Friday, 13 June 2025
ก้าวไกล

‘ชลน่าน’ ชี้!! ลดเพดาน 112 ต้องให้ก้าวไกลเคาะเอง ย้ำ!! เป้าหมาย ‘เพื่อไทย’ ต้องจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ

(21 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมโหวตนายกฯ รอบที่สามว่า เดิมทีได้นัดหารือกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เวลา 10.00 น. แต่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลได้แจ้งขอเลื่อนออกไปก่อน เพราะพรรคก้าวไกลจะมีการแถลงข่าว ส่วนจะมีเนื้อหาสาระอย่างไรคงต้องติดตาม ส่วนตัวยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าเนื้อหาจะเป็นการส่งมอบให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ส่วนกรอบเวลาฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลนั้น ยังมีเวลาถึงวันที่ 26 ก.ค.ก่อนโหวตเลือกนายกฯ รอบที่ 3 วันที่ 27 ก.ค.ต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด ยืนยันว่าพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลทั้ง 8 พรรคการเมืองจับมือเหนียวแน่น และยังไม่ถึงคิดกรณีอื่น 

เมื่อถามถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยระบุจะไม่ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 เหมือนเป็นการโยนให้พรรคก้าวไกลยอมถอยเรื่องนี้หากต้องการร่วมตั้งรัฐบาล นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นความเห็นของนายเศรษฐา แต่หากฟังจากทุกพรรคการเมือง รวมถึง ส.ว.ที่ได้อภิปรายในรัฐสภา ก็มีเสียงสะท้อนมาแบบนั้น ก็อาจเป็นประเด็นที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะโยนภาระไปให้พรรคก้าวไกลเขาพิจารณา ส่วนพรรคก้าวไกลจะพิจารณาอย่างไร ตนไม่ขอก้าวล่วง

เมื่อถามว่าหากพรรคก้าวไกลยอมถอยเพดานแก้ไขมาตรา 112 จะทำให้พรรคการเมืองเข้าร่วมรัฐบาลได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเสียง ส.ว. หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หากพรรคก้าวไกลยอมถอยจริง หลายพรรคการเมืองที่เคยออกมาพูดชัดว่าถ้าไม่มีเรื่องนี้ ก็พร้อมสนับสนุน ซึ่งจะเป็นทางออกอีกทางหนึ่ง ส่วนจะต้องอาศัยเสียง ส.ว.หรือไม่ คงต้องไปดูถึงความจำเป็นภายหลัง เป้าหมายเรา หากได้นำจัดตั้งรัฐบาลคือต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ เสียงในรัฐบาลต้องได้ 375 นี่คือสิ่งที่เพื่อไทยต้องทำ เงื่อนไขอะไรที่เป็นอุปสรรคต้องมาหารือกัน

‘ประเสริฐ’ ย้ำ!! ยังจับมือ ‘ก้าวไกล’ ไม่เปลี่ยนแปลงรับกังวลเงื่อนไข ม.112 ต้องรอฟังก้าวไกลแถลง

(21 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า เป็นการประเมินผลการโหวตนายกฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา และพูดถึงการโหวตเลือกนายกฯ ครั้งต่อไปในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ซึ่งต่างฝ่ายได้นําข้อแลกเปลี่ยนไปหารือในพรรค ซึ่งเดิมจะมีการนัดหมายกับพรรคก้าวไกลในวันนี้ เวลา 10.00 น. แต่ทางพรรคก้าวไกลได้ประสานงานมาว่าจะขอมีการแถลงข่าวในช่วงเช้าวันนี้ก่อน จึงมีการเลื่อนออกไป ซี่งยังไม่มีการนัดหมายรอบใหม่  

เมื่อถามว่าจากท่าทีการพูดคุยพรรคก้าวไกลพร้อมส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยหรือยัง นายประเสริฐ กล่าวว่า ขอให้ดูสาระสำคัญการแถลงข่าวก่อน หลังจากรู้ว่ามีประเด็นหรือรายละเอียดอย่างไร คงจะทํางานร่วมกันต่อได้ 

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลยังคงจับมือกันต่อเพื่อร่วมกันตั้งรัฐบาลอยู่หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่ายังร่วมมือกันอยู่ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน 

เมื่อถามถึงการที่พรรคเพื่อไทยให้การบ้านกับพรรคก้าวไกล ประเด็นที่ ส.ว.ไม่ให้การสนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 นายประเสริฐ กล่าวว่า เป็นข้อกังวลของพรรคเพื่อไทยที่ได้บอกกับพรรคก้าวไกลไป ทั้งที่ได้ฟังจากการอภิปรายในสภาก็ดี หรือการแสดงความคิดเห็นของ ส.ว.ส่วนหนึ่ง และพรรคการเมืองหลายพรรค จึงฝากเรื่องนี้เป็นข้อคิดให้ทางพรรคก้าวไกลได้ไปหารือภายในพรรค 

เมื่อถามว่าหากมีพรรคก้าวไกลและการแก้ไขมาตรา 112 ส.ส. และ ส.ว. ก็จะนํามาเป็นเหตุผลที่จะไม่โหวตให้กับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล นายประเสริฐ กล่าวว่า ขอประเมินดูก่อนว่าเสียงที่บอกมานั้น เป็นเสียงส่วนมากหรือทั้งหมด ถ้าเรามีความชัดเจนแล้ว คิดว่าจะทําให้การตัดสินใจสะดวกขึ้น 

