‘ปรเมษฐ์’ ยก ‘ลุงตู่’ เหนื่อยเพื่อชาติ ผลงานเด่นชัด แต่ ‘ก้าวไกล’ คงเหนื่อยหนัก ยิ่งใกล้วันตัดสินชะตา

(12 ก.ค.66) จากไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กของ ‘นายปรเมษฐ์ ภู่โต’ สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ออกอากาศทางช่อง NBT ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีใจความว่า...

“การประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยโพสต์ลงในเพจ Facebook ของพรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น ถือว่าเป็นที่ชัดเจนแน่นอนและปลดล็อกในหลายเรื่อง โดยในสาระสำคัญของประกาศดังกล่าวนั้น ได้มีการพูดถึงความตั้งใจของท่านที่ได้เข้ามาทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศชาติ แล้วก็ขอบคุณพี่น้องประชาชน รวมทั้งฝากฝังพี่น้องประชาชนให้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

“ฉะนั้นหากใครที่ยังคิดว่า ลุงตู่จะมีแผนไม้ 1 ไม้ 2 ไม้ 3 เพื่อวางแผนจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถึงเวลานี้ก็น่าจะ ‘เลิกคิดกันได้แล้ว’ แต่แน่นอนว่ายังมีคนมองไปอีกหลายมุม ว่าถ้าลุงตู่ไม่อยู่แล้ว เงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ‘คุณพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือแม้แต่ ‘คุณเอกนัฎ พร้อมพันธุ์’ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่า ประการแรก จะไม่ขอร่วมรัฐบาลกับพรรคที่จะแก้หรือยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 และ ประการที่ 2 จะไม่เอาแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อย”

อย่างไรก็ตาม หากมองตามเกมการเมืองแล้ว นายปรเมษฐ์ เชื่อว่า “หลายคนคงเริ่มมองออกว่า พรรคก้าวไกล อย่างไรก็ไม่น่าจะไปต่อได้ และนั่นก็อาจจะเกิดสมการ ‘พรรคเพื่อไทย’ ดึงพรรคภูมิใจไทย, พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติไปรวมกัน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะว่า ‘เมื่อไม่มีลุงอยู่แล้ว’ ก็จะหมดเงื่อนไขในการไม่มาร่วม

“ถึงกระนั้น ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้โพสต์ Facebook เกี่ยวกับการลาออกของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยบอกว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้หารือเกี่ยวกับเส้นทาง ทางการเมือง โดยได้บอกกับคุณพีระพันธุ์ว่า ตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้นไม่มีความประสงค์จะแสวงหาอำนาจทางการเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แค่อยากขอโอกาส สอนงานต่อในสิ่งที่มุ่งหวังตั้งใจ แต่เมื่อไม่มีโอกาสนั้น หรือก็คือการเลือกตั้งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ได้เสียงมาไม่มากพอ รวมทั้งตัวท่านพลเอกประยุทธ์เองก็ถูกนำไปโยงให้พรรครวมไทยสร้างชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์...ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของท่าน ซึ่งมีความเกรงใจคนอื่นอยู่เสมอ และเกรงว่าจะทำให้พรรครวมไทยสร้างชาตินั้นมีปัญหา รวมทั้งมีการพยายามสร้างประเด็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงมีประกาศดังกล่าวออกมา”

นายปรเมษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า “หากมองภาพการณ์ดังนี้ ก็พอจะสรุปได้ว่า ลุงตู่ คงอยากจะทำงานทางการเมืองต่อ แต่ไม่ใช่เพราะอยากจะแสวงหาอำนาจ แต่อยากจะเข้ามาสานงานต่อ อย่างที่พวกเราคนไทยก็ได้รู้กันว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ทำงานหลายสิ่งหลายอย่างไว้ เยอะแยะ ซึ่งหลายโครงการนั้นก็ต้องการ การสานงานต่อ มิเช่นนั้นประเทศชาติจะเสียโอกาส อย่างเช่นโครงการ EEC ที่ตอนนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก หรือแม้กระทั่ง แนวคิดแกนหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศนั่นก็คือ การวางรากฐานอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็ได้มาลงทุนตั้งโรงงานเพื่อผลิตขายในประเทศไทยและก็ส่งออก โดยประเทศไทยก็ตั้งไว้ว่าจะเป็น ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนี้ก็คือสิ่งที่จะต้องสั่งงานต่อเพราะว่าเราได้ทำมาเยอะแล้ว แต่ก็น่าเป็นห่วงว่า ถ้าหากรัฐบาลใหม่ไม่สานงานต่อมันก็จะเสียโอกาสของประเทศชาติ”

นายปรเมษฐ์ ชี้ให้เห็นภาพอีกว่า “สิ่งที่อยากจะคุยในวันนี้ก็คือว่า ถ้าเราไม่ปิดตาปิดใจกันจนเกินไปกับสิ่งที่ลุงตู่ทำมา เราก็จะเห็นว่า ‘วาทกรรม 8 ปีไม่มีอะไรนั้น’ มันเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อด้อยค่าคนทำงานคนหนึ่ง ถ้าเราเอาเรื่องหนัก ๆ ในการทำงานลุงตู่มาวิเคราะห์กัน ก็จะเห็นว่า ท่านเข้ามาในช่วงที่บ้านเมืองมีปัญหา มีขยะอยู่ใต้พรมมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องของประมง ที่เราถูกสารภาพยุโรป EU ให้ใบเหลือง ทำให้เรามีปัญหาในการส่งสินค้าประมงออกไปขายในสหภาพยุโรป ทำให้เขามีมาตรการที่กีดกันเรา ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา สะสางปัญหา สุดท้ายก็แก้ปัญหาได้จนสหภาพยุโรป EU ยกเลิกใบเหลือง หรือแม้แต่เรื่องของการบินพลเรือน ที่เราถูกสหภาพการบินพลเรือนให้ธงแดงเพราะว่า เราไม่มีมาตรฐาน สุดท้ายเราก็แก้ปัญหานี้ได้จากความร่วมมือกันของทุก ๆ ฝ่าย

