจะยังคงคาดหวังการสนับสนุนจากนาโตในด้านอื่นๆ แต่การเข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มตัวอาจเป็นเรื่องที่ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน

สถานการณ์ในยูเครนยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงท่าทีนี้อาจมีผลต่อการเจรจาทางการเมืองในอนาคตระหว่างยูเครนและนาโต รวมถึงความสัมพันธ์กับรัสเซียและประเทศพันธมิตรต่าง ๆ

มาเลเซียเตรียมล้อมกรอบชิป AI คุมเข้มนำเข้า-ส่งออก หวั่นเทคโนโลยีรั่วไหลสู่จีนตามข้อกังวลของสหรัฐฯ

(24 มี.ค. 68) รัฐบาลมาเลเซียเตรียมเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าและส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ต้องการจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

รายงานระบุว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า ซาฟรูล อาซิส กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้มาเลเซียติดตามการเคลื่อนตัวของชิป Nvidia ระดับไฮเอนด์ที่เข้ามาในประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความสงสัยว่าชิปจำนวนมากอาจลงเอยที่จีน

“สหรัฐฯ ขอให้เราตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราได้ตรวจสอบการขนส่งทุกครั้งที่มาถึงมาเลเซีย เมื่อเกี่ยวข้องกับชิป Nvidia” อาซิสกล่าวกับหนังสือพิมพ์

ปัจจุบัน มาเลเซียเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก โดยมีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งตั้งฐานการผลิตและประกอบชิปในประเทศ ซึ่งนโยบายใหม่นี้อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไฮเทคในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซียยังคงเดินหน้าสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย โดยระบุว่า จะกำหนดมาตรการที่ไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในประเทศมากเกินไป

ด้าน สหรัฐฯ ได้เพิ่มแรงกดดันต่อประเทศพันธมิตรทั่วโลกให้เข้าร่วมมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI และการทหารไปยังจีน โดยก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูงแล้ว

นอกจากนี้ รัฐบาลมาเลเซียกำลังเร่งตรวจสอบว่ามีการละเมิดกฎหมายท้องถิ่นหรือไม่ ในกรณีการขนส่งเซิร์ฟเวอร์ที่อาจเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงมูลค่า 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสิงคโปร์ ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นอาจมีชิปขั้นสูงที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ

การสืบสวนเกิดขึ้นหลังจากอัยการสิงคโปร์เปิดเผยในศาลเมื่อต้นเดือนมีนาคมว่า บริษัทแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ถูกกล่าวหาว่าจัดหาเซิร์ฟเวอร์จากสหรัฐฯ ให้กับมาเลเซียโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่สื่อในสิงคโปร์รายงานว่าคดีนี้อาจเกี่ยวข้องกับการโอนถ่ายชิป AI ขั้นสูงของ Nvidia ไปยังบริษัทปัญญาประดิษฐ์ของจีน DeepSeek

DeepSeek ตกเป็นเป้าสายตาของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากเปิดตัวโมเดล AI อันทรงพลังเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงเทคโนโลยี ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเทคโนโลยีของบริษัทนี้อาจใช้ชิปที่ถูกสหรัฐฯ ควบคุมและจำกัดการส่งออก

ขณะที่ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าสอบสวนกรณีนี้อย่างใกล้ชิด โดยก่อนหน้านี้ วอชิงตันได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงให้กับจีน เพื่อลดความสามารถของปักกิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

ทั้งนี้ การสืบสวนครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน และสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI ที่กำลังเป็นจุดศูนย์กลางของการแข่งขันระดับโลก

สหรัฐฯ เล็งแบนวีซ่านักเรียนจีน อ้างเหตุผลความมั่นคง นักวิชาการเตือน อาจทำลายอนาคตนวัตกรรมอเมริกา

(25 มี.ค. 68) ไรลีย์ มัวร์ (Riley Moore) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ได้เสนอร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรชื่อ “Stop CCP VISAs Act” ที่มีเป้าหมายเพื่อห้ามไม่ให้พลเมืองจีนสามารถขอรับวีซ่านักเรียนเข้าสหรัฐอเมริกา โดยให้เหตุผลว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศและเพื่อป้องกันการจารกรรมทางเทคโนโลยีและข่าวกรองจากรัฐบาลจีน

มัวร์ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะจำกัดอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากนักศึกษาจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐจีน

“ทุกปี เราอนุญาตให้ชาวจีนเกือบ 300,000 คนเดินทางมายังสหรัฐอเมริกาด้วยวีซ่านักเรียน เราเชิญชวนพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาสอดส่องกองทัพของเรา ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของเรา และคุกคามความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง” มัวร์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และองค์กรที่สนับสนุนเสรีภาพทางการศึกษา โดยพวกเขาเตือนว่าการจำกัดวีซ่าเช่นนี้อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และส่งผลเสียต่อสถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐฯ ที่พึ่งพานักศึกษาต่างชาติในการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา

ขณะที่ แกรี ล็อก (Gary Locke) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่าร่างกฎหมายที่มัวร์เสนอ “ไม่เพียงแต่เหยียดเชื้อชาติ แต่ยังเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ” เพราะการปิดโอกาสนักเรียนจีนจะบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

ล็อกเน้นย้ำว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ อาศัยความสามารถของนักวิจัยและนักศึกษาต่างชาติอย่างมาก และการจำกัดวีซ่าจะเป็นการทำร้ายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง

ด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาแสดงท่าทีไม่พอใจต่อร่างกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน โดยมองว่าเป็นมาตรการที่ไม่เป็นธรรมและอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดมากขึ้น 

อย่างไรก็ดีร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร และยังไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการนี้จะได้รับการสนับสนุนมากน้อยเพียงใดจากสมาชิกสภาคองเกรสทั้งสองพรรค

ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎหมายนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ เกี่ยวกับบทบาทของจีนในด้านเทคโนโลยีและความมั่นคงของประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top