Tuesday, 22 April 2025
รัฐบาล

‘มาคาเลียส’ วอนรัฐบาลช่วยภาค ‘การท่องเที่ยว’ ในประเทศ หลังคนไทยเริ่มไม่เที่ยวไทย หวั่น!! เกิดปัญหาระยะยาว

มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย เผยภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว คนไทยแห่เที่ยวต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น เหตุจากค่าใช้จ่ายเที่ยวในประเทศมีราคาแพง โดยเฉพาะราคาค่าโดยสารสายการบิน ประกอบกับ นโยบายฟรีวีซ่า แนะภาครัฐและเอกชนควรหาทางออกโดยเร็ว หากปล่อยไว้กลายเป็นปัญหาด้านการท่องเที่ยวระยะยาว

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส (MAKALIUS) ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ แหล่งรวมอี-วอเชอร์ ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว กล่าวว่า “ภาพรวมด้านการท่องเที่ยวในประเทศของคนไทย ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาอยู่ในสภาวะชะลอตัว เนื่องจากส่วนใหญ่นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุผลหลายปัจจัย อาทิ อัตราค่าโดยสารสายการบินภายในประเทศมีราคาแพง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลท่องเที่ยวจะมีราคาสูงขึ้นประมาณ 2 เท่าตัว อีกทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวภายในประเทศไม่ต่างจากการท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นต้น

โดยตั้งแต่หลังสถานการณ์โควิด-19 พบว่า ประเทศที่คนไทยนิยมเดินทางไปมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง สหราชอาณาจักร ไต้หวัน ลาว เป็นต้น เพราะประเทศเหล่านี้ออกนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว นโยบายฟรีวีซ่า และปัจจัยอื่น ๆ เช่น ราคาค่าโดยสายสายการบินต่างประเทศแข่งกันทำโปรโมชั่นพิเศษ บางสายการบินทำตลาดด้วยการเปิดเส้นทางใหม่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งตลาดกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) และกรุ๊ปทัวร์

มาคาเลียสมองว่าปัญหา ‘คนไทยไม่เที่ยวไทย’ เริ่มสะท้อนให้เห็นตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ และช่วงสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยพบว่าการจองที่พักในประเทศผ่านระบบของมาคาเลียสมียอดจองต่ำกว่า 50% ในทางกลับกันแพคเกจต่างประเทศกลับมียอดจองสูงขึ้นถึง 70% ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะกลายเป็นปัญหาระยะยาวหากภาครัฐบาลและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่เร่งมือในการแก้ไข ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีนโยบายเพิ่มเที่ยวบินพิเศษจำนวน 38 เที่ยวบิน ในช่วงระหว่างวันที่ 11-12 เม.ย. และวันที่ 15-16 เม.ย.2567 ทำให้มีตั๋วโดยสารเครื่องบินเพิ่มขึ้นประมาณ 13,000 ที่นั่ง และสายการบินเตรียมจัดโปรโมชัน เพื่อให้ราคาถูกลง เพิ่มเที่ยวบินในประเทศแต่ราคายังสูงเหมือนเดิม ก็ยังคงเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้นและเป็นเพียงการแก้ไขแค่บางส่วน อาจไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นความสนใจของนักเที่ยวชาวไทยได้มากนัก เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก การตัดสินใจในแต่ละครั้ง ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและประสบการณ์ที่จะได้รับกลับคืนมา

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ ต้องดำเนินการแบบ ‘บูรณาการณ์’ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

‘การเดินทาง’ (Transportation) ต้องปรับให้ทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง การเดินทางทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ มีมาตรฐานเดียวกัน คือ สะดวกในการจอง มีความปลอดภัย ตรงเวลา และราคาที่เหมาะสม เพราะต้องไม่ลืมว่า นักท่องเที่ยวไทยปัจจุบันมีหลากหลายไลฟ์สไตล์ บางคนชอบเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ นั่งรถไฟ นั่งเรือ แต่ติดปัญหาทั้งด้านราคา การบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงความยากในการเข้าถึงระบบการจองที่สะดวกและรวดเร็ว

‘ที่พัก ร้านอาหาร’ (Accommodation & Restaurant) ถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญ เพราะเป็นหัวใจหลักในการท่องเที่ยว ซึ่งผู้ประกอบการควรรักษามาตรฐานทั้งด้านงานบริการ และราคาต้องเหมาะสม สามารถปรับเปลี่ยนราคาได้ในแต่ละช่วงของฤดูกาลแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความเหมาะสมและสอดรับกับค่าครองชีพของคนไทย ส่วนบทบาทของภาครัฐควรให้การสนับสนุนด้วยนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งควรให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ไม่ควรจำกัดเงื่อนไขเฉพาะบางตัวแทนจำหน่าย (Travel Agency) เพราะลูกค้าบางรายไม่ได้จองที่พักกับตัวแทนจำหน่ายขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว

นางสาวณีรนุช กล่าวต่อว่า “เรื่องสุดท้ายคือ ‘ประสบการณ์การท่องเที่ยว’ (Travel Experience) เทรนด์การท่องเที่ยวในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวมองหารูปแบบการเที่ยวที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้งประสบการณ์การพักผ่อน ประสบการณ์ความสนุกกับกิจกรรม ประสบการณ์การบริการที่เหนือระดับ และอื่น ๆ ดังนั้นการจะดึงนักท่องเที่ยวไทยให้เที่ยวในเมืองไทยได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการต้องสอดแทรกประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ไปในบริการของตนเอง และทำการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดการมาใช้บริการซ้ำ ในส่วนของภาครัฐอาจจะเข้ามาช่วยเหลือในด้านของเงินทุนปล่อยกู้สนับสนุน เพื่อให้ผู้ประกอบการได้นำไปพัฒนารูปแบบบริการต่อไปได้”

'สวนดุสิตโพล' เช็กเรตติง!! ‘รัฐบาล-ฝ่ายค้าน’ วัดดัชนีการเมืองไทย ชี้!! แต้มฝ่ายค้านเพิ่ม อานิสงส์ประชาชนเห็นใจจากการถูก 'ยุบพรรค'

