Saturday, 7 June 2025
สงคราม

‘รีพับลิกัน’ ลั่น!! หากชัยชนะเป็นของ ‘ทรัมป์’ ยุติสงครามยูเครนทันที แล้วหันไปตีจีนแทน

(17 ก.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ จะนำมาซึ่ง ‘จุดจบอย่างรวดเร็ว’ สำหรับความขัดแย้งในยูเครน หากได้รับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัยในเดือนพฤศจิกายน จากคำประกาศกร้าวของ ‘เจ.ดี. แวนซ์’ คู่ชิงรองประธานาธิบดีของรีพับลิกัน พร้อมชี้ว่าวอชิงตันควรหันไปมุ่งเน้นจีนมากกว่า โดยให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น ‘ภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด’ ต่ออเมริกา

ทั้งนี้เรื่องราวมีอยู่ว่า ทรัมป์ เปิดตัว แวนซ์ ในฐานะคู่ชิงรองประธานาธิบดีในวันจันทร์ (15 ก.ค.) ณ ที่ประชุมใหญ่พรรค ในมิลวอกี รัฐวิสคอนซิล ต่อมาการเสนอชื่อวุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอรายนี้ก็ได้รับการรับรองในวันเดียวกัน

โดย แวนซ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ไม่นานหลังจากได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่า "ถ้าทรัมป์คืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีตามหลังศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน นโยบายของเขาที่มีต่อยูเครน จะเป็นนโยบายที่เรียบง่ายมาก ๆ"

"รัสเซียจะไม่รุกรานยูเครน ถ้า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แม้กระทั่งสหายจากพรรคเดโมแครตของผมจำนวนมากก็เห็นด้วยอย่างลับ ๆ กับเรื่องดังกล่าว" เขาบอก

เป็นอีกครั้งที่ แวนซ์ กล่าวหารัฐบาลของประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ว่าปราศจากนโยบายที่สมเหตุสมผลในความขัดแย้งนี้ "ตอนนี้เราใช้เงินไปแล้ว 200,000 ล้านดอลลาร์ (ในความช่วยเหลือยูเครน) แล้วเป้าหมายคืออะไร? อะไรคือสิ่งที่เราพยายามประสบความสำเร็จ? มีความเสี่ยงลุกลามบานปลายสู่สงครามนิวเคลียร์ใช่หรือไม่? นั่นเป็นเพราะคุณมีตัวตลกดูแลนโยบายต่างประเทศใช่หรือเปล่า ตอนนี้เรามีคนแบบนั้นมากมายเลยในวอชิงตัน ดี.ซี."

"ผมคิดว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์สัญญาว่าจะทำในเรื่องนี้ก็คือ เจรจากับรัสเซียและยูเครน และนำเรื่องนี้สู่จุดจบอย่างรวดเร็ว เพื่อที่อเมริกาจะได้ไปโฟกัสในประเด็นจริงจัง ซึ่งก็คือจีน ที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด" แวนซ์เน้นย้ำ

นับตั้งแต่การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ทรัมป์กล่าวอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นหากว่าเขาได้ดำรงตำแหน่งอีกสมัยในปี 2020 นอกจากนี้ เขายังให้สัญญาว่าจะคลี่คลายวิกฤตนี้ภายใน 24 ชั่วโมง หากได้กลับสู่ทำเนียบขาว

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน บอกก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือนว่า มอสโกค่อนข้างจริงจังกับคำพูดของทรัมป์ "แน่นอน ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร โดยเฉพาะกับข้อเสนอของเขา (ในการยุติความขัดแย้ง) และแนวทางที่แผนของเขาจะบรรลุผล แต่ผมไม่สงสัยเลยเกี่ยวกับความจริงใจของเขา และเรารู้สึกยินดี"

ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน วลาดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เรียกร้องให้ ทรัมป์ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนสันติภาพของเขา "ผมอยากรู้ว่าอะไรที่หมายถึงการปิดฉากสงครามอย่างรวดเร็ว" เขาบอกกับบลูมเบิร์ก "ถ้าเขารู้วิธียุติสงครามนี้ เขาควรบอกเราตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้ามีความเสี่ยงใด ๆ ต่อความเป็นเอกราชของยูเครน และมีความเสี่ยงใด ๆ ที่เราจะสูญเสียความเป็นรัฐของเรา เราต้องการเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้"

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอียูรายหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวโพลิติโก สื่อมวลชนสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ว่าการที่ทรัมป์เลือกแวนซ์ ผู้ซึ่งคัดค้านอย่างแข็งกร้าวต่อการที่วอชิงตันมอบความช่วยเหลือแก่เคียฟ ถือเป็นหายนะสำหรับยูเครน

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชี้!! โลกตกอยู่ในอันตราย หลัง ‘ปูติน’ โต้ ‘ยูเครน’ เหตุโดนทหารบุกแคว้นคูสค์ จนต้องอพยพประชาชนเกือบแสนคน