เมื่อถามอีกว่าพรรคก้าวไกลได้รับปากว่าจะนําเรื่องนี้ไปหาทางแก้ไขหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่าพรรคก้าวไกลมีการประชุมในช่วงเย็นเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ฉะนั้นขอให้ฟังการแถลงข่าวของพรรคก้าวไกลก่อน ส่วนหลังจากนั้น พรรคเพื่อไทยจะมีท่าทีอย่างไรนั้น ขอให้แกนนำพรรคได้มีการพูดคุยกันก่อน

14 ล้านเสียงกา ‘ก้าวไกล’ ยังไม่พร้อมลงถนน เชื่อ!! ปชช. สนปากท้อง มากกว่าแตกแยก

(21 ก.ค. 66) นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ได้ร่วมพูดคุยกับ นายพิชิต ไชยมงคล อดีตแกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ในเรื่อง ‘ปฏิกิริยามวลชน 14 ล้านที่เลือกก้าวไกล หลัง ‘พิธา’ ไม่ได้เป็นนายกฯ และท่าทีของมวลชน หากเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ’ ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กไลฟ์ ‘คุยถึงแก่น’ 

>> ประเมินแรงกดดันนอกสภาจากกองเชียร์ของพรรคก้าวไกล คิดว่าจะมีทิศทางอย่างไร?

นายพิชิต ระบุว่า ผมต้องประเมินย้อนไปถึงตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ กรณีคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คล้ายคล้ายกรณีคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะเป็นคดีถือหุ้นสื่อเหมือนกัน ตอนนั้นคุณธนาธรออกมาแสดงความคิดเห็น (ข้อแก้ตัว) ทางคดีผ่านมวลชน ศาลตัดสินได้ไม่ถึงสัปดาห์ คุณธนาธรก็นัดมวลชนที่สวนจตุจักร มวลชนไปเยอะมาก แต่ตอนนั้นคุณธนาธร คุณช่อ และคุณปิยะบุตร ก็ไม่ได้ออกมานำมวลชน และไม่ได้มีเหตุการณ์อะไร

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมประเมินว่าสุดท้ายก็จะเป็นหนังม้วนเดิม พรรคก้าวไกลก็อาจจะถูกคดีคล้ายกับพรรคอนาคตใหม่ คีย์แมนคนสําคัญของพรรคก้าวไกลก็ไม่กล้าออกมานำมวลชนชุมนุม พรรคก้าวไกลนัดมวลชนให้ไปปกป้องคุณพิธาที่รัฐสภา แต่กลายเป็นว่ามวลชนไม่ออกไป มวลชนส่วนหนึ่งคนรุ่นใหม่ที่เป็นฐานสําคัญของพรรคก้าวไกล คนทํางาน คนรุ่นใหม่ ไม่มีใครออก ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือเป็นมวลชนนี้คือพี่น้องคนเสื้อแดงที่หันมาเชียร์คุณพิธามากกว่า 

หรือแม้กระทั่งเมื่อวันที่ 19 ก.ค.66 การชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมต้องใช้คําว่า ‘สอบไม่ผ่าน’ ถ้าดูจากคะแนนเสียงที่ถูกเคลมอ้างตลอดว่า 14 ล้านเสียงพร้อมจะออกมา พรรคก้าวไกลก็พยายามปั่นว่า ถ้าคุณพิธาไม่ได้เป็นนายก มวลชน 14 ล้านเสียงจะปิดบริษัทชุมนุม แต่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา ยืนยันว่าเป็นแค่คำขู่ 

มวลชน 14 ล้านเสียงที่เลือกก้าวไกล ไม่ใช่มวลชนที่พร้อมจะลงถนนทั้ง 14 ล้านคน ต้องมองแบบแยกแยะกันพอสมควร จะมาเคลมแบบก้าวไกลว่า 14 ล้านเสียงคือแรงผลักดันทางการเมืองที่พร้อมจะลงถนน ผมว่า ณ วันนี้ต้องประเมินกันใหม่ บางส่วนเขาไม่ได้พร้อมที่จะมาปกป้องคุณพิธา บางส่วนของ 14 ล้านเสียงที่เขาเลือกก้าวไกล เพราะเขาอาจจะเบื่อลุงก็ได้ หรือจะเพื่อการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่พร้อมจะลงถนน 

>> สาเหตุที่ 14 ล้านเสียงไม่ไปลงถนนชุมนุม มาจากกลุ่มแกนนำชุมนุมยังเป็นกลุ่มเดิมๆ เนื้อหาที่พูดก็ค่อนข้างสุดโต่งเกินไป ทำให้คนไม่ค่อยอยากสุงสิงหรือเปล่า?

นายพิชิต กล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งครับ ผมถึงบอกตั้งแต่ต้นว่าถ้าจะให้จริงจังคุณพิธา คุณธนาธรต้องออกมานําเอง ผมว่ามวลชนจะเชื่อใจ คณะแกนนำชุมนุมต้องพูดเรื่องเดียวกับที่เกิดขึ้นในสภา อธิบายเนื้อหาว่าทําไมคุณพิธาไม่ได้ถูกเลือกเป็นนายก มีเนื้อหาอะไรบ้าง? มีการเล่นเกมโกงกันยังไง? รัฐธรรมนูญมีปัญหาอะไร? แต่เนื้อหาที่พูดบนเวทีกลายเป็นเรื่อง ม.112 ผมเชื่อว่ามวลชนเขาก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะกลัวคดี แต่หากอยากให้มวลชนออกมา คุณพิธา คุณธนาธรต้องออกมานำเอง อยู่ที่ว่าพวกเขากล้าหรือเปล่า

>> ประเมินธนาธร ซึ่งเป็นประธานคณะก้าวหน้า กล้าถือไมค์อยู่บนหลังรถกระบะนําคนเป็นพัน เป็นหมื่นพร้อมจะโดนคดี เขาจะกล้าไหม?