(1 เม.ย. 67) ‘สวนดุสิตโพล’ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ‘ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนมีนาคม 2567’ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,254 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 21-29 มีนาคม 2567 โดยมีตัวชี้วัด 25 ประเด็นที่บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นต่อการเมืองไทยในด้านต่าง ๆ ซึ่งแต่ละตัวชี้วัดจะมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน สรุปผลเรียงลำดับจากค่าคะแนนสูงสุดไปถึงต่ำสุด ได้ดังนี้

1. ‘ดัชนีการเมืองไทย’ เดือนมีนาคม 2567 ภาพรวมคะแนนเต็ม 10 ได้ 5.10 คะแนน (เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ได้ 5.16 คะแนน)

2. ประชาชนให้คะแนน 25 ตัวชี้วัด ‘ดัชนีการเมืองไทย’ โดยคะแนนเต็ม 10 เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้


3. นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ประชาชนคิดว่ามีบทบาทโดดเด่นในเดือนมีนาคม 67
>>นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล 
1.เศรษฐา ทวีสิน 53.22%
2.อนุทิน ชาญวีรกูล 28.30%
3.แพทองธาร ชินวัตร 18.48%

>>นักการเมืองฝ่ายค้าน      
1.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 59.32%
2.รังสิมันต์ โรม 20.91%
3.ศิริกัญญา ตันสกุล 19.77%

4. ผลงานของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ประชาชนชื่นชอบในเดือนมีนาคม 67
>>ผลงานฝ่ายรัฐบาล
1.สงกรานต์ 21 วัน ดัน Soft Power 47.51%
2.จับบ่อน ปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล 30.94%
3.ย้าย 2 บิ๊กตำรวจ 21.55%

>>ผลงานฝ่ายค้าน
1.อภิปรายงบประมาณ ปี 2567 48.36%
2.กระตุ้นเรื่องแก้ฝุ่น PM2.5 ดับไฟป่า 31.75%
3.ผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม 19.89%

5. ปัญหาที่ประชาชนอยากให้เร่งแก้ไข คือ

(1) ยาบ้า กัญชา ยาเสพติด 50.62%
(2) เศรษฐกิจ ปากท้อง ค่าครองชีพ 31.78%
(3) ฝุ่น PM2.5 มลพิษทางอากาศ 17.60%

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า จากผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าดัชนีการเมืองไทยเดือนนี้ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง คะแนนลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน สาเหตุหลักอาจมาจากปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจที่ประชาชนกังวล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ได้คะแนนไม่ดีนัก 

นอกจากนี้ผลสำรวจชี้ว่าฝ่ายค้านยังคงครองใจประชาชน อาจเป็นเพราะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพของฝ่ายค้านในการทำงาน แต่ฝ่ายรัฐบาลเองก็เริ่มมีผลงานที่โดนใจประชาชนมากขึ้น ทั้งการผลักดัน Soft Power การจับบ่อน และแก้ปัญหาวงการตำรวจ

ด้าน ผศ.ดร.เบญจพร พึงไชย ผู้ช่วยคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า สำหรับการเมืองไทยในช่วงเดือนมีนาคมนี้ แม้จะมีประเด็นทางการเมืองเกิดขึ้นหลาย ๆ เหตุการณ์ อาทิ การทัศนาจรของอดีตนายกรัฐมนตรีไปยังที่ต่าง ๆ หรือประเด็นการอภิปรายของ สว. เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเศรษฐา แต่ผลการสำรวจมีคะแนนลดลงเล็กน้อยในภาพรวมเดือนมีนาคม 5.10 คะแนน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ที่ได้ 5.16 คะแนน นั่นแสดงให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่โฟกัสไปที่การแก้ไขปัญหาปากท้องว่ารัฐบาลจะทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งคะแนนเดือนนี้อยู่ที่ 4.80 เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา คือ 4.78 คะแนน ซึ่งแทบไม่ต่างจากเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังมีคะแนนลดลงจากเดิม 5.14 โดยในเดือนนี้ ได้เพียง 5.00 คะแนน ยิ่งชี้ชัดว่าการแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ยังไม่เห็นผล

ในทางตรงกันข้าม ผลงานของฝ่ายค้านกลับได้คะแนนเพิ่มขึ้นจาก 5.52 เป็น 5.56 คะแนน ซึ่งอาจมาจากความเห็นใจของประชาชนกรณีการยุบพรรค ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการที่จะให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นจะต้องแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ประชาชนอยากให้เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดมีคะแนนถึง ร้อยละ 50.62  อาจเป็นเพราะประเด็นข่าวหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเกิดขึ้นบ่อยครั้งในรอบเดือนที่ผ่านมา คงต้องจับตาดูกันว่าปัญหาในประเด็นนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปสำหรับเดือนหน้า

‘จุรินทร์’ อัด!! ‘นายกฯ’ หลังเปรียบฝ่ายค้านเป็นแมลงหวี่ ซัด!! ทำตัวเป็นรัฐบาลเทวดา ไม่สนใจเสียงของประชาชน

(4 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ในวันแรก ว่า ตนว่าฝ่ายค้านทำหน้าที่ดีทุกพรรค ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกล และพรรคไทยสร้างไทย ตนถือว่าตั้งใจทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายคาดหวังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะอภิปรายเรื่องกระบวนการยุติธรรมและนักโทษเทวดามากกว่านี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้จะมีการอภิปรายอีกวัน ต้องรอฟังว่าเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า คิดว่าฟอร์มของพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า ทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ มี สส.ใหม่หลายคนที่อภิปราย ตนถือว่าทำหน้าที่ได้ดี

เมื่อถามถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปรียบฝ่ายค้านบางพรรคเป็นแมลงหวี่ บางวันเป็นฝ่ายค้าน บางวันขอร่วมรัฐบาล นายจุรินทร์ กล่าวว่า ความจริงเรื่องแมลงหวี่มันสะท้อนจิตใต้สำนึกรัฐบาลเทวดาเหมือนกันว่ารำคาญเสียงประชาชน คิดว่าถ้าตนเป็นนายกฯ จะไม่เทียบกับแมลงหวี่ มันไม่ได้บวก มันเข้าตัวรัฐบาล 

เมื่อถามย้ำว่า สิ่งที่นายกฯ พูดเข้าตัวเองใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ใช่ เพราะแปลว่ารำคาญเสียงสะท้อนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล อันนี้ประชาธิปไตยเทวดา ไม่ใช่ประชาธิปไตยตัวจริง 

