Saturday, 7 June 2025
สงคราม

ลูกนักการเมืองท้องถิ่น ของฟินแลนด์ วัย 20 ปี อาสาไปรบที่ยูเครน ไปได้ 4 เดือนเสียชีวิต ศพก็ไม่ได้คืน 

(5 พ.ค. 68) อาสาสมัครชาวฟินแลนด์ในยูเครนอยากกลับบ้าน แต่ไม่ได้กลับ

ความโหดร้ายของสงครามได้สร้างบาดแผลให้กับครอบครัวหนึ่งในเมืองตูร์คูอย่างรุนแรง

การตัดสินใจไปอาสาร่วมรบในยูเครนเป็นเรื่องใหญ่ที่เปลี่ยนชีวิต ไม่ใช่การผจญภัยหรือภารกิจเล่น ๆ และไม่ใช่สิ่งที่สามารถถอนตัวได้ง่าย ๆ โดยสำนักข่าว Yle ของฟินแลนด์ได้พูดคุยกับครอบครัวหนึ่งที่ได้รับบทเรียนนี้ด้วยตนเองโดยตรง

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์ได้เตือนอาสาสมัครที่กำลังจะไปรบที่ยูเครน โดยเน้นย้ำถึงข้อผูกพันของสัญญาการรับราชการทหารยูเครน ซึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งจากตูร์คูอาจไม่เห็นประกาศเตือนนั้นทันเวลา

จิร์กิ โอแลนด์ (Jyrki Åland) ชาวเมืองตูร์คู ได้กอดลูกชายของเขาเป็นครั้งสุดท้ายที่สถานีรถไฟคุปปิตตา เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม

ลูกชายวัย 20 ปีชื่อ ลีโอ (Leo) ได้แรงบันดาลใจในการสมัครไปรบในยูเครนขณะที่เขารับราชการทหารในฟินแลนด์ โดยผู้เป็นพ่อเล่าว่า ลีโอรู้สึกเหมือนเป็นภารกิจ แต่ครอบครัวไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้

“พวกเราพูดถึงอันตรายของสงครามและขอให้เขาไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่เขารู้สึกว่าพวกเรากำลังกดดันเขา จนสุดท้ายเขาตัดสินใจออกเดินทางเร็วกว่าที่วางแผนไว้” ผู้เป็นพ่อกล่าว

ลีโอประจำการในยูเครนประมาณสี่เดือน และพ่อผู้ซึ่งเป็นประธานเขตพรรค Finns Party ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ ก็ได้รับข่าวการเสียชีวิตของลูกชายในวันเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อวันที่ 13 เมษายน

พ่อหวังว่า การเล่าเรื่องของลูกชายจะเป็นการเตือนคนอื่นไม่ให้เดินตามรอย
สำหรับชาวฟินแลนด์ การไปรบในยูเครนทำได้ง่ายมาก แค่นั่งรถบัสสองต่อจากเฮลซิงกิก็ถึงแนวหน้าแล้ว
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีชาวฟินแลนด์กว่า 100 คนเข้าร่วมรบในยูเครน และมีประมาณ 10 คนที่เสียชีวิต ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ
หลังจากที่ส่งลูกชายที่สถานีรถไฟไปแล้ว จนผ่านไปสามสัปดาห์ จิร์กิถึงได้ข่าวจากลีโออีกครั้ง
“ผมยังไม่ตาย แต่การมาที่นี่มันทำให้ตาสว่างจริง ๆ มันหนักมาก ผมไม่คิดจะอยู่นาน มาที่นี่เป็นความผิดพลาด”

– ข้อความ WhatsApp, 26 มกราคม 2025

ต่อมาพ่อจึงได้รู้ว่าลีโอเซ็นสัญญาผูกพันกับกองทัพยูเครนเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน พาสปอร์ตของเขาถูกยึด และการใช้โทรศัพท์ถูกจำกัด
“มันอาจดูเหมือนเป็นการกระทำที่กล้าหาญในการไปรบกับรัสเซีย แต่ผมไม่เห็นประโยชน์ที่ชายหนุ่มต้องมารบแทนพวกคนแก่” จิร์กิกล่าว
จุสซี แทนเนอร์ (Jussi Tanner) ผู้อำนวยการด้านบริการกงสุลของกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลทราบว่ามีอาสาสมัครบางคนเปลี่ยนใจในช่วงฝึกและต้องการกลับบ้าน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้

