Friday, 6 June 2025
ปราชญ์สามสี

ตุ๊กตาถักไหมพรม 2 ตัว จาก คุณยุ้ย 'ศิริลักษณ์ ใจชื่น' เจ้าหน้าที่กงสุลไทยประจำราชอาณาจักรภูฏาน สะท้อนความอบอุ่น สายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ระหว่างสองแผ่นดิน

(1 พ.ค. 68) ภาพตุ๊กตาถักไหมพรม 2 ตัวที่อยู่ในพระหัตถ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ตุ๊กตาคู่นี้ มาจาก คุณยุ้ย–ศิริลักษณ์ ใจชื่น เจ้าหน้าที่กงสุลไทยประจำราชอาณาจักรภูฏาน

คุณยุ้ยได้ตั้งใจนำมาติดเข็ม แล้วทูลเกล้าฯ ถวายเป็นของที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีในโอกาสการเสด็จเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยความภักดีและหัวใจไทยที่สะท้อนความอบอุ่นและสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างสองแผ่นดิน

เว็บไซต์นอร์เวย์ เปิดบันทึกพระราชหัตถเลขา ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเขียนถึง พระธิดา ทรงทำนายตั้งแต่ปี 1907 ไว้ว่า ‘ในอนาคตจะมีโทรศัพท์แบบพกพา ที่เล็กเท่านาฬิกาพก’

(1 พ.ค. 68) พอดีไปเจอบทความต่างประเทศฉบับหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ เป็นเรื่องราวจากเว็บไซต์นอร์เวย์ชื่อ Mykles.com ที่เล่าเหตุการณ์เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) และได้เสด็จถึงประเทศนอร์เวย์ ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นดินแดนแห่งเทคโนโลยีพลังน้ำที่ก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ว่ากันว่า พระองค์ทรงเดินทางไปยังเมืองโนโทดเดิน (Notodden) เพื่อศึกษาดูงานด้านไฟฟ้า และได้พบกับวิศวกรผู้มีชื่อเสียงคือ แซม ไอเด (Sam Eyde) ผู้ก่อตั้งบริษัท Norsk Hydro ซึ่งเป็นผู้ผลิตปุ๋ยจากไนโตรเจนด้วยกระแสไฟฟ้า

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ — ในบันทึกพระราชหัตถเลขาที่พระองค์ทรงเขียนถึงพระธิดา (เจ้าหญิงน้อย) ที่กรุงเทพฯ พระองค์ได้เล่าถึงบทสนทนาในค่ำคืนหนึ่งว่า:
> “คงไม่เกินเลยนักหากจะทำนายว่าในอนาคตจะมีโทรศัพท์แบบพกพาที่เล็กเท่านาฬิกาพก เมื่อคุณต้องการสนทนา เพียงพูดกับนาฬิกา แล้วแนบหูฟังเสียงจากอีกฝ่าย...”

หลายคนที่ได้อ่านตรงนี้อาจจะตกใจ เพราะนี่มันคือภาพของ 'สมาร์ตวอทช์' อย่างแท้จริง — แต่ถูกจินตนาการไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907!!

บทความนั้นเล่าอีกว่า พระองค์ทรงเสด็จแบบ 'in cognito' หรือไม่ได้เปิดเผยสถานะความเป็นพระมหากษัตริย์ ทำให้สามารถสังเกตสังคมนอร์เวย์ในเวลานั้นได้อย่างลึกซึ้ง — ทั้งความยากจน ความตั้งใจของผู้คน และความมุมานะในการพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์

นอกจากเรื่องโทรศัพท์พกพาแล้ว พระองค์ยังสนทนากับนักวิทยาศาสตร์นามว่า คริสเตียน บีร์เคอลันด์ (Kristian Birkeland) ถึงเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า ปืนไฟฟ้า การทำฝนเทียม และการสื่อสารแบบไร้สายด้วยพลังน้ำฟ้า — ซึ่งก็ล้ำยุคไม่แพ้กัน

บทความนี้ทำให้เรากลับมาทบทวนอีกครั้งว่า พระมหากษัตริย์ไทยในอดีต มิได้ทรงเป็นเพียง 'ผู้อุปถัมภ์' เท่านั้น หากยังทรงเป็น 'นักวิทยาศาสตร์' และ 'นักพยากรณ์เทคโนโลยี' ผู้เห็นไกลเกินยุคสมัย

