Sunday, 15 June 2025
ก้าวไกล

‘ชูวิทย์’ แนะ ‘ก้าวไกล’ ต้องรู้จัก ‘ประนีประนอม’ หากดึงดัน ‘แก้ ม.112’ จะถูกผลักกลับไปเป็นฝ่ายค้าน

(10 ก.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ หัวข้อ ‘ทางเลือกของก้าวไกล’ ระบุว่า ก้าวไกลได้รับเสียงจากประชาชนกว่า 14 ล้านเสียง แต่ยังต้องลุ้นเสียง ส.ว. อีกว่าจะโหวตผ่านให้พิธาเป็นนายกฯ หรือแม้แต่จะให้ก้าวไกลอยู่ในสูตรจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่

อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า ‘มีก้าวไกล ไม่มี ส.ว.’ ก้าวไกลต้องเลือก หากต้องการเป็นรัฐบาลต้องเลิกแตะ ม.112 แต่การถอย คือการฆ่าตัวตายทางการเมือง เพราะมีจุดยืนหาเสียงไว้ชัดเจน ก้าวไกลยืนกรานไม่ถอย และเดินสายขอบคุณประชาชนถี่ยิบเพื่อให้เห็นว่า ‘เข้าตามตรอก ออกตามประตู’ เดินตามกติกาประชาธิปไตย สร้างความหวังให้คนเห็น แต่อำนาจในการบริหารประเทศไม่มีใครยกให้ง่าย ๆ เหมือนอย่างที่พูด ‘มีลุง ไม่มีเรา’

ก้าวไกลต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อจะได้โอกาสบริหารประเทศต่อไป หากยุ่งเกี่ยวกับ ม.112 ได้ไปเป็นฝ่ายค้านแน่ แต่การผลักให้ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน เป็นแค่การเลื่อนเวลา และกลับจะทำให้ก้าวไกลเข้มแข็งขึ้น หากก้าวไกลได้บริหารประเทศ จะได้เห็นข้อผิดพลาดมากกว่าจากมือใหม่ ที่ต้องไปเจอระบบราชการที่เขี้ยวลาก อย่าคิดว่าจะจัดการได้ทุกเรื่องในเวลาที่จำกัด และเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย

ก้าวไกลจะถูกโดดเดี่ยว แม้ว่าได้คะแนนเสียงมาก แต่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ที่ต้องต่อสู้กับระบบเก่า การเมืองคือการประนีประนอม หากไม่ประนีประนอม ก็หมายถึงสงคราม ก้าวไกลต้องเรียนรู้เพื่อก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ก้าวไปเป็นเงื่อนไขให้ถูกผลักกลับไปแบบเดิมอีก

ทุกวันนี้ประชาชนมองก้าวไกลเสมือนหนุ่มสาวที่มีไฟอุดมการณ์คุกรุ่น ในประเทศที่การเมืองอยู่ในมือของคนรุ่นเก่า เลือกมาผิดหรือถูก อนาคตตัดสินได้ เป็นบทพิสูจน์ว่าความหวังฝากไว้ที่คนรุ่นใหม่ได้หรือไม่ ไม่มีประเทศไหนฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นเก่า มันแค่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

'ก้าวไกล' ส่งหนังสือด่วนถึง กกต. คัดค้านส่งเรื่องวินิจฉัย กรณี 'พิธา' ถือหุ้นสื่อไอทีวีไปยังศาลรัฐธรรมนูญ 

(10 ก.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้ส่งหนังสือด่วนไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อคัดค้านการที่ กกต. จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยกรณีหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนที่ระเบียบ กกต. ระบุไว้เอง มีความเร่งรัดเกินกว่าเหตุ จนน่าสงสัยในเจตนาของ กกต. ว่ากระทำโดยความเป็นกลางหรือไม่

นายชัยธวัชกล่าวว่า ตามระเบียบของ กกต. เมื่อมีการร้องเรียนผู้สมัครคนใดเกี่ยวกับการกระทำหรือการขาดคุณสมบัติ คณะกรรมการต้องไต่สวน สืบสวน รวบรวมข้อเท็จจริง จากนั้นให้แจ้งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ผู้ถูกร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้องเข้าไปชี้แจง จากนั้นจึงดำเนินการต่อไปในการส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ในกรณีนี้ เมื่อมีการไต่สวนรวบรวมข้อเท็จจริงแล้ว ยังไม่มีการแจ้งข้อเท็จจริงให้พิธาทราบ และยังไม่มีการเรียกเจ้าตัวไปชี้แจงด้วย แต่กลับจะมีการเร่งรัดส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเท่ากับ กกต. กำลังทำผิดระเบียบของตนเองอยู่

“ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ อีกเพียง 4 วัน ก็จะถึงการโหวตนายกรัฐมนตรี การที่จู่ๆ กกต.จะเร่งรัด ทำข้ามขั้นตอน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทันที อาจทำให้สังคมตั้งคำถามได้ว่าองค์กรอิสระทำหน้าที่อย่างไม่เป็นกลาง มีเป้าประสงค์ทางการเมืองหรือไม่ ผมเชื่อว่าประชาชนเฝ้ารอการโหวตนายกรัฐมนตรีกันทั้งประเทศ จึงไม่ควรมีการกระทำใดๆ ที่จะขัดขวางการตั้งรัฐบาลตามครรลองประชาธิปไตย” นายชัยธวัชกล่าว

'อี้ แทนคุณ' ประณาม 'พิธา-ก้าวไกล' นำเด็ก 10 ขวบเอี่ยวการเมือง หลังให้ขึ้นเวทีกล่าว Hate Speech ขัดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก

(10 ก.ค. 66) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลนำเด็ก 10 ขวบขึ้นไปพูดบนเวทีการเมือง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ถือเป็นการกระทำที่สิ้นคิดไร้สำนึกทางสิทธิมนุษยชน ขัดหลักการสากล ว่าด้วยสิทธิเด็กที่องค์กรสหประชาชาติก็ให้ความสำคัญ กับหลักการ 'กันเด็กออกจากการเมือง' และ 'เด็กต้องได้รับความคุ้มครองจากการแสวงประโยชน์กับเด็กในทุกรูปแบบจากรัฐ' 

โดยหลักการอนุสัญญา ว่าด้วยสิทธิเด็กที่จัดทำขึ้นในปี พ.ศ.2532 เป็นข้อตกลงด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ได้รับการรับรองมากที่สุดในโลกถึง 196 ประเทศ ข้อตกลงฉบับประวัติศาสตร์นี้คือ การที่ผู้นำทั่วโลกได้มาร่วมให้สัญญากับเด็กๆ ทุกคนให้ได้รับความคุ้มครองดูแลอย่างเต็มที่ โดยประเทศไทยลงนามภาคยานุวัติรับรอง เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 นั่นหมายความว่า รัฐบาลมีพันธะผูกพันที่จะดำเนินการให้เด็กๆ ทุกคนในประเทศให้ได้รับสิทธิตามอนุสัญญาฯ ดังกล่าว 

การที่พรรคก้าวไกลนำเด็ก 10 ขวบขึ้นเวทีสัมภาษณ์โดยมีการพูด Hate Speech ซึ่งเป็นเแนวคิดเดียวกันกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลและขบวนการปลุกปั่นทางสังคมและการเมืองส่งผลต่อเด็กและเยาวชนตามปรากฏในโซเชียลมีเดียต่างๆ ดังที่คนเคยตั้งข้อสังเกตไว้แล้วก่อนหน้านี้ ตนจึงขอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และรัฐสภา ได้เข้ามามีส่วนในการตรวจสอบพฤติกรรมของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยเฉพาะนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่จัดเวทีดังกล่าวที่มีการนำเด็กมา สัมภาษณ์ทางการเมืองบนเวทีดังกล่าว ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าเป็นเวทีการเมืองของพรรคก้าวไกล

นอกจากนี้ ยังขอเรียกร้องไปยังขบวนการภาคประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก ให้มาช่วยเหลือดูแล ดำเนินการกับกรณีดังกล่าวโดยเร่งด่วนอย่านิ่งเฉยหายเงียบเหมือนกรณี ส.ส.ทำร้ายแฟนสาว เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิของเด็ก ไม่ให้ถูกพรรคการเมืองใดนำไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไป

‘ปรเมษฐ์ ภู่โต’ ย้ำ!! บทบาท ส.ว. ใต้รัฐธรรมนูญ 60  อย่าละเลย 'ตรรกะ' ที่ถูกต้อง บนอำนาจที่พึงมี

(10 ก.ค. 66) นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ออกอากาศทางช่อง NBT ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดย ส.ว. ระบุว่า...

