Monday, 21 April 2025
รัฐบาล

รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมเฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ และร่วมกิจกรรมเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมดูแลอำนวยความสะดวกประชาชนที่มาร่วมงาน

วันนี้ (27 กรกฎาคม 2567) เวลา 12.00 น. น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม , พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมแถลงการเตรียมความพร้อมด้านการประชาสัมพันธ์และการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ในงานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ บริเวณท้องสนามหลวง 

รัฐบาลภายใต้ความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมีการจัดกิจกรรมตลอดเดือนกรกฎาคม 2567 ประกอบด้วย การจัดทําน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีพิธีพลีกรรมตักนํ้าจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์จากทุกจังหวัด มาประกอบพิธีเสกน้ำ เวียนเทียนสมโภชในแต่ละจังหวัด ก่อนเชิญน้ำพระพุทธมนต์ดังกล่าวมาเก็บรักษาที่กระทรวงมหาดไทย และมีขบวนเชิญน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จากบริเวณถนนอัษฎางค์ กระทรวงมหาดไทย ไปยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เพื่อทำพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา และในวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2567 เวลา 06.00 น. จะมีขบวนเชิญน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง

สำหรับวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีพระราชพิธีและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ดังนี้ 
- เวลา 06.35 น. พิธีขบวนอิสริยยศ เชิญน้ำพระพุทธมนต์จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง 
- เวลา 07.00 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร ถวายเป็นพระราชกุศล ณ บริเวณท้องสนามหลวง 
- เวลา 07.45 น. พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน ณ บริเวณท้องสนามหลวง 
- เวลา 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ทรงรับการถวายพระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง
- เวลา 12.00 น. 3 เหล่าทัพ ยิงสลุตหลวง หน่วยละ 21 นัด 
- เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทรงตั้งสมณศักดิ์จีน ญวน และพระสงฆ์ 
- เวลา 17.30 น. พิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม ณ บริเวณท้องสนามหลวง 
- เวลา 19.19 น. พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร 
ในส่วนภูมิภาค จังหวัดต่างๆ จะมีการจัดกิจกรรมในลักษณะเดียวกันนี้ทั่วประเทศด้วย

นอกจากนี้ ประชาชนสามารถร่วมชมการแสดงสาธิตการเห่เรือเฉลิมพระเกียรติ แบบผูกทุ่น ซึ่งกองทัพเรือได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้เชิญเรือพระที่นั่ง จำนวน 3 ลำ ประกอบด้วย เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช  ผูกทุ่นประกอบการแสดงกาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติ ณ ท่าราชวรดิฐ  เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 28 และ 29 กรกฎาคม 2567 วันละ 2 รอบ รอบละ 25 นาที  โดยวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 จัดแสดงในเวลา 15.00 น. และ 20.30 น. ส่วนวันที่ 29 กรกฎาคม 2567 จัดแสดงในเวลา 17.00 น. และ 20.00 น. 

สำหรับการเดินทางร่วมพิธีต่างๆ นั้น ได้มีการจัดการโดยสารสาธารณะให้บริการฟรี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ในการเดินทางไปร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จฯ พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล พิธีเห่เรือพระราชพิธี และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จากจุดต่างๆ เพื่อมายังบริเวณการจัดงาน ณ ท้องสนามหลวง ทั้งทางบก ทางราง และทางน้ำ ดังนี้

- องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดรถโดยสารเฉพาะกิจให้บริการฟรี (จอดรับ-ส่งทุกป้าย) ในวันที่ 28-29 กรกฎาคม 2567 ให้บริการตั้งแต่เวลา 14.00 - 21.00 น. หรือจนกว่าจะส่งประชาชนออกจากพื้นที่หมด จำนวน 5 เส้นทาง ได้แก่ 
1. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ฝั่งเกาะพญาไท) - สนามหลวง : จอดรับ – ส่ง บริเวณหน้าศาลฎีกา
2. สายใต้ใหม่ - สนามหลวง : จอดรับ - ส่ง บริเวณหน้าศาลฎีกา
3. หมอชิต 2 - สนามหลวง : จอดรับ - ส่ง บริเวณหน้าศาลฎีกา
4. วงเวียนใหญ่ - สนามหลวง : จอดรับ – ส่ง บริเวณตรงข้ามศาลฎีกา
5. เดินรถเป็นวงกลม เส้นทางสนามหลวง - ท่าช้าง – ท่าเตียน

- การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดรถไฟขบวนรถพิเศษโดยสาร 3 เส้นทาง ให้บริการฟรี ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567ได้แก่
เส้นทางที่ 1 : สถานีอยุธยา – สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) โดยออกจากสถานีอยุธยา เวลา 13.35 น. และออกจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 22.20 น
เส้นทางที่ 2 : สถานีฉะเชิงเทรา – สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) โดยออกจากสถานีฉะเชิงเทรา เวลา 13.30 น. และออกจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 22.25 น.
เส้นทางที่ 3 : สถานีนครปฐม - สถานีธนบุรี โดยออกจากสถานีนครปฐม เวลา 14.00 น. และออกจากสถานีธนบุรี เวลา 22.00 น.

