Thursday, 12 June 2025
ก้าวไกล

'อี้ แทนคุณ' จี้ 'ประธานวันนอร์' ดำเนินคดี-ปลด 'ปดิพัทธ์' หลังโพสต์ภาพคู่เหล้า ผิดพ.ร.บ.ควบคุมแอลกอฮอล์

(14 ส.ค.66) นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่หนึ่งของพรรคก้าวไกลโพสต์อวดรูปเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยี่ห้อหนึ่งทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ของ Padipat Suntiphada ในข้อความว่า... 

"เอาแล้วๆๆๆๆ พิษณุโลกมีคราฟท์เบียร์ตัวแรกอย่างเป็นทางการแล้วครับ เป็นของดีพิดโลกนอกจากกล้วยตากและหมีชั่วครับ"

ทั้งนี้ ถือเป็นการทำผิดมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติควบคุม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551บัญญัติ "ห้าม มิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อัน เป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม"  

โดยตนเป็นหนึ่งในคนที่เคยร่วมผลักดัน พ.ร.บ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อป้องกันมิให้การเผยแพร่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมากเกินไปจนนำมาซึ่งการเมามายขาดสติ เกิดอุบัติเหตุเกิดความสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทย 

แทนคุณ กล่าวอีกว่า แม้ว่าสุราพื้นถิ่นจะเป็นเรื่องที่สนับสนุนส่งเสริมอาชีพและการนำผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม แต่การโฆษณาชวนเชื่อโดยตรงหรือโดยอ้อมย่อมผิดกฎหมายชัดเจน และตัวนายปดิพัทธ์ สันติภาดา เป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรสมควรที่จะรู้และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งมาตรฐานทางจริยธรรมที่กำกับดูแลนักการเมืองไม่ให้ประพฤติชั่ว เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ย่อมทำให้ขาดสติและขาดความยับยั้งชั่งใจ เหมือนก่อนหน้านี้ที่มี ส.ส.ของก้าวไกลขาดสติ ขาดวุฒิภาวะไปกระทืบซ้ำคนล้มและเกิดวิวาทเพราะการเมา ซึ่งเชื่อว่าหากมีสติสัมปชัญญะที่ดีย่อมไม่ทำแบบอย่างที่เลวให้กับเยาวชนและสังคม

ดังนั้นจึงขอให้ท่านประธานวันนอร์ฮัมหมัดมู มะทา ได้โปรดพิจราณาดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าวและประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้เด็ดขาด มิให้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยทั้งนี้เชื่อว่าประชาชนคาดหวังการรักษากฎหมายของนักการเมืองมิให้ทำให้รัฐสภาต้องด่างพร้อยเพราะการกระทำของคนไม่กี่คนจากพรรคก้าวไกลอีก

'พิธา' ย้อนถาม 'กกต.' 2 ปมหุ้นไอทีวี สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ "เป็นธรรมหรือไม่?"

(15 ส.ค.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

เมื่อวานนี้มีข่าวออกมาว่าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของ กกต. มีมติว่าจะให้ยกคำร้องผมในคดีอาญามาตรา 151 เรื่องการรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังลงสมัคร จากการถือหุ้นไอทีวี โดยคณะกรรมการสืบสวนมีเหตุผลสำคัญว่า บริษัทไอทีวีไม่มีการดำเนินกิจการอยู่และไม่มีรายได้จากการเป็นสื่อ จึงไม่ถือว่าผมมีความผิด 

ผมยืนยันอีกครั้งว่า คดีหุ้นไอทีวีของผม เป็นที่น่าสงสัยว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ เพราะผมถือหุ้นนี้มาตลอดเวลาที่ทำงานการเมือง เป็น สส. มา 4 ปี แต่เพิ่งจะเกิดการร้องเรียนกันขึ้นในเวลาที่ผมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้าการเสนอชื่อผมต่อสภาไม่กี่วัน รวมถึงมีหลักฐานความผิดปกติมากมายที่บ่งชี้ว่ามีความพยายามปลุกปั้นให้บริษัทไอทีวีซึ่งเลิกกิจการสื่อไปนานกว่า 10 ปี กลับมาเป็น ‘หุ้นสื่อ’ ให้ได้ 