ในวันที่พวกเราสวมสมาร์ตวอทช์ไว้ที่ข้อมือ และคุยโทรศัพท์ผ่านนาฬิกาได้จริง ๆ นั้น... ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่กษัตริย์ไทยเคยจินตนาการไว้เมื่อ 100 ปีก่อน

บทเรียนราคาแพง จากไฟดับ ในทวีปยุโรป ไม่มีแสง ไร้สัญญาณอินเทอร์เน็ต ‘วิทยุ’ ที่เคยถูกมองว่าล้าสมัย!! กลับกลายเป็น ‘สิ่งจำเป็นในยามวิกฤต’

(3 พ.ค. 68) ในค่ำคืนที่ไฟฟ้าทั้งระบบดับลงพร้อมกันทั่วกรุงมาดริดและหลายเมืองใหญ่ในสเปนและโปรตุเกส—ไม่มีแสง ไม่มีสัญญาณ ไม่มีอินเทอร์เน็ต—สิ่งที่กลับถูกถามหามากที่สุดไม่ใช่โทรศัพท์รุ่นใหม่ ไม่ใช่แท็บเล็ต แต่คือ วิทยุ

“ยังมีวิทยุเหลือไหม?” เป็นคำถามที่ร้านขายของชำเล็ก ๆ ในมาดริดได้ยินถี่ที่สุดในช่วงไฟดับ ผู้คนพากันต่อคิวถามหาไฟฉาย แบตเตอรี่ เทียนไข และวิทยุทรานซิสเตอร์ ราวกับย้อนเวลากลับไปในยุคก่อนสมาร์ตโฟน

เรเยส พาแตร์นา แม่ลูกสองที่กำลังพาลูกกลับบ้านบอกว่า “ไม่มีอะไรใช้ได้เลย โทรศัพท์ก็เงียบ เรายังมีของใช้เด็กนิดหน่อย แต่ไม่รู้จะหาข่าวจากไหน เรามีเตาแคมป์ก็จริง แต่ไม่แน่ใจว่ากระป๋องแก๊สจะยังเหลือไหม”

บนถนนสายหนึ่งในย่านชุมชน คนขับรถจอดรถ เปิดกระจกรถ แล้วเปิดวิทยุดัง ๆ ให้คนอื่นมารวมตัวฟังข่าวด้วยกัน บางคนเอาเก้าอี้มานั่งฟัง สร้าง 'ชุมชนคลื่นเสียง' ขึ้นท่ามกลางความมืดมิด

มาเรีย รามิเรซ นักข่าวจาก elDiario.es ซึ่งรายงานเหตุการณ์นี้ กล่าวว่า “สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดไม่ใช่แค่การฟื้นฟูไฟฟ้าใน 12 ชั่วโมง แต่คือความสงบและสามัญสำนึกของประชาชน—กับวิทยุเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่ออีกครั้ง”

แต่ไม่ใช่ทุกคนจะอยู่ในภาวะสงบนิ่งเช่นนั้น แท็กซี่ตะโกนว่า “รับเฉพาะเงินสด!” และมีคนบางกลุ่มแซงคิวหญิงตั้งครรภ์ขึ้นรถ บ่งชี้ว่าเมื่อระบบล่ม ความเป็นระเบียบก็อาจล่มสลายตาม

มานูเอล ปาสเตอร์ วัย 72 ปี ส่ายหัวพลางลากรถเข็นใส่อาหารกระป๋องกลับบ้าน “เราหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาภายในวันสองวัน ถ้าเกินกว่านั้นคนจะเริ่มตื่นตระหนก แล้วจะเกิดเรื่องเหมือนตอนโควิดอีก”

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำข้อเท็จจริงอันเจ็บปวดว่า แม้ในโลกที่ก้าวหน้าที่สุด หากไร้ไฟฟ้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทุกสิ่งอาจหยุดชะงัก และสิ่งที่คนเคยหัวเราะเยาะว่า "ล้าสมัย" อย่างวิทยุ กลับกลายเป็นของมีค่าเหนือเทคโนโลยีใด ๆ