เรื่องของการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคมนี้ ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ก็จะลงคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นตัวยืนในการโหวตครั้งนี้ หลังมีพรรคร่วม 8 พรรคเป็นผู้เสนอชื่อนั้น

ประเด็นที่น่าสนใจ นอกจากประเด็นที่ว่า พรรคก้าวไกลจะหาเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ได้หรือไม่ ซึ่งล่าสุดคุณไหม ศิริกัญญา ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าได้เสียงจาก ส.ว. ครบถ้วนแล้ว ตอนนี้ก็กำลังหาเสียงสำรองไว้เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้อีกจำนวนเล็กน้อย แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหาเสียงได้ครบแล้วจริงๆ ทำไมพรรคก้าวไกลนั้นดูร้อนรนเหลือเกิน มีการเปิดเวที เพื่อขอบคุณประชาชน ในหลายจังหวัดไม่ว่าจะเป็นในนครราชสีมา หรือที่จังหวัดสุพรรณบุรี ล่าสุดก็เป็นที่เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

สื่อหลายสำนักก็ยังได้วิเคราะห์ว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์นั้น ยังไม่สามารถหาเสียงจาก ส.ว. ได้ครบ แต่ก็มี ส.ว.อีกบางส่วนได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะสนับสนุนนายพิธา

ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ได้ให้อำนาจ ส.ว.ไว้ว่า มีหน้าที่ที่จะต้องให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะพูดกัน และจะเป็นประเด็นสำคัญมากกว่าที่ ส.ว.จะเลือกหรือไม่เลือก พิธา หากแต่คุณจะใช้เหตุผลหรือตรรกะใดในการที่จะยกมือหรือไม่ยกมือให้นายพิธา เป็นนายกฯ ตรงนี้มากกว่าที่น่าสนใจ

แน่นอนว่า ส.ว.บางท่านที่ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะ สนับสนุนให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เพราะว่าพิธาได้รับเสียงส่วนใหญ่เสียงข้างมาก จากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเท่ากับว่าเป็นเสียงแห่งฉันทามติของพี่น้องประชาชน ส.ว.ก็จะโหวตให้กับนายพิธา เพราะถือว่าทำตามฉันทามติของประชาชน...นี่คือเหตุผลของส.ว.คนที่มีจุดยืนในการเลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี

ทว่า การที่ ส.ว. ใช้เรื่องฉันทางมติมาเพื่อจะโหวตสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็อยากจะขอถามไปยังท่าน ส.ว. ด้วยว่า ทำไมท่านใช้ตรรกะนี้ในการเลือกโดยไม่พิจารณาคุณสมบัติอื่น โดยเฉพาะคุณสมบัติส่วนบุคคล ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ จะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาในการทำงาน 

ที่ถามเช่นนี้ เพราะถ้าใช้ตรรกะนี้ในการทำงานอีกหน่อย ส.ส. พิจารณากฎหมายขึ้นมา จนมาถึงชั้นส.ว. ทาง ส.ว. ก็ต้องให้ผ่านไปเลย โดยไม่ต้องพิจารณาอะไรอีก เพราะว่าเสียงข้างมากของสภาฯ ผู้แทนราษฎรเขาผ่านเขาเห็นชอบกฎหมายฉบับนั้นๆมาแล้ว จะใช้ตรรกะเดียวกันแบบนี้จริงๆ หรือ?

แล้ว ถ้าท่าน ส.ว. อ้างเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นฉันทามติมาจากประชาชน แล้ว ส.ว. ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 60 นี้มีที่มาอย่างไร ส.ว.ก็มาจากรัฐธรรมนูญ แล้วรัฐธรรมนูญปี 60 มาจากไหน รัฐธรรมนูญปี 60 ก็มาจากประชาชน

ร่างรัฐธรรมนูญปี 60 ประชาชนไปลงรับร่างประมาณ 16,800,000 คน คิดเป็นประมาณ 61% ของผู้มาใช้สิทธิ์ ในขณะที่คำถามพ่วงเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีของ ส.ว. ก็ได้รับคะแนนเสียงประมาณ 15,100,000 คิดเป็น 58% ของผู้ที่เดินทางมาใช้สิทธิ์ 

คำถาม คือ เจตจำนงของคนที่ไปลงคะแนนเมื่อปี 2560 คืออะไร? ประชาชนเหล่านี้เขาได้ให้อำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ให้อำนาจ ส.ว. ในการกลั่นกรองนายกรัฐมนตรีอีกชั้นหนึ่งหลังจากที่ผ่าน ส.ส.มาแล้ว ซึ่งก็กระทำการกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอนใช่หรือไม่?