เมื่อถามว่า นายเศรษฐายังเหน็บฝ่ายค้านว่าอย่าเป็นฝ่ายค้านที่ทำให้โลกงง หลังมีกระแสข่าวพรรคประชาธิปัตย์จะไปร่วมรัฐบาล นายจุรินทร์ กล่าวว่า เมื่อสักครู่มีคนให้สัมภาษณ์แล้วไม่ใช่หรือว่าเสียงพอแล้ว ก็จะเป็นรัฐบาลเท่านี้ จำคำพูดของตัวเองไว้ด้วย 

เมื่อถามอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เสียสมาธิกับกระแสข่าวร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับตนการทำหน้าที่ในสภามันเป็นคำตอบอยู่แล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จุดยืนวันนี้หากมีการทาบทามพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลจะไม่ร่วมใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า การทำหน้าที่ของตนเป็นคำตอบอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร นายกฯ ต้องจำคำพูดตัวเองไว้ด้วยในสิ่งที่พูดไป 

เมื่อถามว่า มองว่าเป็นการวางยาอะไรหรือไม่ ที่มีการปล่อยข่าวจะเข้าร่วมรัฐบาลก่อนการอภิปราย นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์ แต่สิ่งที่นายกฯ พูดมันเผยให้เห็นตัวไอ้โม่งว่ามันมาจากไหน อย่างไร

เมื่อถามว่า ทำไมถึงต้องย้ำให้นายกฯ จำคำพูดตัวเอง นายจุรินทร์ กล่าวว่า ก็ธรรมดา พูดอะไรไปก็ต้องจำ 

ต่อข้อถามว่า เพราะวันหนึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เสียงของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่ขออธิบายต่อ ตนก็ทำหน้าที่ของตน มีหน้าที่อะไรก็ทำเต็มที่ ตนถือหลักอันนี้ 

'ก้าวไกล' จวก 'เศรษฐา' เก่งแต่ต่อว่าคนอื่น แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง หลังปมเพลิงไหม้โรงงาน 'อยุธยา-ระยอง' หาจุดจบไม่ได้เสียที

(2 พ.ค. 67) นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง และนายทวิวงศ์ โตทวิววงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงความคืบหน้ากรณีไฟไหม้โรงงานวินโพรเสส รวมถึงเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมีใน อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อคืนวันที่ 1 พ.ค.

โดยนายชุติพงศ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบข้อมูลว่าโรงงานวินโพรเสส ที่ จ.ระยอง และโกดังเก็บสารเคมี ที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา มีเจ้าของกลุ่มเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจ คือก่อนหน้านี้ที่อยุธยาเคยเกิดเหตุเพลิงโรงงานสารเคมี และมีการสั่งย้ายสารเคมีภายในโรงงานออกทั้งหมด จากนั้นมาเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานที่ระยอง และล่าสุดคือเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โกดังในพระนครศรีอยุธยา ระดับผู้สั่งการทำได้แค่สั่งแต่ไม่มีแผนเผชิญเหตุ จึงฝากไปถึงรัฐบาลในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก และนายกรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ เห็นผลกระทบจากกลิ่นสารเคมี ต้องถามว่าทำงานกันเป็นหรือไม่ เพราะในการลงพื้นที่ไฮไลต์เดียวคือการไปต่อว่าอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม จนเมื่อวาน (1 พ.ค.) ต้องประกาศลาออกในที่ประชุม คณะกรรมาธิการ (กมธ.) อุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร

“ถ้าท่านอยากทำหน้าที่ใช้ปากทำงานต่อว่าคนอื่น ท่านเป็นฝ่ายค้านก็ได้ ท่านไม่ต้องเป็นรัฐบาลหรอก อำนาจสั่งการอยู่ที่ท่าน ท่านก็สั่งเลยว่าให้ตำรวจทำอะไร ให้แต่ละที่ทำอะไร และต้องฟ้องชดเชยเยียวยาอะไร เพราะอำนาจอยู่ในมือท่าน จึงต้องฝากนายกฯ เพราะท่านไปเห็นหน้างานมาแล้วว่าเหม็นขนาดไหน ถ้าหากท่านจะใช้ปากทำงานต่อว่าคนอื่น ไม่ต้องเป็นรัฐบาลก็ได้ และขอฝากถามไปถึงนายกฯ ว่าจะทำอย่างไรถึงจะจบสักที เพราะดูเหมือนว่าท่านสั่งอะไร ก็ไม่ได้ผลสักอย่าง เพราะแม้ตอนนี้จะยังไม่ทราบชัดเจนว่าสารเคมีในโรงงานมีอะไรบ้าง แต่เบื้องต้นพบว่าเป็นสารประเภทเดียวกันทั้ง 2 ที่” นายชุติพงศ์ กล่าว

เมื่อถามว่า มีความเชื่อมโยงว่ามีการเคลื่อนย้ายสารเคมีจาก จ.ระยอง มายังอ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยาหรือไม่ นายชุติพงศ์ กล่าวว่า รัฐเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้กับโรงงานเหล่านี้ ได้มีการตรวจสอบหรือไม่ว่าเอาสารเคมีอะไรเข้าไปเก็บบ้าง และมาจากที่ใด เพราะไม่มีใครรู้ หากเกิดสารเคมียังหลงเหลืออยู่แต่ไม่มีที่เก็บแล้ว จากนี้จะไปโผล่บ้านใครก็ไม่ทราบ รัฐบาลต้องทำให้ชัดเจน ว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งในการตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการพบข้อพิรุธหลายอย่างในเรื่องนี้

ต่อข้อถามว่าหากคดีมีความชัดเจนว่าเป็นการลอบวางเพลิง เอื้อประโยชน์นายทุน ฝ่ายค้านจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง นายชุติพงศ์ กล่าวว่า เบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการแจ้งความดำเนินคดี เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ต้องติดตามว่า คดีเหล่านั้นดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และการขนย้ายใช้งบประมาณของกรมโรงงานฯ หรือเอกชนเจ้าของโรงงาน ซึ่งฝ่ายค้านก็จะติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นบทเรียนว่าการทำแบบนี้จะต้องรับโทษอย่างไรบ้าง

