Monday, 9 June 2025
WORLD

รัฐบาลเวียดนามประกาศโครงการใหม่ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียน เพื่อสร้างเยาวชนพร้อมสำหรับโลกการศึกษาในระดับสากลนำมาพัฒนาเศรษฐกิจ

(13 มี.ค. 68) รัฐบาลเวียดนาม ได้ประกาศแผนการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านภาษาในประเทศ โดยจะมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียนทั่วประเทศ ภายในปี 2035 เป้าหมายหลักของโครงการคือการทำให้ เด็กทุกคนในเวียดนาม สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลเวียดนามได้เริ่มต้นโครงการนี้โดยการพัฒนาแผนการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมและมัธยม โดยจะมีการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับการศึกษาขั้นสูง อีกทั้งยังมีการจัดอบรมและสนับสนุนให้ครูผู้สอนภาษาอังกฤษมีความเชี่ยวชาญและสามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวียดนามตั้งเป้าหมายพัฒนาแรงงานที่มีทักษะ โดยการศึกษาภาษาอังกฤษจะไม่เพียงแค่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยว และการค้าในระดับสากล

การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา นี้จะช่วยให้ เยาวชนเวียดนาม สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความรู้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงและเป็นโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น

การปฏิรูปการศึกษา ในเวียดนามนี้จะเป็นการยกระดับประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการศึกษาและเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะทำให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มี การแข่งขันด้านภาษา สูงในเอเชียและทั่วโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

‘อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี’ เตือนประชาคมโลกอย่าหลงเชื่อคำพูดสหรัฐฯ ชี้วอชิงตันใช้การเจรจาเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างภาพลักษณ์

(13 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี (Ayatollah Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้กล่าวในระหว่างการบรรยายสาธารณะว่า การที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เผยพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านและเชิญชวนให้เจรจา นั้นเป็นเพียงการหลอกลวงความคิดของประชาคมโลก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการเปิดการสนทนาและการยอมรับการเจรจาเท่านั้น

“การกล่าวถึงการเจรจาของสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงความพยายามที่จะหลอกลวงประชาคมโลกเกี่ยวกับการแสดงออกของอเมริกาในการไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของอิหร่าน” ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กล่าว พร้อมกับเสริมว่า “อิหร่านจะไม่ถูกหลอกให้เชื่อในคำพูดของสหรัฐฯ ซึ่งมีประวัติในการทำลายข้อตกลงระหว่างประเทศ”

การแถลงของผู้นำสูงสุดของอิหร่านเกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เคยกล่าวในหลายโอกาสว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ในอนาคต โดยประธานาธิบดีไบเดนหวังว่าจะสามารถหาทางออกเพื่อยุติความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ผ่านการเจรจา

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าเขาได้ส่งจดหมายถึง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเชิญชวนให้อิหร่านเข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับ โครงการนิวเคลียร์ ระหว่างสองประเทศ โดยเขาระบุว่า การเจรจานี้จะเป็นการหาทางออกอย่างสันติ และ “จะช่วยหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาค”

อย่างไรก็ตาม, อิหร่าน ยังคงยืนยันในจุดยืนที่ไม่ยอมรับการเจรจาต่อเงื่อนไขเดิมที่ไม่เป็นธรรม และยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ซึ่งสหรัฐฯ ถอนตัวในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งเมื่อครั้งก่อน 

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ในการจัดการกับปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน โดยทรัมป์ได้กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ไม่สามารถปกป้องสหรัฐฯ และพันธมิตรจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ และกล่าวหาว่าอิหร่านยังคงดำเนินกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาค

“เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ มีคำกล่าวกันว่าจะไม่ยอมให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่หากเราต้องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ อเมริกาก็ไม่สามารถหยุดเราได้ เป็นความจริงที่ว่าเราไม่มีอาวุธนิวเคลียร์และไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ก็เพราะตัวเราเองไม่ต้องการมัน” คาเมเนอี กล่าว

สำหรับการที่ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ออกมาพูดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียดและไม่มีท่าทีที่จะคลี่คลายในอนาคตอันใกล้ 

ทั้งนี้ คำพูดของผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในเจตนาของสหรัฐฯ โดยอิหร่านมองว่าการเสนอเจรจาของสหรัฐฯ เป็นเพียงกลยุทธ์ในการบิดเบือนความจริงและไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในท่าทีของอิหร่านได้

จีน เร่งพัฒนาหลักสูตร AI ด้วยเทคโนโลยี DeepSeek ขณะที่มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งทยอยเปิดสอนเต็มรูปแบบ

ฮ่องกง, 22 กุมภาพันธ์ 2025 – มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศจีนเริ่มเปิดสอนหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยใช้เทคโนโลยีของ DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จากหางโจวที่กำลังเป็นที่จับตามองในระดับโลก หลายฝ่ายเปรียบเทียบความก้าวหน้านี้เป็น 'ช่วงเวลาสปุตนิก' ของจีนในอุตสาหกรรม AI