- กรมเจ้าท่า จัดบริการเรือข้ามฟากและเรือด่วนอำนวยความสะดวกประชาชน ในวันที่ 28-29 กรกฎาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 15:00 น จนกว่าจะแล้วเสร็จ 
บริการเรือข้ามฟาก : ไป-กลับ ระหว่างท่าเรือวัดระฆังฯ (ฝั่งธน) - ท่าเรือท่าช้าง 
บริการเรือโดยสาร : กรมเจ้าท่า ร่วมกับบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด บริการเรือฟรีรับส่งประชาชน ไป-กลับท่าเรือสาทร - ท่าเรือกรมเจ้าท่า - ท่าเรือราชินี - ท่าเรือท่าเตียน

ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้การดูแลพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จฯ พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล พิธีเห่เรือพระราชพิธี และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยในการดูแลอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนที่เดินทางจากจังหวัดต่างๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายตำรวจภูธรจังหวัดต่างๆ รับผิดชอบในการประสานงานและจัดรถนำเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ในส่วนของพื้นที่จุดจอดรถพักคอยรอบนอกกรุงเทพมหานคร ได้จัดเตรียมไว้จำนวน 3 จุด ได้แก่ วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี , ลานจอดรถพุทธมณฑลสาย 4 และลานจอดรถ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) พระราม 9 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดเตรียมรถนำจากกองบังคับการปราบปราม กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจท่องเที่ยว และกองบังคับการตำรวจจราจร ร่วมภารกิจนำรถขบวนพี่น้องประชาชนที่แสดงความประสงค์มาร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จฯ จากต่างจังหวัด และนำส่งยังภูมิลำเนาหลังเสร็จสิ้นภารกิจ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด ในส่วนของพื้นที่เส้นทางในกรุงเทพมหานครบริเวณโดยรอบพิธีต่างๆ นั้น กองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดเตรียมกำลังพลทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจจราจร เพื่อดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจรอย่างเต็มที่ พร้อมจัดเตรียมช่างซ่อมแซมรถ รถเคลื่อนย้ายยานพาหนะ เพื่อแก้ไขปัญหากรณีเกิดอุบัติเหตุ รถเสีย รวมทั้งจัดสายตรวจจราจรเพื่อให้เข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนกรณีเร่งด่วน เพื่อให้สามารถให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชนได้ในทันท่วงที

โอกาสนี้ ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกท่านสวมใส่เสื้อสีเหลืองตราสัญลักษณ์ ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ร่วมประดับธงตราสัญลักษณ์ตามอาคารบ้านเรือน เจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล พร้อมกันทั่วประเทศในเวลา 19.19 น. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยที่กรุงเทพมหานคร จัดที่ท้องสนามหลวง และต่างจังหวัดจัดในสถานที่ที่ทางจังหวัดกำหนด 

'โด่ง-อรรถชัย' ลั่น!! เห็นข่าวนํ้าท่วมตอนนี้ คิดถึงได้แค่เรื่องเดียว ข่าว 'วิสุทธิ์ ไชยณรุณ' ร่ำไห้!! ถูกบางพรรคตัดงบฯ ฝายแกนซีเมนต์

(24 ส.ค. 67) ‘โด่ง อรรถชัย’ โพสต์คลิป โดยมีเนื้อหา ดังนี้ …

เมื่อประมาณต้นปีตอนที่เราผ่านงบประมาณ 2567 กัน มีภาพนี้เกิดขึ้นในสภาคือ ภาพของ ‘นายวิโรจน์’ ที่เต้นแร้งเต้นกา เยาะเย้ยฝ่ายรัฐบาล

เพราะว่าเค้าล้มงบประมาณโครงการหนึ่งไปได้ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลเสนอและเป็นโครงการที่พรรคเพื่อไทยยืนยันอย่างยิ่งนะครับว่า เป็นโครงการที่สําคัญนั่นก็คือเขื่อน โครงการเขื่อนซีเมนต์

เขื่อน แกนดิน ซีเมนต์ ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดเล็กนะซึ่งสามารถอนุมัติงบประมาณทําให้อบจ. อบต. หน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถนําไปสร้างกันได้ง่ายง่ายกันได้เร็ว ใช้งบประมาณไม่เยอะ แต่มันจะเกิดฝ่ายทดน้ำ จํานวนมากเมื่อเกิดน้ำาท่วมขึ้นมาเนี่ยฝายเหล่านี้เนี่ยก็จะไปช่วยชะลอ กําลังน้ำ ที่ไหลมาตามแม่น้ำ ทําให้น้ำไม่สามารถจะไหลบ่าเข้าท่วมในพื้นที่ต่างต่างได้อย่างรวดเร็ว