ถ้าใช่!! ที่มาของท่าน ส.ว.นั้น ก็ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ท่านจะทำ เพราะเมื่อท่าน ส.ว.ได้ถูกเลือกมาแล้วโดยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ระบุอำนาจหน้าที่ของท่าน ส.ว.ไว้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรบ้าง และที่สำคัญก็เป็นรัฐธรรมนูญที่คุณพิธา และพรรคก้าวไกลใช้ในการเลือกตั้งด้วย

แต่หากพวกท่าน ส.ว.ไม่คิดจะทำการอันใด รอฟังแต่เสียงจาก ส.ส.ส่วนใหญ่...ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านก็ไม่ควรที่จะทำหน้าที่ ส.ว. อีกต่อไป

'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' ตอบข้อซักถามที่ว่า... "ถ้านายกฯ ไม่ใช่พิธา แล้วพรรคเพื่อไทยขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล พิธาจะสนับสนุนหรือไม่?"

"ถ้านายกฯ ไม่ใช่พิธา แล้วพรรคเพื่อไทยขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล พิธาจะสนับสนุนหรือไม่?"
 

‘ครูหยุย’ เช็ก!! ตัวเลข ส.ว.โหวตเลือกพิธา  ปั่นข่าวกระพือ 20 แต่ตัวเลขแท้จริงคือ 10 

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 66) เฟซบุ๊ก ‘วัลลภ ครูหยุย ตังคณานุรักษ์’ ของนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้โพสต์ภาพอินโฟกราฟิกของสำนักข่าวออนไลน์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เปิดรายชื่อ 20 ส.ว. โหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ตามเสียงข้างมาก ส.ส. โดยได้กากบาทคนที่ตรวจสอบแล้วไม่ใช่ พร้อมระบุว่า เพื่อความชัดเจน ตามนี้เลยครับ สอบถามทุกคนในภาพมาแล้ว ตัวเลขปั่นจนข่าวเอาไปลงคือ 20 ตัวเลขแท้จริงคือ 10 ครับ"

สำหรับ ส.ว.ที่นายวัลลภระบุว่าสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 
1. นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ 
2. นพ.อำพล จินดาวัฒนะ 
3. นายทรงเดช เสนอคำ 
4. นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม
5. นายวันชัย สอนศิริ 
6. นายมณเทียร บุญตัน 
7. นางประภาศรี สุฉันทบุตร 
8. นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ 
9. นายพิศาล มาณวพัฒน์ 
และ 10. นายพีระศักดิ์ พอจิต

อ๋อม - สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นักแสดงชื่อดัง อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โพสต์อินสตาแกรม oomsakaojai

(12 ก.ค. 66) จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศวางมือทางการเมือง

ล่าสุด อ๋อม - สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นักแสดงชื่อดัง อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โพสต์อินสตาแกรม oomsakaojai ระบุว่า ประกาศวางมือแล้วยังไม่พอนะ แต่ต้องสำนึกผิดและขอรับโทษกับการก่อกรรมที่ทำไว้ด้วย และย้ายบ้านซะ เปลืองงบว่ะ จะดีกว่าแค่วางมือ

‘นพ.เจตน์’ ฉุน!! สื่อประโคมข่าวโหวต ‘พิธา’ นั่งนายกฯ  ลั่น!! ถ้ายังแตะ ม.112 จะไม่ได้ 64 เสียงจากตนและพวก

(12 ก.ค. 66) นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มีการเผยแพร่รายชื่อตามโซเชียลมีเดียว่าเป็น 1 ใน 20 สว. โหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

เล่นไม่เลิก

กรณีสื่อทั้งหลายจับชื่อผมไปอยู่ข้างที่จะโหวตให้พิธา ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ แม้จะปฏิเสธอย่างไร แม้จะโพสต์ FB และพูดจุดยืนชัดเจนผ่าน TV และสื่อไปหลายครั้งแล้ว

ในขณะที่ไม่มีคนของพรรคติดต่อ Lobby มา เข้าใจว่าคงไม่อยากเสียเวลาเปล่า

เชื่อว่าเจตนาเป็นเช่นเดียวกับที่พยายามออกข่าวว่า หาเสียง ส.ว. สนับสนุนได้เพียงพอแล้ว
ทั้งที่รู้กันดีว่า เสียงยังขาดอีกเยอะ ผสมกับการออกปลุกระดมทั่วประเทศของหัวหน้าพรรค