นายพิชิต ให้ความเห็นว่า ให้ประเมินตอนนี้ผม ผมฟันธงได้เลยว่า ‘ไม่กล้า’ ถ้าเป็นการชุมนุมแบบเดิมคือ ปักหลักยืดเยื้อขึ้นบนรถหลังเวที นอนพักค้างคืน แบบนี้เขาไม่กล้าแน่ หรือถ้าเอาแบบใหม่ แบบที่เขาถนัดคือมาแล้วกลับ ผมก็ยังฟันธงว่า ‘เขาไม่กล้า’ เพราะการชุมนุมมันมีผลแห่งการรับผิดชอบมวลชนเยอะพอสมควร ฟันธงว่าทั้งคุณธนาธรและคุณพิธาก็ไม่กล้า

>> หากพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคก้าวไกล จะเจอแรงคนกดดันจากกองเชียร์พรรคก้าวไกลแค่ไหน? แล้วทางกองเชียร์เพื่อไทยจะหนุนหลังพรรคเพื่อไทยมากน้อยแค่ไหน?

นายพิชิต กล่าวว่า ถ้าเพื่อไทยมีนโยบายเรื่องปากท้องเพื่อพี่น้องประชาชน เชื่อว่ามวลชนจะไม่ออกมา เพราะต้องยอมรับว่าประชาชนเหนื่อยกับการชุมนุม ประเทศไทยมีการชุมนุมมา ในช่วง 20 ปีก็หลายครั้งชุมนุมใหญ่ก็หลายหน มวลชนจะเหนื่อยกับการชุมนุม คณะราษฎร์ก็มีการชุมนุมใหญ่มาแล้ว มีการเคลื่อนไหว มวลชนออกมาค่อนข้างเยอะ แล้วจะกล้าไหมที่จะออกมาแค่ปกป้อง ‘พิธาหรือพรรคก้าวไกล’ 

ผมว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลร่วมกับพรรคอื่น สิ่งที่ต้องคํานึงให้มากที่สุดคือ การแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชน เอานโยบายที่สามารถจับต้องได้ แก้ปัญหาของพี่น้องได้ เรื่องปากท้อง เรื่องแรงงาน เรื่องชาวนา เชื่อว่าประชาชนจะอินกับการแก้ปัญหามากกว่าที่จะออกมาเคลื่อนไหวบนถนน 

แน่นอนว่าอาจจะมีการโวยวายในโลกโซเชียล ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่จะออกมาเคลื่อนไหว ผมคิดว่า มันจะถูกลดทอนด้วยการทํางาน เอาการทํางานมาเป็นตัวพิสูจน์ ถึงแม้เราจะไม่ค่อยไว้ใจเพื่อไทยเท่าไหร่ แต่ในการจับขั้วรัฐบาลอย่างน้อยมันก็ต้องมีรัฐบาลในการบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็แล้วแต่ ถ้าคํานึงถึงผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก การชุมนุมมันจะไม่มีเหตุผลอะไรเลย เพราะเกมการเดินหน้าการแก้ปัญหาของประเทศยังเดินอยู่ ผมคิดว่าคนที่คิดออกมาชุมนุมก็ต้องเลือกระหว่างจะ ‘ทําให้ประเทศเดินหน้า’ หรือว่าจะเอามาชุมนุม ‘เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ’

>> ประชาชนคนทั่วไป ที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ ผ่านช่วงที่เศรษฐกิจบอบช้ำ สงครามรัสเซีย-ยูเครน คนก็คงไม่อินกับการไปม็อบ ใช่ไหม?

นายพิชิต กล่าวว่า ประเมินจากพรรคก้าวไกล กรณีคุณพิธาที่โดน กกต. โดนศาลรัฐธรรมนูญ ถ้ามวลชนเยอะจริงอย่างที่พูดในโซเชียล ผมว่ามวลชนจะออกเยอะกว่านี้ แต่ที่นัดชุมนุมใหญ่ที่ผ่านมาหลายครั้ง คนไม่ออกนะ ดังนั้นผมมองว่าแม้เขาจะชอบก้าวไกล แต่เขายังไม่พร้อมที่จะลงถนนแบบแตกหัก บางส่วนก็คิดว่าประเทศบอบช้ำจากการชุมนุม และคนก็ต้องทำมาหากิน เขาก็ไม่ลงถนน อีกฝั่งก็คิดว่าที่คุณพิธาเป็นแบบนี้ก็เพราะไม่จัดการตัวเองเรื่องถือหุ้นสื่อ มันก็ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ เรื่องพวกนี้จะทำให้คนไม่อิน

ในอนาคต ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนําจัดตั้งร่วมกับพรรคอื่น แต่ถ้าบริหารจัดการนโยบายดี ๆ ผมคิดว่าคนพร้อมอยากให้รัฐบาลใหม่มาแก้ไขปัญหาของประเทศ มากกว่าที่จะออกมาชุมนุม

>> หากเปรียบการเมืองไทยเป็นสามก๊ก มีเพื่อไทย ก้าวไกล และ ฝั่ง กปปส. รวมกับพันธมิตร คิดว่ามวลชนกลุ่มที่ไม่ได้เชียร์เพื่อไทย หรือก้าวไกล จะออกมาเคลื่อนไหวด้วยเหตุผลอะไร?