เพราะรักเวลาน้ำท่วมแบบนี้ ผมเห็นสภาพทางภาคเหนือ แล้วผมนึกถึงภาพนี้ทุกที นึกถึงบรรยากาศวันนั้นที่พวกเขาหัวเราะเยาะพรรคเพื่อไทยเขาดีใจที่ล้ม

ตัดงบประมาณเขื่อนแกนดินซีเมนต์ตัวนี้ไปได้ซึ่งรายการรู้ทันเอารายละเอียดของเรื่องนี้มาว่ากันแล้วพูดไปแล้วโครงการนี้เป็นโครงการที่ผมบอกว่าดีมากๆนะครับ

ดีมากๆ วันนั้นท่านวิสุทธิ์ไชยณรุณเนี่ยถึงกับหลั่งน้ำตาเลยนะ ครับคุณคิดว่าคุณทําลายเพื่อไทยหรอคุณคิดว่าคุณสกัดงบเพื่อไทยเสนอไปได้โดยไปบอกว่าในระดับเพื่อไทยก็จะเอาไปแล้วไปแบ่งเงินกินกับผู้รับเหมา

ระดับทั้งๆที่เรื่องเหล่านี้มันไม่มีมูลเลยแม้แต่นิดเดียวกล่าวหานะครับแล้วก็ล้มโครงการนี้ลง

วันนั้น คุณวิสุทธิ์ ร้องไห้เลยนะจําได้ไหมแล้วก็ที่เขาร้องไห้เขาเจ็บปวดแทนชาวบ้านเขารู้

แล้วเดี๋ยวหน้าฝนกําลังจะมานะครับ น้ำท่วมกําลังจะมา

ภัยพิบัติกําลังใจแล้วไม่ใช่แค่นี้นะนะครับเดี๋ยวจะมีอีกพายุจะมาอีกหลายลูกแล้วเวลาน้ำท่วมทีไร ท่านให้คิดเถอะว่าพรรคไหนนะครับเป็นพรรคที่สกัด

วันนี้ก็ผมเห็นอยู่ตามหน้าจอนะครับ มาเรียกร้องให้แก้ไข 
ให้รัฐบาลไปช่วยกันแก้ไขหาเรื่อง รัฐบาลทั้งๆที่เขาอยู่ในลักษณะรักษาการนะครับแต่ว่าอํานาจในการดูแลตรงนี้มีข้าราชการ

แต่ว่าประเด็นก็คือว่า เขาทํางานอยู่

ไม่ได้นิ่งนอนใจครับแต่เชื่อไหมครับว่าการแก้ไขเนี่ย  ยังไงก็ตามมันไม่ดีเท่าการป้องกันหรอก

วันที่เขาจะป้องกันสร้างเขื่อนแกนดินซีเมนต์เนี่ย

ของบประมาณพวกคุณขัดขวางพวกคุณตัดงบนี้ทิ้ง

ลไม่ให้มีแนวป้องกันให้กับประชาชน

วันนี้พอน้ำท่วมคุณก็หันมาด่ารัฐบาล ว่าทําไมไม่เร่งรีบแก้ไข พรรคนี้ครับ ‘ผมบอกว่า ผมจะไม่สนับสนุนตลอดกาล’

‘ดุสิตโพล’ เผยประชาชนคาดหวัง คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง ชี้!! ต้องทำงานร่วมกัน ซื่อสัตย์ โปร่งใส ให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น

(25 ส.ค. 67) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ‘ความคาดหวังของประชาชน ต่อ ครม.ชุดใหม่’ ระหว่างวันที่ 21-23 สิงหาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,164 คน สำรวจผ่านทางออนไลน์และภาคสนาม พบว่า กลุ่มตัวอย่างอยากให้ ครม. ชุดใหม่ควรต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก ร้อยละ 74.43 และคาดหวังว่าจะทำงานดีขึ้น กระทรวงต่าง ๆ ร่วมมือกันทำงานได้ดีขึ้น ร้อยละ 70.30 โดยมองว่า “ความซื่อสัตย์และจริยธรรม” ทางการเมืองเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการคัดเลือก ครม.ชุดใหม่ ร้อยละ 84.19 การปรับ ครม. ครั้งนี้คาดหวังว่าน่าจะส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลดีขึ้น ร้อยละ 46.39 สุดท้ายการปรับ ครม. จะส่งผลต่อสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไรนั้น ยังคาดการณ์อะไรไม่ได้ ร้อยละ 30.50