มาวันนี้ ที่มีการเปิดเผยมติของคณะกรรมการไต่สวนออกสู่สาธารณะแล้วว่าผมไม่ผิด ทำให้มีประเด็นคำถามที่ผมขอถามไปยัง กกต. ดังนี้

1. คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดังกล่าว ซึ่งทำคดีมาตรา 151 (คดีอาญา) มีมติก่อนที่ กกต. จะพิจารณาส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ถึงแม้ว่า กกต จะอ้างว่า การพิจารณาของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เป็นคนละกระบวนการกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่คณะกรรมการสืบสวนฯ ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่รวบรวมพยานหลักฐานและเรียกพยานบุคคลมาสอบข้อเท็จจริง ได้เห็นข้อเท็จจริงว่า ไอทีวีมิได้ประกอบกิจการสื่อและมิได้มีรายได้จากกิจการสื่อมวลชนในขณะที่ผมสมัครรับเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กกต. กลับยังยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยละเลยข้อเท็จจริงบางประการที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้หยิบยกมาพิจารณา และละเลยแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางหลักเรื่องการมีรายได้และที่มาของรายได้เป็นเกณฑ์ว่าบริษัทใดเป็นสื่อหรือไม่

2. การที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนมีมติว่า หุ้นไอทีวีไม่ใช่หุ้นสื่อ นอกจากจะสอดคล้องกับแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็สอดรับกับความเห็นของประชาชนทั่วไปอีกด้วย ดังนั้น การสั่งให้ผมหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทั้ง ๆ ที่ไอทีวี และอินทัช ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ล้วนแต่มีเอกสารงบการเงินยืนยันว่า ไอทีวีหยุดประกอบกิจการ และไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อ ประกอบกับคดีหุ้นสื่อ (นอกจากคดีคุณธนาธร) ของ สส. ปี 2563 ประมาณ 60 คน ศาลก็ไม่ได้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด แต่ในคดีผม กลับสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ผมจึงขอให้สังคมพิจารณาว่าการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ผม มีความเป็นธรรมหรือไม่

'รองอ๋อง' แจง!! โพสต์รูปเบียร์ แค่ดื่มโชว์ว่าผื่นไม่ขึ้น แต่ถ้ามองมุมกฎหมาย ยอมรับว่า 'มีโอกาสผิด'

(16 ส.ค.66) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่มีการสอบถามมายังตน แต่ก็เห็น นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาพิพากษาแล้ว ก็เป็นสิทธิของนายราเมศ ตนเป็นบุคคลสาธารณะก็รับฟัง โดยเรื่องนี้ตนเห็นแล้วว่า มาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีปัญหา ซึ่งคราฟต์เบียร์ดังกล่าว ได้มีการทำขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลก ผู้ผลิตไม่รู้จะเปิดตัวอย่างไร

“ผมก็เลยลองไต่เส้นดู ไม่ได้เชิญชวนให้มาดื่มกันแต่แจ้งให้ทราบว่ามีแล้ว ผมลองกินให้ดูก่อน เพราะคราฟต์เบียร์ คนส่วนมากต่างแค่ว่ากินแล้วผื่นขึ้นหรือไม่ จะแพ้หรือไม่ มีมาตรฐานอุตสาหกรรม ผมจึงดื่มให้ดูนอกเวลาราชการ ไม่ได้มีเจตนาท้าทายกฎหมาย ทุ่มเทมา 3 ปี ก็อยากจะบอกเพื่อน ๆ ว่าวันนี้เสร็จแล้วนะ ก็โดนเลย”

เมื่อถามต่อว่า ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะเรามีกฎหมายระบุไว้ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า หากมองมุมกฎหมายล้วน ๆ ตนยอมรับว่า มีโอกาสผิด และกฎหมายข้อนี้เกิดมาตั้งแต่ปี 2551 หลังรัฐประหารปี 2549 ตอนช่วงที่ตนยังเด็ก ก่อนหน้านั้น มีโฆษณา ทำให้ติดภาพในการโฆษณา ตนเข้าใจว่า ยุคนั้นยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการจำกัดในสื่อหลัก ห้ามอยู่ในโฆษณาทีวี วิทยุโทรทัศน์ โรงหนัง แต่ตั้งแต่ปี 2551 มาก็มีความบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดบอกส่วนประกอบยังไม่ได้