นายพิชิต กล่าวว่า จุดแตกหักของมวลชนคงจะเป็นเรื่อง 112 ที่หลายคนกังวล มีโอกาสที่จะทําให้พันธมิตรเดิม หรือ กปปส. เดิม กลุ่มที่เคยออกมาปกป้องสถาบันได้ขยับอีกครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าการขยับอาจจะไม่ใช่การแสดงพลังชุมนุมใหญ่ แต่มันจะไปกระตุ้น ให้เกิดการตื่นตัวและการเคลื่อนไหวออกมา ผมว่ามีปมเดียวคือเรื่อง 112 ยกเว้นกรณีคุณทักษิณจะกลับมา ซึ่งหลายคนก็เฝ้าจับตามอง จะกลับมาในลักษณะไหน มาแล้วต้องเคารพกฎหมาย ถ้าไม่เคารพกฎหมาย นี่อาจจะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่จะทําให้ กลุ่มที่เคยต่อต้านคุณทักษิณได้กลับมาแสดงพลังอีกรอบ

>> คิดว่าจะเป็นโอกาสทองในการก้าวข้ามความขัดแย้งของคนในสังคมหรือไม่?

นายพิชิต กล่าวว่า ที่จริงเรื่องความปรองดองเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันมาตั้งนานแล้ว แกนนำหลายท่านก็เคยมานั่งคุยกัน แต่การปรองดองก็ต้องมีเงื่อนไข ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะบอกว่าปรองดองหมด หากปรองดองภายใต้เงื่อนไขทางการเมือง สามารถเกิดขึ้นได้ อยู่ที่รัฐบาลจะกล้าหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกันให้จริงจังขนาดไหน 

>> เมื่อถามว่า หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะเกิดการพูดคุยเรื่องการปรองดองหรือไม่?

นายพิชิต กล่าวว่า เพื่อไทยก็จะถูกจับตามองเรื่องคุณทักษิณ ขยับตัวยาก จึงต้องเป็นรัฐบาลที่หลายฝ่ายยอมรับ แต่ทุกวันนี้ก็ระแวงกันอยู่พอสมควร ดังนั้นต้องใช้ตัวเนื้อหาเป็นต้นแบบในการพูดคุย และให้สังคมได้ร่วมวิพากย์วิจารณ์กัน

‘ก้าวไกล’ เปิดทางพรรคอันดับสองตั้งรัฐบาล พร้อมเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ จาก ‘เพื่อไทย’

(21 ก.ค.66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงข่าวความคืบหน้าในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลว่า การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เป็นการประกาศเจตจำนงของประชาชนที่ชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจนชนะเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ดังนั้น เป้าหมายสูงสุดของเราในฐานะพรรคอันดับ 1 คือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้สำเร็จเพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเดิม

แต่ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ทุกอย่างชี้ชัดว่าทุกองคาพยพของฝ่ายอนุรักษนิยม ทั้งการเมืองจารีต ทุนผูกขาด และสถาบันองค์กรต่างๆ ที่เป็นบริวารแวดล้อม ทั้งหมดไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยเอาเรื่อง ม.112 มาบังหน้า และอ้างความจงรักภักดีมาปะทะกับการเลือกตั้งของประชาชน นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนไหวผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหวังตัดสิทธิการเมืองของแกนนำพรรคและยุบพรรคก้าวไกลให้ได้

ด้วยเหตุนี้ ส.ว. จึงฝืนมติมหาชน ไม่โหวตเลือกนายกฯ ตามเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร มิหนำซ้ำ ยังกล้าทำลายหลักการ ตีความข้อบังคับของรัฐสภาให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เปรียบเสมือนการล้มล้างการปกครอง หรือฉีกรัฐธรรมนูญผ่านกฎหมู่ เพียงเพื่อต้องการขัดขวางไม่ให้เสนอชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ ในครั้งที่สอง

พรรคก้าวไกลไม่ยอมรับการตีความข้อบังคับดังกล่าว แต่ภายใต้การทำงานที่สอดประสานกันทั้งองคาพยพของฝ่ายอนุรักษนิยมเช่นนี้ เราจำเป็นต้องขอโทษต่อประชาชน และยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

อย่างไรก็ดี การที่พิธาไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ไม่ได้หมายความว่าภารกิจการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อพลิกขั้วอำนาจรัฐบาลจะไม่สำเร็จไปด้วย เป้าหมายสูงสุดของเราในฐานะพรรคอันดับ 1 ยังคงอยู่ นั่นคือการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเดิมให้สำเร็จ

สิ่งสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องพิธาจะเป็นนายกฯ ได้หรือไม่ แต่คือเรื่องประเทศไทยจะกลับสู่ประชาธิปไตยได้หรือไม่ หยุดการสืบทอดอำนาจได้หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคก้าวไกลจะเปิดโอกาสให้ประเทศ โดยให้พรรคอันดับสอง คือพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพันธมิตร 8 พรรคที่ได้เคยทำ MOU กันไว้

ดังนั้น ในการประชุมรัฐสภาครั้งต่อไป พรรคก้าวไกลจะเสนอชื่อแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เช่นเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยเคยสนับสนุนพรรคก้าวไกล

เมื่อเสร็จการแถลง สื่อมวลชนได้สอบถามถึงเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยนายชัยธวัชกล่าวว่า หลังจากนี้จะเป็นบทบาทหลักของพรรคเพื่อไทยในการพูดคุยถึงแนวทางการจัดตั้งรัฐบาล ขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยว่าจะเสนอแคนดิเดตนายกฯ คนไหนในการประชุมรัฐสภาครั้งหน้า พรรคก้าวไกลไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นใครโดยเฉพาะจงเจาะ ขึ้นอยู่กับมติของพรรคเพื่อไทย เราต้องเคารพ