(13 ส.ค. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง โลกตกอยู่ในอันตราย มีรายละเอียดดังนี้

“เมื่อวานนี้ ปูตินแถลงหลังจากการประชุมฝ่ายความมั่นคง เพื่อประเมินสถานการณ์ที่ยูเครนส่งทหารบุกเข้าไปในแคว้นคูสค์ของ 10 กิโลเมตร รัสเซียต้องอพยพคนออกจากพื้นที่สู้รบเกือบแสนคน เพื่อลดการสูญเสีย ถูกกระตุกหนวดเสือ

ก่อนหน้านี้ รัสเซียได้เผยแพร่ภาพหอหล่อเย็นของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมืองซาโปโรซี Zaporozhye ที่ได้รับความเสียหายไฟไหม้จากการโจมตีของฝ่ายยูเครน หากจัดการไม่ได้อาจเกิดโศกนาฏกรรมแบบ เชอโนบิล

ปูตินประกาศ ว่า

1.ยกเลิกการเจรจาเพื่อแสวงหาสันติภาพทั้งหมด
2.นาโตต้องการทำสงครามโลกครั้งที่สามกับรัสเซีย
3.ให้ทำลายยูเครนด้วยทหารและอาวุธ

รอติดตามว่า รัสเซียจะตอบโต้หนักหน่วงเพียงใด และการสู้รบจะลุกลามขยายตัวเพียงใด”

น้ำมันดิบราคาพุ่ง 5% จากอิทธิพลอิหร่านเปิดฉากโจมตีอิสราเอล หวั่นเกิดสงครามระดับภูมิภาค

(2 ต.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าเมื่อคืนวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา อิหร่านได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธเข้าโจมตีอิสราเอลแล้ว ซึ่งทางกองทัพอิสราเอลประเมินว่ามีไม่ต่ำกว่า 180 ลูก แต่ส่วนใหญ่ถูกสกัดเอาไว้ได้ทั้งหมด 

กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRGC) ออกแถลงการณ์ระบุว่า อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธจำนวนมากเข้าโจมตีอิสราเอลเพื่อตอบโต้ต่อการสังหารประชาชนในฉนวนกาซา รวมทั้งผู้นำของกลุ่มฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ ที่อิสราเอลออกปฏิบัติการไล่ปลิดชีพไปก่อนหน้านี้ และเตือนว่าอิสราเอลจะถูกโจมตีแบบบดขยี้ หากทำการตอบโต้อิหร่าน

อิหร่านเตือนว่าจะมุ่งเป้าโจมตี "ฐานที่มั่นและผลประโยชน์" ที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอลในภูมิภาค หากอิสราเอลเข้าทำสงครามกับอิหร่าน "โดยตรง" และย้ำว่าการลงมือใดๆ ของอิสราเอลเพื่อตอบโต้การโจมตีด้วยขีปนาวุธในครั้งนี้ จะหมายถึงความพินาศย่อยยับครั้งใหญ่ของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล 

การโจมตีดังกล่าวมีขึ้น หลังจากสหรัฐแจ้งเตือนว่า อิหร่านกำลังเตรียมการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลแบบทิ้งตัว (ballistic missile) โจมตีโดยตรงต่ออิสราเอลในไม่ช้า

ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า อิหร่าน "ได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่เมื่อคืนนี้ และจะต้องชดใช้" และย้ำว่าอิหร่านไม่ได้เข้าใจเลยถึงความมุ่งมั่นของอิสราเอลในการล้างแค้นตอบโต้ศัตรู

"พวกเขาจะเข้าใจ" "เราจะยืนหยัดตามกฎที่เราวางเอาไว้ว่า ใครก็ตามที่โจมตีเรา เราจะเอาคืน"

ด้านพลเรือตรีดาเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอล กล่าวว่า อิสราเอลเตรียมความพร้อมขั้นสูงสุดเพื่อรับมือการโจมตีในครั้งนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทัพสหรัฐที่ประจำการในภูมิภาค

"การที่อิหร่านยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอลจะมีผลที่ตามมาแน่ ซึ่งผมขอไม่เปิดเผยรายละเอียด"

ด้านราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) พุ่งกว่า 5% ทะลุระดับ 71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังมีรายงานว่าอิหร่านได้ยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล

ณ เวลา 00.13 น.ตามเวลาไทย ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส งวดส่งมอบเดือนพ.ย. บวก 3.44 ดอลลาร์ หรือ 5.05% สู่ระดับ 71.61 ดอลลาร์/บาร์เรล

‘สหรัฐ’ ออกจดหมายเปิดผนึกขู่ ‘เกาหลีเหนือ’ หลังข่าวกรองแจ้งอาจแอบส่งทหารช่วย ‘รัสเซีย’

