Monday, 16 June 2025
WORLD

โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง โกยคะแนนแตะ 270 ผงาดปธน.คนที่ 47

(6 พ.ย. 67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 กำลังจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไปถัดจากนายโจ ไบเดน โดยผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการระบุว่า นายทรัมป์จากรีพับลิกันชนะเลือกตั้งด้วยคะแนน Electoral College 266 เสียง มีชัยเหนือนางกมลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตที่ได้คะแนน 194

แม้ว่าผลการประกาศคะแนนรัฐสวิสสเตตทั้ง 7 รัฐจะยังไม่ครบ แต่ก็มีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะคว้าชัย หลังพรรครีพับลิกันยึดครองรัฐที่เป็นสมรภูมิรบอย่างเพนซิลเวเนีย นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย และครองตำแหน่งนำในอีก 4 รัฐ ซึ่งทำให้นางแฮร์ริสโอกาสริบหรี่จะตีคะแนนขึ้นนำได้

นายทรัมป์ได้ขึ้นเวทีที่ศูนย์ประชุมเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริด้า ประกาศชัยชนะเหนือพรรคแดโมแครต ซึ่งถือเป็นการกลับมาอย่างน่าทึ่งทางการเมือง 4 ปีหลังจากที่เขาออกจากทำเนียบขาว

ทรัมป์ได้รับเสียงเชียร์จากผู้สนับสนุนในงานเลี้ยงฉลองการเลือกตั้งที่ Palm Beach Convention Center ในฟลอริดา โดยมีครอบครัวและ JD Vance เพื่อนร่วมทีมของเขาขึ้นเวทีร่วมด้วย

ทรัมป์กล่าวที่ Palm Beach County Convention Center ว่า "ผมกลับมาแล้ว ... อเมริกาได้มอบอำนาจที่ไม่เคยมีมาก่อนและทรงพลังให้กับเรา"

ยูเครนรบเกาหลีเหนือครั้งแรก เซเลนสกี โวยตะวันตกเมินเฉยไม่จัดการคิม

โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ยืนยันรายงานที่ว่ากองทัพยูเครนได้ปะทะกับทหารเกาหลีเหนือเป็นครั้งแรก พร้อมชี้ว่านี่ถือเป็นบทใหม่ของความไม่มั่นคงระดับโลก

สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า เซเลนสกีแถลงผ่านวิดีโอบนเว็บไซต์ประธานาธิบดียูเครนเมื่อวันอังคาร (5 พ.ย.) ว่า "การสู้รบครั้งแรกกับทหารเกาหลีเหนือได้เปิดบทใหม่ของความไม่มั่นคงในโลกใบนี้" 

เซเลนสกีกล่าวขอบคุณชุมชนระหว่างประเทศที่แสดงการตอบสนองต่อการส่งทหารเกาหลีเหนือไปประจำการในรัสเซีย โดยไม่เพียงแต่แสดงความห่วงใย แต่ยังเตรียมมาตรการสนับสนุนยูเครนในการป้องกันตนเอง "เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ความพยายามของรัสเซียในการขยายสงครามล้มเหลว ทั้งในกรณีของรัสเซียและเกาหลีเหนือ" เขากล่าวเสริม

รุสเตม อูเมรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยูเครน ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ KBS ของเกาหลีใต้ ยืนยันว่าการปะทะระหว่างกองทัพยูเครนและทหารเกาหลีเหนือได้เกิดขึ้นแล้ว แม้จะเป็นการสู้รบระดับไม่รุนแรง แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของสถานที่และเวลา โดยระบุว่าอาจถือได้ว่าเกาหลีเหนือได้เข้ามามีส่วนร่วมในสงครามรัสเซีย-ยูเครนอย่างเป็นทางการแล้ว

ด้านแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (4 พ.ย.) ว่ามีทหารเกาหลีเหนือประมาณ 10,000 นายอยู่ในแคว้นคุสค์ ทางตะวันตกของรัสเซีย และอาจเข้าร่วมการสู้รบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

โลกระทึก 7 Swing States ทรัมป์ คะแนนนำ แฮร์ริส 4 ต่อ 2 รัฐ

(6 พ.ย. 67) ยังสูสีพร้อมพลิกกลับได้เสมอ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ขณะนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปิดหีบไปแล้วส่วนใหญ่ที่ 41 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่รัฐสวิงสเตต (Swing States) ซึ่งจากผลคะแนนตอนนี้โดนัลด์ ทรัมป์" แทบจะสูสีกันแบบคนละครึ่งกับ "คามาลา แฮร์ริส"

ทรัมป์มีคะแนนนำใน 4 รัฐ คือ จอร์เจีย, มินเนโซตา, นอร์ทแคโรไลนา และวิสคอนซิน 

ส่วนแฮร์ริสมีคะแนนนำในรัฐ 2 รัฐ คือ มิชิแกน และเพนซิลเวเนีย 

ก่อนหน้านี้ด้านสำนักข่าว NBC เผยผลสำรวจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวสหรัฐช่วงระหว่างวันที่ 30 ต.ค. ถึง 2 พ.ย. โดยพบว่าจากผลสำรวจทั้งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกกัน และนางกมลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนผลสำรวจที่สูสีเท่ากับ ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายฝ่ายที่เชื่อว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 นี้ผู้สมัครทั้งสองจะต้องอาศัยการชิงชัยในพื้นที่รัฐสวิงสเตท (Swing States) ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะก้าวสู่ทำเนียบขาว

สำหรับรัฐสวิงสเตทที่จะเป็นตัวชี้ขาดของทั้งสองฝ่ายประกอบด้วย รัฐเนวาดา, รัฐแอริโซนา, รัฐวิสคอนซิน, รัฐมิชิแกน, รัฐเพนซิลเวเนีย, รัฐนอร์ทแคโรไลนา, และรัฐจอร์เจีย

สำหรับผลโพลสำรวจผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในแต่ละรัฐสวิงสเตทพบว่า ทั้งกมลา แฮร์ริสและนายโดนัลด์ ทรัมป์มีคะแนนเสียงสูสีในสวิงสเตททั้ง 7 รัฐ โดยผลสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่า รองประธานาธิบดีแฮร์ริสมีคะแนนนำเพียงเล็กน้อยในรัฐเนวาดา นอร์ทแคโรไลนา และวิสคอนซิน ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มีคะแนนนำเพียงเล็กน้อยในรัฐแอริโซนา ขณะที่ทั้งคู่มีคะแนนสูสีกันในรัฐมิชิแกน จอร์เจีย และเพนซิลเวเนีย

