Friday, 6 June 2025
ปราชญ์สามสี

วิพากษ์คำถาม BBC Thai ชี้นำ ‘ศ.โรบินสัน’ เตือนสติ!!..อย่าเปรียบเทียบไทย-เวียดนามโดยไร้บริบท

(25 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี โพสต์ข้อความว่า…ข้อทบทวนต่อบทสัมภาษณ์ ศ.เจมส์ เอ. โรบินสัน และคำถามนำจาก BBC ไทย

ข้าพเจ้าได้ติดตามบทสัมภาษณ์ของศาสตราจารย์เจมส์ เอ. โรบินสัน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลและผู้ร่วมเขียนหนังสือ Why Nations Fail ซึ่งเผยแพร่ผ่าน BBC Thai อย่างละเอียด ด้วยความเคารพในองค์ความรู้และเจตนารมณ์ของท่านในการวิพากษ์โครงสร้างของสถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าขออนุญาตแสดงความเห็นต่างในสองประเด็นหลัก ทั้งในส่วนของคำตอบจากศาสตราจารย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อทิศทางของคำถามที่มาจากผู้ดำเนินรายการ ซึ่งมีลักษณะ “ชี้นำ” ไปสู่การเปรียบเทียบที่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่เหมาะสม

1. คำถามนำที่สร้างกรอบเปรียบเทียบอย่างไม่เป็นธรรม

ประเด็นที่ข้าพเจ้ารู้สึกกังวลเป็นพิเศษ คือการที่ผู้สัมภาษณ์ของ BBC Thai พยายามตั้งคำถามในลักษณะ “ยกเวียดนามขึ้นเปรียบเทียบกับไทย” โดยเฉพาะในช่วงที่ระบุว่า “เวียดนามกำลังจะโตแซงไทย” และเปิดให้ศาสตราจารย์โรบินสันให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว

แม้การเปรียบเทียบประเทศจะเป็นเรื่องปกติในงานวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ แต่การโยงเวียดนามมาเป็น “คู่แข่งโดยตรง” ของไทยในลักษณะคำถามแบบนำ (leading question) โดยไม่ปูพื้นบริบทของแต่ละประเทศให้ชัดเจน เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ามองว่าไม่ยุติธรรม และอาจชักนำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหมู่ผู้อ่านทั่วไป

2. การเติบโตของประเทศไม่สามารถวัดด้วยไม้บรรทัดเดียวกัน

ข้าพเจ้าขอชี้ให้เห็นว่า ประเทศแต่ละประเทศมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม เกาหลีใต้ หรือประเทศไทย ทั้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์การเมือง สงคราม ภัยคุกคามจากภายนอก รวมถึงทิศทางการพัฒนาเชิงสถาบัน

เวียดนามโตเร็วจริง หากดูจาก GDP ปี 2025 แต่เป็นการเติบโตที่ยังอิงกับการพึ่งพาภาคการผลิตส่งออกและการลงทุนต่างชาติเป็นหลัก ในขณะที่ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน การกระจายรายได้ และระบบสวัสดิการยังคงเป็นโจทย์ระยะยาวที่ไม่อาจละเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นในเวียดนามคือผลจากเจตจำนงของผู้นำในห้วงประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ผลจาก "ความเหนือชั้นของระบบพรรคเดียว" อย่างที่บางคนอาจเข้าใจ และแน่นอนว่าไม่ใช่ "โมเดลที่ไทยควรเดินตาม" อย่างไม่มีเงื่อนไข

3. ประชาธิปไตยอาจช้า แต่ไม่หลงทาง

ประเทศไทยมีความท้าทายของตัวเอง ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมทางสังคม ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธว่าเรายังมีหนทางอีกไกลในการทำให้สถาบันต่าง ๆ มีความครอบคลุมและตรวจสอบได้อย่างแท้จริง

แต่สิ่งที่ควรมองเห็นเช่นกันคือ พลวัตของการตั้งคำถาม การเปลี่ยนแปลงจากภายใน และความพยายามของประชาชนในการผลักดันให้เกิดสังคมที่ดีขึ้น — แม้จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป

การวัดประเทศจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงปีใดปีหนึ่ง หรือใช้ประเทศเพื่อนบ้านมาเป็น “เงาเปรียบเทียบ” โดยไม่มีบริบทที่รอบด้าน จึงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นว่าควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะในเวทีสื่อสารสาธารณะเช่น BBC ซึ่งมีอิทธิพลต่อทัศนคติของประชาชนในวงกว้าง