ผู้สื่อข่าวถามถึงจุดยืน ‘มีลุง ไม่มีเรา’ พรรคก้าวไกลยังเหมือนเดิมหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นจุดยืนที่ชัดเจนสำหรับพรรคก้าวไกล สิ่งที่เราได้สัญญาพูดคุยต่อพี่น้องประชาชนทั่วประเทศในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เราไม่สามารถเสียสัจจะเรื่องนี้ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการประชุมรัฐสภาครั้งต่อไป แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยเสนอแล้วไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ จะถือว่าการเสนอแคนดิเดตคนนั้นจบลงเลยหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า จุดยืนของพรรคก้าวไกลไม่ยอมรับการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 เรายืนยันว่า มติของรัฐสภาในครั้งที่แล้วขัดต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อถูกถามต่อว่า คิดเห็นอย่างไรต่อบทบาทการทำหน้าที่ของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาในการประชุมรัฐสภาครั้งที่ผ่านมา นายชัยธวัชกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นข้อถกเถียงกันในสมาชิกรัฐสภา เราเห็นว่าประธานสภาสามารถวินิจฉัยได้ แต่เมื่อมีความเห็นแตกต่างกันเยอะ ประธานสภาอาจเห็นว่าควรให้สมาชิกได้อภิปรายถกเถียงกันอย่างเต็มที่และมีมติร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว หวังว่ารัฐสภาชุดนี้จะไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่เกี่ยวกับความเชื่อมั่นของประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกล ที่อาจมองว่าพรรคถอย ชัยธวัชกล่าวว่า ไม่กังวล ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกล แต่ตนกำลังพูดว่าผู้ลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่ที่ให้พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล มีส่วนสำคัญ ตนเชื่อว่าคนที่เลือกทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย แม้วันนี้พรรคก้าวไกลจะเป็นไปได้ยากในการเป็นนายกฯ แต่ประชาชนทั้งสองส่วนก็ยังอยากเห็นรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ

ในช่วงท้าย ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรกับคำพูดว่าก้าวไกลต้องเสียสละ นายชัยธวัชกล่าวว่า “ผมคิดว่าคนที่ไม่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง คนที่ไม่ยอมรับหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยต่างหาก ที่ควรจะมีสำนึกว่าการกระทำแบบนี้จะไม่ส่งผลดีต่อบ้านเมืองในระยะยาว”

‘เพื่อไทย’ แถลง!! ขอบคุณ ‘ก้าวไกล’ ส่งมอบภารกิจจัดตั้งรัฐบาลให้ พท.

(21 ก.ค.66) พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการดังนี้…

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย

1. พรรคเพื่อไทยขอขอบคุณพรรคก้าวไกล ที่ส่งมอบภารกิจในการจัดตั้งรัฐบาลให้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นไปตามวิถีทางทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้เงื่อนไขของการร่วมรัฐบาลจาก 8 พรรคการเมืองเดิม ตามที่พรรคก้าวไกลได้แถลงต่อสื่อมวลชนไปแล้ว เบื้องต้นพรรคเพื่อไทยจะได้หารือกับ 8 พรรคการเมืองเดิมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกำหนดแนวทางในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป

2. พรรคเพื่อไทยเห็นว่าภายใต้ข้อตกลงของ 8 พรรคการเมืองเดิม พรรคการเมืองทั้ง 8พรรคสามารถรวมเสียงได้ 312 เสียง ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาไม่เห็นชอบเนื่องจากมีเงื่อนไขสำคัญที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงส่งผลให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

3. พรรคเพื่อไทยจึงมีความจำเป็นต้องหาเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาเพิ่มเติม เพื่อให้ได้เสียงเกินกว่า 375 เสียง เบื้องต้นพรรคเพื่อไทยจะขอเสียงสนับสนุนจาก สมาชิกวุฒิสภา และจากพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ในที่สุด

4. หากผลการดำเนินเป็นประการใด จะได้แจ้งให้ 8 พรรคการเมืองและสาธารณชนทราบต่อไปโดยเร็ว

จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

พรรคเพื่อไทย

21 กรกฎาคม 2566

‘ดร.เสรี’ แจง 8 ข้อ เหตุใด 14 ล้านเสียง ถึงลงคะแนนให้ ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! ไม่มีใครกลั่นแกล้ง ‘พิธา’ ขอถาม “จะเป็น ส.ส. แล้วถือหุ้นสื่อทำไม”

(22 ก.ค.66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า…

พูดกันจังว่าการที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ได้คะแนนเยอะที่สุดนั้น แสดงว่าประชาชนสนับสนุนแนวทางของพรรคก้าวไกล ดังนั้นทุกฝ่ายต้องเคารพเสียงประชาชน ลองมาดูกันว่าคนลงคะแนนเสียงให้ พรรคก้าวไกลเพราะอะไร?