รัฐเพนซิลเวเนีย
เพนซิลเวเนียเคยเป็นรัฐที่เดโมแครตวางใจได้ แต่ปัจจุบันเดโมแครตไม่สามารถยึดฐานเสียงในรัฐคีย์สโตนได้อีกต่อไป ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันเคยชนะเสียงข้างมากในรัฐนี้ ซึ่งมีประชากร 13 ล้านคน ด้วยคะแนนนำ 0.7% ในปี 2016 จากนั้นไบเดนก็สามารถเอาชนะในรัฐนี้ได้ด้วยคะแนนนำ 1.2% ในปี 2020

รัฐแอริโซนา
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในรัฐแอริโซนาในปี 2016 ด้วยคะแนนเกือบ 4 เปอร์เซ็นต์ แต่แพ้รัฐนี้ให้กับโจ ไบเดนในปี 2020 ด้วยคะแนนน้อยกว่าครึ่งเปอร์เซ็นต์ การสำรวจความคิดเห็นในปีนี้พบว่าทรัมป์และกมลา แฮร์ริสมีคะแนนเท่ากัน

รัฐวิสคอนซิน
วิสคอนซินเป็นรัฐที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน โดยโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งที่นั่นในปี 2016 ด้วยคะแนนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนโจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งที่นั่นในปี 2020 ด้วยคะแนนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน

รัฐจอร์เจีย
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในรัฐจอร์เจียในปี 2016 ด้วยคะแนนประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่แพ้ให้กับโจ ไบเดนในปี 2020 ด้วยคะแนนน้อยกว่า 12,000 คะแนน การแข่งขันในปีนี้เป็นการเสี่ยงดวง โดยทรัมป์และแฮร์ริสมีคะแนนเท่ากันในการสำรวจความคิดเห็น

รัฐมิชิแกน
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในรัฐมิชิแกนในปี 2016 สร้างความประหลาดใจให้กับพรรคเดโมแครตในรัฐที่พรรครีพับลิกันไม่เคยชนะเลยตั้งแต่ปี 1988 โจ ไบเดนชนะในรัฐนั้นในปี 2020 โดยเอาชนะทรัมป์ไป 3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อกมลา แฮร์ริสและทรัมป์มีคะแนนเท่ากันในทางสถิติ จึงเป็นการเสี่ยงดวงก่อนวันเลือกตั้ง

รัฐเนวาดา 
พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเนวาดาใน 2 ครั้งล่าสุด แต่ผลสำรวจและแนวโน้มการลงคะแนนในรัฐทำให้รัฐนี้กลายเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อพยายามเปลี่ยนรัฐให้หันมาสนใจเขา กมลา แฮร์ริสและทรัมป์มีคะแนนเท่ากัน และรัฐนี้ถือเป็นรัฐที่ “เสี่ยงดวง”

รัฐนอร์ทแคโรไลนา
รัฐนอร์ทแคโรไลนาไม่ได้ลงคะแนนให้พรรคเดโมแครตเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2008 แต่ทีมหาเสียงของกมลา แฮร์ริสตั้งเป้าว่ารัฐนี้จะเป็นรัฐที่เธอสามารถชนะได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชากรผิวดำจำนวนมาก โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในรัฐนี้ในปี 2016 ด้วยคะแนน 3 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2020 ด้วยคะแนน 1 เปอร์เซ็นต์

บริษัททัวร์จีนโกยรายได้อู้ฟู้ จัดโปร 11.11 กรุงเทพฯ ติดท็อปเมืองคนจีนแห่เที่ยววันคนโสด

(3 พ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ขณะที่ชาวจีนกำลังจับจ่ายซื้อของออนไลน์ในเทศกาลวันคนโสด “11.11” (วันที่ 11 เดือน 11) ประจำปีนี้ ดูเหมือนว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างเถาเป่า (Taobao) จะไม่ใช่แหล่งชอปปิงเดียวที่นักชอปชาวจีนสนใจอีกต่อไป เพราะชาวจีนต่างก็กำลังใช้เวลาไปกับการท่องแพลตฟอร์มเอเจนซี่ท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agency) ชั้นนำของประเทศ เช่น ฟลิกกี (Fliggy) และ ซีทริป (Ctrip) กันมากขึ้น เนื่องจากได้รับแรงกระตุ้นด้วยแพ็กเกจจองโรงแรมสุดพิเศษในเทศกาลวันคนโสด ซึ่งมักมาในรูปแบบโปรโมชันลดกระหน่ำสำหรับการเข้าพักหลายคืนตามโรงแรมบูติก รีสอร์ท และ เกสต์เฮาส์

ฟลิกกีได้เห็นถึงกระแสที่ร้อนแรงหลังเริ่มจำหน่ายแพ็กเกจท่องเที่ยววันคนโสด “11.11” ของปีนี้ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 21 ต.ค. เพราะในเวลาเพียง 53 วินาที ก็กวาดรายได้ไปมากกว่า 1 พันล้านหยวน (ประมาณ 4.75 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่เคยใช้เวลานานถึง 13 นาทีในปีที่แล้ว และยอดขายก็แซงหน้ายอดขายรวมในวันแรกของปีที่แล้วได้ในเวลาเพียง 52 นาที

หลังจากที่ลูกค้าจองแพ็กเกจท่องเที่ยวเสร็จแล้ว ก็จะสามารถเลือกวันเช็กอินใดก็ได้ภายในระยะเวลาที่แพ็กเกจนั้นยังไม่หมดเขต ซึ่งทั่วไปแล้วจะอยู่ได้นานหลายเดือน แล้วจึงค่อยชำระเงินหลังลูกค้ายืนยันวันเข้าพัก

รายงานจากเมดิน (Meadin) ผู้ให้บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ชี้ว่า แพ็กเกจเหล่านี้ตอบโจทย์อุปสงค์ของผู้บริโภคชาวจีนที่ต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความคุ้มค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเนื่องจากเวลาที่ต้องใช้ในการตัดสินใจซื้อมักมีจำกัด ความยืดหยุ่นของแพ็กเกจและความสะดวกสบายจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากขึ้น เวลาที่ต้องเลือกซื้อที่พักสำหรับการท่องเที่ยว

สำหรับบรรดาโรงแรมต่างๆ ยอดขายช่วงเทศกาลคนโสดถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางของตลาดการท่องเที่ยวที่คึกคักของจีน ข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนระบุว่า ช่วงหยุดยาววันชาติจีนระยะ 7 วันเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศจีน 765 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบเป็นรายปี และยอดจับจ่ายของนักท่องเที่ยวในประเทศมีมูลค่าเกิน 7 แสนล้านหยวน (ราว 3.32 ล้านล้านบาท) ในช่วงหยุดยาวข้างต้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบเป็นรายปี และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 จากปี 2019