บทส่งท้าย — โตแบบไทยในแบบของเรา

ศาสตราจารย์โรบินสันได้กล่าวไว้ว่า “หากคุณจินตนาการสิ่งใหม่ ๆ ไม่ได้ คุณก็จะไม่มีวันเดินหน้าไปไกลได้เลย” ข้าพเจ้าเห็นพ้องในหลักการนั้น และขอเสริมว่า

“หากคุณไม่เข้าใจว่าตนเองยืนอยู่ตรงไหน คุณก็จะไม่รู้เลยว่าควรเดินไปทางใด”

ประเทศไทยอาจไม่ได้โตเร็วเหมือนใคร แต่เรามีสิทธิ์โตในแบบของเรา — โดยไม่ต้องยืมไม้บรรทัดของใครมาวัด

สายศิลป์จบมาอาจเคว้ง สาย STEM จบไปตลาดต้องการ ‘Apple-IBM’ ไม่สนปริญญา เเต่ง้อคนมีฝีมือทำงานได้จริง

(25 พ.ค. 68) ปราชญ์ สามสี โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กว่า..ผมไปเจอข่าวนี้มา น่าสนใจมาก อยากชวนทุกคนมาดูกัน
วันนี้ผมบังเอิญไปอ่านเจอบทความจาก Forbes มันไม่ใช่ข่าวใหม่หรอกนะครับก็ถูกเขียนราวๆเมษายนที่ผ่านมานี่เองโดยมีหัวข้อคือ "หลายปริญญาในปัจจุบันกำลังไร้ค่า—แล้วอะไรล่ะที่ยังคุ้มเงิน?" ( Many College Degrees Are Now Useless—Here’s What Is Worth Your Money) ฟังดูแรงนิดๆ แต่มันสะท้อนสภาพสังคมและตลาดแรงงานยุคใหม่ได้อย่างน่าคิดมากครับ

ข่าวนี้บอกชัดเลยว่าปัจจุบันบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Apple, IBM และ Hilton เริ่มลดความสำคัญของ "ใบปริญญา" ลง แล้วหันมาให้ความสำคัญกับ "ทักษะและประสบการณ์จริง" มากขึ้นเรื่อยๆ และผลสำรวจจาก Pew Research Center พบว่า เกือบครึ่งของชาวอเมริกันมองว่าปริญญาตรีไม่สำคัญในการหางานดีๆ เหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน และที่น่าตกใจคือ มากกว่าครึ่งของบัณฑิตมหาวิทยาลัยมีงานต่ำกว่าวุฒิที่จบมา แม้ผ่านไปแล้วกว่า 10 ปี

จากบทความนี้ Forbes ยังระบุชัดเลยว่าปริญญาที่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากในตลาดงานยุคนี้ ได้แก่:

ศิลปศาสตร์ทั่วไปที่ไม่มีความชัดเจนในการทำงาน

ศิลปะและการแสดง (ยกเว้นสถาบันชื่อดังหรือมีชื่อเสียงอยู่แล้ว)

การสื่อสารมวลชน (ที่ไม่ได้เฉพาะทาง)

สาขาสังคมศาสตร์เช่น สตรีศึกษา ชาติพันธุ์ศึกษา

จิตวิทยาและสังคมวิทยา ระดับปริญญาตรีล้วนๆ

ส่วนสาขาที่ตลาดยังต้องการสูงและมีรายได้ดี คือ

วิทยาการคอมพิวเตอร์และ IT (รายได้เฉลี่ย $120,000 ต่อปี)

พยาบาลและสาธารณสุข (รายได้เฉลี่ย $82,000 ต่อปี)

วิศวกรรมศาสตร์ (รายได้เฉลี่ย $95,000 ต่อปี)

ช่างฝีมือและสายอาชีพเทคนิค (รายได้เฉลี่ย $80,000 ต่อปี)

ธุรกิจเฉพาะทาง เช่น การเงิน โลจิสติกส์ Analytics (รายได้เฉลี่ย $100,000 ต่อปี)

ครูเฉพาะทาง เช่น STEM และการศึกษาพิเศษ (รายได้เฉลี่ย $50,000–70,000 ต่อปี)

สรุปชัดๆ จากบทความนี้คือ ในยุคปัจจุบัน "โลกไม่ได้ถามว่าเราเรียนจบอะไรมา แต่ถามว่าเราทำอะไรได้บ้าง"

อ่านจบแล้วผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมองการศึกษาและปริญญากันใหม่ ให้ตรงกับความจริงของโลกยุคนี้?