แม้จะมีคำแนะนำจากกระทรวงเกี่ยวกับลักษณะของสัญญาการรับราชการในยูเครน ซึ่งอธิบายว่าเป็นสัญญาภาคเอกชนที่ยกเลิกได้ยากมาก แต่ลีโอไม่เคยเห็น เพราะเอกสารถูกเผยแพร่หลังจากที่เขาเดินทางออกจากประเทศแล้ว

จิร์กิเผยว่าลูกชายต้องการกลับบ้าน ตามที่ปรากฏในข้อความที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกัน ซึ่ง Yle ได้รับสำเนาไว้
“ผมรู้ว่าสิ่งที่เจอจะทำให้ผมที่เติบโตเป็นลูกผู้ชาย แต่ที่นี่มันยากจริง ๆ ผมพยายามปรับตัวอยู่ บางครั้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาทำไม”

– ข้อความ WhatsApp, 2 กุมภาพันธ์ 2025

จิร์กิพยายามติดต่อกระทรวงการต่างประเทศเพื่อช่วยพาลูกชายกลับบ้าน แต่ล้มเหลว
หลังจากฝึกเสร็จกลางเดือนกุมภาพันธ์ ลีโอถูกส่งเข้าหน่วยรบ เขาดูเหมือนจะสนิทกับเพื่อนร่วมรบ และน้ำเสียงในข้อความก็เริ่มเปลี่ยนไป ไม่พูดถึงการกลับบ้านอีก

ช่วงเวลาเดียวกัน สื่อรายงานว่ารัสเซียเริ่มยึดพื้นที่คืนในภูมิภาคเคิร์สก์
“ผมเตือนเขาว่าอาจถึงเวลาที่เขากลับบ้านจริงๆ เพราะรัสเซียเริ่มเปิดฉากรุกในฤดูใบไม้ผลิ แต่ลูกเขาคิดว่าหน่วยของเขาคงไม่ถูกส่งไปแนวหน้า”
ข้อความสุดท้ายที่จิร์กิส่งถึงลูกชายคือวันที่ 9 เมษายน ลีโอไม่ได้ตอบกลับอีกเลย
สี่วันต่อมา ระหว่างที่จิร์กิกำลังเตรียมตัวไปร่วมงานเลือกตั้งของพรรค เขาได้รับข่าวการเสียชีวิตของลีโอ
“เขาเสียชีวิตในยูเครนตะวันออก จากการโจมตีจากโดรน รูปแบบที่เขากลัวที่สุด — เป็นโดรนที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์” จิร์กิกล่าว
ข่าวการเสียชีวิตมาจากเพื่อนร่วมรบของลีโอ เพราะทางการยูเครนยังไม่ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการ

ไม่มีศพให้ฝัง

จิร์กิกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดในฟินแลนด์ที่สามารถเตรียมลูกชายให้พร้อมกับสิ่งที่เจอในยูเครนได้ แม้ขณะที่อยู่แนวหน้า ลีโอยังพยายามกรอกใบสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เด็กวัย 20 ปีไม่ได้คิดถึงเรื่องความตาย

การตัดสินใจของลีโอได้เปลี่ยนชีวิตครอบครัวไปตลอดกาล
ปัจจุบัน จิร์กิลาป่วยจากงานขับแท็กซี่ และคอยตรวจสอบทุกวันว่าของใช้ของลูกชายจะถูกส่งถึงสถานทูตหรือยัง
เพื่อนร่วมรบของลีโอกล่าวว่า ร่างของเขาไม่มีอะไรหลงเหลือ และตอนนี้เขาถูกจัดว่า “สูญหายระหว่างปฏิบัติหน้าที่”
“ถ้าไม่มีศพที่สามารถระบุตัวตนได้ พวกเราก็ไม่สามารถฝังเขาได้ อย่างน้อยต้องรออีกปี” จิร์กิอธิบาย
หลังปลดประจำการจากกองทัพฟินแลนด์ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ลีโอเคยหวังจะถ่ายทอดประสบการณ์สงครามสมัยใหม่ในยูเครนให้กับกองทัพฟินแลนด์