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือนักท่องเที่ยวที่ต้องการทริปที่สามารถปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ของตัวเองได้ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่สนใจทริปสัมผัสประสบการณ์พิเศษนั้นเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การท่องเที่ยวในระดับอำเภอเพิ่มสูงขึ้น และการจองโรงแรมขนาดเล็กก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเมื่อมองจากด้านปริมาณแล้วโรงแรมประเภทนี้มีอัตราการเติบโตสูงสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับที่พักประเภทอื่นๆ

รายงานที่เผยแพร่โดยเสี่ยวจู (Xiaozhu) แพลตฟอร์มการจองที่พักพร้อมอาหารเช้า (B&B) ระบุว่าในช่วงวันหยุดยาววันชาติ ปริมาณการจองที่พักพร้อมอาหารเช้าของตนเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

“การแข่งขันในตลาดท่องเที่ยวปีนี้รุนแรงมาก หลายธุรกิจก็ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่” ซ่วยเมิ่งถิง เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายช่วงเทศกาลคนโสดของฟลิกกีกล่าว โดยเธอเชื่อว่าการขายในช่วงเทศกาลคนโสดจะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับบรรดาผู้ประกอบการโรงแรมในช่วงนอกฤดูกาล เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้อย่างเต็มที่รวมถึงเพิ่มยอดการจองห้อง โรงแรมต่างๆ จึงได้ขยายช่องทางการขายแพ็กเกจด้วยการไลฟ์สดและเชิญผู้ทรงอิทธิพลมาโปรโมตผลิตภัณฑ์ของตน

ฟลิกกีก็เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ขยับขยายช่องทางการขายตามเทรนด์ดังกล่าว โดยในการขายช่วงเทศกาลคนโสดของปีนี้ ข้อมูลด้านการตลาดของฟลิกกีตามโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน เช่น วีแชต เสี่ยวหงซู และ เวยโป๋ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว  “ในแง่ของความคุ้มค่า ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวช่วงเทศกาลคนโสด 11.11 ในปีนี้ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” ซ่วยกล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ tripzilla.com พบว่า 5 อันดับจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวนิยมจองทริปเดินทางช่วงวันคนโสดอันดับหนึ่งประจำปี 2024 คือ กรุงโตเกียว อันดับสองคือกรุงเทพฯ, กรุงโซล, นครโอซาก้า และไทเป ตามลำดับ

สหราชอาณาจักร ขึ้นค่าเทอมมหาวิทยาลัย ในรอบ 8 ปี หลังเงินเฟ้อพุ่ง ส่งผลให้ค่าเรียนต่อปีทะลุ 9.5 พันปอนด์

(5 พ.ย. 67) ลอนดอน, 5 พ.ย. สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า - บริดเจ็ท ฟิลลิปสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของสหราชอาณาจักร ประกาศว่า ค่าธรรมเนียมการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในอังกฤษจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ในปี 2025 ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016

การปรับเพิ่มครั้งนี้เป็นผลพวงมาจากภาวะเงินเฟ้อ โดยจะทำให้ค่าธรรมเนียมการศึกษารายปีสูงสุดอยู่ที่ 9,535 ปอนด์ (ราว 4.2 แสนบาท) ขณะที่สินเชื่อเพื่อการดำรงชีพสำหรับนักศึกษาจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ฟิลลิปสัน เน้นย้ำถึงความท้าทายทางการเงินในระดับอุดมศึกษา และกล่าวเป็นนัยถึงการปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งมีเป้าหมายขยายการเข้าถึงสำหรับนักศึกษาที่ด้อยโอกาสอีกด้วย

ด้านลอรา ทรอทต์ รัฐมนตรีเงาว่าการกระทรวงฯ ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยเสนอให้เพิ่มนักศึกษาเข้าในรายชื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจด้านงบประมาณครั้งล่าสุด

'อิมาน คาลิฟ' กำปั้นเหรียญทองหญิงโอลิมปิก มีโครโมโซม XY - อัณฑะภายใน

(5 พ.ย. 67) ผลตรวจเพศของอิมาน คาลิฟ นักมวยหญิงเหรียญทองโอลิมปิก 2024 จากแอลจีเรีย ถูกเปิดเผย โดยพบว่าเธอมีโครโมโซม XY และมีอัณฑะภายในซึ่งบ่งบอกถึงเพศชาย 

คาลิฟเป็นหนึ่งในนักมวยสองคนที่มีประเด็นเกี่ยวกับการตรวจเพศสภาพ ร่วมกับหลิน อวี้ถิงจากไต้หวัน ซึ่งทั้งคู่เคยถูกริบเหรียญรางวัลจากการแข่งขันชิงแชมป์โลกปี 2023 ที่จัดโดยสมาคมมวยนานาชาติ (ไอบีเอ) เนื่องจากไม่ผ่านการตรวจเพศสภาพ แต่ในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ทั้งสองสามารถร่วมแข่งขันได้ตามปกติ

ก่อนหน้านี้ คาลิฟ วัย 25 ปี สามารถเอาชนะนักชกชาวจีน หลิ่ว ไปด้วยคะแนนขาดลอย 5-0 เสียง ในรอบชิงชนะเลิศมวยสากลสมัครเล่น รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 66 กิโลกรัมหญิง คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมสปารีสไปครอง ขณะที่ในรอบรองชนะเลิศ คาลิฟ ยังชนะ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง นักมวยชาวไทย เพื่อผ่านเข้ารอบชิง ขณะที่จันทร์แจ่ม จบการแข่งขันด้วยการคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันโอลิมปิก

อย่างไรก็ตาม เรื่องเพศที่แท้จริงของคาลิฟ ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถาม แม้เจ้าตัวยืนยันว่าเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เกิด โดยล่าสุด เดฟเฟ อัล อัลเดีย ผู้สื่อข่าวชาวฝรั่งเศสได้เปิดเผยเอกสารผลตรวจเพศจากโรงพยาบาลในฝรั่งเศสและแอลจีเรีย ผ่านนิตยสารรีดักซ์

เอกสารแสดงว่า คาลิฟ มีโครโมโซม XY ซึ่งเป็นโครโมโซมของผู้ชาย รวมถึงมีอัณฑะภายใน, องคชาตขนาดเล็ก และไม่มีมดลูก อาการนี้เกิดจากภาวะขาดเอนไซม์ 5-alpha reductase ทำให้เมื่อแรกเกิด คาลิฟ ถูกกำหนดให้เป็นเพศหญิงโดยพิจารณาจากอวัยวะเพศภายนอก

จากเอกสารดังกล่าว คาลิฟเคยถูกแบนจากการแข่งขันชิงแชมป์โลก 2023 ของไอบีเอมาแล้ว

ขีปนาวุธหลายลูกตกทะเลโสมใต้ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ เริ่มเปิดหีบ