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากผลโพลไม่ว่าจะกี่ครั้งของรัฐบาลนี้ ประชาชนยังคงให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ค่าครองชีพ ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่กระทบต่อชีวิตประจำวัน โดยมีความหวังว่าครม.ชุดใหม่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซื่อสัตย์ โปร่งใส เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล แม้ประชาชนจะมีความหวังแต่ก็ยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์บ้านเมืองจะไปในทิศทางใด เนื่องจากยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจพร พึงไชย ผู้ช่วยคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่าการเมืองไทยไม่มีอะไรแน่นอน สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา สิ่งที่ประชาชนต้องการและคาดหวังอย่างยิ่ง คือ ความเชื่อมั่นว่าคนที่เข้ามาบริหารประเทศจะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยที่ถดถอยมาอย่างยาวนาน สอดคล้องกับผลสำรวจที่สะท้อนว่า ประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาเรื้อรัง ถึงร้อยละ 74.43 และสิ่งที่ตามมาจากปัญหาเศรษฐกิจ คือ ปัญหาปากท้องที่ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้นแต่รายรับกับสวนทาง สำหรับประเด็นการปรับครม.ชุดใหม่นี้ ประชาชนหวังว่าจะช่วยให้การทำงานของรัฐบาลดีขึ้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าการคัดเลือกรัฐมนตรีที่จะเข้ามาสานต่อนโยบายการทำงานของรัฐบาลมีผลต่อความมั่นใจของประชาชน ทั้งนี้ ความซื่อสัตย์และจริยธรรมทางการเมืองเป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความสำคัญ เพราะการเมืองไทยช่วงสิบปีที่ผ่านมาล้วนประสบกับปัญหานี้มาโดยตลอด ซึ่งส่งผลต่อความไร้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลหรือแม้กระทั่งฝ่ายค้านเอง อย่างไรก็ดี โฉมหน้าของรัฐบาลใหม่ย่อมเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่าการเมืองไทยจะหลุดพ้นจากวังวนของปัญหาจริยธรรมนักการเมืองได้หรือไม่ คงต้องติดตามกัน ห้ามกระพริบตาเลยทีเดียว

‘เทพไท’ อ้าง!! ถาม ‘คนสงขลา’ แล้ว ไม่เห็นด้วย ประชาธิปัตย์ ร่วมรัฐบาล ชี้!! เป็นการละทิ้ง ‘อุดมการณ์-จุดยืน’ ทำให้พรรคตกต่ำลง

(25 ส.ค. 67) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘เทพไท – คุยการเมือง’ ระบุว่า ‘ถามคนสงขลาแล้ว ไม่เห็นด้วย ปชป.ร่วมรัฐบาล’

เมื่อวาน (24 ส.ค.67) ผมได้เดินทางไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพของคุณแม่ใจ สามารถ มารดาของคุณสาโรจน์ สามารถ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ. พัทลุง ที่วัดหาดใหญ่ใน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนในหลากหลายอาชีพ จากสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่สนามบินหาดใหญ่  ตลาดหาดใหญ่ จากหลายอำเภอในจังหวัดพัทลุง และบางส่วนมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช 

ผมได้ถือโอกาสสอบถามความคิดเห็น เรื่องการที่พรรคประชาธิปัตย์ จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ที่มีคุณอุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่มีแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาบอกว่า ให้สอบถามความเห็นของคนสงขลาว่า เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลกับระบอบทักษิณหรือไม่ 

ผมได้สอบถามความเห็นจากพี่น้องประชาชนหลายกลุ่ม หลายอาชีพ รวมถึงความเห็นของพระสงฆ์จากวัดต่างๆ ผลปรากฏว่าจากการที่ได้สอบถามและพูดคุยกัน ทุกคนไม่เห็นด้วยและคัดค้านการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น เพราะเป็นการละทิ้งอุดมการณ์และจุดยืนของพรรค ที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณมายาวนาน ซึ่งพี่น้องประชาชนคนภาคใต้ส่วนใหญ่ ได้เข้าร่วมเดินขบวนขับไล่ระบอบทักษิณมาก่อนทั้งนั้น 

การเข้าร่วมรัฐบาลกับระบอบทักษิณ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศ และอุดมการณ์ของพรรค ในการต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบมายาวนาน มีประชาชนหลายคนตำหนิคณะกรรมการบริหารพรรค และสส. รุ่นใหม่ที่ไม่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค เห็นแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า และประโยชน์ส่วนตัว จึงพร้อมใจกันสนับสนุนการเข้าร่วมรัฐบาลกับระบอบทักษิณ  โดยไม่ฟังเสียงของสมาชิกพรรค และประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำไปมากกว่านี้อีก

พี่น้องประชาชนหลายคนแสดงความเห็นใจ และสงสารนายชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลของพรรค ที่ต้องออกมาแสดงท่าทีและจุดยืนส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ ได้ฝากให้กำลังใจท่านชวนมากับผมด้วย มีประชาชนหลายคนเตรียมทำใจ และเข้าใจว่าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสถาบันทางการเมือง มีระบบพรรคที่เข้มแข็ง มีผู้อาวุโสไม่กี่คน ลงมติโหวตกันก็ไม่ชนะ เพราะมีคณะกรรมการบริหารพรรคและสส.รุ่นใหม่จำนวนมากกว่า เหมือน ‘น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ’