รัฐบาลจีนเดินหน้ายกระดับการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเป้าหมายสร้างรากฐานทางปัญญาให้เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ขณะที่ DeepSeek ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้เชี่ยวชาญในซิลิคอนวัลเลย์และวิศวกรจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ โดยระบุว่าโมเดล DeepSeek-V3 และ DeepSeek-R1 สามารถแข่งขันกับ AI ขั้นสูงของ OpenAI และ Meta ได้อย่างสูสี

มหาวิทยาลัยเซินเจิ้น ในมณฑลกวางตุ้งตอนใต้ เปิดเผยว่าหลักสูตร AI ที่ใช้เทคโนโลยี DeepSeek จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจเทคโนโลยีสำคัญ รวมถึงประเด็นด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และจริยธรรม ขณะที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เริ่มเปิดหลักสูตรพิเศษเกี่ยวกับ DeepSeek ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์

มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เจียทง เปิดเผยผ่านช่องทาง WeChat อย่างเป็นทางการว่าได้นำ DeepSeek มาใช้พัฒนาเครื่องมือการเรียนรู้ AI ขณะที่มหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีน ก็เริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในหลายด้าน ตั้งแต่การเรียนการสอน การวิจัย ไปจนถึงการบริหารภายในมหาวิทยาลัย

นโยบายเร่งด่วนด้านการศึกษาของจีนยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนา AI เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จีนได้ประกาศแผนปฏิบัติการแห่งชาติฉบับแรกเพื่อสร้าง “ประเทศที่มีการศึกษาที่แข็งแกร่ง” ภายในปี 2035 โดยตั้งเป้าพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพระดับโลก

นอกจากนี้ หลี่อัง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek ยังได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสำคัญเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ซึ่งมี ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และผู้นำเทคโนโลยีชั้นนำของจีน เช่น อาลีบาบา เข้าร่วม ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณบ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับ AI เป็นอย่างมาก

ขณะที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อแข่งขันกับโลกตะวันตก คำถามสำคัญที่ตามมาคือ DeepSeek จะสามารถรักษาความก้าวหน้าของตนได้หรือไม่? และ อุตสาหกรรม AI ของจีนจะสามารถขยายตัวจนเป็นผู้นำระดับโลกได้หรือเปล่า?

USAID ได้รับคำสั่งให้ทำลายเอกสารลับและแฟ้มบุคลากร ก่อให้เกิดความกังวลด้านความโปร่งใส ท่ามกลางกระบวนการยุบหน่วยงาน

(12 มี.ค. 68) เคย์ล่า เอปสเตน ผู้สื่อข่าวจากบีบีซี รายงานว่า สำนักงานพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้รับคำสั่งให้ทำลายเอกสารลับและแฟ้มบุคลากร โดยการย่อยเอกสารและเผาทิ้ง ท่ามกลางกระบวนการยุบหน่วยงานที่กำลังดำเนินอยู่ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ 

โดยคำสั่งดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลในหมู่พนักงานและกลุ่มแรงงาน ซึ่งเกรงว่าจะกระทบต่อความโปร่งใสและกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานนี้

ก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยว่า เอริก้า วาย. คาร์ (Erica Y. Carr) รักษาการเลขาธิการบริหาร ได้ส่งอีเมลถึงเจ้าหน้าที่ขอบคุณที่ทำการเคลียร์ตู้เซฟลับและเอกสารบุคลากรจากสำนักงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมแจ้งให้พนักงานมารวมกันที่ล็อบบี้ของอาคารเพื่อจัดกิจกรรมการกำจัดเอกสารที่ไม่จำเป็น และได้ทำลายเอกสารตลอด 1 วันเต็ม

สำหรับเนื้อหาในอีเมล ระบุว่า “ทำลายเอกสารให้ได้มากที่สุดก่อนแล้วเผา โดยให้ใช้เมื่อเครื่องทำลายเอกสารช่วยอีกแรง” อีเมลยังระบุให้พนักงานใส่เอกสารในถุงสำหรับเผาและปิดผนึกถุงก่อนนำไปเผาที่สถานที่ปลอดภัย พร้อมติดป้าย “SECRET” และ “USAID (B/IO)”

การทำลายเอกสารดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระบวนการปรับโครงสร้างหน่วยงานที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งถือบางส่วนของการปรับโครงสร้างที่ได้เริ่มขึ้นภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ โดยการลดขนาดของ USAID รวมถึงการระงับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ 

สมาคมการบริการต่างประเทศของอเมริกา (AFSA) ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงาน USAID ได้แสดงความตกใจเกี่ยวกับคำสั่งนี้และเตือนว่าการทำลายเอกสารอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการทางกฎหมายและการตรวจสอบภายในหน่วยงาน โดยเฉพาะในกรณีที่เอกสารดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องเกี่ยวกับการเลิกจ้างพนักงานและการยุติการให้ทุน