(5 พ.ย. 67) คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้ (JCS) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (5 พ.ย.) เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้แบบทิ้งตัวจำนวนหลายลูกลงสู่ทะเลตะวันออก เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเริ่มขึ้น

JCS ระบุว่า การยิงขีปนาวุธครั้งนี้ถูกตรวจพบในเวลาประมาณ 07.30 น. โดยยิงจากเมืองซารีวอน ทางตะวันตกของจังหวัดฮวังแฮเหนือ อย่างไรก็ตาม JCS ไม่ได้ให้รายละเอียดจำนวนขีปนาวุธที่ถูกยิง และระบุว่ากำลังอยู่ในระหว่างการวิเคราะห์สถานการณ์

ในแถลงการณ์ JCS กล่าวว่า “ขณะที่กองทัพของเราเสริมการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการยิงขีปนาวุธเพิ่มเติม เรายังคงรักษาความพร้อมอย่างเต็มที่ และแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธของเกาหลีเหนือกับทางการสหรัฐฯ และญี่ปุ่น”

สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า การยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือเช้าวันนี้ เกิดขึ้นในช่วงใกล้เคียงกับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ชาวอเมริกันจะต้องเลือกระหว่างคามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต และโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน

นอกจากนี้ การยิงขีปนาวุธครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 5 วันหลังจากที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธฮวาซอง-19 (Hwasong-19) ซึ่งเป็นขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ ลงสู่ทะเลตะวันออกเมื่อวันที่ 31 ต.ค. โดยทฤษฎีแล้ว ขีปนาวุธรุ่นนี้สามารถพุ่งถึงดินแดนสหรัฐฯ

ขายออกจากพอร์ต 11 ล้านล้านบาท สะท้อนแบรนด์มือถือวิกฤต-ไร้เทคโนโลยีใหม่

(5 พ.ย. 67) สัญญาณเตือนวิกฤตแบรนด์ Apple หรือแค่ปรับกลยุทธ์การลงทุน เมื่อบริษัท  Berkshire Hathaway ของเจ้าพ่อการลงทุนวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่าหนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญคือการเทขายหุ้นล็อตใหญ่รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 60% ของพอร์ตตลอดปี 2024 

โดยวอร์เรน บัฟเฟตต์ ทยอยขายหุ้น Apple อย่างต่อเนื่อง โดยลดหุ้นแอปเปิ้ลในพอร์ตลงอีก 25% ในไตรมาส 3 หลังจากที่เคยหั่นลดลง 50% ในไตรมาส 2 ซึ่งวอร์เรนเคยกล่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นว่า การขายหุ้นแอปเปิ้ลไตรมาสแรกเพราะเหตุผลด้านภาษี และเบิร์กเชียร์จะยังคงลงทุนหุ้นแอปเปิลในสัดส่วนใหญ่อยู่ต่อไป โดยหุ้นแอปเปิลมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 10.6% ระหว่างไตรมาส 3

ในไตรมาสที่สาม Berkshire Hathaway ยังคงดำเนินกลยุทธ์ลดการถือครองหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยมีการขายหุ้นแอปเปิ้ลจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัท Berkshire Hathaway มีกระแสเงินสดจากการขายหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 325,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบราว 11 ล้านล้านบาท

การถือครองหุ้นแอปเปิ้ลของบัฟเฟตต์ สิ้นไตรมาส 3 มีมูลค่า  มีมูลค่า 69,900 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.3 ล้านล้านบาท) ลดลงราว 60% เทียบกับมูลค่า 174,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.8 ล้านล้านบาท) เมื่อสิ้นปี 2023 ซึ่งนับตั้งแต่เดือนพฤศภาคมที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ไม่ได้ระบุเหตุผลเพิ่มเติมของการเทขายหุ้นแอปเปิ้ลในไตรมาสสองและไตรมาสสาม แม้ว่า Berkshire จะเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของแอปเปิ้ลก็ตาม 

จำนวนหุ้นแอปเปิลที่ Berkshire ถืออยู่ล่าสุดมีประมาณ 300 ล้านหุ้น ลดลงจากตัวเลขไตรมาสก่อนหน้านี้ที่ 400 ล้านหุ้น และลดลงจากเมื่อต้นปีที่ 915 ล้านหุ้น โดยมูลค่าหุ้นแอปเปิลที่บริษัทมีตอนนี้ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์

การตัดสินใจของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ขายหุ้น Apple และสะสมเงินสดมหาศาล สร้างความประหลาดใจ และเป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั่วโลก แม้ผลประกอบการโดยรวมของ Berkshire Hathaway จะยังแข็งแกร่ง แต่การลดลงของกำไรจากการดำเนินงาน บวกกับการเทขายหุ้น Apple ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการลงทุน เน้นคุณค่า ในระยะยาว ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ของบัฟเฟตต์ในครั้งนี้

การวิเคราะห์สถานการณ์ อาจตีความได้ว่า บัฟเฟตต์กำลังมองเห็น ความเสี่ยง บางอย่าง ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ หรือความผันผวนจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ การกลับมาถือครองเงินสดอาจะเป็นการรับมือวิกฤตอะไรบางอย่างที่เขาเตรียมฉวยจังหวะลงทุนในเวลาที่เหมาะสม

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การเทขายหุ้นแอปเปิ้ลอาจสะท้อนว่าผลกระกอบการของแบรนด์มือถือที่ไม่สดใสเท่าที่ควร แม้จะมีการเปิดตัวมือถือไอโฟนรุ่นใหม่ เนื่องจากไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรที่จูงใจผู้ใช้งานมากเท่าที่ควร ขณะที่นักวิเคราะห์บางรายก็มองว่า Berkshire Hathaway อาจเตรียมการสำหรับเปลี่ยนผ่านผู้บริหารไปสู่ผู้นำคนใหม่ อย่างเกร็ก เอเบล ก็เป็นไปได้

โสมร่างกม. ห้ามนักเรียนใช้สมาร์ทโฟน หวั่นทำเด็กเป็นซึมเศร้า-สมาธิสั้น

(5 พ.ย. 67) สำนักข่าว Koreanherald ของเกาหลีใต้รายงานว่า เกาหลีใต้กำลังพิจารณาห้ามใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน สืบเนื่องจากพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรครัฐบาลกำลังพิจารณาร่างกฎหมาย ซึ่งจะห้ามนักเรียนใช้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวในระหว่างชั้นเรียน