พี่น้องประชาชนชาวสงขลาในหลากหลายพื้นที่ ได้ฝากให้นำความเห็นไปบอกกล่าวกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ว่า ได้มาสอบถามความเห็นจากชาวสงขลาแล้ว เขาไม่เห็นด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์ จะเข้าร่วมรัฐบาลกับระบอบทักษิณเลย

‘ภูมิธรรม’ ชี้ตั้ง ‘ครม.’ เสร็จภายในเดือนนี้ เผย!! ส่งชื่อเกินเกือบทุกพรรค คาด!! พร้อมลุยงานเดือนหน้า ยังกั๊กตอบ ‘ปชป.’ ได้ร่วมรัฐบาลหรือไม่

(25 ส.ค. 67)  ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีและในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแพทองธาร 1 ที่มีกระแสข่าวว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ วันที่ 26 ส.ค.นี้ ว่า ยังไม่ได้ระบุถึงขั้นนั้น อยู่ที่ความพร้อมทั้งหมด แต่กำลังเร่งเพราะต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งได้ทำงานเต็มที่ ขออย่ากังวลเพราะเราทำหน้าที่ เสมือนรัฐบาลจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ จึงจะพ้นจากหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับ แต่ก็อยากให้ทุกอย่างเสร็จภายในสิ้นเดือนส.ค.นี้ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ส่วนจะมีการโปรดเกล้าฯเมื่อใดอยู่ที่กระบวนการขั้นตอนการตรวจสอบ

เมื่อถามถึงการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภานายภูมิธรรม กล่าวว่า ได้มีการเตรียมคู่ขนานไว้แล้ว ทันทีที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งก็จะสามารถเรียกประชุมได้ คาดว่าภายในต้นเดือนก.ย. หรือไม่เกินกลางเดือนก.ย. รัฐบาลชุดใหม่จะสามารถทำหน้าที่ได้

เมื่อถามถึงกรณีที่จำนวนคนเกินกว่าตำแหน่งรัฐมนตรี ได้มีการเคลียร์เรื่องนี้หรือยัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า เกินเกือบทุกพรรคเพราะไม่รู้ตามดุลยพินิจใหม่ที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความ คำว่าจริยธรรมไว้กว้างมาก จึงต้องระมัดระวัง

เมื่อถามถึงพรรคพลังประชารัฐมีข้อสรุปที่ชัดแล้วหรือไม่ หลังมีกระแสข่าวส่งชื่อมา 2 บัญชี นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องขออนุญาตเพราะตามมารยาทไม่ควรพูดถึงพรรคอื่น แต่เชื่อว่าแต่ละพรรครู้ดีอยู่แล้ว ต้องรีบดำเนินการให้ทันกับสถานการณ์ของประเทศ เพราะภัยพิบัติต่างๆรออยู่ ไม่อยากให้ช้าถึงขั้นกระทบต่อภัยพิบัติที่ประชาชนได้รับ ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการ

เมื่อถามถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ จะนับรวมเป็นพรรคร่วมรัฐบาลครั้งนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลมันพูดชัดเจนไม่ได้ จนกว่าสุดท้ายจะตกลงและมีชื่อยื่น และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา เพราะในกระบวนการต่างๆเราไม่รู้ว่าใครจะมีปัญหาหรือไม่ หรือแต่ละพรรคจะได้ตามโควตาที่เป็นอยู่หรือไม่ หรือเกิดปัญหาภายในพรรคที่จัดการไม่ได้หรือไม่ เราไม่รู้ข้อเท็จจริง

เมื่อถามว่า การเชิญพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลจะต้องมีการเทียบเชิญหรือไม่ หรือสามารถส่งชื่อเข้ามาได้เลย นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้เราไม่ควรดำเนินการแบบนี้ เพราะจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจหรือไม่มั่นคงในพรรคร่วมรัฐบาล เป็นไปตามขั้นตอนหรือ step by step ถ้าเกิดปัญหาตรงไหนค่อยคลี่คลายไปตามสภาพ เพราะวันนี้เราได้ร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลและทุกคนได้เสนอตัวมาแล้ว ขึ้นอยู่กับว่ารายละเอียดจะลงตัวอย่างไร

เมื่อถามอีกว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมจะต้องแจ้งให้พรรคอื่นที่ร่วมรัฐบาลทราบใช่หรือไม่นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นตอนนั้น ขอคิดในขั้นตอนปัจจุบัน และขอคิดเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนก่อน

นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่าส่วนตัว ยังไม่ได้ยื่นใบกรอกประวัติ และยังไม่ได้รับแจ้ง ว่าจะดำรงตำแหน่งกระทรวงใด