เมื่อถามว่า มองว่ามีความจำเป็นที่โรงงานต้องเกิดเหตุไฟไหม้ในตอนนี้หรือไม่ นายชุติพงศ์ กล่าวว่า ค่าขนย้ายสารเคมีไปกำจัดมีราคาแพง

ด้านนายทวิวงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบันทีมผจญเพลิงรับมือ ได้มีการเตรียมแผนรับมือไว้ เนื่องจากพบกรดกัดกร่อนรุนแรงที่พื้นโรงงาน หลังจากไฟไหม้ตลอดทั้งคืน จึงต้องปรับแผนไปดับเพลิงบนหลังคา จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเตรียมแผนรับมือ ชดเชยเยียวยาให้กับประชาชนที่เดือดร้อน และมาตรการดูแลเจ้าหน้าที่ ทั้งการตรวจสุขภาพ และการรักษาในระยะยาว ทั้งนี้ทราบบว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พบรอยตัดรั้วลวดหนาม หลังถูกดำเนินคดีที่ใช้กันพื้นที่โรงงานหลังถูกดำเนินคดีฟ้องร้อง จึงต้องไปตรวจสอบว่าเกิดจากสาเหตุใด

อย่างไรก็ตามนายชุติพงศ์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในการประชุม กมธ.อุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า เข้าร่วมประชุมกมธ. ด้วยในฐานะ สส.จ.ระยอง พื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งตนได้ถามอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับ งบประมาณในการขนย้ายสารเคมี ซึ่งอธิบดีกรมโรงงานฯ ที่นั่งอยู่ข้างตนก็ได้ตอบว่า "อ่อผมลาออกแล้วครับ" ตอนนั้นรู้สึกช็อกมาก

เมื่อถามว่าอธิบดีกรมโรงงานฯ ได้แจ้งเหตุผลของการลาออกหรือไม่ นายชุติพงษ์ กล่าวว่า ไม่แน่ใจ น่าจะเป็นเพราะถูกนายกฯ ต่อว่า และทราบว่ากำลังถูกสั่งย้าย ท่านจึงลาออก ซึ่งเรื่องนี้น่าสงสัย เพราะท่านเป็นคนเสนอให้ใช้เงินประกันที่ศาลมาดำเนินการขนย้ายสารเคมี ซึ่งก็ต้องรอผลในวันที่ 7 พ.ค.นี้ จึงต้องติดตามต่อไป เพราะประชาชนเริ่มสงสัยว่าเป็นการวางเพลิงต่อเนื่องหรือไม่

‘รัฐบาล’ เล็งดัน NBT เป็นโทรทัศน์ซอฟต์พาวเวอร์ อาจปรับผังรายการ เพื่อให้มีความทันสมัยมากขึ้น

(9 พ.ค. 67) น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการโทรทัศน์ซอฟต์พาวเวอร์ ว่า จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อรองรับการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ เมื่อเราต้องการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลก็จำเป็นต้องมีที่ปล่อยของสื่อสารกับประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยที่เล็งไว้คือสถานีโทรทัศน์ที่รัฐบาลกำกับดูแล เช่น ช่อง NBT ซึ่งต้องหารือในรายละเอียดอีกครั้ง และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ที่มีอยู่ 11 คณะ ว่าคณะไหน สาขาไหน มีศักยภาพ ต้องดึงขึ้นมาก่อนหรือไม่อย่างไร ยืนยันว่าเป็นการปรับผังรายการเท่านั้น ไม่ได้ตั้งสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาใหม่ จะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรามีอยู่ เพื่อประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และเป็นประโยชน์ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล

ส่วนกรณีได้รับมอบงานให้กำกับดูแลบริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) และกรมประชาสัมพันธ์ มีนโยบายขับเคลื่อนอย่างไร น.ส.จิราพร กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเชิญหน่วยงานมาหารือ อยากให้เป็นสื่อฯ สะท้อนนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกันอยากให้สื่อสารนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสื่อที่สะท้อนเสียงของประชาชน

ส่วนจะปรับเปลี่ยน 2 สถานีโทรทัศน์ดังกล่าวให้มีความเป็นคนรุ่นใหม่หรือไม่ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องคุยรายละเอียดที่มีค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม หากช่อง NBT สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับซอฟต์พาวเวอร์ได้ จะมีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งจากการพูดคุยกับคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ มีสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีที่ให้ความสนใจอยากจะทำคอนเทนต์เกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งรัฐบาลยินดีที่จะให้คอนเทนต์ เพราะเป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาล และมีหลายภาคส่วน เช่น ภาคเอกชนที่อยากร่วมมือด้วย

ส่วนจะจ้างงานใหม่หรือไม่นั้น น.ส.จิราพร กล่าวว่า เป็นการให้ภาพใหญ่ในทิศทางการทำงาน ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างมีระเบียบที่หน่วยงานต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ส่วนงบประมาณดำเนินโครงการนี้กำลังหารือรายละเอียดอยู่ อย่างไรก็ตาม ต้องดูงบประมาณเก่าว่า ส่วนที่ได้รับมาได้ใช้จ่ายไปในส่วนใดบ้าง หรือจะต้องหาความร่วมมือกับภาคเอกชนเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องดูก่อน

เสียงสะท้อนประชาชน ในวันที่ 4 คดีดังการเมืองไทยเฉิดฉาย ส่วน 'ปากท้อง-เศรษฐกิจ' ไม่คลี่คลาย มิวายให้หวนคิดถึง 'ลุงตู่'

จับตาทิศทางประเทศไทย หลังวันนี้ (18 มิ.ย.) 4 คดีร้อนการเมือง ... อัยการสูงสุด นัดส่งฟ้อง 'ทักษิณ ชินวัตร' คดีมาตรา 112 หาก 'ทักษิณ' เดินทางไปพบอัยการตามกำหนดนัด โดยไม่เลื่อน ก็คาดว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับ 'การประกันตัว'

ในวันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล หลังศาลมีคำสั่งให้ กกต. ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมในวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก็จะทราบว่าวันนี้ศาลจะเปิดบัลลังก์ไต่สวนพยานหรือไม่?

ว่ากันติด ๆ ด้วยเรื่องการถอดถอน 'เศรษฐา' กรณีประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของ 40 สว. ขอให้วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกนิดฯ 'เศรษฐา ทวีสิน' นายกรัฐมนตรี และ 'นายพิชิต ชื่นบาน' รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่?