มันไม่ใช่แค่เครื่องส่งสัญญาณเสียง แต่มันคือสื่อกลางของความหวัง ความมั่นใจ และการเชื่อมโยงมนุษย์ในยามที่โลกดิจิทัลพังลง

ถึงเวลาหรือยังที่เราจะกลับไปมองสิ่งพื้นฐานด้วยความเคารพ ไม่ใช่เหยียดว่า “เชย”

เพราะในวันที่โลกไร้แสง สิ่งเดียวที่อาจยังพาเรากลับมาหากันได้ คือเสียงจากวิทยุเครื่องเก่า

BRN แถลงเสียใจ!! แต่ความรุนแรงยังต่อเนื่องสวนทางกับคำขอโทษ กลบไม่มิดความจริง…เมื่อคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ ถูกใช้เพื่อแลกกับชีวิตเด็ก พระ และครู

(6 พ.ค. 68) จากโพสต์ล่าสุดของเพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี ถึงเรื่อง “คำขอโทษที่ลอยอยู่เหนือซากศพ: ความจริงที่สวนทางกับคำแถลงของ BRN”

แม้ BRN หรือแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี จะออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พร้อมยืนยันว่า “ไม่มีนโยบายโจมตีพลเรือน” และอ้างว่ายึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชายแดนใต้กลับตอกย้ำความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้—ว่าพลเรือนตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่องจากการกระทำที่มีลักษณะเป็นการมุ่งเป้าโดยตรงจากกลุ่มติดอาวุธที่อ้างชื่อ BRN เอง

ในเดือนเมษายน 2568 กลุ่มติดอาวุธได้ยิงถล่มรถที่พระภิกษุและสามเณรใช้บิณฑบาตในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ส่งผลให้สามเณรอายุ 16 ปีเสียชีวิต และเด็กชายวัย 12 ปีได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าการออกแถลงการณ์ และไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่ชีวิตของเยาวชนต้องดับสูญเพียงเพราะความรุนแรงที่กลุ่มติดอาวุธอ้างว่า “ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี”

ย้อนไปเมื่อปี 2560 ห้างบิ๊กซีในจังหวัดปัตตานีถูกโจมตีด้วยระเบิดสองลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 56 ราย รวมถึงเด็กเล็ก ขณะที่ปี 2562 จุดตรวจในจังหวัดยะลาถูกลอบโจมตีด้วยอาวุธสงคราม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครเสียชีวิตถึง 15 ราย—ล้วนเป็นบุคคลไร้อาวุธ ผู้ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่น

ยิ่งไปกว่านั้น สถิติการสังหารครูในพื้นที่ภาคใต้ระหว่างปี 2547–2556 ระบุว่าครูอย่างน้อย 157 รายถูกสังหาร ไม่ใช่เพราะมีบทบาททางทหาร แต่เพียงเพราะทำหน้าที่ให้ความรู้เด็กๆ ในพื้นที่ที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือมีรายงานว่าเด็กอายุ 14 ปีขึ้นไปถูกกลุ่มติดอาวุธเกณฑ์เข้าฝึกและใช้เป็นผู้สอดแนม นั่นย่อมขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวอ้างเรื่อง “สิทธิมนุษยชน”

ในบริบทนี้ การที่ BRN ออกแถลงการณ์เสียใจภายหลังการสังหารเด็ก คนชรา หรือพระสงฆ์ แทนที่จะกล่าวถึงความรับผิดชอบหรือแสดงเจตจำนงที่จะยุติการใช้ความรุนแรง กลับยิ่งทำให้แถลงการณ์กลายเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่ไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมแต่อย่างใด

เพราะการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีนั้น ต้องไม่แลกมาด้วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ และไม่ควรมีเด็กคนใดต้องโตมากับเสียงปืนเพื่อให้ใครบางคน “ได้สิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง”

หากการต่อสู้ของ BRN ยังคงดำเนินไปด้วยแนวทางเดิม แถลงการณ์ใดๆ ที่ตามมาจะเป็นเพียงฉากหน้าของการใช้กำลังที่ไร้ความชอบธรรม และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากสังคมไทยหรือประชาคมโลกได้อย่างแท้จริง