รายงานระบุว่า ร่างกฎหมายนี้มาจาก สส โช จุงฮุน และเพื่อนสมาชิกรัฐสภาอีก 10 คนจากพรรคเดียวกันกำลังผลักดันร่างกฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ ในโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อปกป้องสุขภาพจิตของนักเรียน

สส โช ระบุว่า กฎหมายลักษณะนี้มีบังคับใช้ในหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐฯ และฝรั่งเศส ในขณะที่การเสพติดโซเชียลมีเดียกลายเป็นปัญหาร้ายแรง เรื่องนี้เกิดขึ้นในเกาหลีใต้เช่นกัน โดยพบว่าเด็กอายุระหว่าง 3-9 ปี ร้อยละ 25 และเด็กอายุระหว่าง 10-19 ปีร้อยละ 40.1 เสพติดสมาร์ทโฟนมากเกินไป ดังนั้นเพื่อปกป้องสุขภาพจิตของพวกเขา เราจึงเสนอให้จำกัดการใช้สมาร์ทดีไวซ์ในโรงเรียน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่เจาะจง หรือในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

ความคืบหน้าดังกล่าวสอดคลองกับงานวิจัยจากหลายสถาบันทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ ที่ออกมาระบุคล้ายกันว่า พฤติกรรมการใช้งานมือถือสมาร์ทโฟนมากเกินไป อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิต และสุขภาวะทางการรู้คิดของเยาวชนได้ การเสพติดและสิ่งรบกวนสมาธิไม่ใช่ปัญหาเดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิดความกังวล ในหลายกรณี พบว่านักเรียนยังใช้ฟังก์ชันของโทรศัพท์เพื่อบูลลี่หรือแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเพื่อนร่วมชั้นด้วย

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังระบุเช่นกันว่า เกมและวิดีโอสั้นๆ ที่ช่วยกระตุ้นความคิดได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น แต่ทำให้การติดสมาร์ทโฟนเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าและโรควิตกกังวล

ข้อมูลล่าสุดของ Health Insurance and Review Assessment Service สนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าว เนื่องจากจำนวนการเข้าพบจิตเวชสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีพุ่งสูงขึ้นถึง 65 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา นักศึกษาประมาณ 250,000 คนเข้าโรงพยาบาลในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เพียงปีเดียว คิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของการเข้าพบทั้งหมดในปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ผลสำรวจโดย Macromill Embrain ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่าผู้ปกครองของนักเรียนร้อยละ 69 สนับสนุนแนวคิดการจำกัดการใช้โทรศัพท์ของนักเรียน มีเพียงร้อยละ 12.6 ที่คัดค้าน

เสินโจว-18 เสร็จสิ้นภารกิจ 6 เดือน 3 นักบินอวกาศจีนกลับถึงโลก

หนังสือพิมพ์ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี (Science and Technology Daily) รายงานวันนี้ (4 พ.ย.) ว่ายานอวกาศเสินโจว-18 (Shenzhou-18) ได้เดินทางกลับถึงโลกโดยสวัสดิภาพ พร้อมด้วยตัวอย่างทดลองจากสถานีอวกาศซึ่งมีน้ำหนักรวม 34.6 กิโลกรัม ประกอบด้วยจุลินทรีย์ วัสดุโลหะผสม และวัสดุนาโน ซึ่งเป็นวัสดุที่ยากต่อการจัดเตรียมบนโลก

แคปซูลเสินโจว-18 ได้พานักบินอวกาศ 3 คนเดินทางกลับถึงโลกในช่วงเช้าวันนี้ หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่ยาวนานถึง 6 เดือนบนสถานีอวกาศ

ตัวอย่างทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ยานอวกาศนำกลับมามีทั้งหมด 55 ชนิด ครอบคลุมถึง 28 โครงการวิทยาศาสตร์ในหลายสาขา เช่น ชีววิทยาศาสตร์ในอวกาศ วิทยาศาสตร์วัสดุในอวกาศ และวิทยาศาสตร์การเผาไหม้ภายใต้แรงโน้มถ่วงต่ำ

ตัวอย่างทางชีววิทยาศาสตร์ประกอบด้วย อาร์เคีย (Archaea) ที่สามารถสร้างก๊าซมีเทน จุลินทรีย์ที่ต้านทานรังสีได้ และจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในหิน ซึ่งคาดว่าจะเป็นรากฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมนอกโลก และการประเมินความสามารถในการปรับตัวของจุลินทรีย์กับความท้าทายในอวกาศ

ด้านสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกจากนี้ ตัวอย่างบางส่วนที่นำกลับมายังรวมถึงโลหะผสมที่ทนทานต่ออุณหภูมิสูง ไฟเบอร์ออปติก และสารเคลือบออปติก วัสดุใหม่เหล่านี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงการผลิตใบพัดกังหันในอนาคตสำหรับการบินและอวกาศ เลเซอร์ไฟเบอร์ที่ปรับให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมในอวกาศ และการรักษาทางการแพทย์ที่แม่นยำ

นอกจากนี้ ยานอวกาศยังได้นำอนุภาคนาโนจากการเผาไหม้มีเทนกลับมาด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการสังเคราะห์วัสดุระดับอนุภาคสำหรับสภาพแวดล้อมนอกโลกในอนาคต

ทับทิม-ไพลิน เฉิดฉายกลางเซี่ยงไฮ้ คนจีนเเห่ชมสินค้าไทยงานโชว์นานาชาติ (CIIE)

(4 พ.ย. 67) (ซินหัว) ชุน ไพลินดีเลิศ วัย 49 ปี ผู้ค้าอัญมณี และประธานสมาคมนักธุรกิจยุคใหม่ไทย-จีน ย้ายมาไทยตั้งแต่ยังเด็กและก่อตั้งบริษัท ไทยแลนด์ หย่งไท่ จิวเวลรี จำกัด (Thailand Yongtai Jewelry) ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งนำสู่การมีส่วนร่วมในแวดวงธุรกิจการค้าอัญมณี โดยหนึ่งในภาพคุ้นตาสำหรับชุนคือการได้เห็นเหล่าผู้ชื่นชอบอัญมณีจากทั่วทุกมุมโลกมาเยี่ยมชมศูนย์การค้าอัญมณีในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยที่มีชื่อเสียงในฐานะศูนย์กลางการแปรรูปทับทิมและไพลินระดับโลก

ชุนกำลังจะนำสินค้าร่วมจัดแสดงที่งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE) ครั้งที่ 7 ที่เตรียมจัดในนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน เขาเข้าร่วมงานทุกครั้งมาตั้งแต่ปี 2018 โดยปีนี้นับเป็นการเข้าร่วมงานครั้งที่ 7 แล้ว โดยชุนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่าครั้งนี้ตนจะนำเครื่องประดับเกือบ 1,000 ชิ้น รวมทั้งทับทิมและไพลินมากกว่า 100 ชิ้นมาจัดแสดง