“ท่านพลเอกประยุทธ์พูดเสมอ ว่าประเทศไทยติดอยู่ในกับดักของประเทศที่มี ‘รายได้ปานกลาง’ มายาวนาน ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงไม่สามารถหลุดพ้นจากกลับจากนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าเรา ‘ไม่มีโครงการใหญ่ ๆ ที่จะพาให้ประเทศนั้นพุ่งไปข้างหน้า ได้อย่างมีพลัง’ ท่านพลเอกประยุทธ์ จึงพยายามที่จะผลักดันโครงการ EEC ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ให้เราเห็นแล้วว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาเข้ามาทำงานนะ”

นายปรเมษฐ์ กล่าวอีกว่า “หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ว่ารัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างยกตัวอย่างเช่นรถไฟรางคู่ มีทั้งที่ทำเสร็จแล้วมีทั้งที่อนุมัติโครงการไปแล้ว มีทั้งที่กำลังก่อสร้าง ก็ต้องถือว่าประเทศไทยได้พัฒนาระบบรางไปมากมาย ถือว่าเป็นยุคที่มีการก่อสร้างทางรางมากที่สุด ยกตัวอย่าง 1 โครงการ ก็คือ รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเส้นทางนี้มีการศึกษากันมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2503 แต่ก็ไม่ได้ก่อสร้างกันสักทีมาถึงยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่กำลังลงมือก่อสร้างกัน ขณะที่อีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดง อย่างการก่อสร้างระบบรางในกรุงเทพฯและปริมณฑล นั่นก็คือ ‘การสร้างรถไฟฟ้า’ ที่ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็คือผลงานซึ่งเป็นที่ประจักษ์”

นายปรเมษฐ์ เสริมด้วยว่า “แต่ก็ต้องยอมรับกันว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกอยู่ในวงล้อมของสงครามสื่อ ที่เสียเปรียบ เวลาทำเรื่องอะไรที่มันดี ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ก็ไม่มีการเอาไปขยายผลเท่าที่ควร แต่ถ้าหากพลาดอะไรไปนิดเดียว หรือบางทีไม่ได้พลาดเลย แต่ก็มีเฟกนิวส์เข้ามาโจมตีกันเต็มไปหมด กลายเป็นการสร้างความรู้สึก ‘เบื่อลุงตู่’ แบบผลิตซ้ำขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งคนส่วนหนึ่งที่รับข้อมูลแค่บางด้านบางมุม ก็รู้สึกคล้อยตาม แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ควรต้องให้ความเป็นธรรมกับคนที่เขาทำงาน”

หลังจากจบประเด็นการประกาศวางมือทางการเมืองของ พลเอกประยุทธ์ แล้ว นายปรเมษฐ์ ยังได้วิเคราะห์ต่อถึงอนาคตของ ‘พรรคก้าวไกล’ อีกด้วยว่า “ความคืบหน้าของการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ วันนี้พรรคก้าวไกล รวบรวมเสียงของ ส.ว.ได้เท่าไหร่แล้ว เพราะจุดชี้ขาดที่แท้จริงที่จะทำให้ ‘นายพิธา’ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็คือเสียงของ ส.ว. ต้องได้เสียงของ ส.ว. อย่างน้อย 67 เสียง 

“โดยปัจจุบันฟากแนวร่วมก่อตั้งรัฐบาลก็มีเสียงของ ส.ส. 312 เสียงแล้ว แต่ต้องได้เสียงรวมกันอย่างน้อย 376 เสียง ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณศิริกัญญา ตันสกุล ผู้ที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาให้ข่าวว่าได้เสียงสนับสนุนครบแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดนี้ ก็ทำให้บรรดาด้อมส้มก็ตีปีกกันใหญ่เลย แต่เมื่อมาดูความเป็นจริงกัน เสียงของ ส.ว.ประมาณ 70 เสียง ที่คุณศิริกัญญา พูดถึงก็ยังไม่เห็นว่ามีใครบ้าง แต่จากแหล่งข่าวก็เห็นอยู่ว่ามีเสียงอยู่แค่ประมาณ 20 คน และ 1 ใน 20 คนนั้นก็คือ ‘ครูหยุย’ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ซึ่งครูหยุยก็ได้โพสต์ Facebook บอกว่าตัวเลข ส.ว. ที่สนับสนุนนั้นมีอยู่แค่เพียง 10 คน เท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้ก็ตรงกับสำนักข่าวหลายๆ สำนักที่ได้คำนวณกันไว้

“ยิ่งล่าสุด นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ได้เล่าให้ฟังว่า ในการประชุมพรรคร่วม ก็มีการถามไถ่พรรคก้าวไกลด้วยว่า ได้รวบรวมเสียง ส.ว. ได้กี่เสียงแล้ว? ซึ่งคุณชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ได้ตอบว่า ไม่ได้มีเสียง ส.ว. หนุนเท่าไร แต่ก็กำลังพยายามหาอยู่ ซึ่งมันขัดแย้งกับสิ่งที่คุณศิริกัญญา ได้เคยพูดไว้ โดยตรงกันข้ามกันเลย”

ฉะนั้น หากให้พูดตามความจริง แบบไม่ปั้นแต่ง...สถานการณ์ของ ‘พรรคก้าวไกล’ กับความหวังในการดันนายพิธาเป็นนายกฯ ก็ร่อแร่พอสมควร...