กฎหมายของรัฐบาลกลาง ระบุว่าหน่วยงานต้องเก็บรักษาบันทึกของรัฐบาลไว้เพื่อความโปร่งใส การทำลายเอกสารอาจมีผลกระทบทางกฎหมาย หากทำโดยไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแห่งชาติ เคล แมคคลานาฮาน (Kel McClanahan) ผู้อำนวยการบริหารของ National Security Counselors ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานบริหารเอกสารและบันทึกแห่งชาติ เพื่อให้หยุดการทำลายเอกสาร และเตือนว่า การสูญเสียบันทึกบุคลากรอาจทำให้เกิดความยุ่งยากร้ายแรงในการตรวจสอบและประมวลผลสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของพนักงาน

ทั้งนี้ USAID ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ถูกปรับโครงสร้างอย่างหนักภายใต้การบริหารของทรัมป์ โดยมีการลดขนาดและการยกเลิกโครงการต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาในต่างประเทศ

ประชาธิปไตยแบบจีน ขยับแซงหน้า สหรัฐฯ แถมเหนือกว่า ทั้งเศรษฐกิจ – สวัสดิการ - ความเป็นอยู่

เมื่อวันที่ (11 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘ลึกชัดกับผิงผิง’ สื่อที่อยู่ภายใต้การควบคุมจากรัฐของจีน โพสต์ข้อความว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบจีนแซงหน้าประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา

ตอนที่เพิ่งสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือที่เรียกสั้นๆว่าจีนใหม่ นายปา จินนักเขียนชื่อดังชาวจีนกล่าวว่า “ผมไม่กล้าฝัน เพราะโดยรอบมีแต่คนยากจนหิวโหย ผมเพียงแต่หวังว่าสักวันชาวจีนจะสามารถทำงานด้วยสองมือ เพื่อมีเงินมาซื้ออาหารกินให้อิ่ม”

วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2025 'การประชุม 2 สภา' ได้แก่ การประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติและการประชุมสภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีนสิ้นสุดลง ซึ่งนับวันเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกมากยิ่งขึ้น เพราะระบอบประชาธิปไตยแบบจีนประสบความสำเร็จ กระทั่งแซงหน้าระบอบประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา 

ประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา มีขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน เน้นการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้นำประเทศแบบ 1 คน 1 เสียง ชาวบ้านมีอำนาจเฉพาะช่วงเวลาโหวต หลังจากนั้นก็คงไม่มีอีกแล้ว 

ประชาธิปไตยแบบจีนเน้น 'ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นพื้นฐาน' “ประชาชนเป็นตัวตั้ง” และเป็น “ประชาธิปไตยตลอดเวลา” (全过程民主) โดยประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบการทำงานของพรรครัฐบาลตลอดเวลา ผู้นำประเทศต้องคัดเลือกและเลือกจากผู้ที่มีประสบการณ์บริหารบ้านเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ 

ปัจจุบัน ชาวจีนมิเพียงแต่กินอิ่มเท่านั้น แต่ยังได้เข้าสู่ยุครถไฟความเร็วสูง รถยนต์พลังงานใหม่อัจฉริยะ และเป็นสังคมไร้เงินสดเพียงประเทศเดียวในโลก ชาวจีนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบปลอดภัย 

ที่สหรัฐอเมริกา แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงประมาณ 4-5 หมื่นคน ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากเหตุกราดยิงรวมประมาณ 1 ล้านคน แต่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ 

หลายปีก่อน นายเฉิน ผิงนักวิชาการจีนที่เคยใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ปัจจุบัน ชาวจีนที่มีรายได้ 2,000 หยวนจะใช้ชีวิตดีกว่าชาวอเมริกันที่มีรายได้ 3,000 เหรียญสหรัฐ” เวลานั้น ชาวจีนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ 

ต้นปี 2025 จากเหตุติ๊กต๊อก มีชาวเน็ตอเมริกันนับล้านคนทยอยเข้า “เสี่ยวหงซู” (小红书:rednote)ที่เป็น APP โซเชียลมีเดียของจีน ชาวบ้านสองประเทศคุยกันอย่างเสรีและเปิดเผย แล้วชาวจีนเริ่มสงสารชาวบ้านอเมริกัน ส่วนชาวบ้านอเมริกันเริ่มอิจฉาชาวจีนกับวิถีชีวิตที่สุขสบายล้ำสมัย 

อย่างเช่น ชาวจีนเรียกรถโรงพยาบาลครั้งละหลายร้อยหยวน ที่สหรัฐอเมริกา เรียกครั้งละหลายพันกระทั่งหมื่นเหรียญสหรัฐ ซึ่งครอบครัวธรรมดาส่วนหนึ่งอาจจะจ่ายไม่ไหว 

สตรีจีนที่อยู่ในช่วงคลอดลูกจะมีวันหยุดรวมแล้ว 3-4 เดือน สตรีชาวอเมริกัน ไม่มีสวัสดิการแบบนี้ ค่าคลอดลูกในจีนแค่หลักหลายพันหยวน ราคาคลอดลูกในสหรัฐอเมริกาเริ่มจากหลายพันจนถึง 5-6 หมื่นเหรียญสหรัฐ 