‘ฮุน เซน’ สร้างเรื่อง!! เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ ชายแดนไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือ ‘จุดเริ่มต้น’

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ข่าวใหญ่ที่คนทั้งสองฝั่งชายแดนต้องจับตา คือเหตุการณ์ 'ปะทะชายแดนช่องบก' ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เสียงปืนดังไม่ถึงสิบนาที แต่ 'เสียงการเมือง' ดังไกลเกินค่าย และหนึ่งในเสียงที่ดังกว่าคนอื่น ก็คือ 'สมเด็จฮุน เซน' ถึงแม้จะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีแล้ว แต่เขาก็ยังโผล่หน้ากล้อง พูดชัดๆ ว่า “ตรงนี้เป็นดินแดนของเรา! ฉันเคยนั่งอยู่ตรงนี้ในปี 2009 แล้วจะไม่ใช่ของเรายังไง?”

ใครฟังก็รู้สึกว่า ฮุน เซนดูโกรธ ดูจริงจัง เหมือนกำลังจะทวงแผ่นดินคืน แต่พอเรามองให้ลึกลงไป…
สิ่งที่เขาทำ อาจไม่ใช่แค่ 'การปกป้องชายแดน' แต่มันคือ 'การปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองและครอบครัว' จากบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น...

ในประเทศกัมพูชา มีเรื่องหนึ่งที่พูดกันมานานแล้วแต่ยังไม่เคยเคลียร์ คือความใกล้ชิดของฮุน เซนกับ 'เวียดนาม' ย้อนกลับไปปี 1979 ฮุน เซนคือคนที่เวียดนาม 'เลือก' มาตั้งรัฐบาลหลังโค่นเขมรแดง นับแต่นั้นมา เขาก็มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับฮานอย
บางคนบอกว่า 'เวียดนามช่วยเรา' แต่บางคนกลับมองว่า 'เวียดนามครอบงำเรา'
และนั่นแหละ คือจุดอ่อนที่ฮุน เซนหนีไม่พ้น 

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่ในกัมพูชาก็เริ่มตั้งคำถาม
ทำไมเรายังยอมเวียดนามอยู่?
ทำไมรัฐบาลถึงลงนามแนวเขตที่อาจเสียเปรียบ?
ทำไมนักลงทุนเวียดนามได้สิทธิพิเศษเยอะกว่า?
คำถามพวกนี้แรงขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะในโซเชียลของกลุ่มเยาวชน นักศึกษา และ NGO

แล้วฮุน เซนตอบยังไง?
แทนที่จะตอบตรงๆ…
เขาหันหน้าไปยัง 'ชายแดน' แล้วพูดว่า
> “ไทยกำลังจะมายึดแผ่นดินเรา!”
จบเลยครับ
คนหันไปสนใจเรื่องภายนอก แทนที่จะตั้งคำถามกับเวียดนาม
เหมือนเวลามีคนถามเรื่องที่เราไม่อยากตอบ เราก็ชี้ไปทางอื่นแล้วพูดว่า
> “ดูนั่นสิ ไฟไหม้!”

พูดง่ายๆ คือ...
ฮุน เซนไม่ได้กลัวไทยรุกล้ำดินแดน
แต่เขากลัว 'คนในประเทศ' จะรุกล้ำความชอบธรรมของตระกูลตัวเอง

จบตอน
เหตุการณ์ที่ชายแดน คือหมากเบี่ยงประเด็น
คำพูดแข็งกร้าว คือกำแพงป้องกันศัตรูที่มองไม่เห็น
และในขณะที่โลกกำลังมองว่าไทย-กัมพูชาจะปะทะกันไหม?
ฮุน เซนกำลังชนะอยู่เงียบๆ บนกระดานภายในบ้านของเขาเอง

ผู้เขียน ‘Why Nations Fail’ มอง!! ผู้นำทหารในการเมือง ยกกรณี ‘เกาหลีใต้’ สร้างชาติได้เข้มแข็ง วางรากฐานมั่นคง

(1 มิ.ย. 68) หลังจากที่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือ Why Nation fail. ของ คุณ James A Robinson. ขอสรุปไว้ดังนี้ครับ