นายปดิพัทธ์ ย้ำว่า เมื่อกฎหมายเป็นแบบนี้ เจ้าใหญ่ก็เลยใช้วิธีเลี่ยงบาลีไปโฆษณาน้ำแร่ น้ำดื่ม ตนจึงคิดว่า เรื่องนี้เป็นกฎหมายไม่เป็นธรรม เอาเปรียบคนตัวเล็กตัวน้อย ซึ่งมีความพยายามแก้ไขกฎหมายข้อนี้มานานมาก ขอ ครม. ก็มีแต่คำปฏิเสธ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องอารยะขัดขืน หากมีการเปรียบเทียบปรับก็จะยินดีที่จะไปจ่าย แต่ตอนนี้ยังไม่มีหมายเรียกชี้แจง ซึ่งคาดว่าจะมี

เมื่อถามว่า เป็นการพลาดหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นไก่กับไข่ ถ้ามีประชาชนโดนกฎหมายข้อนี้ก็ถึงจะไม่มีเวลาที่จะต้องแก้ แต่หากมีคนสนใจก็อาจมีการแก้ก็ได้ ก่อนมีสุราคราฟต์เบียร์ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม.พรรคก้าวไกล ก็โดนจับก่อน ทำไมต้องแก้ก่อนแล้วค่อยทำ นอกจากนี้ กฎหมายหลายข้อยังออกมาในช่วงยุค คสช. เช่น การห้ามขายสุราในวันพระใหญ่ การจัดโซนนิง

“ผมก็เลยทำหน้าที่ สส.พิษณุโลก มีอะไรดีในจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร ผมไม่ได้ทำแค่เรื่องเบียร์ ผมพาไปเที่ยวด้วย พาไปดูอาหารการกินด้วย” นายปดิพัทธ์ กล่าว

ส่วนกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา ไปร้องหน่วยงานต่าง ๆ ให้ตรวจสอบ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เขาก็ไปทุกเรื่อง ร้องทุกเรื่อง ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไร ตนเห็นหนังสือแล้ว ต้องรอตั้งคณะกรรมการสอบสวนก่อน ยืนยันว่า พร้อมชี้แจง หากผิดก็ยอมรับ

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งรองประธานสภา ตามคำพูดของนายศรีสุวรรณ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่าหากเรามีความกลัว ทำได้แค่ใส่เครื่องแบบเซ็นเอกสาร โดยที่ไม่คิดจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ตนคิดว่า ตำแหน่งแบบนี้ก็ไม่ค่อยคุ้มค่า เพราะฉะนั้น ตนคิดว่า ต้องทำทั้ง 2 อย่าง เวลาที่ทำหน้าที่ในสภาก็เป็นมืออาชีพ ตนไม่หวั่นไหว หากจะขอโทษสักเรื่องคงจะเป็นการขอโทษหลายท่านที่ตนแสดงบทบาทไม่เหมาะสม แต่หากถามว่าพลาดหรือไม่ ยืนยันว่า มันไม่ได้พลาด มองว่า ลักษณะนี้คล้ายกับกฎหมายขับรถเกินอัตราเร็ว ตนไม่ได้บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คิดว่าเป็นการเล่นงานทางการเมืองหรือไม่

'ศิริกัญญา' แจงประเด็น "คลังลงทุนอาบอบนวด...เมื่อไรขาย?" รู้อยู่แล้ว!! ไม่ได้เข้าซื้อหุ้นโดยตั้งใจ แต่ได้จากการยึดทรัพย์ของปปง.

(18 ส.ค.66) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความชี้แจงจากกรณีที่อภิปรายในสภาฯ ประเด็นลงทุนอาบอบนวด?? ตกลงขายได้มั้ย? ว่า...

