Friday, 13 June 2025
ก้าวไกล

‘พิธา’ ให้สัมภาษณ์ CNN อ้างต้องแก้ 112  เพื่อรักษาสถาบันฯ ตามมาตรฐานสากล

‘พิธา’ ให้สัมภาษณ์ CNN เชื่อมั่นรัฐบาลประชาธิปไตยจัดตั้งได้ ย้ำ การแก้ไขมาตรา 112 เพื่อรักษาสถาบันให้คงอยู่ในสังคมไทย แต่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์คลิปสัมภาษณ์สด กับ Christiane Amanpour ผู้สื่อข่าวและหัวหน้าข่าวต่างประเทศ สำนักข่าว CNN ในอินสตาแกรม pita.ig ความยาว 10 นาที ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ นอกจากการกล่าวถึงการออกชุมนุมประท้วงของประชาชน หลังยังไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เป็นการออกมาแสดงจุดยืนที่ต้องการรัฐบาลประชาธิปไตยแล้ว ยังเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจัดตั้งได้ ส่วนประเด็นแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งกลายเป็นเงื่อนไขที่หลายพรรคการเมืองไม่ต้องการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล และอาจทำให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน หากไม่ลดเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาล โดยนายพิธา ยืนยัน การแก้ไขมาตรา 112 เพราะอยากให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่สังคมไทย เป็นไปตามมาตรฐานสากล 

คลิปสัมภาษณ์ :
https://www.instagram.com/reel/CvIV52_MtFr/?igshid=MzRlODBiNWFlZA== 

‘ก้าวไกล’ เปิดคำร้องสู้ข้อกล่าวหา ‘ล้มล้างการปกครอง’  พร้อมเคลียร์ต่อศาล รธน. ภายใน 27 ส.ค. ปมแก้ 112

จากกรณี ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่

(26 ก.ค. 66) เฟซบุ๊กเพจ ‘พรรคก้าวไกล’ ได้โพสต์ข้อความชี้แจงกรณีดังกล่าว ระบุว่า เปิดคำร้องแบบเต็ม พรรคก้าวไกลถูกกล่าวหา ‘ล้มล้างการปกครอง’ เพราะเสนอแก้ 112

‘แก้ไขไม่ใช่ล้มล้าง’ ประโยคนี้กำลังถูกท้าทายจากบรรทัดฐานทางกฎหมายแบบไทย ๆ อีกครั้ง เมื่อพรรคก้าวไกลถูกยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในข้อหาล้มล้างการปกครอง โดยคำร้องมีความยาวเกือบ 20 หน้า บรรยายมาอย่างละเอียดโดยอ้างถึงพฤติกรรมที่ว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้แก่ การที่หัวหน้าพรรค และ สส. ของพรรคก้าวไกล มีจุดยืนและการแสดงออกต่อสาธารณะในการเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

คำร้องนี้ยกความคิดเห็นและการตีความพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล จากบุคคลหลากหลายที่เราคุ้นหน้าคุ้นตา คุ้นจุดยืนกันดี เช่น แก้วสรร อติโพธิ, สนธิ ลิ้มทองกุล, สมเกียรติ อ่อนวิมล รวมถึงมีการยกคำให้สัมภาษณ์ที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้กับสำนักข่าวบีบีซี โดยมีการตัดทอนบทสัมภาษณ์ คัดเอาเฉพาะบางประโยคบางท่อนมาต่อกันเพื่อให้ดูสมกับข้อหาล้มล้างการปกครองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

คดีนี้เดิมพรรคก้าวไกลจะต้องยื่นคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ แต่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการยื่นคำชี้แจงอีก 30 วันเป็นวันที่ 27 สิงหาคม 2566

พรรคก้าวไกลยืนยันว่า เราสามารถชี้แจงทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหาได้อย่างมั่นใจ โดยยึดหลักการว่าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นสิ่งที่กระทำมาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และจะต้องทำได้ต่อไป

เราเชื่อว่าการแก้ไขมาตรา 112 เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้ไม่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง ในทางตรงกันข้าม จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้อย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต

8 ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ 

หลังจากประเทศไทยเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เมื่อปี 2475 ก็ได้จัดการเลือกตั้งมาแล้วทั้งหมด 27 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 ซึ่งพรรคการเมืองที่ได้คะแนนมากเป็นอันดับ 1 ได้แก่พรรคก้าวไกล ได้ สส.ไปทั้งหมด 151 ที่นั่ง เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่สามารถรวมเสียงในสภาฯ ได้เกินกึ่งหนึ่ง ทำให้จัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ จึงต้องส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีคะแนนมากเป็นอันดับที่ 2

เหตุการณ์อย่างที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ประสบพบเจอ ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของไทย แต่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว 7 ครั้ง

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 8 ครั้งประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของไทย ที่แม้ ‘ชนะ’ แต่ ‘ไม่ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ’ จะมีปีไหนบ้าง? ด้วยเหตุผลอะไร? มาดูกัน!!