(22 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘หรรสาระ By Jeans Aroonrat’ ได้โพสต์ถึงสถานการณ์การรบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่อาจจะมีการส่งทหารจากเกาหลีเหนือเข้าไปเพิ่มเติม ความว่า 

หลังจากที่ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนได้ออกมาโวยวายหนักว่าพบทหารเกาหลีเหนือ แฝงตัวอยู่ในกองทัพรัสเซียนับหมื่นนาย ที่สอดคล้องกับรายงานของหน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ที่ยืนยันว่า รัฐบาลคิม จอง-อุน ได้ส่งหน่วยรบพิเศษเฟสแรกกว่า 1,200 นายไปฝึกรบที่รัสเซียเรียบร้อยแล้ว 

และมีการประเมินคร่าวๆว่า เกาหลีเหนือเตรียมที่จะส่งทหารไปเสริมให้กองทัพรัสเซียในเฟสต่อๆไป ไม่น้อยกว่า 10,000 นาย อีกทั้งยังมีคลิปวิดีโอ ที่มีการตั้งแถวแจกเครื่องแบบทหารรัสเซียให้กับกองทหารจากเกาหลีเหนือผ่านสื่อท้องถิ่นอีกด้วย

สายเกาหลีใต้ยังรายงานอีกด้วยว่า ตอนนี้มีทหารเกาหลีเหนือ ซ้อมรบปะปนอยู่ในค่ายทหารรัสเซียหลายแห่งในเมืองทางภาคตะวันออกไกล อาทิ วลาดีวอสตอค, อัสซูริสค์, คาบารอฟสค์ และ บลาโกเวชเชนสค์ พร้อมออกปฏิบัติการรบด่านหน้าเมื่อใดก็ได้

นอกจากนี้ยังมีการออกบัตรประจำตัวปลอมให้กับทหารเกาหลีเหนือ เพื่อจะใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงว่า พลทหารหน้าตาโอ้ปป้าแดนเหนือเหล่านี้ เป็นพลเมืองรัสเซียของแทร่ ไม่ใช่ทหารต่างด้าวของสหายคิม

เมื่อมีคนมาฟ้องเข้าหู พร้อมแจงหลักฐานประกอบ ก็ร้อนถึงทำเนียบขาว ในฐานะลูกพี่ใหญ่ของ NATO ที่จะอยู่เฉยไม่ได้ คณะกรรมาธิการสำนักหน่วยข่าวกรองจึงร่างจดหมายเปิดผนึกเผยแพร่ออกสื่อถึง โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เพื่อรายงานข้อมูลทหารเกาหลีเหนือในรัสเซีย ที่ได้รับเรื่องจาก เซเลนสกี้ และสายลับเกาหลีใต้ให้รับทราบทั่วกัน 

เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกยังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐ และพันธมิตร NATO เตรียมรับมือกับการสนับสนุนด้านกำลังทหารของเกาหลีเหนือโดยทันที หากข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองของทั้ง 2 ชาติที่รายงานมาเป็นความจริง

และเมื่อใดก็ตามที่พบว่า มีทหารเกาหลีเหนือใช้อาวุธโจมตียูเครนจากพรมแดนรัสเซีย หรือบุกรุกข้ามฝั่งมายังยูเครน จะถือว่าเป็นการล้ำเส้น ที่สหรัฐอเมริกา และ NATO จะต้องตอบโต้เพื่อยับยั้งการขยายวงของสงครามที่จะรุนแรง บานปลายมากขึ้น 

แต่ทั้งนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาว แต่เนื้อหาเหมือนการส่งสารเตือนไปยังเกาหลีเหนือ จะได้รับการตอบสนองจากบ้านคิมหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าทุกอย่างมีการวางแผนไว้พร้อมแล้ว ตั้งแต่ที่วลาดิมีร์ ปูติน มาเยือนเกาหลีเหนือเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน ก็มีข่าวทั้งการส่งอาวุธ และ ทหารพร้อมรบจากเกาหลีเหนือไปรัสเซียอย่างต่อเนื่อง 

รวมถึงความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ การขู่โจมตีกันด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ หรือการส่งโดรนรุกล้ำชายแดน และวันนี้เกาหลีใต้ได้ออกมาแฉ แผนการส่งทหารเกาหลีเหนือไปยังรัสเซียอย่างละเอียด ที่แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งของสงครามยูเครน ได้ขยายวงมายังเอเชียเรียบร้อยแล้ว

หลายฝ่ายจึงหวั่นเกรงว่า การส่งทหารเกาหลีเหนือไปรัสเซีย อาจเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่สงครามใหญ่ ที่ใกล้เคียงกับสงครามโลกได้เหมือนกัน ยกเว้นว่าหากมีทหารโอ้ปป้าโสมแดงถูกจับ จะพูดภาษารัสเซียได้ ร้องเพลงชาติรัสเซียเป็น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

‘สงครามไทย – ว้า’ ไม่เกิด หลังผ่านเส้นตายกองทัพไทย สวนทางสื่อโซเชียลขยันปั่นเฟคนิวส์หวังให้สงครามปะทุ