ข้าพเจ้ามองว่า " ผู้เขียน Why Nations Fail อาจเลือกเปรียบเทียบไทยกับเกาหลีใต้ เพราะต่างเคยเผชิญการล่าอาณานิคมในช่วงใกล้เคียงกัน ในหัวข้อของการนำทหารออกจากการเมืองนั้น การเปรียบเทียบต้องพิจารณาบริบทภายในที่แตกต่างกัน ไทยถูกทหารบางฝ่ายแทรกแซงตั้งแต่ ปี2475 แม้ในนามประชาธิปไตย แต่กลับกลายเป็นจุดด่างดำของประวัติศาสตร์ ขณะที่ทหารไทยเองในยุคสมัยต่อมาก็ทำให้บ้านเมืองเจริญงอกงามได้อย่างไม่มีที่ติ ดูสิแม้แต่ เกาหลีใต้ เริ่มจากผู้นำทหารหลังยุคสงครามแต่ก็สามารถวางรากฐานรัฐเข้มแข็งได้จริง ที่เราควรสนใจจริงๆคือเราจะสร้างระบบยุติธรรมที่จัดการคนโกงได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ ชาติล่มสลาย หรือเปล่า?

‘รัฐบาลฮุน มาเน็ต’ กำลังอยู่ในภาวะกดดันอย่างสูง ปชช. เริ่มตั้งคำถาม กัมพูชายังเป็นของคนกัมพูชาหรือไม่

(2 มิ.ย. 68) ว่าด้วยเรื่อง การเมืองกัมพูชา ....

ถ้าจะเล่าเรื่องนี้ให้เข้าใจง่าย ๆ ต้องบอกก่อนว่า ตอนนี้รัฐบาลฮุน มาเน็ตกำลังอยู่ในภาวะกดดันอย่างสูง เพราะถูกจับตามองว่าอาจจะสืบทอดนโยบายของฮุน เซน พ่อของเขา ที่ถูกวิจารณ์มาโดยตลอดว่ามีความใกล้ชิดและพึ่งพาเวียดนามมากเกินไป

1. การใช้แผนที่ของเวียดนามในการกำหนดเขตแดน
หนึ่งในประเด็นที่สร้างแรงกระเพื่อมในกัมพูชาอย่างเงียบเชียบ แต่รุนแรงในความรู้สึกของประชาชน คือการที่รัฐบาลเลือกใช้ “แผนที่ที่เวียดนามจัดทำขึ้น” ในการเจรจากำหนดแนวชายแดนแทนที่จะใช้แผนที่สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส ซึ่งเคยเป็นหลักฐานมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ
การเปลี่ยนแปลงเชิงเทคนิคนี้ กลับมีผลทางยุทธศาสตร์มหาศาล เพราะแผนที่เวียดนามมีแนวเขตที่ “รุกล้ำเข้ามา” ในฝั่งกัมพูชาหลายจุด โดยเฉพาะใน 4 จังหวัดทางภาคตะวันออก ได้แก่ รัตนคีรี, มณฑลคีรี, กระแจะ และสตึงเตรง — ซึ่งบังเอิญเป็นพื้นที่เดียวกับที่เกิด “ข่าวลือแรง” เมื่อกลางปี 2024 ว่า รัฐบาลที่นำโดยตระกูลฮุน ได้ “ยกพื้นที่เหล่านี้ให้เวียดนามโดยพฤตินัย”
แม้รัฐบาลจะไม่ได้ประกาศใด ๆ อย่างเป็นทางการ แต่การใช้แผนที่ฝ่ายตรงข้ามในการปักหมุดพรมแดน การปล่อยให้บริษัทเวียดนามเข้ามาถือครองที่ดินจำนวนมาก และการไม่เปิดเผยข้อมูลเจรจาแนวเขตแดน กลับทำให้ข่าวลือนี้ดู “ไม่เกินจริง” ในสายตาประชาชน
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานภาคประชาสังคมและ NGO หลายแห่งยังระบุว่า มีหมู่บ้านในเขตชายแดนที่ถูกเวียดนาม “วางหลักเขตทับ” โดยที่ชาวบ้านกัมพูชาไม่สามารถคัดค้านได้ เพราะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเองก็อ้างว่า “เป็นไปตามแผนที่รัฐ” ซึ่งไม่มีใครเคยเห็น

2. สัมปทานที่ดินขนาดใหญ่ให้กับบริษัทเวียดนาม
มีการให้สัมปทานที่ดินในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือกว่า 40,000 เฮกตาร์แก่บริษัทเวียดนาม เช่น HAGL ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพเวียดนามโดยตรง พื้นที่เหล่านี้ครอบคลุมป่าไม้ ที่ทำกิน และชุมชนของชนกลุ่มน้อยที่ถูกผลักออกไปจากถิ่นฐานเดิม