เมื่อวันพุธ ดิฉันได้อภิปรายซักถามเกี่ยวกับรายงานการเงินแผ่นดินไป ไล่เรียงคำถามตั้งแต่การบริหารจัดการที่ราชพัสดุ งบประมาณที่ลงบัญชีว่าเบิกจ่ายเกินกว่าที่สภาอนุมัติ ไปจนถึงเงินลงทุนประเภทต่าง ๆ ของแผ่นดินที่กระทรวงการคลังบริหารแทน ซึ่งรวมถึงบริษัทที่ประกอบกิจการอาบอบนวด 5 บริษัท ที่ดิฉันได้สอบถามผู้มาชี้แจงว่าถือไว้ทำไม เมื่อไหร่จะขาย

กลายมาเป็นประเด็นโจมตีตามภาพ จึงขอชี้แจงและให้ข้อมูลที่ถูกต้องดังนี้ค่ะ

> คลังไม่ได้ลงทุนในอาบอบนวด

...ทราบดีค่ะ ว่ากระทรวงการคลังไม่ได้เข้าซื้อหุ้นโดยตั้งใจ และได้มาจากการยึดทรัพย์ของ ปปง. ซึ่งได้อภิปรายเรื่องนี้ไปแล้วด้วย สไลด์ก็เขียนอยู่ว่ามาจากยึดทรัพย์ เราไม่ควรอ่านแต่พาดหัวข่าวนะคะ ควรอ่านเนื้อข่าว หรือย้อนฟังการอภิปรายเต็ม ๆ เพื่อให้เข้าใจ

> การขายทอดตลาดทรัพย์สินใด ๆ เมื่อคดีสิ้นสุดเป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม

...กรณีนี้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำที่ผิดกฎหมายตกเป็นของแผ่นดิน และให้ตกเป็นของกระทรวงการคลัง ตามมาตรา 51 พ.ร.บ. ปปง.

การบังคับคดีสิ้นสุดตั้งแต่ตอนที่โอนหุ้นมาเป็นของกระทรวงการคลังเมื่อ 11 ปีก่อนแล้วค่ะ

อำนาจการจำหน่ายสินทรัพย์ก็อยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ที่ทำหน้าที่หลักทรัพย์

และถ้าฟังจนถึงผู้ชี้แจงจากสคร. ตอบคำถามดิฉัน ก็จะทราบว่าเค้าอยากจะขายค่ะ แต่ขายไม่สำเร็จ ราคาไม่เป็นที่พอใจ

กรมบังคับคดีจะมาขายทอดตลาดได้ยังไงก่อน...!!

เรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งทราบ แต่ได้ซักถามกระทรวงการคลังมาหลายปีเกี่ยวกับหุ้นที่ถือเหล่านี้ทั้งที่ได้จากนโยบาย (ในอดีต) และที่ได้จากการยึดทรัพย์ สคร.ก็พูดตลอดว่าจะพยายามจำหน่ายออก แต่จำหน่ายไม่ออกซักที

ที่ต้องมาเร่งรัด เพราะเมื่อต้นปีก็มีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับบริษัทนี้ ทั้งเรื่องผู้ถือหุ้นใหม่ ที่เกี่ยวพันกับทุนจีน และการจับกุมเพราะเปิดโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จึงไม่อยากให้หน่วยงานรัฐต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ค่ะ

จึงขออนุญาตชี้แจง เพราะไม่ได้แค่คนเดียวที่เข้าใจผิด คนระดับครูบาอาจารย์ก็ยังกระจายข่าวด้วยอคติไปทั่ว เดี๋ยวประชาชนจะเชื่อข้อมูลที่ผิด ๆ ค่ะ

'สมชัย' ยัน!! จุดประสงค์ 'งบรับรอง' ต้องเพื่องานราชการเท่านั้น แนะ 'หมออ๋อง' รีบเอาเงินส่วนตัวไปคืน จะไม่ถือเป็นความผิด

(20 ส.ค. 66) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีที่ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ใช้งบประมาณสำหรับเลี้ยงรับรอง เลี้ยงหมูกะทะแม่บ้านอาคารรัฐสภา จำนวน 370 คน เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา โดย นายสมชัย ระบุว่า...

"งบรับรอง มีวัตถุประสงค์การใช้ชัดเจน ต้องเป็นเพื่องานราชการ ไม่สามารถใช้ตามใจชอบได้ ระเบียบราชการมีอยู่ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสมควรทักท้วง หากใช้ไปแล้วก็ยังไม่จบ สตง.สามารถเข้ามาตรวจสอบได้เพราะเป็นเงินหลวง การแก้ไข ไม่ยากครับ เอาเงินส่วนตัวมาจ่ายคืน ไม่ถือเป็นความผิด"

'ช่อ' โยนบาป 'พท.' ขวางตั้งรัฐบาล เหตุไม่เอา ภท.  ทั้งที่ความเป็นจริง 'พิธา' เคยพูดเองว่าไม่เอา ภท.