เพื่อสร้างความรู้สึกโกรธแค้นให้ด้อมส้ม

เมื่อผิดหวังในวันที่ 13 ก.ค. ความรู้สึกย่อมรุนแรงขึ้น

แต่ ถ้ายังแตะม.112 อยู่
ไม่ได้ 64 เสียงจากผมและเพื่อน สว. แน่นอนครับ

ฉากทัศน์ 13 กรกฎา ตอกย้ำ 'พิธา' ไม่ผ่านด่าน 376 เสียง รัฐบาลหน้าไม่มี 'ก้าวไกล' แต่มี 'รวมไทยสร้างชาติ'

สถานการณ์การเมืองเขม็งเกรียวถึงจุดเลี้ยวโค้งสำคัญ...การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย ซึ่งนาทีนี้แน่นอนแล้วว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เหตุเพราะนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศวางเมืองทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้ร่ำลาผ่านเพจของพรรคเรียบร้อยไปแล้ว...

บางคนบอกว่าตราบใดที่ยังเป็นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อย่าเพิ่งตัดชื่อบิ๊กตู่ออกไป แต่ 'เล็ก เลียบด่วน' ขอบอกว่าอย่าไปคิดมากขนาดนั้น ปวดหัวเปล่าๆ

'ลุงตู่' แกบอกเป็นนัยแล้วว่า...ท้องฟ้าแจ่มใส...ไม่ใช่หรือ?

เอาเป็นว่า...เรามาสรุปเหตุบ้านการเมือง และการเลือกนายกรัฐมนตรีกันดีกว่า...

>> อันเนื่องจากการประกาศวางมือการเมืองของบิ๊กตู่ โดยลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ  ไม่เพียงทำให้ตัวเลือกนายกรัฐมนตรีชัดเจนขึ้นเท่านั้น ยังทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียงเป็นตัวแปรในการจัดสูตรรัฐบาลที่ไม่มีพรรคก้าวไกลได้ง่ายขึ้น เพราะอย่างน้อยพรรคนี้ 'ไม่มีลุง' แล้ว  หากแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้บทบาทและรับข้อเสนอของพรรค 36 เสียงพรรคนี้ได้ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น...

>> สถานการณ์การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.ซึ่งผลจากประชุมวิปฝ่ายต่างๆ ทำให้ทราบว่าจะลงคะแนนโหวตกันจริงๆ ก็ประมาณ 5 โมงเย็น  โดยก่อนหน้านั้นจะเป็นการอภิปรายถกเถียงกันในประเด็นต่างๆ รวมถึงการแสดงวิสัยทัศน์แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะมีเพียงผู้เดียวคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

>> ทั้งนี้การอภิปรายที่จะถกเถียงกันให้วุ่นวายแน่นอนก็คือ กฎกติกามารยาทในการโหวต ตั้งแต่การลงมติที่ฝ่ายหนึ่งต้องการให้โหวตแยกทีละสภานัยว่าเพื่อจะเอา 312 เสียงไปเกทับ 250 เสียงของส.ว. อีกฝ่ายบอกต้องคละเคล้ากันไปตามลำดับอักษรรายชื่อ จนไปถึงความพยายามของฝ่ายพรรคก้าวไกลที่คงขอสงวนสิทธิ์ในการเสนอชื่อนายพิธาเป็นครั้งที่สองหรือครั้งที่สามหากครั้งแรกไม่ผ่าน  376 เสียง ในขณะที่ฝ่ายสมาชิกวุฒิสภาหลายคนโดยเฉพาะนายเสรี สุวรรณภานนท์ ได้เงื้อข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 ไว้คัดง้างแล้ว..