และปิดท้ายกับนัดชี้ขาด 4 มาตรา กฎหมายเลือก สว.ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่? ซึ่งสำหรับคดีหลังสุดนี้ ศาลจะลงมติเลย เนื่องจากเป็นปัญหาด้านข้อกฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยแล้ว

ว่ากันว่า ทั้ง 4 คดีใหญ่นี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่แรงสั่นสะเทือนระดับสูงต่อทิศทางและอนาคตการเมืองไทยในระดับชาติเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตอันใกล้ หากคดีใดคดีหนึ่งใน 4 คดีนี้ ขยายวงจนก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมแบบภาคต่อ

โดยในมุมมองของภาคประชาชน ผู้ประกอบวิชาชีพในสายต่าง ๆ ต่างก็มีความกังวลใจต่อทิศทางคำตัดสินใน 4 คดีวันนี้ และมองว่าบางคดีล้วนแล้วแต่มีจุดเริ่มต้นจาก 'คำสัญญาที่ขาดหาย' ของนักการเมืองที่ละเลยต่อปัญหาปากท้องที่เคยยาหอมทิ้งไว้ให้กับประชาชน ดั่งเช่นกรณี นายวรพล แกมขุนทด นายกสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ และกลุ่มสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ ที่กล่าวถึง คดีศาลรัฐธรรมนูญนำเรื่องการถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่? กับ THE STATES TIMES ว่า...

"เรื่องนี้สะท้อนว่านายเศรษฐา ไม่ได้จริงใจที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาความลำบากของประชาชนรากหญ้าจริง ๆ ผมไม่อยากจะพูดถึงว่า ท่านทำงานไม่เป็น แต่ผมมองว่าท่านยังไม่ได้ครึ่งของสมัยท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลย"

เมื่อถามว่าหากศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีถอดถอน 'นายกฯ เศรษฐา' จะสร้างผลบวกหรือลบต่อปากท้องผู้คนอย่างไร? นายวรพล กล่าวว่า...

"ผมเคยเป็นคนเสื้อแดง สู้เพื่อประชาธิปไตย โดนคดีมาหลายคดี แต่ก็ผิดหวังเหมือนเดิม เพราะไม่มีใครเหลียวดูคนรากหญ้าและจริงใจที่จะแก้ปัญหาอย่างแท้จริง...

"ดังนั้น ต่อให้ผลการพิจารณาคดีวันนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็อยากขอพูดแทนพี่น้องชาวแท็กซี่ของผมว่า พวกเราต้องการความเปลี่ยนแปลงเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ-รัฐบาลใหม่ หรือไม่ก็ตาม ผมก็อยากจะขอฝากข้อเสนอนี้ไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยต่อไป ดังนี้...

1. ขอให้มีการจัดสภา 108 อาชีพ ให้คนอาชีพต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมในการดูแลพี่น้องประชาชน และนำพาประเทศ ให้ก้าวผ่านความยากจนไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 

2. แก้ไขการโกง ทุกระบบ ทุกภาคส่วน ปัญหา Callcenter ปัญหาการโกงในระดับกรม-กอง-กระทรวง ด้วยกลโกงจากกฎระเบียบต่าง ๆ เป็นต้น 

3. สำคัญที่สุด นายกรัฐมนตรี ต้องเป็นคนที่พร้อมจะแบกรับคนไทยกว่า 65 ล้านคน หรือคนทั่วโลกที่ มากิน เที่ยว พัก ให้ได้รับความสุข ความปลอดภัย

"นายกฯ ต้องเป็นคนที่แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที และตั้งทีมงาน 108 อาชีพเป็นแกนนำ เป็นที่ปรึกษา ให้นายกรัฐมนตรี ที่จะได้เข้าใจปัญหาของทุกสาขาวิชาชีพอย่างตรงจุด เพียงเท่านี้ ประเทศไทยก็มีความสุขทั่วหน้ากัน" นายวรพล กล่าว

อีกคดีที่น่าระทึกกับการ 'ยุบพรรคก้าวไกล' นั้น เสียงสะท้อนหนึ่งจากผู้ประกอบการ ร้านข้าวแกงร้อยหม้อ นายสุชาติ-อธิวัฒน์ อมรวีระวัฒน์ หรือ 'ชาติร้อยหม้อ' ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า "หากพรรคก้าวไกล ถูกยุบพรรค ในจังหวะที่สภาพคล่องทางเศรษฐกิจ อยู่ในจุดที่ค่อนข้างเป็นขาลง น่าจะสร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมืองเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งในภาพของการเมือง ผมคงตอบไม่ได้ แต่ถ้าให้ผมตอบในนามคนทำมาหากิน... รัฐบาลควรจะต้องมีการบริหารจัดการที่คิดคำนึงถึงปากท้องประชาชนเป็นหลัก อย่าให้เกิดความแตกแยกในช่วงเวลานี้ ต้องสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นภายในชาติ"

ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ทิศทางการเมืองหลัง 4 คดีสำคัญในวันนี้ถูกตัดสิน จะส่งผลต่อภาพการเมืองไทยอย่างไรต่อไป แต่ที่แน่ ๆ ในวันนี้ ประชาชนคนทำมาหากิน เอือมระอาการเมือง หากปากท้องของพวกเขาต้องฝืดเคือง เพราะคำสัญญาที่ขาดหาย...

'มิสเตอร์เอทานอล' เตือนรัฐบาลอย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรกว่า1ล้านครัวเรือน

“อลงกรณ์”ห่วงอุตสาหกรรม
เอทานอลล่มสลายเกษตรกรล่มจม
เสนอ 5 มาตรการเดินหน้าอุตสาหกรรมเอทานอล

วันนี้นายอลงกรณ์ พลบุตร ฉายา“มิสเตอร์เอทานอล”(Mr.Ethanol)และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ค“อลงกรณ์ พลบุตร”เรื่อง อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อเกษตรกร“แสดงความกังวลต่อนโยบาย”เอทานอล“ของกระทรวงพลังงานพร้อมเสนอ 5 มาตรการเดินหน้าอุตสาหกรรมเอทานอลโดยมีข้อความดังต่อไปนี้

อลงกรณ์ขับรถไถจากสวนจิตรลดาบุกทำเนียบรัฐบาลในเดือนกันยายนปี2544เพื่อโปรโมทโครงการเอทานอลจนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในสัปดาห์ถัดมา

”อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานสะอาดจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรไทย“

ผมกังวลใจที่ทราบว่ากระทรวงพลังงานจะไม่สนับสนุนเอทานอลน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากอ้อยและมันสำปะหลังโดยการจำหน่ายน้ำมันจะเหลือเพียง น้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล์95 (E10) ทั้งที่ในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) สนับสนุนE20จะทำให้
การใช้เอทานอลลดลงถึง50%กระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมเอทานอลที่ประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่ปี2544จนปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานเอทานอล28โรงมีกำลังการผลิต 6.8 ล้านลิตรต่อวัน เป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งทุกวันนี้ผลิตเพียง3.1-3.2 ล้านลิตรต่อวัน หากในอนาคตปรับเหลือแค่ E10 ก็จะลดลงไปอีก50% อาจถึงการล่มสลายของอุตสาหกรรมเอทานอลและเกษตรกรล่มจม

“เมื่อปี2543เกิดวิกฤติการณ์น้ำมันประเทศไทยกระทบรุนแรงเพราะนำเข้าน้ำมันถึง90% ผมเสนอให้ประเทศไทยผลิตน้ำมันเอทานอล(แอลกอฮอล์)จากพืชซึ่งมีโรงงานต้นแบบของในหลวงในวังสวนจิตรลดาจึงได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ.(ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์)เป็นประธานโครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากพืชในต้นปี2544และเสนอรายงานต่อคณะรัฐมนตรี(ฯพณฯ.ชวน หลีกภัย)ให้ความเห็นชอบให้ผลิตเอทานอลเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่19 กันยายน 2544 เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ลดคาร์บอนและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยชาวไร่มันสำปะหลังซึ่งเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นน้ำมันเอทานอลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจนได้รับฉายา”มิสเตอร์เอทานอล“ 

นับเป็นเวลากว่า20ปีที่อุตสาหกรรมเอทานอลเติบโตและมีน้ำมันแก๊สโซฮอล์(เบนซิน-แก๊สโซลีนผสมเอทานอล-แอลกอฮอล์)จำหน่ายทุกปั้มทั่วประเทศ มีน้ำมัน E10 E20และE85 (EคือEthanol, E10คือเอทานอล10%เบนซิน90% E20และE85มีส่วนผสมเอทานอล 20%และ85%) โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ยอมรับการปรับแต่งเครื่องยนต์และอุตสาหกรรมน้ำมันก็ให้การสนับสนุน

การที่รัฐบาลปัจจุบันโดยกระทรวงพลังงานจะลดการส่งเสริมสนับสนุนจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเอทานอลและเกษตรกรชาวไร่อ้อยชาวไร่มันสำปะหลังประสบความเดือดร้อนอย่างรุนแรงเพราะเพียงแค่มีข่าวว่าจะลดเหลือเพียงน้ำมันE10ชาวไร่ก็ถูกกดราคาแล้ว

ผมจึงขอเสนอมาตรการให้รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพลังงานพิจารณา ดังต่อไปนี้
1. ส่งเสริมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานและยังคงจำหน่ายน้ำมัน E85
2. ขยายเวลาการบังคับ “มาตรการยกเลิกชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ” ตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 รอบ2 เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ก็เป็นราคาตามกลไกตลาดโลกและต้นทุนของเอทานอลอยู่แล้ว โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ได้นำเงินไปช่วยชดเชยราคาแต่อย่างใด และยังเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อีกด้วย
3. ส่งเสริมเอทานอลเกรดอุตสาหกรรมให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นได้ อาทิ ไบโอพลาสติก,อุตสาหกรรมยา,อุตสาหกรรมสีทาบ้านและอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้นโดยแก้ไขหรือยกเลิก พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 เพราะปัจจุบันเอทานอลไม่สามารถนำมาใช้ด้วยเกรงจะถูกนำไปผลิตเป็นเหล้าเถื่อนกระทบบริษัทผลิตเหล้าและองค์การสุราทั้งที่มีมาตรการป้องกันได้เหมือนการนำเอทานอลมาใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง

4. ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมไบโอรีไฟนารี่(Biorefinery)คืออุตสาหกรรมพลังงานและเคมีชีวภาพซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อต่อยอดเพิ่มมูลค่าเอทานอล
5. เพิ่มศักยภาพการส่งออกเอทานอล โดยภาครัฐสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต(Productivity)ของโรงงานและชาวไร่ให้มีผลผลิตสูงขึ้นสามารถแข่งขันชิงตลาดโลกได้
ประเทศของเราผลิตเอทานอลได้เกือบ7ล้านลิตรต่อวันแต่กลับหยุดส่งออกเอทานอลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556 หรือ11ปีมาแล้วโดยรัฐบาลขณะนั้นออกมาตรการระงับการส่งออกด้วยเกรงเอทานอลจะไม่พอใช้ในประเทศ โดยยกเว้นให้ส่งออกเป็นบางกรณี เช่น เดือนมีนาคม 2557 มีการส่งออกจำนวน 4 ล้านลิตรและเดือนธันวาคม 2563 ส่งออกเพียง 5.4 หมื่นลิตร มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และอังกฤษ ปัจจุบันกำลังการผลิตใช้เพียงครึ่งเดียวเหลือวันละ 3 ล้านลิตร หากส่งออกได้ก็จะเพิ่มกำลังผลิตได้เต็มกำลังการผลิตจริง 

“รถจดทะเบียนสะสมมีกว่า 44 ล้านคัน ส่วนรถไฟฟ้ามีแสนกว่าคัน ดังนั้นน้ำมันสำหรับรถสันดาปภายในยังมีความต้องการอีกมาก การผลิตน้ำมันชีวภาพ(Biofuel)ทั้งเอทานอลและไบโอดีเซลมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงานและรัฐบาลใช้กองทุนน้ำมันอุดหนุนราคาดีเซลและแก๊สกว่าแสนล้านบาทโดยไม่ได้อุดหนุนราคาแก๊สโซฮอลล์มิหนำซ้ำกลับจะทำลายรากฐานของการพึ่งพาตัวเองของประเทศที่เราสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเอทานอลจนเติบใหญ่เป็นอันดับ7ของโลกและช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ เรามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ ผมขอให้กระทรวงพลังงานและรัฐบาลทบทวนนโยบายเสียใหม่ อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรกว่า1ล้านครัวเรือน “