ชาวจีนคงมีรายได้ต่ำกว่าชาวอเมริกัน แต่ส่วนใหญ่เพียงต้องทำงานหนึ่งอย่าง แต่ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยจะต้องขยันทำงาน 2-3 อย่างจึงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้ เพราะค่าครองชีพสูง ค่าน้ำค่าไฟสูง 

ชาวนิวยอร์กคนหนึ่งกล่าวว่า “ผมต้องทำงานสามอย่างตั้งแต่เช้าจนถึงกลางคืน หลังจากหักค่าเช่าบ้าน ค่าประกันการรักษาพยาบาลและค่าน้ำค่าไฟแล้ว เหลือประมาณ 500 เหรียญ” 

นักศึกษาอเมริกันคนหนึ่งที่เรียนนิติศาสตร์ร้องไห้ยกใหญ่หลังคุยกับเพื่อนชาวเน็ตจีนที่เรียนนิติศาสตร์ เธอกล่าวว่า “ ค่าเล่าเรียนวิชานิติศาสตร์ในจีนปีละ 800 เหรียญสหรัฐไม่ถึง 6,000 หยวน แต่ฉันเรียนวิชาเดียวกันในสหรัฐอเมริกา ต้องติดหนี้เงินกู้ 450,000 เหรียญสหรัฐ เมื่อรวมดอกเบี้ยด้วยแล้วปาเข้าไป 3,300,000 หยวน ฉันไม่รู้ว่าชาตินี้จะคืนเงินกู้ได้หมดหรือไม่” 

ปัจจุบัน นักศึกษาอเมริกัน ส่วนใหญ่จะต้องขอกู้เงินไปจ่ายค่าเล่าเรียน และผู้ที่สามารถจ่ายคืนให้หมดก่อนอายุ 40 ปีนั้นมีเป็นจำนวนน้อย นักเรียนจำนวนหนึ่งในโรงเรียนสหรัฐอเมริกา ต้องกู้เงินเพื่อซื้ออาหารมื้อเที่ยงในโรงเรียน 

ชาวเน็ตอเมริกัน อิจฉาชาวจีนที่มีอาหารใส่เต็มตู้เย็น อิจฉาชาวจีนที่ซื้อของใช้ชีวิตประจำวันด้วยรูปแบบที่จ่ายเงินครั้งเดียวจบ ไม่ต้องขอจ่ายแบบผ่อน และอิจฉาสังคมจีนที่ทันสมัยยิ่งกว่าสหรัฐอเมริกา

ช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา รายได้ของชาวจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่รายได้ของชาวอเมริกัน เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า ระดับการใช้ชีวิตของชาวอเมริกันส่วนใหญ่เหมือน 20 ปีก่อน ในสหรัฐอเมริกากำไรที่เพิ่มขึ้นใหม่ ส่วนใหญ่ไหลเข้ากระเป๋าของนายทุน 

นายสี จิ้นผิงประธานาธิบดีจีนกล่าวว่า “ความใฝ่ฝันของประชาชนในการมีชีวิตที่ดีงาม ก็คือเป้าหมายในการทำงานของเรา ประชาชนสนใจปัญหาอะไรมากที่สุด เราก็จะหารือปัญหานั้น และต้องแก้ไขปัญหานั้นให้ได้” 

ความมุ่งมั่นของผู้นำจีนทำให้เกิดตัวเลขที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 
ในช่วงปี 2000-2023 GDP ของจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย 6.7% ต่อปี สัดส่วนอุตสาหกรรมการผลิตต่อทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 32% ขณะที่สัดส่วนอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐอเมริกาลดลงจาก 20.1% เหลือ 10.8% และ สหภาพยุโรปหรืออียู จาก 18.9% เหลือ 13.2%

‌อัตราการครอบคลุมของการประกันสังคมและการรักษาพยาบาลของจีนเกินกว่า 95% ประกันชราภาพครอบคลุมประชากร 1,040 ล้านคน สร้างเครือข่ายสวัสดิการสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

ความก้าวหน้าทางนวัตกรรมเทคโนโลยีจีน:จำนวนสิทธิบัตรที่ได้รับอนุญาตติดอันดับ 1 ของโลกต่อเนื่องกัน 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนฐาน 5G เกินกว่า 60% ของโลก‌ ผลิตยานยนต์พลังงานใหม่กว่า 60% ของโลก และผลิตแผงโซลาร์เซลล์กว่า 80% ของโลก‌ 

จีนก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงของรวมแล้วกว่า 48,000 กิโลเมตร ครองสัดส่วน 70% ของทั่วโลก

ประสิทธิภาพการปฏิบัติตามนโยบาย: โครงการสำคัญ 102 โครงการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปีฉบับที่ 14 ของจีนนั้น เริ่มดำเนินการแล้วกว่า 96% ขณะที่กฎหมายโครงสร้างพื้นฐานสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านมาแล้ว 2 ปีนั้น ดำเนินการเพียง 12%‌ เท่านั้น