เอ้า!! ดูข้อบังคับข้อที่ 41 ประดับความรู้ไว้นิด

“ญัตติใดตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นมาเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน เว้นแต่ญัตติที่ยังมิได้มีการลงมติหรือญัตติที่ประธานรัฐสภาจะอนุญาต ในเมื่อพิจารณาเห็นว่าเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป”

ครับ...แค่เรื่องนี้ก็คงเถียงกันลั่นรัฐสภา...แต่ทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรน่าสนใจว่าในที่สุดจะมีเสียงโหวตสนับสนุนเกินจาก 311 เสียงของ 8 พรรคไปกี่เสียง มีเสียง ส.ว.สนับสนุนกี่เสียงกันแน่ เพราะข้อมูลของ 'เล็ก เลียบด่วน' มากสุดยังนิ่งอยู่ที่ 15 เสียงบวกลบ...สรุปคือพิธาสอบไม่ผ่าน...ดูอาการของแกนนำพรรคก้าวไกลก็พอจะรู้...ดูออก

>> พูดไปทำไม...สถานการณ์ตอนนี้วงในการเมืองนั้นข้ามช็อตออกแบบสูตรรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกันแล้ว...โจทย์ของพรรคเพื่อไทยตอนนี้คือ ถ้าพรรคก้าวไกลยึดคาถาเพื่อไทยไปไหนก้าวไกลไปด้วยขึ้นมาจะสลัดได้อย่างไร...เพราะทั้งพรรครัฐบาลขั้วเดิมและ ส.ว.ส่วนใหญ่นั้น นอกจากไม่โหวตให้พิธาแล้ว  ยังไม่เอาพรรคก้าวไกลด้วย...

มีการพูดกันถึงขั้นที่ว่า...สมมุติช็อตต่อๆ ไปพรรคเพื่อไทยเสนอ 'เศรษฐา ทวีสิน' เป็นนายกฯ แต่ส่วนผสมรัฐบาลมีพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ด้วย คะแนนเศรษฐาก็จะไม่ผ่าน 376 เสียง...สุดท้ายอาจเลี่ยงไม่พ้นที่จะเปลี่ยนเป็น 'อุ๊งอิ๊ง' หรือ 'อนุทิน' หรือ 'ลุงป้อม' เป็นนายกฯ ของรัฐบาลที่ไม่มีพรรคก้าวไกล...

แต่มี รวมไทยสร้างชาติ !!

‘ปรเมษฐ์’ ยก ‘ลุงตู่’ เหนื่อยเพื่อชาติ ผลงานเด่นชัด แต่ ‘ก้าวไกล’ คงเหนื่อยหนัก ยิ่งใกล้วันตัดสินชะตา

(12 ก.ค.66) จากไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กของ ‘นายปรเมษฐ์ ภู่โต’ สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ออกอากาศทางช่อง NBT ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีใจความว่า...

“การประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยโพสต์ลงในเพจ Facebook ของพรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น ถือว่าเป็นที่ชัดเจนแน่นอนและปลดล็อกในหลายเรื่อง โดยในสาระสำคัญของประกาศดังกล่าวนั้น ได้มีการพูดถึงความตั้งใจของท่านที่ได้เข้ามาทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศชาติ แล้วก็ขอบคุณพี่น้องประชาชน รวมทั้งฝากฝังพี่น้องประชาชนให้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

“ฉะนั้นหากใครที่ยังคิดว่า ลุงตู่จะมีแผนไม้ 1 ไม้ 2 ไม้ 3 เพื่อวางแผนจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถึงเวลานี้ก็น่าจะ ‘เลิกคิดกันได้แล้ว’ แต่แน่นอนว่ายังมีคนมองไปอีกหลายมุม ว่าถ้าลุงตู่ไม่อยู่แล้ว เงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ‘คุณพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือแม้แต่ ‘คุณเอกนัฎ พร้อมพันธุ์’ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่า ประการแรก จะไม่ขอร่วมรัฐบาลกับพรรคที่จะแก้หรือยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 และ ประการที่ 2 จะไม่เอาแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อย”

อย่างไรก็ตาม หากมองตามเกมการเมืองแล้ว นายปรเมษฐ์ เชื่อว่า “หลายคนคงเริ่มมองออกว่า พรรคก้าวไกล อย่างไรก็ไม่น่าจะไปต่อได้ และนั่นก็อาจจะเกิดสมการ ‘พรรคเพื่อไทย’ ดึงพรรคภูมิใจไทย, พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติไปรวมกัน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะว่า ‘เมื่อไม่มีลุงอยู่แล้ว’ ก็จะหมดเงื่อนไขในการไม่มาร่วม