คนกรุง เฮ ! ใช้บัตร 30 บาทได้แล้ว รัฐบาลจัดให้ ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ‘สมศักดิ์’ ปลื้มผลงานรัฐบาลนโยบาย 30 บาท

รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวขยายเป็น 46 จังหวัด  พร้อมให้บริการประชาชนกว้างขวางกว่าครึ่งประเทศแล้ว น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคในยุคที่นายทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็น30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว วันนี้มีความก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 นายจเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ได้ออกประกาศ สปสช. ลงราชกิจจานุเบกษา เรื่องจังหวัดที่ดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว พ.ศ. 2567 ให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ เป็นความภูมิใจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีที่เข้ามาบริหารประเทศ ทำทันที ผ่านมา10 เดือน รัฐบาลห่วงใยสุขภาพของประชาชน พี่น้องคนไทยสามารถรักษาพยาบาลฟรีด้วยบัตรประชาชนใบเดียวได้ถึง 46 จังหวัดแล้ว และภายหลังที่นายสมศักดิ์  เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาทำหน้าที่จากเดิมการใช้บัตร 30 บาทรักษาทุกที่ดัวยบัตรประชาชนใบเดียว จาก 45 จังหวัดประกาศเพิ่มอีก 1 มีกรุงเทพมหานครรวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อรวมกันกับเฟสแรก 4 จังหวัด เฟสสอง 8 จังหวัด เฟสสามอีก 33 จังหวัด รวมเป็น 45 จังหวัด เพิ่มกรุงเทพฯ 1 จังหวัด เท่ากับ 46 จังหวัด ถือว่า การให้บริการขยายเกินกว่าครึ่งประเทศแล้ว จากประกาศนำร่องเฟสแรก จังหวัดร้อยเอ็ด แพร่ เพชรบุรี นราธิวาส  และเพิ่มเเฟสสองแงะสามตามมา รวมวันนี้ประกาศเพิ่มอีก 42 จังหวัดประกอบด้วย นครราชสีมา, นครสวรรค์, พังงา, เพชรบูรณ์, สระแก้ว, สิงห์บุรี,  หนองบัวลำภู, อำนาจเจริญ, เชียงใหม่,  เชียงราย, น่าน, พะเยา, ลำปาง, ลำพูน, แม่ฮ่องสอน, กำแพงเพชร, พิจิตร, ชัยนาท, อุทัยธานี, สระบุรี, นนทบุรี, ลพบุรี, อ่างทอง, นครนายก, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, อุดรธานี, สกลนคร,  นครพนม, เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์, สงขลา, สตูล, ตรัง, พัทลุง, ปัตตานี, ยะลา และกรุงเทพฯ น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า  สำหรับกรุงเทพฯซึ่งเป็นเมืองหลวง มีประชากรจำนวนมาก เป็นพื้นที่ที่ยาก แต่วันนี้กระทรวงสาธารณสุขทำได้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ ให้ไปใช้บริการในคลินิกนวัตกรรมทั้ง 7 วิชาชีพได้เช่นเดียวกับต่างจังหวัดที่ประกาศไปก่นหน้านี้ เพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็เข้ารับบริการทั้ง 7 วิชาชีพ โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว  7 วิชาชีพได้แก่ คลินิก7 วิชาชีพ ได้แก่ คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น, คลินิกทันตแพทย์ชุมชนอบอุ่น, คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น, คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น, คลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น, คลินิกกายภาพชุมชนอบอุ่น และร้านยาที่มีสัญลักษณ์นอกจากนี้ สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวสามารถทำฟันฟรีปีละ 3 ครั้ง ที่คลินิกทันตกรรมอบอุ่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ได้รับบริการ 5 รายการ คือ ขูดหินปูน, อุดฟัน, ถอนฟัน,เคลือบหลุมร่องฟันและเคลือบฟลูออไรด์ การเข้ารับบริการขอให้สังเกตุโลโก้ รูปบ้านและสัญลักษณ์ สื่อถึงแต่ละวิชาชีพในรูปหัวใจติดอยู่ที่หน้าคลินิก โฆษกกระทรวง สธ. ฝ่ายการเมืองกล่าวว่า นายสมศักดิ์ ปลื้มมากที่การทำงานของกระทรวงสาธารณสุขทำได้อย่างรวดเร็วเพื่อประชาชน ขอบคุณบุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขทุกคน ที่ตั้งใจมุ่งมั่นทำงานเเพื่อประชาชน ไม่ว่าสิทธิบัตรทองจะอยู่ที่ไหน ยื่นบัตรประชาชนใบเดียวก็เข้าไปรับบริการได้ทันที ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ใช้บริการได้ทั่วประเทศตามคลินิก 7 ประเภท ซึ่งสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือเข้าไลน์ ID ของสปสช. โทร 1330 และช่องทางอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการก็เข้ารับบริการฟรีที่ร้านยาใกล้บ้าน ให้สังเกตุป้าย  ส่วนอีก 30 จังหวัดอดใจรออีกนิดเดียว ภายในสิ้นปีนี้ คนไทยได้ใช้สิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวทั้งประเทศ โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว” นางสาวตรีชฎากล่าว 

‘คุณทอม’ เผยชีวิต เพียงแค่ เดือนเดียว ‘ขาดทุนหุ้น 50 ล้าน’ รับ!! ‘ประมาท-ไว้ใจคนอื่น-มีอีโก้-ไม่รอบคอบ’ จนเกือบหมดตัว

เมื่อเร็วๆนี้ YouTube ช่อง ‘KoonTom คิดแบบคุณทอม’ ได้โพสต์คลิป ถึงบทเรียนในการใช้ชีวิต โดยมีใจความว่า ...