เป็นเวลามากกว่า 24 ชั่วโมงมาแล้วหลังเส้นตายของกองทัพไทยที่ประกาศให้ทางกองทัพว้าถอนกำลัง แต่จนถึงปัจจุบัน ณ ตอนนี้ไม่มีสัญญาณใด ๆ เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ความเป็นจริงสวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโซเชียลที่ปลุกปั่นปล่อยเฟคนิวส์ออกมาว่าสงครามเกิดแล้ว

อย่างที่ทาง THE STATES TIMES และเอย่าได้นำเสนอข่าวไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องของเรื่องก็คือทุกอย่างจบแล้วบนโต๊ะเจรจาระหว่างผู้นำว้าและตัวแทนของกองทัพไทย  โดยการแก้ปัญหาดังกล่าวจะเข้าไปสู่การหารือในคณะกรรมการร่วมชายแดนต่อไป  ซึ่งนั่นไปขัดใจคนบางกลุ่มเข้า ซึ่งวันนี้เอย่าจะมาวิเคราะห์ให้ทราบกัน

กลุ่มแรกที่ดูเหมือนจะได้รับผลประโยชน์หากไทยเกิดสงครามกับว้าคือกองกำลังไทใหญ่ใต้หรือ RCSS/SSA ของเจ้ายอดศึกที่มีประเด็นความแค้นกับกองกำลังว้ามาก่อน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าถ้าไทยเปิดศึกกับว้า ไทใหญ่ย่อมต้องช่วยไทย เพราะการที่จะขอไทยคืนเพื่อใช้เป็นฐานเหมือนสมัยที่ขุนส่ายังอยู่

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านกองทัพเมียนมาที่จะใช้โอกาสนี้ในการขนส่งยุทธภัณฑ์ผ่านชายแดนไปให้กลุ่มต่อต้านและกองกำลังชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น

กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่ต้องการสร้างสถานการณ์ เพราะสงครามจะนำเม็ดเงินมหาศาลในการจัดซื้อยุทธภัณฑ์เข้าสู่ตน 

นี่เอย่าไม่นับพวกที่ต้องการให้สถานการณ์ในไทยไม่ดีและกลุ่มที่พยายามจะด้อยค่ากองทัพด้วยนะคะ เพราะเราไม่ให้ราคากับ 2 กลุ่มที่เหลือนี้

อีกประเด็นคือต้องขอบคุณทหารชั้นยศสูงทุกท่านที่ยอมอดทน อดกลั้นรับคำด่า คำด้อยค่า ยั่วยุในสื่อโซเชียล เพื่อที่จะไม่ให้มีการเสียเลือดเนื้อของคนในชาติ ดังคำที่นายพลเกษียณราชการท่านหนึ่งเคยกล่าวกับเอย่าว่า สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการรบคือการพาลูกน้องในสังกัดส่งกลับถึงครอบครัวโดยปลอดภัย ส่วนคนในโซเชียลก็เพลา ๆ กันบ้างนะคะ สงครามไม่เกิดประโยชน์ไม่ว่าจะกับใคร

รมว.สหรัฐฯ ประกาศพร้อมทำศึก หลังจีนกร้าวขอสู้กับ US ในสงครามทุกรูปแบบ

(6 มี.ค. 68) สำนักข่าว นิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า นายพีท เฮกเซธ (Pete Hegseth) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ในวันพุธ (5 มี.ค.) ว่าพร้อมที่จะทำสงครามกับจีน

“เราอยู่ในโลกที่อันตราย เต็มไปด้วยบรรดาประเทศที่มีพลังอำนาจและอิทธิพล ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันอย่างมาก พวกเขาเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างรวดเร็ว ปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย พวกเขาต้องการแทนที่สหรัฐฯ” พีท เฮกเซธ กล่าว 

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาใหม่ 25% และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 20%

นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ของแคนาดาประกาศตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์แคนาดาในอัตรา 25% โดยจะมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าทางวอชิงตันจะยกเลิกข้อจำกัดต่อแคนาดา

จีนยังประกาศการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม 10-15% สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ บางชนิด เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคมเป็นต้นไป

นอกจากนี้ สถานทูตจีนประจำสหรัฐฯ ยังได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้อย่างรุนแรง หลังจากที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน โดยวอชิงตันตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าจาก 10% เป็น 20% ส่งผลให้ปักกิ่งตอบโต้อย่างรุนแรง

โดยก่อนหน้านี้ หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ออกมากล่าวในงานแถลงข่าว เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 ว่า “หากสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ จะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามประเภทอื่นๆ จีนพร้อมที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด”

หน่วยบัญชาการทหารไซเบอร์ หน่วยรบที่มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับสงครามสมัยใหม่