(20 ส.ค. 66) มีรายงานว่า ขณะนี้มีข้อความและคำพูดของ น.ส. พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล แชร์ว่อนเน็ต หลังไปออกรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ระบุถึงย้อนไปถึงเหตุการณ์ ครั้งที่ ‘พรรคก้าวไกล’ จัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เป็นเพราะพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องให้ พรรคภูมิใจไทย เข้าร่วมรัฐบาล ท้้งที่หากได้ 71 เสียงของพรรคภูมิใจไทย จะได้เสียง เกิน 376 เสียงเป็นนายกฯ ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่ง สว. พร้อมระบุว่า ถ้าเรื่องที่ตัวเองพูดไม่จริง ก็บอกมาว่าไม่จริง

ขณะที่ข้อเท็จจริงช่วงนั้น ผู้ที่ไม่เอาพรรคภูมิใจไทย ร่วมรัฐบาล ก็คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทุกแขนงเมื่อวันที่ 15 พ.ค. หลังวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. มั่นใจเสียงของ 8 พรรคเดิม ก่อนจะเพิ่มเป็น 312 เสียง เพราะเชื่อว่าในขณะนั้นจะได้เสียงสนับสนุนเป็นนายกฯได้ ก่อนถูกรัฐสภาโหวตคว่ำในเวลาต่อมา

‘รองอ๋อง’ ชี้ สส. ต้องทำงานรับใช้ประชาชน เพราะประชาชนทุกคนคือเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

‘รองอ๋อง’ ชี้ สส. ต้องทำงานรับใช้ประชาชน เพราะประชาชนทุกคนคือเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

ไม่นานมานี้ 'หมออ๋อง' ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ได้โพสต์ข้อความจากการร่วมเวทีกิจกรรมเสริมสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย สำนักประชาสัมพันธ์รัฐสภาร่วมกับคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ห้องประชุมสัมมนา อาคารรัฐสภา ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ผมเป็นสัตวแพทย์ คุณเป็นครู เราเรียนจบก็ได้ใบประกอบวิชาชีพ

แต่การจะเป็น สส.ได้ ต้องไปขอคะแนนเสียง เพราะฉะนั้นอาชีพนี้จึงศักดิ์สิทธิ์มาก แต่ความศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ได้ทำให้ผมกับคุณต่างกัน

ผมทำหน้าที่ของผม พวกคุณเป็นคนมอบอาณัติให้ผมเพราะฉะนั้นคุณเป็นเจ้าของอำนาจ

ประชาชนต้องเชื่อเรื่องนี้ให้ได้ ไม่ใช่เลือกตั้งเสร็จผมเป็นเจ้านายพวกคุณ พวกคุณจ้างผมทำงาน เพราะฉะนั้นผมต้องรับใช้พวกคุณ นี่คือสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้น โตไปเป็นครูขอให้สอนเด็ก ๆ ว่าพวกคุณคือ ‘เจ้าของประเทศ’

'วิโรจน์' ยินดีร่วมงาน ‘ณัฐวุฒิ’ เดินหน้าผ่านร่างกฎหมาย คืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง-ทำงานเพื่อ ปชช.ด้วยกัน

(21 ส.ค. 66) จากกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เปิดเผยผ่านรายการคุยนอกจอ ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ยุติบทบาทผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย (พท.) แล้ว โดยเรื่องนี้บอกผู้ใหญ่ของพรรคเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม

ในช่วงหนึ่ง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เอาใจช่วยพรรคเพื่อไทย (พท.) อยากให้พรรคทำสำเร็จในสิ่งที่ประกาศไว้กับประชาชน อยากให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งฉบับ อยากให้มีการผ่าน พ.ร.ป.ป.ป.ช. ซึ่งจะส่งผลให้ญาติของผู้เสียชีวิตในคดีสลายการชุมนุม 2553 ที่ราชประสงค์และแยกคอกวัว สามารถฟ้องศาลได้โดยตรง