'อลงกรณ์' ชี้ข่าวขับ 'ชวน' ไม่จริง ยืนยัน 'ปชป.' ไม่มีวัฒนธรรมขับสมาชิกที่เห็นต่าง

ตามที่นายชวน หลีกภัยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรณีไม่เห็นด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์ จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย และอาจจะถูกขับออกจากพรรคประชาธิปัตย์นั้น

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์กล่าววันนี้ว่า ข่าวพรรคประชาธิปัตย์จะขับนายชวน หลีกภัยเพราะไม่เห็นด้วยที่จะไปร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยถือเป็นเฟคนิวส์ไม่มีมูลความจริง พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีวัฒนธรรมขับสมาชิกที่เห็นต่าง 

ตนอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มากว่า30ปียังไม่เคยเห็นพรรคขับสมาชิกกรณีมีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน

“ท่านชวนเป็นถึงอดีตหัวหน้าพรรคและเป็นสมาชิกอาวุโสคนหนึ่งของพรรคเช่นเดียวกับท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน ท่านเอนก ทับสุวรรณ ท่านเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ ท่านไพฑูรย์ แก้วทอง ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ ฯลฯ.ทุกท่านยังทำงานให้พรรคและสมาชิกทุกคนให้ความความเคารพทุกท่านตลอดมา อาจมีความคิดต่างกันบ้างในบางเรื่องบางนโยบายรวมทั้งมติการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมก็เคยมีมาหลายครั้งถือเป็นเรื่องปกติภายในพรรคประชาธิปัตย์แต่เมื่อพรรคมีมติอย่างใดทุกคนก็เคารพและไม่เคยมีการลงโทษหรือขับไล่สมาชิกที่เห็นต่างจากพรรค“

รัฐช่วยบ้านเสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย เคาะ!! ได้รับเงินหลังละ 2.3 แสนบาท

(20 ก.ย. 67) จากที่มีข้อมูลออกมาเกี่ยวกับรัฐบาลเยียวยาบ้านที่เสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย หลังละ 2.3 แสนบาท ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น ‘เป็นข้อมูลจริง’

โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องการลดขั้นตอนทางเอกสาร ที่สมัยก่อนต้องเอาเอกสารไปเสนอ แต่ตอนนี้จะให้ส่วนราชการทั้งกระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงไปดูและสรุปให้รวดเร็วที่สุด ถ้าบ้านเรือนไหนที่เสียหายเกิน 70% จะได้รับเงินเยียวยาหลังละ 2.3 แสนบาท

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือ โทร. 02-618-2323

‘อัครเดช’ ออกลูกอ้อน ครม.-แบงก์ชาติ เร่งหารือสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หลังกระทบอุตสาหกรรมส่งออก หวั่นทำลายขีดความสามารถในการแข่งขัน

‘อัครเดช’ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เสนอรัฐบาล-แบงก์ชาติ เร่งออกมาตรการสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หวั่นหากทิ้งไว้เรื้อรังทำเศรษฐกิจชะลอตัว ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมส่งออกถดถอยส่งผลกระทบทางลบเศรษฐกิจหลายมิติ

(7 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎรได้แสดงถึงความห่วงใยต่ออุตสาหกรรมส่งออกจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่า ว่า 

จากที่ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลบาทไทยกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 33.33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเคยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32.15 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา จากที่เคยอ่อนค่าที่สุดในช่วงเดือนเมษายน 2567 ที่อัตราแลกเปลี่ยน 37.17 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ 

การแข็งค่าของค่าเงินบาทเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากภายในระยะเวลาประมาณ 5 เดือนเท่านั้น และจากอัตราค่าเงินบาทแข็งค่านี้ตนได้รับทราบความเดือดร้อนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมส่งออก เนื่องจากด้วยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้การแลกเงินที่ได้รับจากการส่งออกกลับเป็นเงินบาทแลกได้น้อยลง 

ยกตัวอย่าง จากแต่เดิมส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง 1 กระป๋องราคา 100 ดอลลาร์ เมื่อค่าเงินบาทอ่อนที่สุดสามารถแลกเป็นเงินบาทได้ 3,717 บาท แต่เมื่อเงินบาทแข็งค่าที่สุดจะสามารถแลกเป็นเงินบาทได้เพียง 3,215 บาทเท่านั้น 

การที่รายได้ของผู้ประกอบการที่ลดน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบในอุตสาหกรรมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพการแข่งขันที่ลดลงส่งผลการชะลอตัวของการจ้างงานในอุตสาหกรรม, การลดการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการตัดลดงบพัฒนาและวิจัย(R&D)ในอุตสาหกรรมลง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในอนาคตลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และจากการที่การส่งออกเป็นหนึ่งใน 4 เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทย การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเช่นนี้ย่อมทำให้เครื่องยนต์ส่งออกอ่อนกำลังลงอย่างชัดเจนส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงโดยเฉพาะการจ้างงานที่ลดลงจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อนอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมส่งออกอีกด้วย

ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมจึงขอส่งเสียงไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน ให้พิจารณาทบทวนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่เหมาะสมทั้งต่อเสถียรภาพทางเงินของประเทศ และลดผลเสียที่จะเกิดต่อระบบเศรษฐกิจไทย 

รวมถึงรัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายทางการคลังของประเทศต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อประคับประคองอุตสาหกรรมส่งออก ให้สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลได้ต่อไป และที่ดีที่สุดทั้งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องเร่งหารือเพื่อหาทางออกของปัญหาค่าเงินแข็งตัวโดยเร็ว

‘นอร์กรุงเทพโพล’ เปิดผลสำรวจ ‘นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว’ ของรัฐบาล พบ ร้อยละ 61.2 พอใจ อึ้ง!! ร้อยละ 55.7 ตอบท่องเที่ยวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

(21 ต.ค. 67) ผศ.ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์มกรุงเทพ เปิดเผยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ในวันที่ 18 ก.ย. 2567 โดยมีผู้สำรวจจำนวน 1,500 ราย จากทั่วภูมิภาคพร้อมทั้งได้สอบถามกับผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ถึงเรื่อง “นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว”

โดยจากการสำรวจประชาชนถึงความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการท่องเที่ยวของรัฐบาลชุดปัจจุบันเพียงใด พบว่าพอใจ 61.2% แบ่งเป็น พอใจมาก 32.5% พอใจ 28.7% ขณะเดียวกันผู้ให้สำรวจยังให้ความคิดเห็นว่ามีความพอใจระดับกลาง 20.4% ไม่พอใจ 12.3 % และไม่พอใจมาก 6.1%

ผศ.ดร.สานิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้สอบถามถึงการบริหารจัดการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 เป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา พบมีความคิดเห็นว่าดีขึ้น 55.7% เหมือนเดิม 22.8% และ แย่ลง 21.5% อีกทั้งยังถามความคิดเห็นของประชาชนด้วยว่า ภาคการท่องเที่ยวมีส่วนช่วยเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด พบว่ามีส่วนช่วยเศรษฐกิจในระดับมากที่สุด 35.4% ระดับมาก 27.8% ระดับปานกลาง 18.3% ระดับน้อย 12.6% และน้อยที่สุด 5.9%

สำหรับความคิดเห็นผู้สำรวจภาคประชาชนถึงประเด็น “มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยใดที่มีประโยชน์ต่อการดึงนักท่องเที่ยวชาติมากที่สุด” พบว่ามาตรการที่มีประโยชน์มากสุดคือ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ และทำประกันนักท่องเที่ยวทุกคนในวงเงิน 1 ล้านบาท 27.3% การส่งเสริมการจัดอีเวนท์ให้การท่องเที่ยวไทยตลอดทั้งปี เช่น ผลักดันเทศกาลลอยกระทง เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลระดับโลก 16.8% การเร่งพัฒนาสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน และสร้างความแตกต่าง 12.1% 

การเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไปยังในเมืองรองที่มีศักยภาพสูง 10.2% สร้างความมั่นใจในการเดินทางผ่านรูปแบบการทำหนังโฆษณา และการดึง Influencer 8% การประสานกับเอเย่นต์ และบริษัทนำเที่ยว ให้เสนอแพ็คเกจและโปรโมชั่นที่ดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6% ฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวต่างชาติ  93 ประเทศ/เขตแดน 5.6% ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Entertainment Hub ในเอเชีย 5.3% จัดตั้ง Online Crisis Management โดยจะมีทีมทำหน้าที่มอนิเตอร์ข่าวสารเกี่ยวกับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย 5.1% และเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินไปยังในเมืองรองที่มีศักยภาพสูง 4.2%

ผศ.ดร.สานิต ยังได้สอบถามถึง “โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 โครงการใดมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยมากที่สุด” พบว่าโครงการที่มีส่วนส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยมากที่สุดคือโครงการ Amazing Thailand 365 วัน มหัศจรรย์เมืองน่าเที่ยว 22.7% มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง (เมืองน่าเที่ยว) 16.3% โครงการการทำตลาดการท่องเที่ยวแพลตฟอร์มออนไลน์ 10.7% โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดด้วยการจัดกิจกรรมบนอัตลักษณ์ถิ่น “มหกรรมเสน่ห์ไทย” 10.1% โครงการเที่ยวกับบัสทัวร์ทั่วไทย 2567 9.5% โครงการ ททท. 999 ไทยเที่ยวไทย Tourism Department Store งานไทยเที่ยวไทย 8.7%

โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges  8.1% โครงการ Amazing Green Fest 2024 7.6% และโครงการ Amazing Thailand Passion Ambassador ร้อยละ 6.3% ส่วนของด้านผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ให้ความเห็นว่า นโยบายการท่องเที่ยวมีส่วนช่วยให้ธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมฟื้นตัวจนสถานการณ์เทียบเท่าก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19

สาวจีนโดนเจ้าหน้าที่โทรจี้ ถามเมื่อไหร่จะมีลูกเพิ่ม!!