แม้ว่าการรบที่เกิดในปัจจุบันที่เราท่านได้เห็นกันตามสื่อต่าง ๆ ยังคงเป็นการรบด้วยกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมรภูมิที่มองไม่เห็นและมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดไม่แพ้กันเลยก็คือ 'สมรภูมิไซเบอร์' ซึ่งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้นยังที่การสู้รบที่เป็น 'สงครามไซเบอร์' อีกด้วย 

สงครามไซเบอร์ระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของการเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียและยูเครนตั้งแต่ “การปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรี หรือการปฏิวัติไมดาน หรือการปฏิวัติยูเครน” ซึ่งเกิดขึ้นในยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014 โดย Uroburos อาวุธไซเบอร์ของรัสเซียซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2005 อย่างไรก็ตาม การโจมตีระบบสารสนเทศเป็นครั้งแรกต่อหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของยูเครนถูกบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นระหว่างการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2013 

ปฏิบัติการ Armagedon (เป็นการสะกดคำว่า Armageddon ผิดโดยตั้งใจ) ซึ่งเป็นปฏิบัติการจารกรรมทางไซเบอร์อย่างเป็นระบบของรัสเซียต่อระบบสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ หน่วยบังคับใช้กฎหมาย และหน่วยงานป้องกันประเทศของยูเครน ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2013 โดยรัสเซียเชื่อว่าจะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนปฏิบัติการในสนามรบได้ ระหว่างปี 2013 และ 2014 ระบบสารสนเทศบางส่วนของหน่วยงานของรัฐบาลยูเครนได้รับผลกระทบจากไวรัสคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันในชื่อว่า Snake หรือ Uroborus หรือ Turla 

ในเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2014 ขณะที่กองทหารรัสเซียเข้าสู่ไครเมียศูนย์สื่อสารและสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติกของยูเครนถูกโจมตีและถูกแทรกแซงรบกววนสัญญาณทำให้การเชื่อมต่อระหว่างคาบสมุทรและแผ่นดินใหญ่ยูเครนถูกตัดขาด นอกจากนี้ เว็บไซต์ของรัฐบาลยูเครน ข่าว และโซเชียลมีเดียก็ถูกปิดหรือตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี ขณะที่โทรศัพท์มือถือของสมาชิกรัฐสภาของยูเครนหลายคนถูกแฮ็ก หรือรบกวนสัญญาณ ผู้เชี่ยวชาญของยูเครนจึงได้ระบุถึงจุดเริ่มต้นของสงครามไซเบอร์กับรัสเซีย บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เริ่มบันทึกจำนวนการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบสารสนเทศของยูเครนที่เพิ่มขึ้น 

เหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์ของรัสเซีย ได้แก่ หน่วยงานของรัฐบาลยูเครน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา หน่วยงานด้านการป้องกันประเทศ องค์กรด้านการป้องกันประเทศ และองค์กรทางการเมืองระดับนานาชาติและระดับภูมิภาค สถาบันวิจัย สื่อมวลชน และนักต่อต้านรัฐบาล ในปี 2015 นักวิจัยได้ระบุกลุ่มแฮกเกอร์ชาวรัสเซียสองกลุ่มที่เคลื่อนไหวในสงครามไซเบอร์ระหว่างรัสเซียและยูเครน ได้แก่ กลุ่มที่เรียกว่า APT29 (Cozy Bear, Cozy Duke) และ APT28 (Sofacy Group, Tsar Team, Pawn Storm, Fancy Bear) และตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน รัสเซียได้ทำการโจมตีทางไซเบอร์ต่อบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starlink ที่ยูเครนใช้งานเรื่อยมาจนทุกวันนี้

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา พรรคประชาชนได้แฉเอกสารลับที่เกี่ยวข้องกับ “ปฏิบัติการ IO หรือ ปฏิบัติการการข้อมูลข่าวสาร” โดยพยายามตีความให้สังคมไทยเห็นว่า “กองทัพกำลังคุกคามประชาชน ล้ำเส้นประชาธิปไตย และควรถูกจำกัดบทบาทให้เหลือแค่ ‘ยามเฝ้าประตู’ เท่านั้น” แต่เรื่องพรรคประชาชนที่เปิดเผยนั้นกลับไม่ได้ทำให้กองทัพดูน่ากลัวแต่อย่างใด และทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้เห็นว่า “กองทัพไทยมีศักยภาพเชิงลึกในการเฝ้าระวังภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ทั้งในมิติของข้อมูล ข่าวสาร” และมีขีดความสามารถในการควบคุมทิศทาง “การรับรู้” ซึ่งนั่นก็คือ “การทำสงครามอย่างมีพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) อย่างเต็มรูปแบบ (พุทธิพิสัยเป็นเรื่องของการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับ สติปัญญา ความรู้ ความคิด หรือพฤติกรรมทางด้านสมองที่ทำให้มีความเฉลียวฉลาด มีความสามารถในการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแสดงถึงความสามารถทางด้านสติปัญญา) 