1. เบื่อลุง เพราะไปเชื่อวาทกรรมว่าลุงอยู่มา 8 ปีไม่มีอะไร ทั้ง ๆ ที่ผลงานลุงที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์มีมากมาย
2. อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะดีหรือร้ายต่อประเทศอย่างไร
3. อยากได้สารพัดสวัสดิการในทางประชานิยมทั้งหลายที่พรรคก้าวไกลใช้หาเสียง แต่บัดนี้น่าจะรู้แล้วว่าหลายอย่างไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้
4. เด็ก ๆ จำนวนมากต้องการเสรีภาพแบบไร้ขอบเขต อยากให้พรรคก้าวไกลมาปลดแอกให้หลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ที่เขามองว่ากดทับ
5. บางคนให้ความสำคัญกับเรื่องการเกณฑ์ทหาร ทั้งตัวเด็กหนุ่ม พ่อแม่ของเขา แฟนสาวของเขาที่ไม่อยากให้มีการเกณฑ์ทหาร
6. บางคนหลงรักพิธาแบบไม่สนใจคุณสมบัติ นิสัยอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจว่าจุดยืนทางการเมืองบางเรื่องของพิธาเป็นเช่นไร
7. พ่อแม่บางคนเลือกตามที่ลูกบอก เพราะถูกลูกขู่จะทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมบางอย่าง จึงต้องเลือกตามที่ลูกบอก
8. มีจำนวนหนึ่งที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเรื่องมาตรา 112 ตรงกับพรรคก้าวไกล ซึ่งน่าจะมีจำนวนน้อยกว่าเหตุผล 7 ข้อข้างต้น

แต่พรรคก้าวไกลกลับมาเน้นเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งไม่น่าจะใช่เหตุผลหลักที่ทำให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส. มากที่สุด 14 ล้านไม่ใช่เสียงข้างมาก และ 14 ล้านเสียงไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกลเพราะต้องการให้พรรคก้าวไกลมาแก้มาตรา 112

บางคนถามว่าถ้าก้าวไกลชนะแล้ว ทำไมพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แสดงว่าไม่เข้าใจว่าเราไม่ได้เลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง เราเลือก ส.ส. มาเลือกนายกฯ คนที่ไม่เลือกก้าวไกลมีมากกว่าคนที่เลือกก้าวไกลถึง 2 เท่า แต่เอามาปั่นกันว่า ส.ว. ไม่ฟังประชาชน (หมายถึงประชาชน 14 ล้าน) แล้วเขาจะฟังประชาชนที่ไม่เลือกก้าวไกล ที่มีมากกว่าคนที่เลือกก้าวไกลถึง 2 เท่ากว่าล่ะ ไม่ใช่ประชาชนหรือไร ไม่มีใครกลั่นแกล้งพิธา อย่างที่สร้างวาทกรรมกัน และที่ถามให้ไปเลือกตั้งทำไม ก็อยากถามว่า แล้วจะเป็น ส.ส. ถือหุ้นสื่อไว้ทำไม

อย่าเอาแต่ใจเลยนะใช้สมองคิด วิเคราะห์ แยกแยะบ้างเถอะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะคนในพรรคก้าวไกลเองที่ทำผิดกฎหมาย และมีทัศนะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ยอมรับกระบวนการรัฐสภา กระบวนการทางกฎหมายหน่อยนะ 

‘ฟลุค เดอะสตาร์’ ทวีตจวก ‘ก้าวไกล’ เป็นภาระ!! ชี้!! ถ้าตั้งรัฐบาลสำเร็จตั้งแต่แรก ‘เพื่อไทย’ ก็ไม่ซวย

(23 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพชร ธรรมมล หรือ ‘ฟลุค เดอะสตาร์’ นักร้อง นักแสดง ที่ผันตัวมาเล่นการเมืองภายใต้สังกัดพรรคเพื่อไทย ได้ทวีตข้อความ โดยระบุว่า…

“ถ้าก้าวไกลมีปัญญาทำให้สำเร็จแต่แรก วันนี้เพื่อไทยไม่ซวยนะ ภาระชิบหาย”

ทั้งนี้ ชาวทวิตเตอร์ต่างเข้ามารีทวีตข้อความดังกล่าว พร้อมกับแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

ต่อมา ฟลุค ยังทวีตเพิ่มเติมอีกว่า…

“แล้วไง? ใครจะเถียงว่า พท.ไม่ได้กำลังเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวความล้มเหลวที่ กก.ทิ้งไว้พา 8 พรรคไปต่อให้ไกลที่สุด ซึ่งผลมันก็มาจากคำโกหกว่า ส.ว.เป็นเสือกระดาษโหวตให้ 100 เสียง ชัวร์ไหน? วันนี้ พท.พยายามหาเสียงโหวตเพิ่ม แล้วก้าวไกลทำอะไรครับนอกจากปล่อย ส.ส.มาทวิตแขวะ? ทำตัวแบบนี้ก็ภาระจริงนะ ยืนยัน”

“ถ้าไม่เดินต่อในทางที่เดินได้ตามกติกาเพื่อร่าง รธน.ใหม่ตัดอำนาจ ส.ว.ในรอบหน้า อินฟลูทั้งหลายที่เอาข้าพเจ้าไปแขวนกับทัวร์ส้มจะออกมานำมวลชนปฏิวัติก็ได้นะครับ เชื่อว่าทำได้ จิตใจมันสู้กว่าใครอยู่แล้ว จะรอนะ💋🧡”

'หมออั้ม' กระตุก 'ด้อมส้ม' ตีกันโดยไร้หลักการสภาฯ ถึงเวลา 'ภูมิใจไทย' เสียบ ก็กรี๊ดคาบ้านแล้วกัน

(24 ก.ค.66) หมออั้ม อิราวัต อารีกิจ อดีตนักร้องค่ายดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ระหว่างที่ตีกัน โดยไม่เข้าใจหลักการสภาฯ' ระบุว่า...