ชุนเคยคว้ารางวัลหลายรายการจากงานมหกรรมฯ ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากฐานะผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เข้าร่วมสู่ผู้ประกอบการที่ร่วมจัดแสดงอย่างเป็นประจำ ชุนเชื่อว่าเสน่ห์ของงานมหกรรมนี้อยู่ที่ความอัศจรรย์ใจในทุกๆ ปี และผลประโยชน์ที่ได้รับในแต่ละครั้ง พร้อมเล่าย้อนถึงประสบการณ์การเข้าร่วมครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งเขาได้รับคำสั่งซื้อตามที่ตั้งเป้าไว้และสร้างสายสัมพันธ์อันดีที่มีค่า

ชุนเผยว่างานมหกรรมฯ เอื้อประโยชน์มากมาย ทั้งการได้เรียนรู้สิ่งใหม่และได้ขยับขยาย "กลุ่มมิตรสหาย" ผ่านแพลตฟอร์มนี้ การเข้าร่วมตลอดหลายปีทำให้ชุนเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปและแนวโน้มล่าสุดของผู้บริโภคชาวจีนดียิ่งขึ้น ซึ่งลูกค้าและพันธมิตรที่ได้จากงานมหกรรมฯ มีส่วนสนับสนุนการขยายธุรกิจของเขา

ขณะเดียวกัน ชุนบอกเล่าถึงประสบการณ์น่าจดจำจากงานมหกรรมฯ ปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยแม้ต้องเผชิญหน้ากับสารพัดความท้าทาย ทว่าชุนสามารถเข้าร่วมในฐานะผู้จัดแสดงอัญมณีจากต่างประเทศเพียงรายเดียวในงานมหกรรมปีนั้น

งานมหกรรมฯ ถือเป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่สำหรับการเชื่อมต่อระดับโลก และชุนเชื่อว่าการที่จีนเป็นเจ้าภาพจัดงานนี้อย่างต่อเนื่องนั้นถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญท่ามกลางการค้าระหว่างประเทศที่ตึงตัวขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากงานมหกรรมฯ ได้สร้างโอกาสใหม่ให้กับนานาประเทศ อาทิ ไทย ในการเข้าสู่ตลาดจีน ส่งผลให้ตลาดจีนอันกว้างขวางเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับโลก

ตั้งแต่เข้าร่วมงานมหกรรมฯ ครั้งแรกจนถึงครั้งที่เจ็ด บูธของชุนขยายพื้นที่จากเดิม 36 เป็น 72 ตารางเมตร ขนาดบูธที่เพิ่มขึ้นสองเท่าสะท้อนถึงธุรกิจของชุนที่เติบโต รวมทั้งมนต์เสน่ห์และอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของงานมหกรรมฯ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาชุนได้เห็นถึงพัฒนาการของงานมหกรรมฯ พร้อมทั้งสนับสนุนให้บริษัทอื่นๆ ของไทยเข้าร่วมงานนี้ด้วย

นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020 ชุนดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฯ และยังเป็นรองเลขาธิการหอการค้าไทย-จีน โดยเขาทุ่มเททำงานเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างบริษัทไทยและจีน

ชุนระบุว่างานมหกรรมฯ ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ประกอบการเหล่านี้อาจพบเจอความท้าทายในการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าขนาดใหญ่รูปแบบนี้ เพราะหลายรายไม่คุ้นเคยกับงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ดังนั้นนอกเหนือจากนโยบายพิเศษที่ผู้จัดงานจัดให้แล้ว หอการค้าฯ ยังเสนอบริการต่างๆ อาทิ บริการแปลภาษา เพื่อช่วยให้ผู้จัดแสดงสินค้าใช้ประโยชน์จากโอกาสอย่างเต็มที่

ชุนเสริมว่าหอการค้าฯ ได้จัดการให้บริษัทไทยนับสิบแห่งเข้าร่วมงานมหกรรมในครั้งนี้ โดยเน้นที่กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคอาหารและการแพทย์เป็นหลัก พร้อมให้คำมั่นว่าจะให้บริการที่ยอดเยี่ยมแก่ผู้เข้าร่วมทุกคน และหวังว่าผู้เข้าร่วมงานจะประสบความสำเร็จมากขึ้นผ่านงานมหกรรมนี

แฟ้มภาพซินหัว : ทับทิมที่สำนักงานของชุน ไพลินดีเลิศ ผู้ค้าอัญมณีและผู้จัดแสดงในงานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน ที่กรุงเทพฯ วันที่ 23 ต.ค. 2024

ย้อนประวัติ Subway แซนด์วิชแบรนด์ดัง ชื่อนี้ได้มาเพราะหน้าตาคล้ายเรือดำน้ำครั้งหนึ่งเคยมีสาขาโตแซงหน้า McDonald's

กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในกลุ่มธุรกิจอาหารบริการด้านหรือ QSR เมื่อแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง ซับเวย์ (Subway) ได้ออกมาเตือนลูกค้าในประเทศไทยที่เข้าไปใช้บริการร้านอาหารแล้วเจอกับมาตรฐานสินค้าและบริการที่ผิดเพี้ยนไป 

โดยทาง GOLUCK บริษัทย่อยในเครือ PTG ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ออกมาระบุว่า เนื่องจากตอนนี้เราได้รับข้อร้องเรียนเรื่องคุณภาพอาหาร , วัตถุดิบขาด, กระดาษห่อ ไม่มีพิมพ์ลาย Subway , กระดาษห่อลาย Subway สีเลอะติดอาหาร ขนมปังไม่ใช่ของ Subway และ อื่น ๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่าลูกค้าไปใช้บริการจากร้าน Subway ที่ถูกยกเลิกสิทธิ์ Franchise ไปตั้งแต่วันที่ 26 กค. 2567 ไปแล้ว เช่น Food generation สาขา CP ทาวเวอร์ สีลม , ปตท บางแสน ,ปตท สุขสวัสดิ์, เชลล์ ลาดพร้าว, ทองหล่อ, เชลล์ ท่าพระ, คาลเท็กซ์ ประชานุกูล, ดิ อัพ พระราม 3, บางจาก ราชพฤกษ์ และ อื่นๆ ร้าน SUBWAY สาขาต่างๆ ระบุแฟรนไชส์ที่ได้รับอนุญาตชัดเจน 'GOLUCK' ทั้งนี้ สำหรับร้านซับเวย์ที่สิ้นสุดการเป็นแฟรนไชส์มีทั้งสิ้น 105 สาขา