นายณัฐวุฒิระบุว่า ผมได้ฝากฝังกับเพื่อน ๆ น้อง ๆ ส.ส.ว่าถ้าพรรคจะเสนอกฎหมายนี้ ซึ่งต้องเสนอ และต้องเสนอเป็นลำดับต้น ๆ ด้วย ถ้าไม่เสนอเจอผมแน่ แต่ถ้าเสนอกฎหมายนี้ผมขอทั้ง 141 เสียงของพรรค พท. เข้าเสนอชื่อ ผลักดันกฎหมายนี้สำเร็จ และจะขอ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้ช่วยด้วย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ถึงกรณีดังกล่าวว่า สำหรับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดงนั้นเป็นความมุ่งมั่นที่อยู่ในหัวใจของผมอยู่แล้ว พี่เต้นประสานผมมาได้ทุกเมื่อครับ ผมพร้อมร่วมมือกับพี่เต้นอย่างเต็มที่

ยินดีที่จะได้ร่วมกันกับพี่เต้นนะครับ

ยินดีต้อนรับครับพี่ แล้วเรามาทำงานเพื่อประชาชนร่วมกันครับ

'ชัยธวัช' ขอ ปชช. อย่าถอดใจแม้ผิดหวังทางการเมือง ชี้!! หากช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองได้

(22 ส.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล อภิปรายย้ำ สส.พรรคก้าวไกล ไม่โหวตให้ เศรษฐา เป็นนายกฯ ไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติ แต่เพราะรัฐบาลข้ามขั้วขัดเจตจำนงประชาชน ย้ำประชาชนต้องจ่ายด้วยการสูญเสีย ‘ความหวัง-อำนาจ-ศรัทธา’ ฝากประชาชนอย่าหมดหวังการเมือง
 

'สรยุทธ' หยิบภาพประสานใจ 'พิธา-หมอชลน่าน' โปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' เพราะใช้ภาพจริงไม่ได้

(24 ส.ค. 66) รายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต้องโปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' แต่ไม่สามารถใช้ภาพจากละครได้ เนื่องจากอาจโดนเรื่องลิขสิทธิ์ จึงใช้ภาพ ‘พิธา-หมอชลน่าน’ แทนในการโปรโมตละคร พร้อมกับโดยระบุว่า…

“ภาพประกอบก็ไม่มี แต่ก็อยากโปรโมตให้เหลือเกิน จำเป็นต้องโปรโมต เกมรักทรยศ เป็นเรื่องราวของชีวิตคู่ที่สงบสุข และสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ของหมอเจน (รับบทโดยแอน ทองประสม) จิตแพทย์ชื่อดัง กับสามีรูปหล่อชื่ออธิน (รับบทโดยอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) เจ้าของโรงแรมที่กำลังขาดทุน โดยหมอเจนเกิดความสงสัยว่าสามีจะมีชู้ เพราะเห็นเส้นผมปริศนาจากผ้าพันคอ และความจริงก็คือคนรอบตัวรู้เห็นเป็นใจให้สามีนอกใจหมอเจน”

นายสรยุทธกล่าวต่อว่า “ขอเดาว่า จะต้องมีการเอาคืน จะประมาณว่า ‘อย่าเพิ่งรีบตาย’ อย่าเพิ่งรีบเป็นอะไรไปนะ จริง ๆ เราจำเป็นต้องโปรโมตละครเรื่องนี้นะ”

ทั้งนี้ภาพที่นำขึ้นมาประกอบละคร ‘เกมรักทรยศ’ เป็นภาพ 8 พรรคร่วมรัฐบาลนำโดยพรรคก้าวไกล จัดแถลงข่าวที่พรรคประชาชาติ โดยในครั้งนั้นนายพิธาและหมอชลน่านได้ทำท่าประสานมือเป็นรูปหัวใจถ่ายรูปต่อหน้าสื่อมวลชน

ต่อมาเป็นภาพวันที่ก้าวไกลแถลงส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และภาพเหตุการณ์วันที่พรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ มาเยือนพรรคเพื่อไทย และดื่มเครื่องดื่ม ‘ช็อกมิ้นต์’ ด้วยกัน โดยตลอดช่วงที่โปรโมตละครใช้เพลง ‘คืนความสุขให้ประชาชน’ ก่อนที่จะมีคอมเมนต์ขอให้ปิดเพลง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top