‘NailName’ ขอโทษ!! ‘สนธิ’ กรณีจุดเริ่มต้น สงครามเหลืองแดง หลังออก!! คลิป YouTube บิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่ตรวจสอบ

(17 พ.ค. 68) รายการ 'แฮชแท็ก' จากช่อง YouTube NailName ออกมาแสดงความรับผิดชอบและกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการต่อ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล หลังจากที่คลิปวิดีโอตอน '#สนธิ vs ทักษิณ: ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง' ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์

คลิปดังกล่าวพยายามอธิบายเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต โดยมีเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง

ในคลิปขอโทษล่าสุด เนม – รติศา วิเชียรพิทยา ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวยอมรับความผิดพลาดในการนำเสนอข้อมูลและขอโทษต่อ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการเผยแพร่ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของรายการและเคารพต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในคลิปนั้นมีใจความว่า …

"ตามที่ข้าพเจ้า เนม รติศา วิเชียรพิทยา หรือ nailname เผยแพร่คลิปวิดีโอ ชื่อหัวข้อ #สนธิ vs ทักษิณ ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เผยแพร่ใน YouTube ช่อง NailName ซึ่งเนื้อหาในคลิปวิดีโอดังกล่าว ข้าพเจ้าขอยอมรับว่าไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานหรือข่าวใด ๆ ที่ยืนยันได้ว่า คุณสนธิไปยืมเงินคุณทักษิณ โดยปรากฏข่าวว่าคุณสนธิปฏิเสธว่าไม่ใช่เพื่อนรักกับคุณทักษิณ และมีบุคคลอื่น เคยขอโทษคุณสนธิเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังที่ปรากฏข้อมูลไว้ในคลิปวิดีโอดังกล่าว โดยเนื้อหาในคลิปวิดีโอ ทำให้คุณสนธิได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียง ข้าพเจ้ารับทราบแล้วจึงขออภัยและขอโทษมาด้วยความจริงใจ ต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และขอบคุณคุณสนธิยินดีที่จะไกล่เกลี่ยและไม่เอาความ มา ณ โอกาสนี้"

เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงบทเรียนสำคัญในวงการสื่อออนไลน์ ที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบุคคลและองค์กรได้อย่างมาก

อย่าให้แผ่นดินนี้กลายเป็นยูเครนหรือไต้หวัน บทเรียนจากสงครามและการต่อรองที่ต้องจดจำ

(19 พ.ค. 68) ช่วงนี้โลกเรามันก็วุ่นวายเหลือเกินนะ แค่เปิดทีวีหรือเข้าโซเชียลก็เจอแต่ข่าวสงคราม ความขัดแย้ง และความสูญเสีย ดูอย่างยูเครนสิ เมื่อก่อนก็เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ชีวิตผู้คนถูกทำลาย ทรัพย์สินโดนยึดไปอย่างน่าสลดใจ

เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกมาพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “สหรัฐฯ และยุโรปเก็บเกี่ยวยูเครนมาเป็นเวลาสามปี เหมือนกับต้นหอม” คำพูดนี้มันสะท้อนถึงความจริงที่โหดร้ายสุด ๆ ที่ยูเครนต้องเผชิญ ถูกใช้เหมือนเครื่องมือ พอหมดประโยชน์ก็ถูกทิ้งแบบไม่ใยดี

ตอนนี้คนยูเครนต้องเดินเท้า 5 กิโลเมตรเพื่อหาน้ำดื่ม ในเมืองคาร์คิฟ โรงไฟฟ้าถูกทำลายไป 65% เหลือแต่ซาก กองทัพก็กลายเป็นทาสหนี้ให้กับพ่อค้าอาวุธจากสหรัฐฯ คนละ 150,000 ดอลลาร์ นี่มันราคาของ ‘พันธมิตร’ หรือ ‘ทาสยุคใหม่’ กันแน่?