“ถึงกระนั้น ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้โพสต์ Facebook เกี่ยวกับการลาออกของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยบอกว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้หารือเกี่ยวกับเส้นทาง ทางการเมือง โดยได้บอกกับคุณพีระพันธุ์ว่า ตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้นไม่มีความประสงค์จะแสวงหาอำนาจทางการเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แค่อยากขอโอกาส สอนงานต่อในสิ่งที่มุ่งหวังตั้งใจ แต่เมื่อไม่มีโอกาสนั้น หรือก็คือการเลือกตั้งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ได้เสียงมาไม่มากพอ รวมทั้งตัวท่านพลเอกประยุทธ์เองก็ถูกนำไปโยงให้พรรครวมไทยสร้างชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์...ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของท่าน ซึ่งมีความเกรงใจคนอื่นอยู่เสมอ และเกรงว่าจะทำให้พรรครวมไทยสร้างชาตินั้นมีปัญหา รวมทั้งมีการพยายามสร้างประเด็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงมีประกาศดังกล่าวออกมา”

นายปรเมษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า “หากมองภาพการณ์ดังนี้ ก็พอจะสรุปได้ว่า ลุงตู่ คงอยากจะทำงานทางการเมืองต่อ แต่ไม่ใช่เพราะอยากจะแสวงหาอำนาจ แต่อยากจะเข้ามาสานงานต่อ อย่างที่พวกเราคนไทยก็ได้รู้กันว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ทำงานหลายสิ่งหลายอย่างไว้ เยอะแยะ ซึ่งหลายโครงการนั้นก็ต้องการ การสานงานต่อ มิเช่นนั้นประเทศชาติจะเสียโอกาส อย่างเช่นโครงการ EEC ที่ตอนนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก หรือแม้กระทั่ง แนวคิดแกนหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศนั่นก็คือ การวางรากฐานอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็ได้มาลงทุนตั้งโรงงานเพื่อผลิตขายในประเทศไทยและก็ส่งออก โดยประเทศไทยก็ตั้งไว้ว่าจะเป็น ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนี้ก็คือสิ่งที่จะต้องสั่งงานต่อเพราะว่าเราได้ทำมาเยอะแล้ว แต่ก็น่าเป็นห่วงว่า ถ้าหากรัฐบาลใหม่ไม่สานงานต่อมันก็จะเสียโอกาสของประเทศชาติ”

นายปรเมษฐ์ ชี้ให้เห็นภาพอีกว่า “สิ่งที่อยากจะคุยในวันนี้ก็คือว่า ถ้าเราไม่ปิดตาปิดใจกันจนเกินไปกับสิ่งที่ลุงตู่ทำมา เราก็จะเห็นว่า ‘วาทกรรม 8 ปีไม่มีอะไรนั้น’ มันเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อด้อยค่าคนทำงานคนหนึ่ง ถ้าเราเอาเรื่องหนัก ๆ ในการทำงานลุงตู่มาวิเคราะห์กัน ก็จะเห็นว่า ท่านเข้ามาในช่วงที่บ้านเมืองมีปัญหา มีขยะอยู่ใต้พรมมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องของประมง ที่เราถูกสารภาพยุโรป EU ให้ใบเหลือง ทำให้เรามีปัญหาในการส่งสินค้าประมงออกไปขายในสหภาพยุโรป ทำให้เขามีมาตรการที่กีดกันเรา ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา สะสางปัญหา สุดท้ายก็แก้ปัญหาได้จนสหภาพยุโรป EU ยกเลิกใบเหลือง หรือแม้แต่เรื่องของการบินพลเรือน ที่เราถูกสหภาพการบินพลเรือนให้ธงแดงเพราะว่า เราไม่มีมาตรฐาน สุดท้ายเราก็แก้ปัญหานี้ได้จากความร่วมมือกันของทุก ๆ ฝ่าย

“ท่านพลเอกประยุทธ์พูดเสมอ ว่าประเทศไทยติดอยู่ในกับดักของประเทศที่มี ‘รายได้ปานกลาง’ มายาวนาน ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงไม่สามารถหลุดพ้นจากกลับจากนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าเรา ‘ไม่มีโครงการใหญ่ ๆ ที่จะพาให้ประเทศนั้นพุ่งไปข้างหน้า ได้อย่างมีพลัง’ ท่านพลเอกประยุทธ์ จึงพยายามที่จะผลักดันโครงการ EEC ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ให้เราเห็นแล้วว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาเข้ามาทำงานนะ”