สำหรับประวัติของร้าน Subway เริ่มต้นในปี 1965 เมื่อ Fred DeLuca นักศึกษาอายุ 17 ปี และ Dr. Peter Buck เพื่อนของครอบครัวซึ่งเป็นนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ได้เปิดร้าน Pete's Drive-In: Super Submarines สาขาแรกในเมืองบริดจ์พอร์ต รัฐคอนเนตทิคัต DeLuca โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยของทางครอบครัว

เหตุที่ใช้ชื่อว่า Super Submarines เนื่องจากลักษณะของแซนด์วิชที่รูปทรงคล้ายกับเรือดำน้ำจึงนำมาเป็นชื่อดังกล่าว มาจากรูปร่างของขนมปังที่มีความกลม ยาว และเมื่อนำไปประกอบกับไส้ต่าง ๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนเข้าไปใหญ่ ความโดดเด่นในเรื่องของแซนด์วิชและสลัดของแบรนด์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาง่าย ๆ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเริ่มต้นด้วยการขายทั้งแซนด์วิชและสลัดผัก ทำให้กลายเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีความเชี่ยวชาญในการทำแซนด์วิชและสลัดเป็นที่สุด ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ พวกเขาเป็นผู้นำในด้านการทำแซนด์วิชและสลัดก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจทำตามสโลแกนที่ตั้งไว้ นั่นคือ 'Eat Fresh' ด้วยการคัดเลือกวัตถุดิบที่ดี สดใหม่และมีคุณภาพมาใช้ในการประกอบอาหารทุกวัน

ปี 1968 ทั้งสองตัดสินใจเปลี่ยนชื่อมาเป็น Subway จากนั้นในปี 1974 DeLuca และ Buck ได้ขยายกิจการด้วยการเปิดอีก 16 สาขาแฟรนไชส์ในรัฐคอนเนตทิคัต แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้คือเปิดร้าน 32 สาขาได้ทันเวลา

ในปี 1978 Subway เปิดสาขาแรกบนชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐด้วยการเปิดทำการสาขาแรกในเมืองเฟรสโน รัฐแคลิฟอร์เนีย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริษัทก็ได้รับเสียงต้อนรับในแง่บวกและขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จนในปี 1981 subwayได้ขยายธุรกิจเข้าสู่การทำแฟรนไชส์และในปี 1984 Subwayได้เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

ช่วงทศวรรษ 1990 ถือได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองของSubway โดยจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากประมาณ 5,000 สาขาเป็น 13,200 แห่งในปี 1998 ต่อมาในปี 2002 Subwayได้กลายเป็นเครือข่ายร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ปี 2004 Subway เริ่มเปิดร้านในห้างสรรพสินค้า Walmart ในปี 2015 เว็บไซต์ entrepreneur ได้จัดอันดับให้แบรนด์ Subway เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่เติบโตเร็วที่สุดของปี กลายเป็นเครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีร้านอาหาร 33,749 ร้านทั่วโลก ซึ่งมากกว่า McDonald's ถึง 1,012 ร้าน

กระทั่งปี 2017 Subway ปิดสาขาไปมากกว่า 800 สาขาในสหรัฐอเมริกา ในเดือนเมษายน 2018 บริษัทได้ประกาศว่าจะปิดสาขาเพิ่มอีกประมาณ 500 สาขาในปีนั้น ตามรายงานของ Abha Bhattarai จากThe Washington Post สืบเนื่องจากต้นทุนของสินค้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ต้องมีการปรับราคา ทำให้ผลกำไรและผลประกอบการลดลงต่อเนื่องสามปี และจำนวนผู้มาใช้บริการร้าน Subway ลดลงร้อยละ 25 ตั้งแต่ปี 2012 นอกจากนี้ผู้รับสิทธิ์บริหารแฟรนไชส์ยังระบุว่าโปรโมชั่นพิเศษของบริษัทแม่มีส่วนทำให้กำไรการขายหน้าร้านลดลงอีก

ในปี 2019 John Chidsey เข้าร่วม Subway ในตำแหน่ง CEO ถือเป็นผู้บริหารคนแรกของบริษัทซึ่งไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวผู้ก่อตั้ง เขาเน้นที่การปรับปรุงสถานที่ร้านค้าในสหรัฐอเมริกา ตลอดจนบุกตลาดแถบเอเชียมากขึ้น สังเกตได้จากบรรดาซีรีส์เกาหลีที่จะมีการโฆษณาแฝงร้าน Subway อยู่หลายเรื่อง 

ปี2023 ครอบครัวBuck และ Deluca ประกาศว่าจะขายหุ้นของบริษัทให้กับบริษัทนักลงทุน ซึ่งมีนักลงทุนหลายรายให้ความสนใจ กระทั่ง 24 สิงหาคม Subway ประกาศว่าบริษัทลงทุนเอกชน Roark Capital ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการของ Subway ในราคา 9.6 พันล้านดอลลาร์

มีนาคม 2024 Subway ได้ลงนามข้อตกลง 10 ปีกับ PepsiCo ซึ่งเริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2025 ส่งผลให้บริษัทเปลี่ยนมาใช้เครื่องดื่มของกลุ่ม PepsiCo แทนที่ The Coca-Cola Company โดยก่อนหน้านั้น Subway เคยร่วมมือให้บริการเครื่องดื่มจาก Coca-Cola มาตั้งแต่ปี 2003 ก่อนจะเปลี่ยนสู่ PepsiCo

'เคมี่ บาเดน็อช' วัย 44 ปี สาวผิวดำคนแรก ผงาดหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม

เมื่อวันที่ (2 พ.ย.67) ที่ผ่านมาพรรคอนุรักษ์นิยมอังกฤษได้หัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว ที่ชื่อว่า เคมี่ บาเดน็อช นักการเมืองสาวดาวรุ่งผิวดำวัยเพียง 44 ปี หลังจากที่ริชี ซูนัค อดีตหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ลาออกไปเนื่องจากความพ่ายแพ้ยับเยินจากการเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุดในอังกฤษ

โดย เคมี่ บาเลน็อช เฉือนเอาชนะ โรเบิร์ต แจนริค คู่แข่งได้ด้วยคะแนนเสียง 56% จากการลงคะแนนเสียงจากสมาชิกพรรคอนุรักษ์ทั่วประเทศกว่า 95,000 เสียง ทำให้เธอกลายเป็นหัวหน้าพรรคหญิงผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์พรรคอนุรักษ์นิยม ที่เคยมีผู้หญิงมาแล้วถึง 4 คน นอกจากนี้ยังเป็นนักการเมืองหญิงผิวดำคนแรกที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในทวีปยุโรป

สำหรับประวัติของ เคมี่ บาเลน็อช เป็นชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย มีคุณพ่อ คุณแม่เป็นคุณหมอทั้งคู่ เธอเกิดที่เมืองวิมเบอดัน ในกรุงลอนดอน ในปี 1980 ในครอบครัวมีพี่น้องด้วยกัน 3 คน หลังจากที่เธอเกิดได้ไม่นาน พ่อ และ แม่ก็พาครอบครัวย้ายกลับไปอยู่ไนจีเรีย ก่อนที่จะย้ายไปตั้งรกรากทำงานในสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา

เคมี่ เดินทางหวนกลับมาอังกฤษอีกครั้งตอนที่อายุได้ 16 ปี เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย Sussex โดยเลือกเรียนในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จนถึงระดับปริญญาโท โดยระหว่างที่เรียน เธอทำงานพิเศษที่ร้าน Mc Donald's ไปด้วยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 

หลังจากเรียนจบ เธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ด้าน IT ที่บริษัท Logica และเรียนต่อด้านกฎหมาย แบบภาคพิเศษที่สถาบัน University of London วิทยาเขต Birkbeck จนจบปริญญาตรีอีกใบได้สำเร็จ ก่อนจะมาเอาดีในเส้นทางการเมือง ได้เป็น สส. สังกัดพรรคอนุรักษ์มาตั้งแต่ปี 2017 และวันนี้ เธอได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์ ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาอีกด้วย 

อาจจะกล่าวได้ว่า เคมี บาเลน็อช ถือเป็นนักการเมือง ที่ไต่เต้าจากชนชั้นกลางอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของกลุ่มคนผิวสี ผู้อพยพ กลุ่มสิทธิสตรี และกลุ่มชนชั้นกลางได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าหัวหน้าพรรคแรงงาน อย่าง เคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนปัจจุบันเสียอีก

แหล่งข่าวภายในพรรคแรงงานเปิดเผยว่า มีการวิพากษ์ วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงภายในห้องแชทของสมาชิกพรรคแรงงานใน Whatsapp ว่า การที่พรรคอนุรักษ์ได้เลือก เคมี่ บาเลน็อช เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น ทำให้พรรคแรงงานเหมือนถูกตบหน้า ทั้ง ๆ ที่ติดป้ายว่าเป็น 'พรรคแรงงาน' แท้ ๆ แต่กลับมีตัวแทนคนผิวสีมาร่วมในคณะรัฐบาลน้อยมาก และเริ่มมีกระแสด้านลบที่มองว่าพรรคแรงงานไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวแทนของกลุ่มคนผิวสี ชาวเอเชีย หรือแม้แต่ชนกลุ่มน้อยในสังคมต่าง ๆ อย่างที่เคยพูดไว้

แต่เมื่อมองมายังฝั่งพรรคอนุรักษ์ที่เป็นคู่แข่งที่มักถูกโจมตีว่าเป็นพรรคของชนชั้นสูง แต่กลับมีหัวหน้าพรรคเป็นผู้หญิงมาแล้วถึง 4 คน และยังเคยเลือกคนเชื้อสายอินเดีย และ คนเชื้อสายอาฟริกันเป็นผู้นำพรรคมาแล้ว

จากการเลือกตั้งในปี 2024 ที่ผ่านมา พรรคแรงงานสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างถล่มทลาย กวาดที่ได้ไปได้ถึง 411 ที่นั่ง ในจำนวนนั้นมี สส. ที่มีเชื้อสายชนกลุ่มน้อยอยู่ถึง 89 คน แต่ทว่ากลับมีเพียง เดวิด ลามมี ที่เป็น สส.ผิวดำคนเดียวของพรรคที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเคียร์ สตาร์เมอร์

ซูเบียนโตจับมือปูติน ฝึกซ้อมรบร่วมทางทะเลครั้งแรก

(4 พ.ย.67) กองทัพเรืออินโดนีเซียและรัสเซียได้ร่วมซ้อมรบทางทะเลครั้งแรก ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย นายปราโบโว ซูเบียนโต ในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ การซ้อมรบนี้กินเวลานาน 5 วัน โดยจัดขึ้นที่ฐานทัพเรือในเมืองซูราบายาและบริเวณทะเลชวา

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพเรืออินโดนีเซียได้แถลงว่า รัสเซียส่งเรือลาดตระเวน 3 ลำ เรือบรรทุกขนาดกลาง เฮลิคอปเตอร์ทหาร และเรือลากจูงมาร่วมการซ้อมรบในอินโดนีเซีย ภาพจากสื่อท้องถิ่นแสดงให้เห็นเรือรัสเซียเดินทางถึงท่าเรือและได้รับการต้อนรับจากวงดุริยางค์ของรัสเซียก่อนเริ่มการฝึกซ้อม

อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยเลือกที่จะเป็นกลางทั้งในเรื่องสงครามยูเครนและความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน

นายซูเบียนโตได้แสดงเจตจำนงในการเพิ่มบทบาทของอินโดนีเซียบนเวทีโลก โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขาได้เดินทางไปเยือนรัสเซียเพื่อเจรจากับประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน

นักวิเคราะห์มองว่าการซ้อมรบร่วมทางทะเลครั้งนี้เป็นสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายต่างประเทศของอินโดนีเซียภายใต้การนำของซูเบียนโต ซึ่งมุ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียกับประเทศมหาอำนาจ

‘สเปน’ ระดมพลครั้งใหญ่!! หลายหมื่นนาย เพื่อกู้ภัยน้ำท่วมครั้งร้ายแรงสุดในประวัติศาสตร์

(3 พ.ย. 67) นายเปโดร ซานเชส นายกรัฐมนตรีสเปน แถลงสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ในพื้นที่แคว้บบาเลนเซีย โดยระบุว่า รัฐบาลส่งทหารจำนวน 5,000 นาย ไปสนธิกำลังกับตำรวจ และกองกำลังพลเรือน อีกจำนวน 5,000 นาย เพื่อเข้าไปช่วยเหลือด้านการกู้ภัยในพื้นที่ประสบอุทกภัยดังกล่าว ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการที่ทางการสเปนระดมกำลังพลครั้งใหม่ล่าสุด ทำให้ในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม มีเจ้าหน้าที่ของทางการเข้าไปช่วยกู้ภัยมีจำนวนมากกว่า 17,000 นายแล้ว ซึ่งถือเป็นการระดมพลด้านความมั่นคงครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงที่ประเทศปลอดสงคราม

ขณะที่ จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมข้างต้น เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 214 รายแล้ว ซึ่งถือเป็นเหตุอุทกภัยที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในรอบ 57 ปีของภูมิภาคยุโรป หลังจากเมื่อปี 1967 (พ.ศ. 2510) เกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่โปรตุเกส ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 500 รายด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top