‘ทนายบอน’ แนะ ‘ก้าวไกล’ ทดลองไม่เอาผิดคนด่าทอ ถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาท หากทำได้ ค่อยคิดแก้ ม. 112

(27 ก.ค. 66) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ ‘ทนายบอน’ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กในประเด็นเกี่ยวกับพรรคก้าวไกล จะแก้มาตรา 112 ระบุว่า…

ถ้าก้าวไกลอยากแก้ 112 ให้ติชมสถาบันได้สะดวกขึ้น ให้ทดลองเริ่มที่ตัวเองก่อนไหม

ถ้าแก้มาตรา 112 ให้คนด่าสถาบันได้รับโทษแบบเบาหวิว และนิรโทษกรรมนักโทษหรือผู้ต้องหาที่ด่าสถาบันได้จำนวนมาก จะช่วยรักษาสถาบันได้จริง ตามที่พวกชอบพูดกัน

ผมขอให้ก้าวไกล คุณ ๆ ทั้งหลาย พิธา ธนาธร ปิยบุตร โรม ช่อ วิโรจน์ และใครต่อใครในพรรคที่ชอบพูดแบบนั้น ช่วยลองถอนฟ้อง ถอนแจ้งความคดีหมิ่นประมาท คดีดูหมิ่น ที่คุณเป็นเจ้าทุกข์ ทุกคดี (ถ้ามี) เพื่อส่งเสริมเสรีภาพ…ดีไหม

และขอให้คุณช่วยประกาศนิรโทษกรรมให้ทุกคนล่วงหน้าเลยว่า ต่อจากนี้ไป ใครจะด่าจะติชมคุณอย่างไรก็ได้ ไม่เอาเรื่อง ไม่แจ้งความ ไม่ฟ้องอาญา เพื่อที่จะให้คนช่วยกันกระหน่ำติชม แบบที่คุณหวังว่าจะเกิดกับสถาบัน เพื่อส่งเสริมเสรีภาพ และเพื่อที่จะได้ให้คำติชมนั้นช่วยรักษาสถาบันพรรคก้าวไกลเอาไว้ให้อยู่กับสังคมได้อย่างยาวนาน ไม่เสื่อมสลาย ... ดีไหม

ทดลองใช้ดูกับพวกคุณก่อนนะ ช่วยทำให้เป็นตัวอย่างที

แต่ถ้าคุณยืนยันจะแก้ 112 ต่อไป ส่งเสริมให้ด่าสถาบันได้สะดวกขึ้น เอาผิดยากขึ้น แถมโทษเบาหวิว แต่พอถึงคราวพวกคุณก็ฟ้องคนอื่นที่วิพากษ์วิจารณ์คุณอยู่แบบนี้…แบบนั้นมันก็ไม่ใช่มั๊ง    

‘วิโรจน์’ ถาม จะมีใครยอมสิ้นหวังอีก 4 ปีกับ รัฐบาล 3 ป.

(27 ก.ค. 66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ระบุว่า...

[อย่าหลอกลวงประชาชนว่ารัฐบาลรักษาการทำงานไม่ได้ เพื่อหวังสลับขั้วตั้งรัฐบาล 3 ป]

ตอนนี้มีบางคนชอบออกมาพูดหลอกประชาชนว่า รัฐบาลรักษาการทำงานไม่ได้ เราเสียเวลารอการจัดตั้งรัฐบาลแห่งความหวัง 8 พรรคร่วมไม่ได้ เพื่อขู่ให้ประชาชนกลัว และยอมรับชะตากรรม ยอมให้เกิดการสลับขั้วจัดตั้งรัฐบาล 3 ป ให้มาผูกขาดกินรวบประเทศต่อไป