นายปรเมษฐ์ กล่าวอีกว่า “หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ว่ารัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างยกตัวอย่างเช่นรถไฟรางคู่ มีทั้งที่ทำเสร็จแล้วมีทั้งที่อนุมัติโครงการไปแล้ว มีทั้งที่กำลังก่อสร้าง ก็ต้องถือว่าประเทศไทยได้พัฒนาระบบรางไปมากมาย ถือว่าเป็นยุคที่มีการก่อสร้างทางรางมากที่สุด ยกตัวอย่าง 1 โครงการ ก็คือ รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเส้นทางนี้มีการศึกษากันมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2503 แต่ก็ไม่ได้ก่อสร้างกันสักทีมาถึงยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่กำลังลงมือก่อสร้างกัน ขณะที่อีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดง อย่างการก่อสร้างระบบรางในกรุงเทพฯและปริมณฑล นั่นก็คือ ‘การสร้างรถไฟฟ้า’ ที่ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็คือผลงานซึ่งเป็นที่ประจักษ์”

นายปรเมษฐ์ เสริมด้วยว่า “แต่ก็ต้องยอมรับกันว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกอยู่ในวงล้อมของสงครามสื่อ ที่เสียเปรียบ เวลาทำเรื่องอะไรที่มันดี ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ก็ไม่มีการเอาไปขยายผลเท่าที่ควร แต่ถ้าหากพลาดอะไรไปนิดเดียว หรือบางทีไม่ได้พลาดเลย แต่ก็มีเฟกนิวส์เข้ามาโจมตีกันเต็มไปหมด กลายเป็นการสร้างความรู้สึก ‘เบื่อลุงตู่’ แบบผลิตซ้ำขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งคนส่วนหนึ่งที่รับข้อมูลแค่บางด้านบางมุม ก็รู้สึกคล้อยตาม แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ควรต้องให้ความเป็นธรรมกับคนที่เขาทำงาน”

หลังจากจบประเด็นการประกาศวางมือทางการเมืองของ พลเอกประยุทธ์ แล้ว นายปรเมษฐ์ ยังได้วิเคราะห์ต่อถึงอนาคตของ ‘พรรคก้าวไกล’ อีกด้วยว่า “ความคืบหน้าของการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ วันนี้พรรคก้าวไกล รวบรวมเสียงของ ส.ว.ได้เท่าไหร่แล้ว เพราะจุดชี้ขาดที่แท้จริงที่จะทำให้ ‘นายพิธา’ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็คือเสียงของ ส.ว. ต้องได้เสียงของ ส.ว. อย่างน้อย 67 เสียง 

“โดยปัจจุบันฟากแนวร่วมก่อตั้งรัฐบาลก็มีเสียงของ ส.ส. 312 เสียงแล้ว แต่ต้องได้เสียงรวมกันอย่างน้อย 376 เสียง ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณศิริกัญญา ตันสกุล ผู้ที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาให้ข่าวว่าได้เสียงสนับสนุนครบแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดนี้ ก็ทำให้บรรดาด้อมส้มก็ตีปีกกันใหญ่เลย แต่เมื่อมาดูความเป็นจริงกัน เสียงของ ส.ว.ประมาณ 70 เสียง ที่คุณศิริกัญญา พูดถึงก็ยังไม่เห็นว่ามีใครบ้าง แต่จากแหล่งข่าวก็เห็นอยู่ว่ามีเสียงอยู่แค่ประมาณ 20 คน และ 1 ใน 20 คนนั้นก็คือ ‘ครูหยุย’ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ซึ่งครูหยุยก็ได้โพสต์ Facebook บอกว่าตัวเลข ส.ว. ที่สนับสนุนนั้นมีอยู่แค่เพียง 10 คน เท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้ก็ตรงกับสำนักข่าวหลายๆ สำนักที่ได้คำนวณกันไว้

“ยิ่งล่าสุด นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ได้เล่าให้ฟังว่า ในการประชุมพรรคร่วม ก็มีการถามไถ่พรรคก้าวไกลด้วยว่า ได้รวบรวมเสียง ส.ว. ได้กี่เสียงแล้ว? ซึ่งคุณชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ได้ตอบว่า ไม่ได้มีเสียง ส.ว. หนุนเท่าไร แต่ก็กำลังพยายามหาอยู่ ซึ่งมันขัดแย้งกับสิ่งที่คุณศิริกัญญา ได้เคยพูดไว้ โดยตรงกันข้ามกันเลย”

ฉะนั้น หากให้พูดตามความจริง แบบไม่ปั้นแต่ง...สถานการณ์ของ ‘พรรคก้าวไกล’ กับความหวังในการดันนายพิธาเป็นนายกฯ ก็ร่อแร่พอสมควร...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top