เอกสารดังกล่าวทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยได้เห็นในอีกแง่มุมว่า “กองทัพไทยไม่ได้ล้าหลัง แต่กลับมีความเข้าใจในบริบทของโลกสมัยใหม่มากกว่าที่สังคมไทยคิด!” โดยเอกสารนั้นได้ระบุว่า “กลุ่มเป้าหมายของการเฝ้าระวังส่วนหนึ่งคือ กลุ่มนักการเมือง นักเคลื่อนไหว และเครือข่ายที่รับทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างชาติ เช่น USAID และ NED (องค์กรที่มีบทบาทแทรกแซงนโยบายภายในของประเทศต่าง ๆ มาแล้วทั่วโลก และเคยถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าใช้ประชาธิปไตยเป็นข้ออ้างในการบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐในประเทศที่เห็นต่างหรือขั้วตรงข้ามมาแล้ว) และกองทัพไทยไม่ได้แค่ใช้ปฏิบัติการ “IO” เพื่อทำงานแบบเก่าและโบราณ เช่น การส่งข้อความปลุกใจ แต่ปรากฏว่าเป็นการทำงานอย่างเป็นระบบ มีกลไกที่ทำงานเป็นโครงข่าย มี Node มีความเชื่อมโยง มีระบบติดตามพฤติกรรม และมีการวิเคราะห์ปฏิกิริยาในเชิงจิตวิทยา

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการตอกย้ำว่า “ทหารไทยในยุคปัจจุบันเข้าใจดีว่า โลกไม่ได้รบกันแค่ในสนามรบ แต่รบกันในหัวสมองประชาชน และรบด้วยการมี “พุทธิพิสัย (Cognitive Domain)” การอภิปรายของพรรคประชาชนในกรณีนี้จึงทำให้สังคมไทยได้ตระหนักว่า เมื่อสงครามสมัยใหม่สู้รบด้วยข้อมูล และใช้ความคิดลวง เพื่อทำให้คนไทยสับสนและหมดศรัทธาในสถาบันหลักของชาติ ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่กองทัพไทยจะต้องมี “หน่วยรบไซเบอร์” อย่างเป็นทางการ เป็นหน่วยปฏิบัติการหลักที่มีโครงสร้างชัดเจนและสามารถปฏิบัติการร่วมกับเหล่าทัพต่าง ๆ ทั้ง กองทัพบก-กองทัพเรือ-กองทัพอากาศ-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้ 

หลายฝ่ายได้มีการเสนอให้ตั้ง 'กองทัพไซเบอร์' เป็นเหล่าทัพใหม่ แต่อันที่จริงแล้ว 'หน่วยรบไซเบอร์' ของกองทัพไทยควรจะเป็นหน่วยปฏิบัติการภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย ในลักษณะและโครงสร้างที่มีความคล้ายคลึงกับหน่วยงานที่มีอยู่ เช่น “หน่วยบัญชาหารทหารพัฒนา” เนื่องจากการตั้งเหล่าทัพใหม่นั้นต้องใช้เวลาทั้งการศึกษา เตรียมการ และจัดตั้ง ค่อนข้างยาวนาน และต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาล ดังนั้นการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย น่าจะเป็นทางเลือกที่มีความเหมาะสมและรวดเร็วกว่า จึงขอใช้โอกาสนี้ให้กองทัพไทยได้จัดตั้ง 'หน่วยบัญชาการทหารไซเบอร์' โดยเร็วที่สุด เพื่อให้กองทัพไทยมีความพร้อมและสามารถรับมือกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ทุกรูปแบบและทุกมิติ เพราะ “ความมั่นคงของชาติบ้านเมือง” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการธำรงและรักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติบ้านเมือง

“แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ ศัตรูกล้ามาประจัน จะอาจสู้ริปูสลาย” 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#1 'สงครามเวียดนาม' ปฐมบทของสงครามอินโดจีนยุคใหม่

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาติเจ้าอาณานิคมตะวันตกต่างพากันกลับมายังดินแดนอาณานิคมของตนซึ่งถูกคู่สงครามยึดครองในระหว่างสงครามฯ เพื่อกลับมากอบโกยทรัพยากรของดินแดนอาณานิคมเหล่านั้นกลับไปยังประเทศของตนอีกครั้งหนึ่ง และ 'ฝรั่งเศส' ก็เป็นประเทศหนึ่งที่เป็นเจ้าอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสในอินโดจีนประกอบด้วย 3 รัฐ ได้แก่ เวียตนาม ลาว และกัมพูชา 

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสทั้ง 3 รัฐนั้น ถูกยึดครองโดย กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น และดินแดนส่วนหนึ่งในกัมพูชาและลาวถูกไทยซึ่งเคยครอบครองดินแดนส่วนนั้นยึดคืน แต่ได้รับคืนภายหลังสงครามฯ ฝรั่งเศสก็ได้รับดินแดนดังกล่าวคืนจากไทย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะซึ่งประกอบด้วย 3 ชาติหลักคือ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ จีน และฝรั่งเศส 

แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองขั้วค่ายที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันคือ ฝ่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร และค่ายคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต และชาติร่วมอุดมการณ์ ตลอดจนประเทศบริวารอีกจำนวนหนึ่ง เป็นสงครามที่มีเพียงการเผชิญหน้าหรือที่เรียกว่า 'สงครามเย็น (Cold war)' และเกิดสงครามที่มีลักษณะตัวแทน (Proxy war) ของสองฟากฝ่ายในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก อาทิ สงครามระหว่างสองเกาหลี สงครามในตะวันออกกลาง ฯลฯ และสงครามอินโดจีนก็เป็นหนึ่งในสงครามที่มีลักษณะดังกล่าว

สงครามอินโดจีนแบ่งออกเป็นสองระยะ ระยะแรกตั้งแต่ปี 1946 ถึง 1954 เป็นสงครามที่ขบวนการเรียกร้องเอกราชในเวียตนามซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถทำการรบเอาชนะกองกำลังยึดครองอาณานิคมของฝรั่งเศสได้ และระยะที่ที่ 2 คือ สงครามเวียตนามหรือสงครามอเมริการะหว่างปี 1955-1975 ซึ่งเวียดนามเหนือและเวียตกงซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและจีนสามารถเอาชนะและผนวกเวียดนามใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรส่วนหนึ่งได้สำเร็จในวันที่ 30 เมษายน 1975

สงครามในอินโดจีนเป็นสงครามที่มีการทำลายล้างอย่างรุนแรง และผลกระทบที่เกิดขึ้นยังคงมีอยู่และรู้สึกได้จนถึงทุกวันนี้ เมื่อเปรียบเทียบในแง่ของปริมาณลูกระเบิดที่ถูกทิ้งจากเครื่องบินรบแล้ว กองทัพอเมริกันทิ้งระเบิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าปริมาณระเบิดทั้งหมดที่ทุกฝ่ายทิ้งในพื้นที่ทั้งหมดของสงครามโลกครั้งที่สองรวมกัน โดยเฉพาะในลาวซึ่งกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลก ทุ่นระเบิดหรือสนามกับระเบิดยังถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในสงครามครั้งนี้ และส่งผลทำให้ทุกวันนี้ชาวบ้านในเวียดนาม ลาว กัมพูชา และในระดับที่น้อยกว่าคือ ไทย ยังคง บาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิตจากกับระเบิดและระเบิดนานาชนิดที่ยังคงตกค้างอยู่ในปริมาณมหาศาลเป็นประจำ

สงครามอินโดจีนเริ่มต้นขึ้นจากสงครามเพื่ออิสรภาพของชาวเวียตนามเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ซึ่งสงครามดังกล่าวกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็น อันเป็นการต่อสู้ระหว่างพันธมิตรตะวันตกของสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตและจีน นอกจากนี้แล้วยังเป็นสงครามแห่งความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิคอมมิวนิสต์กับลัทธิทุนนิยมอีกด้วย ฝ่ายคอมมิวนิสต์ถูกแบ่งออกเป็นฝ่ายที่สนับสนุนโดยโซเวียตและฝ่ายที่สนับสนุนโดยจีนในปี 1961 ซึ่งจุดแตกหักก็คือสงครามในปี 1969ระหว่าง 'โซเวียต' กับ 'จีน' ซึ่งเคยเป็นประเทศ 'พี่น้อง' ร่วมอุดมการณ์ในอดีต

ภูมิหลังและสงครามอินโดจีนครั้งแรก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทและกลายเป็นเจ้าอาณานิคมแทนที่จีนและสยาม (ไทย) ในฐานะเจ้าอาณานิคมในภูมิภาคในขณะนั้นคือเวียตนาม ลาว และกัมพูชา ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ยึดครองพื้นที่ทั้งหมด เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสได้ตั้งเป้าที่จะยึดเอาดินแดนอาณานิคมคืน แต่ถูกพันธมิตรโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา คัดค้าน ลาวและกัมพูชาจึงได้รับเอกราช แต่ไม่นานรัฐบาลของทั้งสองประเทศก็เผชิญกับกองกำลังกบฏคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซเวียตและจีน

สำหรับเวียตนามแล้ว สถานการณ์ภายในมีความซับซ้อนกว่าขึ้นมาก เดิมฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตกลงกันว่า จะมอบดินแดนตอนเหนือของเวียตนามจะมอบให้จีนคณะชาติดูแล และมอบให้อังกฤษดูแลดินแดนตอนใต้จนกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลเวียตนามสำเร็จ แต่ในเวลานั้นทั้งสองประเทศต่างก็ประสบปัญหาต่าง ๆ เช่นกัน ได้แก่ สงครามกลางเมืองในจีน และการก่อความไม่สงบของคอมมิวนิสต์ครั้งใหญ่ในมาลายา ดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ ดังนั้นทั้ง 2 ประเทศจึงไม่สามารถทำหน้าที่ดังกว่าในเวียตนามได้ “เวียตมินห์” ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรต่อต้านอาณานิคมฝักใฝ่คอมมิวนิสต์และได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต จึงได้ประกาศเอกราชในดินแดนตอนเหนือ (เหนือเส้นขนานที่ 17) ในขณะที่ฝรั่งเศสกลับมามีบทบาทอำนาจอีกครั้งในเวียตนามตอนใต้ ในปี 1947 ฝรั่งเศสและเวียตนามเหนือก็เปิดฉากสงครามระหว่างกัน หลังปี 1949 รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนได้ให้การสนับสนุนเวียตมินห์ (เวียตนามเหนือ) อย่างเต็มที่ โดย สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนฝรั่งเศส แต่ ดไวต์ ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ปฏิเสธที่จะส่งกำลังทหารอเมริกันไปสนับสนุนฝรั่งเศสในเวียตนาม และภายหลังจากฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างยับเยินในสมรภูมิเดียนเบียนฟู ทำให้เกิดข้อตกลงเจนีวาในปี 1954 ซึ่งยุติสงครามในครั้งนั้นลง

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า 'เวียตนาม' ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น 'เวียดนาม' สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

รมว.กลาโหมของสหรัฐฯ เพิ่งประกาศสงครามกับ อิหร่าน (หรือเปล่า) หลัง ‘อิหร่าน’ ให้การสนับสนุน ‘ฮูตี’ ลั่น!! จะต้องชดใช้ผลที่ตามมา

(1 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

รมว.กลาโหมของ #สหรัฐฯ เพิ่งประกาศสงครามกับ #อิหร่าน หรือเปล่า??

สารถึงอิหร่าน

สหรัฐฯเห็นว่าอิหร่านสนับสนุนกลุ่มฮูตีเต็มร้อย สหรัฐฯรู้ดีว่าอิหร่านกำลังทำอะไรอยู่
อิหร่านรู้ดีอยู่แล้วว่ากองทัพสหรัฐฯ มีศักยภาพแค่ไหน — และอิหร่านได้รับคำเตือนแล้ว
อิหร่านจะต้องชดใช้ผลที่ตามมาในเวลาและสถานที่ที่สหรัฐฯกำหนด”

ผลสำรวจชี้ ‘ชาวญี่ปุ่น’ เชื่อสงครามในเอเชียมีแนวโน้มเกิดขึ้นจริง ท่ามกลางความไม่มั่นใจต่อจีนและพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ

(2 พ.ค. 68) ผลสำรวจล่าสุดของ Asahi Shimbun เผยว่าชาวญี่ปุ่นกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโอกาสที่ประเทศจะเข้าไปพัวพันกับสงครามครั้งใหญ่ในเอเชีย โดยร้อยละ 62 ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้ง เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 50 ในการสำรวจเมื่อ 10 ปีก่อน

ประชาชนราวร้อยละ 12 เชื่อว่าสงคราม “มีความเป็นไปได้สูงมาก” ขณะที่ร้อยละ 50 ระบุว่า “มีแนวโน้ม” ที่จะเกิดขึ้น ในทางตรงข้าม มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มองว่า “ไม่มีโอกาส” ที่จะเกิดความขัดแย้งดังกล่าว ซึ่งสะท้อนถึงความวิตกที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากชี้ว่า ความตึงเครียดด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะกับจีน มีส่วนสำคัญต่อความรู้สึกนี้ โดยในกลุ่มที่มองว่าจีนเป็นภัยคุกคาม (ประมาณสามในสี่ของผู้ตอบทั้งหมด) มีถึงร้อยละ 22 ที่เชื่อว่าญี่ปุ่นอาจทำสงครามกับจีน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมเกือบสองเท่า

ขณะเดียวกัน ความไม่มั่นใจต่อพันธมิตรกับสหรัฐฯ ยิ่งซ้ำเติมความกังวล โดยมีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่เชื่อว่าสหรัฐฯ จะ “ปกป้อง” ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน หากเกิดวิกฤต ในกลุ่มที่ไม่มั่นใจในพันธมิตรนี้ มีถึงร้อยละ 67 ที่เชื่อว่าญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะทำสงคราม

นอกจากนี้ สงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 4 ยังส่งอิทธิพลต่อมุมมองของสาธารณชนญี่ปุ่น โดยผู้ที่ติดตามความขัดแย้งระดับโลกอย่างใกล้ชิด (ประมาณหนึ่งในสามของกลุ่มตัวอย่าง) ถึงร้อยละ 72 เชื่อว่าสงครามครั้งใหญ่ในเอเชียอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top