ผมถามตรง ๆ เลยครับว่า ระหว่างได้รัฐบาล 3 ป แล้วต้องสิ้นหวังต่อไปอีก 4 ปี กับรอเต็มที่ไม่เกิน 10 เดือน แล้วจะได้รัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน มีใครยอมสิ้นหวังไปอีก 4 ปีด้วยหรือครับ

ระหว่างที่รอ บ้านเมืองก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะสุญญากาศนะครับ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการ และรัฐบาลรักษาการ ก็ยังทำงานได้

รัฐบาลที่ผ่านมา บริหารบ้านเมืองได้ตกต่ำถึงขีดสุดแล้วครับ ไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้วครับ การเป็นรัฐบาลรักษาการ โดยถูกจำกัดอำนาจบางส่วน ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว เพราะจะได้ไม่ไปก่อความเสียหายอะไร ให้กับบ้านเมืองไปมากกว่านี้

ตามมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ รัฐบาลรักษาการ ทำงานได้ครอบคลุมพอสมคววรนะครับ ไม่ใช่ว่าทำงานไม่ได้เลย มีข้อห้ามหลัก ๆ ก็แค่ 3 เรื่อง เท่านั้น คือ

1. ห้ามอนุมัติโครงการ ที่ก่อภาระผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ยกเว้นกรณีที่กำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว แสดงว่าโครงการที่อนุมัติไปแล้ว ก็ยังเดินหน้าต่อได้ เพียงแต่โครงการใหม่ๆ ห้ามเซ็นก็เท่านั้นเอง ซึ่งก็สมควรอยู่แล้ว เพราะจะได้ป้องกันไม่ให้เงินภาษีของประชาชนถูกผลาญไปมากกว่านี้

2) ห้ามการแต่งตั้งโยกย้ายหรือถอดถอนบุคลากรของรัฐ ซึ่งก็ดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น ระบบตั๋ว และการซื้อขายตำแหน่ง ที่เป็นบ่อเกิดของการทุจริตคอร์รัปชั่น ก็จะรุนแรงขึ้น แถมยังจะทำให้เครือข่ายอุปถัมภ์ที่กินรวบสัมปทาน ขยายเครือข่ายของตนอีกด้วย แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องแต่งตั้งโยกย้ายจริง ๆ ก็ทำได้ครับ เพียงแต่ต้องขอความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน ก็เท่านั้นเอง

3) ห้ามอนุมัติการใช้จ่ายงบกลางเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ก็ดีอยู่แล้ว จะได้เลิกเอางบกลางไปผลาญตามอำเภอใจของนายกฯ คนนี้ซะที แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้จริง ๆ เช่น กรณีภัยพิบัติ ก็ใช้ได้ครับ เพียงแต่ต้องขอความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน ก็เท่านั้นเอง

รัฐบาลรักษาการพอที่จะทำงานได้ครับ ไม่ได้ถึงกับสิ้นสภาพ อย่างที่เอามาขู่ให้กลัวเลย

แล้วก็ไม่ต้องมาอ้างเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศเลยครับ นักลงทุนจากต่างประเทศ เวลาที่จะมาลงทุน เขาต้องพิจารณาในระยะยาวเป็นหลักสิบปี ไม่ใช่ว่าต้องเร่งให้มีรัฐบาลกเฬวรากอะไรก็ได้

นักลงทุนจากต่างประเทศ เขาคำนึงถึงเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสำคัญ ซึ่งคำว่า ‘เสถียรภาพ’ ในโลกยุคปัจจุบัน ไม่ได้ดูแค่จำนวน สส. เท่านั้น แต่รัฐบาลจะต้องมีความชอบธรรม ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ประชาชนพร้อมเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ อย่างนี้ถึงเรียกว่าเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ไม่ใช่เริ่มต้นมาก็ทรยศหักหลัง เป็นปรปักษ์กับประชาชนเสียแล้ว

นอกจากนี้ ปัญหาการคอร์รัปชัน ก็เป็นอีกประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติพิจารณา ถ้าบ้านเมืองเต็มไปด้วยส่วย และการเรียกรับผลประโยชน์ จะประกอบกิจการอะไร ก็ต้องจ่ายใต้โต๊ะตั้งแต่หัวโต๊ะยันท้ายโต๊ะ อย่างที่เป็นอยู่ นักลงทุนต่างประเทศเขาไม่มาลงทุนหรอกครับ