ที่เจ็บแสบที่สุดคือ ข้อตกลงแร่ธาตุที่สหรัฐฯ ผลักดันให้ยูเครนเปิดพื้นที่เหมืองแร่หายาก 18 แห่ง เพื่อแลกกับการล้างหนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่คิดช่วยเหลือทางทหารสักเหรียญเดียว! คือแบบนี้มันแฟร์เหรอ? เหมือนมัดมือชกกันชัด ๆ

ที่สหภาพยุโรปก็ไม่ต่างกันเลย พวกเขาจัดให้ “ปัญหาความมั่นคงของยูเครน” อยู่อันดับที่ 27 ในการประชุมที่บรัสเซลส์ รองจากการปรับปรุงอาหารกลางวันในโรงเรียน! ชีวิตคนทั้งชาติ โดนจัดให้อยู่ท้ายแถวในวาระการประชุม แบบนี้มันไม่ใช่แค่โดนทิ้งนะ แต่มันคือการโดนหักหลัง!

คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า” คำพูดนี้มันเหมือนพยากรณ์ถึงชะตากรรมของไต้หวันเลยนะ

ไต้หวันเองก็เหมือนกับยูเครนในหลายแง่มุม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไต้หวันกลายเป็นสนามประลองของอำนาจมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือสหรัฐฯ แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ ในขณะที่ไต้หวันทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไปกับการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ กลับไม่มีสิ่งใดกลับมานอกจากหนี้สินและคำสัญญาที่ว่างเปล่า

ก่อนที่สงครามในช่องแคบไต้หวันจะปะทุขึ้น สหรัฐฯ ได้ยึดเอา TSMC บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของไต้หวันไปใช้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ต่างจากที่เขาเคยทำกับแหล่งแร่ธาตุของยูเครน และตอนนี้ไต้หวันก็ต้องแบกรับหนี้สินจากการซื้ออาวุธในระดับที่หนักหน่วง โดยที่นักการเมืองในไต้หวันก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับสภาพ

แย่กว่านั้น ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันยังต้องเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเข้าพบและขอการยอมรับ ไม่ต่างจากการ ‘แสวงบุญ’ ที่ต้องผ่านการสัมภาษณ์และการพิจารณาจากผู้นำต่างชาติอย่างน่าหดหู่ เหมือนกับว่าอนาคตของประเทศไม่ได้อยู่ในมือประชาชนตัวเอง แต่อยู่ในมือของมหาอำนาจที่อยู่อีกซีกโลก

คนไทยเราเห็นแล้วก็ต้องคิดบ้าง อย่าให้ใครมายุยงปลุกปั่นให้เราแตกแยก อย่าให้ใครเอาผลประโยชน์หรืออำนาจมาล่อลวง เราต้องรักและหวงแหนแผ่นดินของเราเอง อย่าให้แผ่นดินนี้ต้องกลายเป็น ‘ยูเครนเวอร์ชั่น 2’ หรือ ‘ไต้หวันเวอร์ชั่น 2’ เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่จ่ายราคาแพงที่สุด ก็คือพวกเราคนไทยเอง

ประเทศไทย... พึงตระหนัก!

‘ปราชญ์ สามสี’ ผู้เขียนบท ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิบัติ’ ย้ำชัด ขอยืนหยัดตีแผ่ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ด้วยข้อเท็จจริง หวังคนรุ่นหลังได้ตื่นรู้

(20 พ.ค. 68) ณ วันที่ ข้าพเจ้านั่งลงเขียนเกี่ยวกับหนังสือและภาพยนตร์ '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ใช่แค่การเขียนคำนำธรรมดา ๆ หากแต่เป็นการถ่ายทอดข้อเท็จจริงที่ต้องการฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลัง ผู้ที่เฝ้ามองและตั้งคำถามกับอดีตและอนาคตของสังคม

ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาและลงมือเขียนบท ข้าพเจ้าได้ค้นพบว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนที่ทิ้งร่องรอยไว้ให้เราได้หยิบขึ้นมาเรียนรู้และทบทวนในทุกยุคสมัย สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริงเพราะ ความจริงมันปรากฎอยู่บนหนังสือมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่อยู่ที่การยอมรับและการไม่ปล่อยให้อคติและโทสะบดบังสายตาแห่งความจริง

การเขียนหนังสือเล่มนี้ เหมือนกับการยืนหยัดในท่ามกลางพายุแห่งการบิดเบือนและการตั้งคำถาม ซึ่ง ข้าพเจ้าได้รับทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ การกดดัน และคำท้าทายจากผู้ที่ไม่ต้องการให้ความจริงถูกเปิดเผย แต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือแรงผลักดันที่ทำให้เรายืนหยัดมั่นคงยิ่งขึ้น