ถ้าโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 จากพรรคเพื่อไทย
(ครั้งแรกพิธา จากก้าวไกล ในฐานะพรรคอันดับ 1) 
แล้วเกิดปัญหา โหวตไม่ผ่าน

การโหวตนายกฯ ครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้น

โดยพรรคอันดับที่ 3 คือ พรรคภูมิใจไทย
จะได้สิทธิ์ ในการจัดตั้งรัฐบาล รวมพรรคต่าง ๆ
ให้ได้เสียง เป็นรัฐบาลข้างมาก 

ซึ่งไม่ต้องคิดครับ เขาทำได้แน่ๆ

จะได้ยังไงอ่ะหมอ ตลกละ
เพราะก้าวไกล 151 + เพื่อไทย 141 ก็ 292 แล้วนะ
และพรรคร่วมอีก 6 พรรค เป็น 310+

ถ้าใครไม่เดียงสาทางการเมือง ก็จะคิดแบบนั้นล่ะครับ

แต่คนที่รู้ บอกเลย ว่า ‘อนุทิน’ จัดการได้
ถึงเวลานั้น ก็อย่า #กรี๊ดคาบ้าน ก็แล้วกัน
เมื่อสีที่เชียร์ ๆ กัน เปลี่ยนเป็นเขียว

งูเห่าในตำนาน พรรคไหนเลื้อยมากสุด
ผมคงไม่ต้องบอกนะครับ..

จะเลื้อยกันยั๊วเยี๊ยะในสภา อีกเกือบครึ่งร้อย

และนายกรัฐมนตรี จะเป็นขั้วเดิม
แถมมีศักยภาพเพิ่ม ไม่รู้อีกกี่ปี ระหว่างนั้น
ฝ่ายเผด็จการจะเรียนรู้และแทรกแซง
ไม่ให้เกิดการแก้กฎหมาย
ซ้ำต่ออายุกฎหมายเฉพาะกาลบางอย่าง
แบบที่เขาทำกันมาแล้ว

ต่อให้ยุบสภาฯ อีก เขาก็ยังเป็นต่อ

---------------------------

นาทีนี้ พวกซอมบี้คลั่ง ช่วยเอาหัวทุบกำแพง
แล้วเอาน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตนเองที 
ว่าที่กรี๊ดที่โหยหวนนี้ ต้องการอะไรกันแน่

และตกลงศัตรูของพวกคุณ คือใคร?
พรรคเพื่อไทย หรือ ฝั่งเผด็จการ

เมื่อเราเดินทางมาถึงจุดที่พรรคก้าวไกล 
ไม่สามารถไปต่อได้แล้ว ในจุดนี้
เราดัน เราพยุง เราโอบอุ้มเต็มที่แล้ว

ผมก็ขอฝากให้ พรรคเพื่อไทย 
มีความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด และตัดสินใจอย่าลังเล
เอาประโยชน์ของประเทศ เป็นที่ตั้ง
เพราะความหวังในการโหวตนายกฯ รอบ 2
อยู่ที่การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย

ภารกิจตอนนี้ คือ ประชาชนทั้งประเทศ
ไม่ใช่แค่พรรคใดพรรคหนึ่ง ที่เราช่วยสุด ๆ แล้ว

หันกลับมามอง Voter เพื่อไทยที่เหนียวแน่น
พวกเขาไม่ได้เลือกท่าน มาเป็นพรมเช็ดเท้าใคร
ไม่ได้เลือกท่านมาเป็นสนามอารมณ์ของใคร

และ เขาเลือกท่านมาเป็นรัฐบาล
ไม่ใช่ฝ่ายค้าน ที่ไร้ศักยภาพ

10 เดือน ถ้ารอ เจอรัฐประหารแน่
ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม พวกเขาสืบอำนาจแน่ๆ
แน่นอนว่าเศรษฐกิจทุกภาคส่วน พังยับ 
ปัญหาปากท้องประชาชนจะยิ่งวิกฤติ

เด็ดขาด และเงยหน้ามองประชาชน
เลิกก้มหน้า กุมเป้า แคร์แต่มิตรปลอมๆ
ที่คอยทิ่มแทง เหยียดหยามท่านไม่เว้นวัน

อ่อ ไม่ต้องกลัวจะสูญพันธุ์
เพราะไม่ว่าครั้งนี้ หรือครั้งไหนๆ
พวกปากแจ๋ว มันก็ไม่เลือกท่าน

แคร์คนที่แคร์ และลงคะแนนให้ท่านจริงๆ
จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า

‘พิธา’ ลั่น!! ถ้ามีพรรคลุงร่วมรัฐบาล จะไม่มีก้าวไกล

เมื่อวานนี้ 23 ก.ค. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากปราศรัยขอบคุณประชาชน ชาวจันทบุรี ระบุว่า…

“มีพรรคลุง ไม่มีก้าวไกล...ถ้าพรรคลุง หรือ พรรคทหารจำแลง เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ถ้าเป็นการเชิญเข้ามาร่วมรัฐบาลจริงๆ ก้าวไกลอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ ในสมการนั้น ถ้าเชิญมาร่วมรัฐบาลจริงๆ จะไม่มีก้าวไกล” 

‘วิโรจน์’ ลั่น!! ‘ก้าวไกล’ ยืดหยุ่น-รับฟังลดเพดานแก้ 112 ชี้!! ‘อุดมการณ์ต่างกัน’ แค่ข้ออ้างเตะออกจากพรรคร่วมฯ

(24 ก.ค. 66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ‘แนวคิดในการบริหารประเทศของพรรคก้าวไกล เป็นอย่างไร ทำไมต้องเกี่ยงต้องกลัวกันนัก’ ระบุว่า…

หากติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา กับคำสัมภาษณ์เกี่ยวกับมุมมองต่อพรรคก้าวไกลประมาณว่า “ไม่ได้ติดขัดแค่เรื่อง ม.112 แต่แนวทางอุดมการณ์ต่างกัน ไม่สามารถให้พรรคก้าวไกลมีอำนาจทางการเมืองมากไปกว่านี้ได้” และ “ไม่สามารถทำงานได้ หากมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล เพราะแนวความคิดต่างกัน” สะท้อนว่า ประเด็นเรื่องการแก้ไข ม.112 น่าจะเป็นเพียงข้ออ้าง อย่างที่หลายคนตั้งข้อสันนิษฐานไว้จริงๆ และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงข้ออ้างก็ตาม หาก สว. ท่านใด หรือพรรคการเมืองไหน ยังคงมีความกังวลในเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลก็ยินดีเปิดใจรับฟังครับ

เพียงแต่อยากให้สรุปเป็นข้อเสนอมาเลยว่า คำว่า “ถอย” หรือ “ลด” ที่พูดๆ กัน นั้นมีรายละเอียดอะไรบ้าง ผมเชื่อว่าหากไม่กระทบกับจุดยืน และเจตนารมณ์ที่ดีอย่างรุนแรง การยืดหยุ่นภายใต้สถานการณ์ที่เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการขยายกรอบระยะเวลา การจัดลำดับก่อนหลังในการดำเนินการ การมีกระบวนการเพิ่มเติม ในการทบทวนเนื้อหา และรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายอย่างรอบคอบรอบด้านมากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่พิจารณาได้

ที่ผ่านมาการแก้ไข ม.112 เราก็ยืดหยุ่นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการไม่บรรจุให้เป็น MOU ของ 8 พรรคร่วม และไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ต่อพรรคร่วมรัฐบาลเลย เอาว่าวาทกรรมเรื่อง “ถอย” หรือ “ลด” เอาเนื้อหามากางคุยกันก่อนดีกว่าครับ เพื่อจะได้คลี่คลายความกังวลร่วมกันอย่างเปิดเผย และเป็นรูปธรรม มิฉะนั้นเรื่อง ม.112 ก็จะถูกนำมาเป็นข้ออ้างลอยๆ แบบไม่จบไม่สิ้น

สำหรับข้อกล่าวหาที่ระบุว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกลนั้นมีความแตกต่าง ขนาดที่ถึงกับต้องพูดว่า ถ้ามีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วย จะทำงานไม่ได้ แถมยังปล่อยให้พรรคก้าวไกลมีอำนาจทางการเมืองไปมากกว่านี้ไม่ได้ ผมว่าประเด็นนี้ ทำให้ประชาชนอยากรู้นะครับว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกล ในการบริหารประเทศ นั้นเป็นอย่างไร ทำไมถึงกับต้องเกี่ยง ต้องกลัวกันถึงขนาดนี้ ผมตอบสั้นๆ ได้เลยครับว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกลในการจัดการงบประมาณ และการบริหารราชการแผ่นดิน จริงๆ แล้วเป็นเรื่องพื้นฐานที่ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาทำกัน และไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลยครับ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 8 ประเด็น ดังนี้

1. การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเอาจริงเอาจัง 
2. การเปิดเผยข้อมูลการบริหารราชการอย่างโปร่งใส การใช้จ่ายงบประมาณต้องมีประสิทธิภาพ 
3. การจัดการกับปัญหาทุนผูกขาด ให้ประชาชนมีโอกาสลืมตาอ้าปาก ประกอบกิจการตามความฝันของตน 
4. การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ไม่ยอมให้กลุ่มอภิสิทธิ์ชนเครือข่ายอุปถัมภ์ กินรวบทรัพยากรของประเทศ ยึดกุมสัมปทานที่เอารัดเอาเปรียบ มัดมือชกรีดนาทาเร้นประชาชน อย่างไม่เป็นธรรม 
5. การกระจายอำนาจ กระจายการลงทุนไปสู่ท้องถิ่น ไม่กระจุกความเจริญไว้ที่ส่วนกลาง 
6. การปรับปรุงสวัสดิการ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมกันในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน 
7. การลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า พร้อมที่จะแข่งขัน และร่วมมือกับนานาอารยประเทศ 
8. การปกป้องคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน ในฐานะที่ประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตย และกองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ไม่มีการทำรัฐประหารอีกต่อไป

แนวความคิดทั้ง 8 ข้อ ข้างต้น ล้วนเป็นเรื่องที่ดีทั้งสิ้น ผมไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่น่ากลัวเลยครับ คนที่บอกว่าทำงานกับแนวความคิดของพรรคก้าวไกลไม่ได้ อาจจะยังไม่เข้าใจก็ได้ ก็เลยรู้สึกกังวลไปเอง อย่างไรสามารถทบทวนใหม่ได้นะครับ ถ้าบอกว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกล จะทำให้โกงไม่ได้ ทุจริตไม่ได้ คอร์รัปชันไม่ได้ ฮั้วประมูลไม่ได้ อันนี้ผมจะไม่เถียงเลยสักคำ จริงๆ แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ อาจจะเป็นการปะทะกันระหว่างวลี 2 วลี อยู่ก็ได้นะครับ วลีแรก “กูไล่มึงออก มึงไม่ออกกูจะแดกยังไง” กับวลีที่สอง “กูไม่ออก ออกแล้วประชาชนจะเอาอะไรแดก” ซึ่งประชาชนคงต้องติดตามต่อไปว่าในท้ายที่สุดแล้ว วลี 2 วลีนี้ วลีไหนจะเป็นฝ่ายชนะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top