ดังนั้น รัฐบาลที่ยอมพลิกขั้วยอมเป็นร่างทรง ให้ 3ป มาสิงสู่สืบทอดอำนาจ มีแต่จะถูกประชาชนสาปแช่ง บั่นทอนการลงทุนจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม การที่ ส.ส. จากพรรคอื่น ที่ไม่อยู่ใน 8 พรรคร่วม จะบ่นว่า การตั้งรัฐบาลจะเสียเวลารอนานไม่ได้ ผมก็เห็นด้วยว่าควรบ่นครับ ผมก็บ่นเหมือนกัน ไม่มีใครอยากตั้งรัฐบาลช้าหรอกครับ บ่นน่ะได้ แต่ต้องบ่นให้ถูกคน เรามาช่วยกันบ่นไปที่ สว. กลุ่มที่ขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลดีกว่าครับ ถ้าผนึกกำลังช่วยกันบ่น และบ่นให้ถูกคน สักพักรัฐบาลก็จะตั้งได้เองครับ

‘สมบัติ’ ตามหา ‘วิโรจน์’ ขุดต้นตอ ‘ตั๋วปารีส’ ซัด!! เก่งกับคนอื่น คราวพรรคตัวเองเงียบกริบ

(27 ก.ค. 66) จากกรณีโซเชียลติดแฮชแท็ก #ตั๋วปารีส หลังจากที่มีทวิตเตอร์ Headache Stencil ของนายสมรนนท์ แย้มอุทัย หรือ ‘แป้ง’ ศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดัง แนวร่วมม็อบราษฎร ทวีตข้อความแฉว่ามีนายทุนคนไทยชื่อ ‘Nick Paris’ ผู้ต้องหาคดี ม.112 ให้ความช่วยเหลือการเงินให้แก่กลุ่มหมิ่นสถาบันขบวนการลี้ภัยเพื่อเคลื่อนไหวในการแก้ไขมาตรา 112

นายสมบัติ ทองย้าย อดีตการ์ดเสื้อแดงและม็อบสามนิ้ว โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับกรณี ‘ตั๋วปารีส’ ดังนี้ ใครกันแน่หลอกประชาชน ฝากตามตั๋วช้างปารีส ด้วยครับ อย่ามามัวสร้างวาทกรรม สวย ๆ แบบนี้เลยครับ #นพพรคือใคร

นึกถึงหน้าใครบางคน เก่งนักกับคนอื่น คนของพรรคตัวเอง เงียบกริบ

ตามหาวิโรจน์ ครับ มัวแต่ตามหาทุนจีนสีเทา ช่วยตามหาทุนจากปารีสหน่อยครับ อยากรู้เส้นทาง หัวมาจากไหน ท้ายไปตกที่ใคร ฝากเรื่องนี้ด้วยนะครับ

‘นครชัย ก้าวไกล’ ประกาศลาออกจาก สส. เซ่นปม ‘เคยติดคุก’ จากการใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่น

(27 ก.ค. 66) นายนครชัย ขุนณรงค์ ส.ส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า ตลอดสองวันที่ผ่านมา มีผู้สอบถามเข้ามามากมายว่าผมเคยติดคุกจริงหรือไม่ ผมขออภัยที่ไม่สามารถตอบได้อย่างทั่วถึง จึงขออนุญาตเรียบเรียงเรื่องทั้งหมดไว้ตรงนี้ เพื่อชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องติดคุก เกิดขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม 2542 หรือ 24 ปีมาแล้ว ตอนนั้นผมอายุประมาณ 20 ปี กำลังวัยรุ่น วันนั้นผมสังสรรค์อยู่กับเพื่อนหลายคนในห้อง มีคนเดินเข้าออกไปมาเรื่อย ๆ ผมสังเกตเห็นนาฬิกาผู้หญิงเรือนเล็ก ๆ เรือนหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะในห้อง ถามว่าของใครก็ไม่มีใครตอบ เลยหยิบมาดูเล่น ๆ

จากนั้นไม่นาน ตำรวจได้บุกเข้ามาในห้อง จับกุมผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งที่สารภาพว่าเป็นผู้ขโมยนาฬิการาคาประมาณ 1,000 บาทเรือนนั้นมา ผมและเพื่อนถูกนำตัวไปโรงพัก ตำรวจให้เซ็นเอกสาร โดยบอกว่าเรื่องจะได้จบ ๆ ผมมาทราบทีหลังว่าเอกสารที่ผมได้เซ็นไป คือเอกสารยอมรับสารภาพ แม้ว่าเพื่อนผมจะให้การกับตำรวจไปแล้วว่าผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง

สุดท้าย ผมต้องโทษจำคุก 3 ปี และการรับสารภาพ ทำให้ได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน ผมรับโทษตามนั้นและออกมาประกอบอาชีพสุจริตมาโดยตลอด จนกระทั่งตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เขต 3 ระยอง ในนามพรรคก้าวไกล ผมเชื่อว่าอดีตของผมไม่ทำให้ผมขาดคุณสมบัติ เพราะผมเชื่อว่าข้อหาของผมที่ทำให้ผมติดคุกไม่ใช่ฐานความผิดที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ

ผมขออภัยพี่น้องประชาชนทุกคนที่เลือกผมเข้ามาเป็น ส.ส. ผมขอน้อมรับคำวิจารณ์และกระบวนการทางกฎหมายที่จะตามมาหลังจากนี้ทั้งหมด และจะต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุดเพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้จงใจสมัคร ส.ส. ทั้งที่รู้ว่าขาดคุณสมบัติ

อย่างไรก็ตาม เพื่อความสง่างามในการดำรงตำแหน่ง ส.ส. ผมขอแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนโดยการลาออกจากตำแหน่งในสัปดาห์หน้าครับ

รอง ปธ.สภายุโรป เรียกร้องไทย เคารพเจตจำนง ปชช.  ลั่น!! 'พิธา' ต้องได้จัดตั้งรัฐบาล ปชต.ไม่ควรถูกขวาง

หลังจากจบการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 สถานการณ์การเมืองไทย ก็กลายเป็นที่จับตาของคนทั่วโลก ท่ามกลางคำถามว่าใครจะได้เป็น ‘นายกรัฐมนตรีคนที่ 30’ ของประเทศไทย และหลังจากที่มติรัฐสภา 395 เสียง ตีตกเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ให้โหวตเป็นนายกฯ ซ้ำ ซึ่งทางด้านพรรคก้าวไกล จึงได้ส่งไม้ต่อให้กับพรรคอันดับที่ 2 ซึ่งคือพรรคเพื่อไทย เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลกับอีก 8 พรรคร่วม

ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา เฮดิ เฮาตาลา รองประธานสภายุโรป ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว หลังแชร์ข่าวของเว็บไซต์ ยูโรนิวส์ ที่นำเสนอข่าวของ พิธา ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

โดย เฮดิ ได้ทวีตข้อความแปลเป็นไทย ระบุว่า "ฉันขอเรียกร้องให้ทางการไทย เคารพเจตจำนงของประชาชนไทย และผลการเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะอย่างมีนัยสำคัญ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ต้องได้จัดตั้งรัฐบาล ประชาธิปไตยไม่ควรถูกขัดขวาง"

‘เพื่อไทย’ นัดถก ‘8 พรรคร่วม’ 2 ส.ค.นี้ ก่อนโหวตนายกฯ หลังซาวเสียง ‘สส.-สว.’ ลั่นตรงกัน ย้ำ!! ต้องไม่มีก้าวไกล

(31 ก.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการนัดประชุม 8 พรรคร่วมภายหลังนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เตรียมออกวาระการประชุมรัฐสภา เพื่อเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ว่า เบื้องต้นจะนัดประชุม 8 พรรคร่วมในวันที่ 2 ส.ค. ที่พรรคเพื่อไทย เนื่องจากวันที่ 1 ส.ค.ยังคงเป็นวันหยุด หลายคนยังอยู่ต่างจังหวัด ยังไม่สะดวกมาร่วมประชุม

อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับทั้ง สว.และ สส.จากพรรคการเมืองต่างๆ จนถึงขณะนี้ ทั้ง สส.และ สว. ยังแสดงความเห็นตรงกันว่าพร้อมจะยกมือสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย แต่ต้องไม่มีพรรคก้าวไกล อยู่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะหากยังมีพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ พวกเขาก็ยังยืนยันว่าจะไม่ให้เสียงสนับสนุน

‘อี้ แทนคุณ’ เตือนสติ ‘ด้อมส้ม’ หลังก้าวร้าวขึ้นทุกวัน ลั่น!! ยิ่งทำอะไรรุนแรง ‘ก้าวไกล’ ​ยิ่งพังเร็วเท่านั้น