‘ลบ เจ๊งอย่างมหึมา แย่มาก’ นี่คือชีวิตของผม เมื่อเดือนที่แล้ว ผมมีชีวิตมา 58 ปีแล้ว ทำงานมา 40 กว่าปี ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง ก็ทำเงินได้หลายร้อยล้าน หลายพันล้าน ก็เจอพายุมาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับหนักเหมือนเมื่อเดือนที่แล้ว

ก็เลยจะขอเล่าประสบการณ์ ‘การล้ม’ เพื่อหลายๆคนจะได้ไม่ประมาท

ผมเป็นคนที่ทำธุรกิจ จับแพะชนแกะ ผมลงเล่นในตลาดหุ้น แล้วผมก็ไม่ค่อยจะได้ดูแล ผมประมาท

บทเรียนแรกก็คือเราไม่ดูแลเงินเราด้วยความใกล้ชิด สุดท้ายแล้วเงินเรา ก็หายไปได้ในพริบตา เดือนที่แล้วเดือนเดียวผมขาดทุนหุ้นไป 50 ล้าน เงินที่มีเก็บเอาไว้เดือนเดียวเกือบหมด หุ้นที่ผมไปลงทุนมันโดนทุบทุกวัน ทำอะไรไม่ได้เลย แก้ไขไม่ทันกับการที่คิดว่าตัวผมเองแน่ คิดว่าตัวเองแก้ปัญหาได้ไม่ต้องห่วง ก็เป็นบทเรียนว่า ความประมาทเป็นสิ่งที่ทำร้ายเราได้รวดเร็วที่สุด

บทเรียนที่ 2 ก็คือความไว้วางใจ เราไว้วางใจคนอื่น เราไว้วางใจว่าคนอื่นเขาดีกับเรา สุดท้ายแล้วเขาก็เห็นแต่ประโยชน์ของเขา เขาเอาตัวรอดก่อน อย่าไปคิดว่าเวลาเราจะจมน้ำตายแล้วจะมีคนมาช่วย การวางใจการประมาทจะทำให้คุณเจ๊งได้

บทเรียนที่ 3 ก็คือ ผมไว้วางใจคนอื่น จนหุ้นตกแล้วผมถอนออกไม่ทัน

บทเรียนที่ 4 ที่ทำให้ผมเจ๊ง เมื่อเดือนที่แล้ว ก็คือความมั่นใจ อีโก้ของตัวเอง พี่คิดว่าตัวเองแน่ ไม่คิดให้รอบคอบ

ขอฝากไว้ให้ทุกคนคิด ‘อย่าโดนเหมือนที่ผมโดน’

หลังจากที่ผมเจ๊งผมก็โทษสิ่งแวดล้อมโทษรัฐบาลโทษนั่นโทษนี่ จนผมตัดสินใจว่าผมจะไปตีกอล์ฟคนเดียว เพื่อจะไปคุยกับตัวเอง นี่คือวิธีแก้ไขปัญหาของผมนั่นก็คือการไปคุยกับตัวเอง มานั่งคิดให้ดีว่าสิ่งที่เราเจ๊งนั้น เป็นเพราะคนอื่น จริงหรือไม่ สรุปแล้วสิ่งที่ผมเจ๊งมันเป็นเพราะตัวผมเอง มันเป็นเพราะการตัดสินใจของเรา

สุดท้ายแล้วผมก็รู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็นเพราะตัวผมเอง ฉะนั้นมีเพียงคนเดียวที่จะช่วยผมแก้ปัญหานี้ได้นั่นก็คือตัวผมเอง

ผมขอฝากไว้ในการแก้ไขปัญหา ต้องไม่ให้ปัญหาของเราไปกระทบกับคนอื่น เราเป็นคนสร้างปัญหา ฉะนั้นเราไม่ควรจะนำปัญหาของเรา ไปทำให้คนอื่นเขาลำบาก

สุดท้ายแล้วผมก็ลุกขึ้นสู้ต่อ ไม่ได้สู้เพื่อชนะแต่ผมสู้ เพื่อสิ่งที่ผมรัก นั่นก็คือลูกและภรรยา เมื่อคุณมีปัญหาคุณเครียดคุณต้องหา เวลาที่คุณนิ่งจริงๆ คุณจะแก้ปัญหาได้คุณต้องเลิกโทษคนอื่น แล้วพยายามมองสิ่งที่บวก ในอดีตมีเงินแค่ 50,000 บาท เราก็สร้างมันมาได้จนมีบ้านหลังใหญ่ วันนี้เราก็จะต้องสร้างมันได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

‘เมื่อครั้งหนึ่งทำได้ครั้งนี้ก็ต้องทำได้’

THE STATES TIMES ขอเป็นกำลังใจ ให้ทุกคนที่กำลังสู้ชีวิต

‘จุรินทร์’ จวก!! รัฐบาลให้ความหวังแจก ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ไปวันๆ อ้างรอรายละเอียด แต่ไม่ถามกฤษฎีกา ปมดึงเงิน ธกส. มาใช้สักที

(10 ก.ค. 67) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นถึงกรณี ‘เงินดิจิทัล วอลเล็ต’ อีกครั้ง ว่า จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ถามกฤษฎีกาเรื่องการจะเอาเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่งมีไว้เพื่อดูแลเกษตรกรมาแจก ตามนโยบาย ดิจิทัล วอลเล็ต สามารถทำได้และถูกกฎหมายหรือไม่ 

ส่งผลให้ประชาชนยังไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าจะได้รับเงินคนละ 10,000 บาท ตามที่นายกรัฐมนตรีหาเสียงไว้ แม้รัฐบาลจะพยายามบอกว่าจะจัดให้มีการลงทะเบียนภายในเดือนกรกฎาคม และแจกได้ทันทีในไตรมาส 4 ของปีนี้ หรือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 67 เป็นต้นไปก็ตาม แต่เป็นแค่ไทม์ไลน์ที่รัฐบาลกำหนดขึ้นบนพื้นฐานว่าสามารถเอาเม็ดเงิน 172,300 ล้านบาทจาก ธกส. มาแจกได้ แต่ถ้าเกิดทำไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย รัฐบาลจะทำอย่างไร 

“จึงมีคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เร่งทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ปล่อยให้คลุมเครืออยู่เพื่ออะไร เพราะข้ออ้างรอความชัดเจนรายละเอียดปฏิบัติฟังไม่ขึ้น หรือรัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่ามันมีความเสี่ยงผิดกฎหมาย จึงใช้เทคนิคหาเสียงด้วยการซื้อเวลาช่วงนี้ เพื่อสร้างความหวังให้ประชาชนไปพลางก่อน แล้วค่อยไปเสี่ยงตายเอาวันข้างหน้า ซึ่งก็เหมือนซื้อเวลาสร้างความหวังให้ประชาชนไปวัน ๆ” นายจุรินทร์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top