(30 ต.ค. 67) สาวจีนรายหนึ่ง แชร์ประสบการณ์ถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจีนโทรศัพท์จี้ถามถึงแผนการมีลูก ตามนโยบายสนับสนุนการมีบุตรเพื่อเพิ่มอัตราเด็กเกิดใหม่ของรัฐบาลจีน ผ่านโซเชียล ปรากฏว่ามีหญิงสาวที่เจอประสบการณ์เดียวกันเพียบ 

สาวจีน ผู้ใช้ชื่อบัญชี 'Guo Guo' ในแพลตฟอร์ม Xiaohongshu ได้เล่าว่าเธอได้รับโทรศัพท์แปลกๆ จากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรัฐ ที่โทรเข้ามาถามเรื่องการวางแผนครอบครัว และตอนนี้ได้ตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ แม้เธอจะเป็นคุณแม่ที่มีลูกอยู่แล้ว 2 คน แต่เจ้าหน้าที่ยังรุกถามต่อว่า แล้ววางแผนจะมีลูกคนที่ 3 เมื่อไหร่ 

สาวจีนเริ่มรู้สึกอึดอัดใจกับคำถามที่ละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัวเกินงาม แต่ยังตอบปลายสายอย่างสุภาพว่า ตอนนี้เธอมีภาระมากพอแล้ว และไม่ว่างที่จะมีลูกคนที่ 3 อีก แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมแพ้ที่จะหว่านล้อมให้เธอมีลูกเพิ่ม ถ้าแม่สามีช่วยเลี้ยงไม่ได้ ลองถามแม่ของเธอให้ช่วยเลี้ยงก็ได้

หลังจากหญิงสาวแชร์เรื่องราวลงในโซเชียลจีน ปรากฏว่าโพสต์ของเธอมียอดวิวสูงถึง 11,000 วิว กับความเห็นของชาวเน็ตจีนอีกหลายพัน แถมบางคนยังยืนยันว่าเคยได้รับโทรศัพท์สอบถามแผนการตั้งครรภ์จากเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกัน

และกลายเป็นประเด็นถกเถียงถึงเรื่องสิทธิส่วนบุคคล และความชอบธรรมทางกฎหมายของการสอบถามข้อมูลส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รัฐ หลายคนแสดงความเห็นว่า นึกไม่ออกว่าการโทรมาจี้ถามราวกับสอบสวนจะส่งเสริมให้แต่ละครอบครัวมีบุตรเพิ่มขึ้นที่ตรงไหน และบางคนยังเห็นว่า เป็นการโทรที่แปลกยิ่งกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เสียอีก

แต่ทว่า นี่ไม่ใช่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญรณรงค์เรื่องการมีบุตรอย่างเข้มข้นของรัฐบาลจีนจริง ๆ

โดย Caixin Global สื่อจีน รายงานว่ามีการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระดับรากหญ้า เก็บรวบรวมข้อมูลสถิติการแต่งงาน และการคลอดบุตรของชาวบ้าน ส่งเข้าสู่ฐานข้อมูลของรัฐบาลกลาง เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุว่าทำไมหลายครอบครัวจึงลังเลที่จะมีบุตร 

ซึ่งการสำรวจครั้งนี้ เจาะกลุ่มสตรีที่อยู่ในช่วงวัยที่มีความสามารถในการตั้งครรภ์อายุตั้งแต่ 15 - 49 ปี ในหัวเมืองใหญ่ 150 เมืองทั่วประเทศ เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหา และปัจจัยที่จำเป็นในการตั้งครรภ์และเลี้ยงดูบุตรของครอบครัวจีน ที่จะนำไปสู่การปรับปรุงสวัสดิการ และนโยบายส่งเสริมการมีบุตรของรัฐบาลในอนาคต 

เนื่องจากปัจจุบัน จีนกำลังเผชิญปัญหาอัตราเด็กเกิดใหม่น้อยลงมาก จากข้อมูลของสำนักสถิติแห่งชาติพบว่าในปี 2023 จีนมีเด็กแรกเกิดที่ 9 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงกว่าครึ่ง จากเมื่อปี 2014 ที่จีนมีเด็กแรกเกิดถึง 17 ล้านคน

แต่ความกระตือรือร้นที่หาเหตุ-ปัจจัย ที่จะกระตุ้นการมีบุตรของรัฐบาลจีนเป็นเรื่องดี จะผิดก็แต่เรื่องวิธีการเข้าถึงแหล่งข้อมูล ที่ดูจะขาดจิตวิทยาและความนุ่มนวลไปหน่อย ที่อาจทำให้หญิงสาวบางคนจากเดิมที่คิดจะมี กลายเป็นคิดหนักได้เหมือนกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top