(2 ส.ค. 66) ดร​.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​ พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์ ​กล่าว​ถึง​กรณี​การ​ชุมนุม​คาร์ม็อบ ที่แยกอโศก หลังจากได้ออกมาเคลื่อนไหว​แปรอักษร​ เป็น​ อักษร ห.หีบ และมีการวางตัวหนังสือ​ ค.ควาย เพื่อให้อ่านว่า ห.ค. รวมทั้งมีการโปรยเอกสารด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและได้มีการบุกไปที่ตลาดของสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่งในลักษณะคุกคาม เพื่อไปกดดันด้วยการทำความเสียหายให้กับธุรกิจของเขา และมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันมาก่อนหน้านี้ ทั้งบุกรุก พ่นสีถนน พ่นสีอาคารสถานที่​ ขว้างปาสิ่งของ ทำลายกล้องวงจรปิด เผาทำลายทรัพย์สินทั้งป้อมจราจร สถานีตำรวจ สถานที่ราชการ สถานที่ส่วนบุคคลและอื่นๆ อีกหลายที่

โดยประชาชน​ที่ติดตาม​กระทำของบรรดาผู้ชุมนุมหรือ ‘ด้อมส้ม’ อย่างใกล้ชิด ย่อมสังเกตว่าผู้ชุมนุมที่มีความหลากหลาย​กลุ่ม แต่กลับมีการกระทำที่ไร้วุฒิภาวะโดยสิ้นเชิง โดยเชื่อว่าจากนี้ผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย​ต่างต้องทยอยถูกดำเนินคดี​อาญาตามหลังทั้งสิ้น

โดยปัจจุบัน​ทั้งบรรดาผู้ชุมนุม​และสื่อมวลชนต่างช่วยกันถ่ายทอดสดและถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ​บันทึกไว้เป็นหลักฐานอย่างดี ทำให้สามารถเห็นทั้งใบหน้า พฤติ​กรรมและยืนยันตัวตนของบุคคล​ผู้ที่กระทำความผิดได้อย่างละเอียด​ ซึ่งถือว่า ม็อบ ห.ค.นี้ จงใจสร้างสถานการณ์​และทำให้บ้านเมือง​เสียหาย​โดยไม่สนใจ กฎหมายและกติกาบ้านเมือง รวมทั้งบรรดาแกนนำ ที่มีคดีความ บางคนก็เคยมีข้อมูลว่าร่ำรวยขึ้นจากการเป็นแกนนำม็อบ ทั้งที่เคลื่อนไหว​โดยอิสระและที่มีเชื่อมโยงกับพฤติการณ์ของพรรคก้าวไกล ที่บิดเบือนให้ร้าย และสร้างความแตกแยกไม่รู้จบสิ้น สอดประสาน​ทั้งใน-นอกสภา ทั้ง​การใช้​ความก้าวร้าว​รุนแรง ด้อยค่าว่าร้าย บีบบังคับ​ให้คนอื่นต้องโหวตให้ ทั้งๆ ที่ดูจากสภาพทั้งหัวหน้าพรรค คือ นายพิธา และ สส.หลายๆ คน มีพฤติกรรม​กระทำผิด​กฎหมาย​ซ้ำๆ ทั้งโกหกหลอกลวง​จากนโยบาย​หาเสียง การไม่ให้เกียรติ​ทั้งสถานที่​และคนอื่นคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดเป็นศูนย์กลาง​จักรวาล​ ใครๆ ก็ต้องยอมทำตาม 

แต่ในความเป็นจริง ​เมื่อลืมตาตื่นจากฝันแล้วจะพบว่าเทคนิคทางการสื่อสารทางการตลาดที่ได้ผลสำเร็จ​ในโลกโซเชียล​ที่ทำให้ทนงตนคิดว่าเจ๋งที่สุดแล้ว เมื่อมาสู่โลกความเป็นจริงกลับไม่สามารถ​กดดันหรือบีบบังคับคนอื่นรัก เคารพได้ตลอด ด้วยพฤติกรรมของพวกเขาเอง ที่นอกจาก​ไม่มีใครอยากคบ ไม่มีใครอยากทำงานด้วย ยังทำให้บ้านเมือง​มีปัญหา​ต่อเนื่อง​ต่อไปอีกด้วย จึงขอเตือนสติว่า ‘ม็อบยิ่งทำอะไรรุนแรง ก้าวไกล​ยิ่งพังเร็วเท่านั้น’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top