จิร์กิกล่าวว่า ตอนนี้เขาจะพยายามทำให้ฝันของลูกเป็นจริงให้ได้มากที่สุด

“ฟินแลนด์ควรใช้โดรนให้มากกว่านี้ และเปลี่ยนกลยุทธ์พอสมควร โดรนพวกนี้เห็นไกลมาก แถมยังมีทั้งกล้องอินฟราเรดและฟังก์ชันอื่น ๆ อีกเยอะ”
– ข้อความ WhatsApp, 1 กุมภาพันธ์ 2025

ขณะกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองวาซาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประธานาธิบดีฟินแลนด์ อเล็กซานเดอร์ สตุบ ได้แสดงความกังวลต่อยุทธวิธีของรัสเซียในสงครามรุกรานยูเครน

เขาชี้ว่ารัสเซียยังไม่ยอมรับหรือปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดยสหรัฐและสนับสนุนโดยยุโรป ทำให้เกิดความหวั่นใจว่าสงครามจะยืดเยื้อ
“รัสเซียกำลังถ่วงเวลาอีกครั้ง” สตุบกล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเพิ่มแรงกดดันต่อเครมลิน “การหยุดยิงคือหนทางเดียวที่จะหยุดการสังหาร”

อย่าให้แผ่นดินนี้กลายเป็นยูเครนหรือไต้หวัน บทเรียนจากสงครามและการต่อรองที่ต้องจดจำ

(19 พ.ค. 68) ช่วงนี้โลกเรามันก็วุ่นวายเหลือเกินนะ แค่เปิดทีวีหรือเข้าโซเชียลก็เจอแต่ข่าวสงคราม ความขัดแย้ง และความสูญเสีย ดูอย่างยูเครนสิ เมื่อก่อนก็เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ชีวิตผู้คนถูกทำลาย ทรัพย์สินโดนยึดไปอย่างน่าสลดใจ

เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกมาพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “สหรัฐฯ และยุโรปเก็บเกี่ยวยูเครนมาเป็นเวลาสามปี เหมือนกับต้นหอม” คำพูดนี้มันสะท้อนถึงความจริงที่โหดร้ายสุด ๆ ที่ยูเครนต้องเผชิญ ถูกใช้เหมือนเครื่องมือ พอหมดประโยชน์ก็ถูกทิ้งแบบไม่ใยดี

ตอนนี้คนยูเครนต้องเดินเท้า 5 กิโลเมตรเพื่อหาน้ำดื่ม ในเมืองคาร์คิฟ โรงไฟฟ้าถูกทำลายไป 65% เหลือแต่ซาก กองทัพก็กลายเป็นทาสหนี้ให้กับพ่อค้าอาวุธจากสหรัฐฯ คนละ 150,000 ดอลลาร์ นี่มันราคาของ ‘พันธมิตร’ หรือ ‘ทาสยุคใหม่’ กันแน่?

ที่เจ็บแสบที่สุดคือ ข้อตกลงแร่ธาตุที่สหรัฐฯ ผลักดันให้ยูเครนเปิดพื้นที่เหมืองแร่หายาก 18 แห่ง เพื่อแลกกับการล้างหนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่คิดช่วยเหลือทางทหารสักเหรียญเดียว! คือแบบนี้มันแฟร์เหรอ? เหมือนมัดมือชกกันชัด ๆ

ที่สหภาพยุโรปก็ไม่ต่างกันเลย พวกเขาจัดให้ “ปัญหาความมั่นคงของยูเครน” อยู่อันดับที่ 27 ในการประชุมที่บรัสเซลส์ รองจากการปรับปรุงอาหารกลางวันในโรงเรียน! ชีวิตคนทั้งชาติ โดนจัดให้อยู่ท้ายแถวในวาระการประชุม แบบนี้มันไม่ใช่แค่โดนทิ้งนะ แต่มันคือการโดนหักหลัง!

คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า” คำพูดนี้มันเหมือนพยากรณ์ถึงชะตากรรมของไต้หวันเลยนะ

ไต้หวันเองก็เหมือนกับยูเครนในหลายแง่มุม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไต้หวันกลายเป็นสนามประลองของอำนาจมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือสหรัฐฯ แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ ในขณะที่ไต้หวันทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไปกับการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ กลับไม่มีสิ่งใดกลับมานอกจากหนี้สินและคำสัญญาที่ว่างเปล่า

ก่อนที่สงครามในช่องแคบไต้หวันจะปะทุขึ้น สหรัฐฯ ได้ยึดเอา TSMC บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของไต้หวันไปใช้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ต่างจากที่เขาเคยทำกับแหล่งแร่ธาตุของยูเครน และตอนนี้ไต้หวันก็ต้องแบกรับหนี้สินจากการซื้ออาวุธในระดับที่หนักหน่วง โดยที่นักการเมืองในไต้หวันก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับสภาพ

แย่กว่านั้น ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันยังต้องเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเข้าพบและขอการยอมรับ ไม่ต่างจากการ ‘แสวงบุญ’ ที่ต้องผ่านการสัมภาษณ์และการพิจารณาจากผู้นำต่างชาติอย่างน่าหดหู่ เหมือนกับว่าอนาคตของประเทศไม่ได้อยู่ในมือประชาชนตัวเอง แต่อยู่ในมือของมหาอำนาจที่อยู่อีกซีกโลก

คนไทยเราเห็นแล้วก็ต้องคิดบ้าง อย่าให้ใครมายุยงปลุกปั่นให้เราแตกแยก อย่าให้ใครเอาผลประโยชน์หรืออำนาจมาล่อลวง เราต้องรักและหวงแหนแผ่นดินของเราเอง อย่าให้แผ่นดินนี้ต้องกลายเป็น ‘ยูเครนเวอร์ชั่น 2’ หรือ ‘ไต้หวันเวอร์ชั่น 2’ เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่จ่ายราคาแพงที่สุด ก็คือพวกเราคนไทยเอง

ประเทศไทย... พึงตระหนัก!

‘รูบิโอ’ เผยเสียงสะท้อนจากวาติกันถึงทำเนียบขาว ชี้ ‘ยุโรป’ บางประเทศพูดถึงแต่ ‘สงคราม’ มากกว่าสันติภาพ

(20 พ.ค. 68) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่า ระหว่างเดินทางเยือนกรุงโรม เขาได้รับฟังมุมมองสะเทือนใจจากนักบวชชั้นสูงรายหนึ่ง ซึ่งมองว่าโลกในขณะนี้กลับตาลปัตร โดยมีผู้นำสหรัฐฯ อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการสันติภาพ ขณะที่บางประเทศในยุโรปกลับพูดถึงการทำสงครามอยู่เสมอ คำพูดดังกล่าวถูกถ่ายทอดในงานเลี้ยงของคณะกรรมการศูนย์เคนเนดีที่ทำเนียบขาว ซึ่งสะท้อนความรู้สึกของหลายฝ่ายในยุโรปอย่างชัดเจน

รูบิโอระบุเพิ่มเติมว่า หนึ่งในคาร์ดินัลที่เขาพบก่อนพิธีมิสซาของสมเด็จพระสันตะปาปากล่าวว่า “เป็นเรื่องแปลกที่เรามีประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ต้องการสันติภาพ แต่กลับมีชาวยุโรปบางคนที่พูดถึงเรื่องสงครามตลอดเวลา” ซึ่งเป็นความเห็นที่ตอกย้ำภาพลักษณ์ใหม่ของสหรัฐฯ ในสายตาของผู้นำทางศาสนาในยุโรป

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย โดยทั้งสองเห็นพ้องถึงการสานต่อการติดต่อโดยตรงระหว่างรัสเซียและยูเครนในทุกระดับ รวมถึงการเจรจาในระดับผู้นำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สะท้อนความพยายามลดความตึงเครียดในเวทีโลกของทรัมป์ผ่านแนวทางทางการทูตมากกว่าทางทหาร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top