ต้นปี 2025 โมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ “Deepseek” และหนัง “นาจา-2” เผยแพร่สู่ทั่วโลก เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีและวัฒนธรรมจีนกำลังเข้าสู่ช่วงการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง แถมแรงเร็วแบบระเบิด

อดีตเสนาธิการทหารสมัย ปธน.จอร์จ ดับเบิลยู บุช ออกมาแฉ CIA เคยยุยงชาวอุยกูร์ในซินเจียง เพื่อสั่นคลอนเสถียรภาพจีน

(12 มี.ค. 68) พ.อ.ลอว์เรนซ์ วิลเกอร์สัน (Lawrence Wilkerson) อดีตหัวหน้าเสนาธิการทหารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในยุคอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เปิดเผยว่า CIA เคยได้รับคำสั่งให้เข้าไปปลุกปั่นชาว อุยกูร์ ที่ไม่พอใจรัฐบาลจีนในมณฑล ซินเจียง เพื่อทำให้เกิดความไม่สงบและสั่นคลอนเสถียรภาพของจีน

คำกล่าวของวิลเกอร์สันเกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อน ในงานสัมมนาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยเขาระบุว่า เป้าหมายของปฏิบัติการดังกล่าวคือการกดดันจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ เช่น มณฑลซินเจียง ซึ่งเป็นบ้านของชาวอุยกูร์ที่มีวัฒนธรรม ศาสนา และภาษาแตกต่างจากชาวฮั่นที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจีน

“หากเราต้องการทำให้จีนหวั่นไหว เราควรใช้ CIA เข้าไปกระตุ้นให้ชาวอุยกูร์ที่ไม่พอใจลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง” วิลเกอร์สัน กล่าวในเวลานั้นพร้อมเสริมว่า “การสร้างความไม่สงบในซินเจียงจะช่วยกดดันจีนในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ใช้ในการรับมือกับอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวถูกนำกลับมาจนกลายเป็นที่สนใจอีกครั้งในปัจจุบัน ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในซินเจียง ซึ่งจีนกล่าวหาสหรัฐฯ มาตลอดว่าพยายามใช้ประเด็นอุยกูร์เพื่อแทรกแซงกิจการภายในของตน

นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การเปิดเผยของวิลเกอร์สันสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของสหรัฐฯ ในการใช้ปฏิบัติการลับเพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศคู่แข่ง ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนมองว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนาในจีน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังไม่ได้ออกมาแสดงท่าทีต่อคำกล่าวนี้อย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านี้ ปักกิ่งเคยกล่าวหาสหรัฐฯ ว่า ให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในซินเจียง และใช้ประเด็นอุยกูร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองมาโดยตลอด

ส่วนเรื่องการเปิดเผยดังกล่าวจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างไร ยังต้องจับตาดูกันต่อไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งในหลายประเด็น ตั้งแต่เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ไปจนถึงภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ทั้งนี้ ยังไม่พบแหล่งข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศที่ยืนยันข้อมูลดังกล่าว ดังนั้นควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลและตรวจสอบจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เพิ่มเติม

รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ ชี้หากยูเครนต้องการสันติภาพกับมอสโก ต้องยอมสละดินแดนบางส่วนที่รัสเซียยึดครองมาตั้งแต่ปี 2014

(12 มี.ค. 68) สำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) กล่าวถึง ยูเครนจำเป็นต้องยอมรับการสูญเสียดินแดนที่รัสเซียยึดครองตั้งแต่ปี 2014 เพื่อให้เกิดข้อตกลงสันติภาพกับมอสโก

รูบิโอระบุว่า การยอมรับความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการยุติสงครามที่ยืดเยื้อและลดความสูญเสียเพิ่มเติม เขาเน้นย้ำว่าการคาดหวังให้ยูเครนได้ดินแดนกลับคืน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“ผมคิดว่าทั้งสองฝ่ายต้องเข้าใจว่า ตอนนี้ไม่มีวิธีแก้ไขด้วยกำลังทหารสำหรับสถานการณ์” นายรูบิโอกล่าว “รัสเซียไม่สามารถยึดครองยูเครนได้ทั้งหมด และจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับยูเครนที่จะผลักดันรัสเซียกลับไปเป็นเหมือนในปี 2014 ภายในระยะเวลาอันสมควร”

คำกล่าวของรูบิโอเกิดขึ้นก่อนการเจรจาสันติภาพที่กำลังจะมีขึ้นในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้ประสานงาน แต่ทว่า ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี จะไม่เข้าร่วมการเจรจาโดยตรง แต่จะส่งผู้แทนเข้าร่วมแทน