3. เขตเศรษฐกิจพิเศษที่เวียดนามได้ประโยชน์
การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ชายแดน เช่น เขต Bavet-Moc Bai กลายเป็นพื้นที่ที่ทุนจากเวียดนามเข้ามามีบทบาทสูง ทั้งในการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และการจ้างงาน ซึ่งแรงงานกัมพูชากลับได้ค่าจ้างต่ำ และไม่มีอำนาจการต่อรองในระบบ

4. การตั้งถิ่นฐานของชาวเวียดนามในลุ่มน้ำโตนเลสาบ
พื้นที่รอบโตนเลสาบมีชุมชนชาวเวียดนามเพิ่มมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บางพื้นที่กลายเป็นชุมชนใหญ่โดยไม่มีการกำกับดูแลจากรัฐอย่างชัดเจน เรื่องนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงด้านอัตลักษณ์ของประชาชนกัมพูชาในพื้นที่นั้น

5. การถอนตัวจาก CLV-DTA ยังไม่ลบข้อครหา
แม้รัฐบาลฮุน มาเน็ตจะประกาศถอนตัวจากความตกลงพัฒนาเขตเศรษฐกิจร่วมกับเวียดนามและลาว (CLV-DTA) ในปี 2024 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การทบทวนสัมปทาน การแก้ไขการถือครองที่ดิน หรือการกำหนดโครงสร้างภาษีให้ทุนต่างชาติ

6. คลองฟูนานเตโช: ทางเลือกใหม่หรือกับดักใหม่?
รัฐบาลเสนอสร้างคลองเชื่อมแม่น้ำโขงออกสู่อ่าวไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาท่าเรือเวียดนาม แต่นักวิเคราะห์บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า โครงการนี้อาจไปเพิ่มภาระหนี้ และขึ้นกับทุนจีนแทน โดยที่โครงสร้างการเจรจากับเวียดนามก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง

สม รังสี: ความเห็นต่อรัฐบาลฮุน เซน และฮุน มาเน็ต

สม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านในต่างแดน เคยให้ความเห็นอย่างต่อเนื่องว่ารัฐบาลภายใต้ฮุน เซนได้วางนโยบายที่ทำให้เวียดนามมีอิทธิพลต่อกัมพูชามากเกินไป เขาชี้ว่าการรับรองแผนที่ของเวียดนามคือ “การยอมจำนนทางดินแดน” และการให้สัมปทานที่ดินคือ “การล่าอาณานิคมในรูปแบบใหม่”

ในกรณีของฮุน มาเน็ต สม รังสีแสดงความไม่มั่นใจในความตั้งใจที่จะปฏิรูประบบ เขาระบุว่า การถอนตัวจากข้อตกลง CLV-DTA อาจเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะยังไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมต่อการคืนความเป็นเจ้าของประเทศให้กับประชาชน

สม รังสียังกล่าวว่า “การเปลี่ยนผู้นำแต่ไม่เปลี่ยนแนวทาง คือการคงอำนาจเก่าในรูปแบบใหม่” และ “เวียดนามไม่ต้องใช้ทหาร แต่ใช้ผู้นำของเราเป็นเครื่องมือได้หากเราไม่รู้เท่าทัน”

บทสรุป
นโยบายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับเวียดนามไม่ได้อยู่แค่ในระดับมิตรภาพระหว่างประเทศ แต่มันฝังลึกถึงระดับนโยบาย โครงสร้างเศรษฐกิจ และการถือครองที่ดิน

และแม้รัฐบาลใหม่ภายใต้ฮุน มาเน็ตจะพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ แต่ตราบใดที่ยังไม่ตอบคำถามเหล่านี้อย่างชัดเจน ข้อสงสัยของประชาชนก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม — ว่ากัมพูชายังเป็นของคนกัมพูชาหรือไม่?

ในท่ามกลางความสับสน ความเงียบ และความกลัวที่จะตั้งคำถาม มีเพียงไม่กี่เสียงที่ยังคงยืนหยัดพูดความจริง — สม รังสีคือหนึ่งในนั้น เขาคือผู้ที่รู้ทันเกมของรัฐบาลฮุน เซน และเห็นแนวโน้มล่วงหน้าว่านโยบายบางอย่างกำลังคุกคามอธิปไตยของประเทศอย่างเงียบงัน

แม้เขาจะอยู่ในต่างแดน แม้จะถูกปิดกั้นทางการเมือง แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้คือเครื่องมือแห่งการตื่นรู้ เพื่อให้ประชาชนกัมพูชารู้ทันอำนาจ และกล้าที่จะตั้งคำถามกับคนที่เคยอ้างว่าทำเพื่อชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top