ในท้ายที่สุดแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการเขียนครั้งนี้คือการประกาศถึงสัจธรรมอันเป็นนิรันดร์ว่า 'ความจริง แม้จะขมขื่น แต่มันก็ยังคงเป็นความจริง' ดังที่ เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ 'ไม่มีใครถูกเกลียดมากไปกว่าผู้ที่พูดความจริง' และในวันนี้ ข้าพเจ้ายังคงยืนหยัดในคำพูดนั้นเช่นเดิม

ท้ายนี้ ข้าพเจ้าอยากฝากถึงผู้อ่านทุกคนว่า จงอย่าเพียงแค่จ้องมองอดีตผ่านกระจกขุ่นมัว แต่จงหยิบยกบทเรียนจากประวัติศาสตร์มาเป็นคบไฟส่องทางในปัจจุบันและอนาคต หากท่านสนใจและต้องการสนับสนุน สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ 2475 Animation หรือหาซื้อหนังสือและสื่ออื่น ๆ ได้ที่ Shopee โดยจะมีลิงก์ให้นะครับ
https://www.facebook.com/share/1AKLpE3mrB/
https://th.shp.ee/nyAER28

รัสเซียเดือด! ตะเพิด ‘แอมเนสตี้’ พ้นแผ่นดิน ชี้เป็นหอกข้างแคร่ของรัฐและความมั่นคง

(21 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี รายงานว่า รัสเซียประกาศลั่นกลางแดนหมีขาว สั่งแบน 'แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล' ให้พ้นแผ่นดิน! ระบุชัดเป็น 'องค์กรไม่พึงปรารถนา' พร้อมห้ามตั้งสำนักงานหรือขยับเขยื้อนทำกิจกรรมใด ๆ ในประเทศโดยเด็ดขาด!

กระทรวงยุติธรรมรัสเซียเผยแบบไม่ไว้หน้า ว่าแอมเนสตี้ไม่ได้มาเพื่อสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว แต่แอบแฝงเจตนา 'ปั่นป่วน-ยั่วยุ' สนับสนุนยูเครนในสงคราม พร้อมกล่าวหาแรงถึงขั้นว่าเป็น 'เครื่องมือของฝ่ายนีโอนาซี' ที่ตั้งใจซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้าย

ไม่ใช่แค่ห้ามอยู่ห้ามทำงานเท่านั้น แต่คนรัสเซียคนไหนเกี่ยวข้องกับองค์กรนี้ก็เสี่ยงคุกสูงสุดถึง 5 ปี กลายเป็นการปิดฉากเสียงสะท้อนด้านสิทธิมนุษยชนแบบสิ้นเชิง!

แม้แอมเนสตี้จะเป็นองค์กรเก่าแก่ระดับโลก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1961 และเคยรณรงค์เพื่อสิทธิของผู้ถูกกดขี่ทั่วโลก แต่ในสายตารัสเซียวันนี้กลับถูกมองเป็น 'ภัยคุกคามความมั่นคง'

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัสเซียใช้ไม้แข็ง ก่อนหน้านี้ก็เคยซัด 'WWF' ให้เป็น 'ตัวแทนต่างชาติ' และถีบ 'Greenpeace' ออกจากประเทศไปแล้ว คราวนี้ถึงคิวแอมเนสตี้ที่โดนเล่นแรงกว่าทุกองค์กร!

โลกกำลังจับตามองว่า มาตรการเด็ดขาดนี้จะพารัสเซียห่างไกลจากความเข้าใจของประชาคมโลกไปอีกไกลแค่ไหน หรืออาจเป็นเพียงบทเริ่มต้นของการปิดปากสังคมให้เงียบกริบอย่างถาวร

‘อังกฤษ’ หั่นสัมพันธ์การค้า ตอบโต้ปฏิบัติการกาซา คว่ำบาตรผู้นำนิคมเวสต์แบงก์–เรียกทูตอิสราเอลพบด่วน