นอกจากนี้ รูบิโอยังระบุว่า สหรัฐฯ อาจพิจารณากลับมาให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาในครั้งนี้ แม้ว่าสหรัฐจะยุติการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองบางส่วนกับยูเครนแล้ว รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม แต่รูบิโอกล่าวว่าวอชิงตันยังคงให้ข้อมูลแก่เคียฟอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้เคียฟสามารถป้องกันตนเองจากการโจมตีของรัสเซียต่อไปได้ เขายังกล่าวอีกว่าไม่มีภัยคุกคามในการยุติการเข้าถึงโครงข่ายดาวเทียม Starlink ของยูเครน ซึ่งเป็นบริการอินเทอร์เน็ตจาก SpaceX ของมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ (Elon Musk)

อย่างไรก็ตาม นักการทูตตะวันตกเตือนว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ไม่มีแนวโน้มที่จะประนีประนอม และยืนยันที่จะรักษาดินแดนที่ยึดครองไว้ทั้งหมด

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงท่าทีของรูบิโอ ซึ่งเคยเป็นผู้วิจารณ์รัสเซียอย่างแข็งขัน แสดงถึงการปรับนโยบายของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

สาวนักวิ่งจากบรู๊กวิลล์ ไฮสคูล โดนคู่แข่งใช้ไม้คฑาวิ่งผลัดฟาดศีรษะ ออกจากการแข่งด้วยความเจ็บปวด ขณะที่มือทำยังปฏิเสธบอกเป็นเพียงอุบัติเหตุ

(11 มี.ค. 68) โลกโซเชียลแชร์คลิปวิดีโอเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างการแข่งขันวิ่งผลัด 4×200 เมตร หญิง ระดับไฮสคูลในรัฐเวอร์จิเนีย ของสหรัฐฯ รายการ 'เวอร์จิเนีย สเตท ไฮสคูล ลีก แชมเปี้ยนชิพส์' ซึ่งจัดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยลิเบอร์ตี้ ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา เมื่อหญิงสาวชื่อ เคเลน ทัคเกอร์ นักวิ่งจาก บรู๊กวิลล์ ไฮสคูล ถูกเพื่อนร่วมอาชีพ อาไลล่า เอฟเวอเร็ตต์ จากทีม ไอ.ซี. นอร์คอม ไฮสคูล ใช้ไม้คฑาวิ่งผลัดฟาดเข้าที่ด้านหลังศีรษะ จนต้องออกจากการแข่งขันอย่างเจ็บปวด

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ทั้งสองทีมกำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ทัคเกอร์กำลังพยายามเบียดแซงเอฟเวอเร็ตต์ แต่ในขณะที่ทั้งสองเร่งความเร็วเข้ามาใกล้กันในช่วงทางโค้ง กลายเป็นเอฟเวอเร็ตต์กลับใช้ไม้ผลัดฟาดที่หลังศีรษะของทัคเกอร์อย่างรุนแรง ส่งผลให้ทัคเกอร์เสียการทรงตัวและล้มลงนอกที่นอกลู่วิ่ง 

ต่อมาเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์และกรรมการรีบเข้ามาดูอาการของทัคเกอร์ ซึ่งเจ้าตัวมีอาการมึนงง ก่อนถูกหามออกจากการแข่งขัน ขณะที่ผู้จัดการแข่งขันกำลังดำเนินการตรวจสอบเหตุการณ์นี้อย่างละเอียดเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการกระทำของเอฟเวอเร็ตต์ ซึ่งอาจถูกลงโทษในภายหลัง

เหตุการณ์นี้ทำให้การแข่งขันเวอร์จิเนีย สเตท ไฮสคูล ลีก แชมเปี้ยนชิพส์ ได้รับความสนใจจากผู้ชมคลิปไปทั่วโลก โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมในสนามแข่ง และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปมาตรการด้านความปลอดภัยในกีฬาระดับนี้

อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเหตุการณ์ อาไลล่า เอฟเวอเร็ตต์ ออกมาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่น WAVY โดยเธอเล่าว่าการฟาดไม้ผลัดใส่ทัคเกอร์นั้นเป็นอุบัติเหตุ

“มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขัน ฉันพยายามจะวิ่งแซงขณะจับที่ไม้ผลัด แต่ในช่วงที่ทั้งสองทีมเบียดกัน ฉันรู้สึกว่าไม้ผลัดของฉันอาจจะไปโดนเขาโดยไม่ตั้งใจ” เอฟเวอเร็ตต์ กล่าวพร้อมน้ำตา

ทั้งนี้เอฟเวอเร็ตต์ยังได้กล่าวขอโทษต่อทัคเกอร์และทีมของเขา พร้อมทั้งยืนยันว่าเธอไม่เคยมีเจตนาทำร้ายคู่แข่งและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

‘โรดริโก ดูเตอร์เต’ ถูกจับกุมที่สนามบินนานาชาติมะนิลา ตามหมายจับศาล ICC จากกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติด และการใช้ความรุนแรงเกินขอบเขต

(11 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โรดริโก ดูเตอร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกจับกุมที่สนามบินนานาชาติมะนิลา ขณะเดินทางกลับจากฮ่องกง ตามหมายจับที่ออกโดยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

การจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการสอบสวนของ ICC ที่ดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายสงครามปราบปรามยาเสพติดของดูเตอร์เตในช่วงดำรงตำแหน่ง ซึ่งได้มีการกล่าวหาว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์การสังหารผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับยาเสพติดโดยไม่มีการพิจารณาคดีตามกระบวนการยุติธรรม

เมื่อเดือนกันยายน 2564 ศาลอาญาระหว่างประเทศ ได้เริ่มการสอบสวนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว หลังจากที่มีการกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวนมาก ในช่วงที่ดูเตอร์เตดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2559-2564 โดยเขาได้ให้คำมั่นว่าจะปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด 

หนึ่งในนโยบายของดูเตอร์เตคือการให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่สามารถจับกุมหรือสังหารผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติด กลายเป็นก่อให้เกิด “สงครามยาเสพติด” นำไปสู่การเสียชีวิตของ 6,200 ราย ที่ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการปราบปราม

โดยก่อนหน้านี้ดูเตอร์เตจะประกาศถอนฟิลิปปินส์ออกจากการเป็นสมาชิกของ ICC ในปี 2560 แต่หลังจากที่ศาลเริ่มตรวจสอบนโยบายของเขา นำมาสู่การหมายจับที่ออกมาในครั้งที่นี้ยังคงมีผลบังคับใช้ และทางการฟิลิปปินส์ได้ดำเนินการตามกระบวนการจับกุมอย่างเคร่งครัด

หลังการจับกุม ดูเตอร์เตถูกส่งตัวไปยังสถานที่คุมขังภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่คณะทนายความของเขากล่าวว่าพวกเขาจะยื่นอุทธรณ์ในเร็วๆ นี้ โดยยืนยันว่าอดีตประธานาธิบดีไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว และจะต่อสู้กับข้อกล่าวหานี้อย่างเต็มที่

การจับกุมดูเตอร์เตในครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทั้งการเมืองภายในประเทศฟิลิปปินส์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิมนุษยชนและการดำเนินการของศาลฯ ICC

‘เซเลนสกี’ เยือนซาอุฯ เข้าเฝ้าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน หารือความร่วมมือทวิภาคีท่ามกลางสงครามยูเครน-รัสเซีย

(11 มี.ค. 68) สื่อซาอุดีอาระเบียรายงานว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ได้พบปะกับประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ที่พระราชวังอัล-ซาลาม ในเมืองเจดดาห์ เมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ (10 มี.ค.) โดยมีพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญระดับทวิภาคีและระดับนานาชาติ

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซีย ขณะที่ซาอุดีอาระเบียยังคงรักษาบทบาทเป็นมหาอำนาจในตะวันออกกลางที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจในระดับโลก

สำนักข่าวของทางการซาอุดีอาระเบียระบุว่า มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน และประธานาธิบดีเซเลนสกี ได้หารือถึงแนวทางการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และพลังงานระหว่างสองประเทศ รวมถึงการสนับสนุนยูเครนในด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของสงคราม

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงระหว่างประเทศ รวมถึงความพยายามในการหาทางออกทางการทูตสำหรับความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่

แหล่งข่าวระบุว่า ซาอุดีอาระเบีย มีบทบาทสำคัญในเวทีโลกด้านพลังงาน และการไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง โดยได้แสดงท่าทีสนับสนุนแนวทางสันติภาพ รวมถึงการแก้ไขปัญหาผ่านกระบวนการทางการทูตมาโดยตลอด

การพบปะครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของทั้งสองประเทศในการกระชับความสัมพันธ์และร่วมมือกันในหลายมิติ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความมั่นคงของหลายประเทศ

‘เกาหลีใต้’ ประเทศที่เศรษฐกิจดีแต่คนไม่มีความสุข เหตุ ความมั่งคั่งอยู่ในมือไม่กี่ตระกูลใหญ่ - คนรุ่นใหม่ไม่สร้างครอบครัว

(11 มี.ค. 68) เพจ Business Backpacker by K-SME โพสต์ข้อความว่า เกาหลี = ประเทศที่ความสุขต่ำสุดในโลก

โดยระบุว่า มา Seoul ครั้งนี้, นี่คือสิ่งที่ได้ยินบ่อยๆ ทั้งจากข่าวจากคน 

แรกๆ ก็งงว่าเป็นไปได้อย่างไร, โดยเฉพาะกลุ่มเด็กรุ่นใหม่วัย 30 ปีลงมาที่เรียกบ้านเมืองตัวเองว่านรกบนดิน
ทั้งที่เกาหลีเป็นชาติพัฒนา, gpd ต่อหัวเกือบ 40000 usd [ต่อคนประมาณ 1.2 ล้านต่อปีหรือเดือนละแสนบาทไทย]

แต่ดูเหมือนว่าประชากรจะไม่มีความสุขเท่าไร 
หลักฐานแสดงออกมาใน Stat อื่นที่ไม่ใช่ตัวเงิน