(21 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี โพสต์ข้อความว่า…อังกฤษฟาดแรง! ระงับเจรจาการค้าอิสราเอล-คว่ำบาตรผู้นำตั้งถิ่นฐาน ตอบโต้ความโหดร้ายในกาซา

รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศระงับการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับอิสราเอล พร้อมเรียกเอกอัครราชทูตอิสราเอลเข้าพบ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการปฏิบัติการทางทหารที่รุนแรงในฉนวนกาซา และการปิดกั้นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ยืดเยื้อกว่า 11 สัปดาห์

นายเดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศของสหราชอาณาจักร กล่าวในรัฐสภาว่า การกระทำของรัฐบาลอิสราเอลในกาซาและเวสต์แบงก์นั้น 'ไม่สามารถยอมรับได้' และ 'ขัดต่อค่านิยมของประชาชนชาวอังกฤษ'

พร้อมกันนี้ สหราชอาณาจักรได้ประกาศคว่ำบาตรบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลในเวสต์แบงก์ รวมถึงอดีตนายกเทศมนตรีของนิคม Kedumim และองค์กรที่สนับสนุนการตั้งถิ่นฐานใหม่ในพื้นที่พิพาท

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวเสริมว่า "ระดับความทุกข์ทรมานของเด็กๆ ในกาซานั้นไม่สามารถยอมรับได้" และเรียกร้องให้มีการหยุดยิงทันที รวมถึงการเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่พื้นที่

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลตอบโต้โดยระบุว่า "แรงกดดันจากภายนอกจะไม่ทำให้อิสราเอลเปลี่ยนเส้นทางในการต่อสู้เพื่อดำรงอยู่และความมั่นคงของตนจากศัตรูที่พยายามทำลายล้าง"

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรและอิสราเอล ท่ามกลางวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่รุนแรงในฉนวนกาซา

‘ปราชญ์ สามสี’ โต้ ‘เจมส์ โรบินสัน’ ชี้ชัด ‘กองทัพไทย’ คือผู้ร่วมพิทักษ์ชะตากรรมของชาติ ในห้วงวิกฤต มิเพียง “เข้าแทรกแซง” หากแต่พยายาม “แสวงหาความมั่นคง” เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ

ในการวิเคราะห์ของ ศ.เจมส์ เอ. โรบินสัน นักเศรษฐศาสตร์ผู้ร่วมเขียน Why Nations Fail กองทัพไทยถูกมองว่าเป็นกลไกหนึ่งที่ขัดขวางการพัฒนาทางประชาธิปไตย อันเป็นหนึ่งในลักษณะของ 'สถาบันแบบแสวงหาผลประโยชน์' หรือ extractive institutions ทว่า มุมมองเช่นนี้แม้จะมีจุดยืนในทางทฤษฎี แต่เมื่อมองจากรากฐานทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมการเมืองของไทย กลับอาจไม่สะท้อนภาพความจริงในบริบทไทยอย่างถูกต้องครบถ้วน

รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยคือรัฐที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม ...จุดนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้โครงสร้างอำนาจของไทยแตกต่างจากประเทศอื่นในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ลาว อินโดนีเซีย หรือแม้แต่เกาหลีใต้ — ประเทศเหล่านั้นล้วนเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติตะวันตกหรือมหาอำนาจต่างชาติ ทำให้การจัดวางบทบาทของกองทัพในภายหลัง ถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบของ 'พลเรือนเป็นใหญ่' เพื่อลดปัจจัยที่เคยนำไปสู่การล่าอาณานิคม

ในทางตรงกันข้าม กองทัพไทยไม่ได้ถูกสถาปนาเพื่อรับใช้กลุ่มชนชั้นนำ หรือรัฐอาณานิคม หากแต่เป็นผลผลิตของการปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติด้วยมือของคนไทยเอง กองทัพไม่ได้ถูกสร้างเพื่อ 'ควบคุมประชาชน' หากแต่ถูกหล่อหลอมในฐานะ 'ผู้ร่วมหุ้นชะตากรรมของแผ่นดิน' ที่ร่วมผ่านศึก ผ่านภาวะเปลี่ยนแปลง และพิทักษ์มาตุภูมิมาโดยตลอด

กรณีของเกาหลีใต้ ยิ่งตอกย้ำความต่างนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เกาหลีเคยตกเป็นประเทศราชของจีนในช่วงราชวงศ์โชซอน ก่อนจะถูกญี่ปุ่นผนวกเป็นอาณานิคมเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 1910 ถึง 1945 กว่า 35 ปีของการสูญเสียอธิปไตยและการล้มล้างโครงสร้างทางสังคม ทำให้เกาหลีหลังสงครามโลกจำเป็นต้องรับ 'รัฐที่สร้างใหม่' จากอิทธิพลของสหรัฐฯ ในฝั่งใต้ และโซเวียตในฝั่งเหนือ ความเป็นอิสระของรัฐเกาหลีใต้จึงถือกำเนิดใหม่บนฐานของสงครามเย็นและการแทรกแซงของอภิมหาอำนาจ ซึ่งต่างจากไทยที่รักษาเอกราชไว้ได้ด้วยตนเอง

ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกัน กองทัพเกาหลีใต้ไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับการเป็น “เจ้าของบ้าน” เช่นเดียวกับกองทัพไทย หากแต่เป็น “ลูกหลานของระบบรัฐที่ถูกออกแบบใหม่หลังอาณานิคม” กรอบความชอบธรรมของกองทัพทั้งสองชาติจึงไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

การวิเคราะห์บทบาทกองทัพในฐานะ 'อุปสรรคต่อประชาธิปไตย' จึงอาจไม่ครอบคลุมความจริงทั้งหมดในบริบทไทย เพราะในช่วงเวลาวิกฤต — ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 วิกฤตการณ์คอมมิวนิสต์ หรือวิกฤตการเมืองปี 2535, 2553 หรือ 2557 — กองทัพมิได้เพียง 'เข้าแทรกแซง' หากแต่พยายาม 'แสวงหาความมั่นคง' เพื่อรักษาอธิปไตย เสถียรภาพ และความเป็นราชอาณาจักรที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ในทางหลักการ รัฐธรรมนูญไทยไม่เคยให้อำนาจเบ็ดเสร็จแก่กองทัพ แต่กองทัพก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ที่จะยืนเคียงข้างชาติยามเผชิญวิกฤต ความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์นี้ก่อให้เกิดความเข้าใจเฉพาะของสังคมไทยว่า 'ทหารคือส่วนหนึ่งของชาติ' 

กองทัพไทยไม่ได้เกิดจากกลไกของรัฐอาณานิคมหรือสงครามเย็น แต่เกิดจากประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง และสืบสานแนวคิดของรัฐที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางมาโดยตลอด กองทัพจึงไม่เคยอยู่ในสถานะ 'ผู้รับคำสั่งจากต่างชาติ' หากแต่คือ 'ผู้ร่วมหุ้นชะตากรรม' ในการรักษาเอกราช รัฐธรรมนูญ และความเป็นราชอาณาจักรไทย

เมื่อเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากภายนอกหรือความขัดแย้งภายใน กองทัพไทยจึงมักจะมีบทบาทเป็น 'ผู้กำหนดทางออก' — ไม่ใช่ในฐานะผู้ถืออำนาจถาวร แต่ในฐานะผู้รักษาเสถียรภาพของบ้านเมือง และรักษาระบบราชอาณาจักรภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

การเปรียบเทียบบทบาทกองทัพไทยกับกองทัพในประเทศที่มีประวัติศาสตร์การสูญเสียอธิปไตยจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เพราะเมื่อรากเหง้าการเกิดรัฐแตกต่างกัน ย่อมไม่อาจวัดผลได้ด้วยมาตรวัดชุดเดียวกัน

ทั้งนี้ ศ.เจมส์ เอ. โรบินสัน ผู้ร่วมเขียนหนังสือ Why Nations Fail และผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2024 ให้สัมภาษณ์กับทาง BBC Thai โดยชี้ว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เกาหลีใต้ ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศร่ำรวยได้ ทั้งที่ในอดีตเคยอยู่ในระดับการพัฒนาที่ใกล้กับไทย เนื่องจากเกาหลีใต้สามารถเปลี่ยนผ่านให้กองทัพออกจากการเมือง และสร้างสังคมที่ครอบคลุมและเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาได้ในที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top