เช่น 
- อัตราการเกิดของเด็กที่ต่ำสุดในโลก [ตกใจที่ต่ำกว่า Ukraine ด้วยซ้ำจาก Stat ปี 2024]
- การหย่าร้างที่ติดอันดับบนๆ 
- เดินถนนมีแต่คนแก่
- แต่ประเทศดันอยู่ในสภาวะสงครามตลอดเวลา [แถมยิ่งวันทั้ง Kim ทั้ง Trump ก็ดูบ้าๆ พยากรณ์อะไรไม่ได้...]
- ประชาชนทุกคนต้องเป็นทหาร 
- แต่ "ประชาชนทุกคน" ที่ว่าฯ ดันมีจำนวนเกิดใหม่น้อยลงๆ
- จากเดิมที่เคยทำนายว่าในเวลา 50 ปี, ถ้าเกาหลีใต้ยังคงเดินหน้าแบบนี้จะ "สิ้นชาติ" อาจเห็นผลในไม่ถึง 30 ปีหรือ 25 ปี
- เมื่อเมืองอื่นๆ ในเกาหลีมีเด็กเกิดใหม่น้อยลง, ธุรกิจในพื้นที่นั้นก็เริ่มตาย
- ยิ่งผลักให้เด็กจบใหม่มีทางเลือกเดียวคือเข้า Seoul 
- ต่างจังหวัดก็ยิ่งร้าง
- แต่เด็กจบใหม่เหล่านั้นเมื่อผ่านไปสี่ห้าปีก็เริ่มพบว่าต่อให้ทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ Own อะไรเลยในประเทศนี้
- ตึกสวยๆ สูงๆ ใน Seoul ที่ตนเคยใช้ภูมิใจอวดใส่คนต่างชาติ, ความจริงเจ้าของทั้งหมดก็คือสี่ห้านามสกุลที่แบ่งประเทศกัน
- ส่วนตัวเองทำได้แค่เลิกงานแล้วเดินทางกลับห้องเช่ารูหนูใต้ดินชายขอบของ Seoul [บ้านสมัยก่อนมักมีห้องใต้ดินเผื่อไว้เป็น Shelter หากเกิดสงคราม]
- ผ่านไปสิบปีเริ่มแก่ลงทุกทีๆ 
- ไม่มีปัญญาแม้จะ Own ห้อง Own ตึก Own บ้าน, ไม่มีปัญญาจะสร้างครอบครัวหรือมีเด็กเกิดใหม่ที่รัฐ [และไอ้สี่ห้าตระกูลนั้น] เคี่ยวเข็ญทุกวันว่าคนรุ่นใหม่ทำไมไม่มี ๆ ๆ
- ที่เห็นหนุ่มสาวชาว Seoul เดินหล่อๆ สวยๆ กัน, เป็นแค่ฝันที่ครั้งหนึ่งเกาหลีสร้างไว้ ก่อนสมัย Pandemic 

ฉันมาธุระรอบนี้, ออกมาดูพื้นที่รอบนอกของ Seoul ถัดออกมาอีกที 
มีต่างชาติส่งข่าวอันหนึ่งมาให้ดู
ว่าด้วย Older Se x Workers ในเกาหลี

คนชราหญิงวัย 6x - 7x ปีที่ออกมาเดินเร่ขายตัวกลางดึกเพื่อหาเงินกินข้าววันต่อวัน
ทั้งที่บางคนมีลูกหลาน
แต่ความจริงคือลูกหลานเหล่านั้นแค่เอาตัวเองให้รอดไปวันๆ ก็แทบจะไม่ไหว
ไม่มีความหวัง
ไม่มีความภูมิใจ
ไม่มีอนาคต

ตัวเลข gdp ที่เกิดจากสี่ตระกูลใหญ่อาจจะปั่นขึ้นไปๆ
แต่คนรุ่นจากนี้อาจจะเริ่มสงสัย
ว่าฉันยังควรจะภูมิใจที่เกิดเป็นคนเกาหลีไหม
ในเมื่อไม่มีสิทธิ Own อะไรในประเทศนี้เลย 

'ท่าอากาศยานเจิ้งโจว' แหล่งลงทุนแห่งอนาคต พร้อมเชื่อมต่อเศรษฐกิจโลก เสริมศักยภาพศูนย์กลางโลจิสติกส์ครบวงจร

(11 มี.ค. 68) เขตนำร่องทดลองเศรษฐกิจท่าอากาศยานเจิ้งโจว (Zhengzhou Airport Economic Comprehensive Experimental Zone) ซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนาน กำลังก้าวขึ้นเป็น ศูนย์กลางธุรกิจและโลจิสติกส์ระดับโลก พร้อมต้อนรับพันธมิตรทางธุรกิจจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เครือข่ายคมนาคมที่ครอบคลุม และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

เขตเศรษฐกิจแห่งนี้โดดเด่นด้วยระบบ 'การเชื่อมโยงท่าทั้ง 4' ได้แก่ ท่าอากาศยาน สถานีรถไฟ ศูนย์ขนส่งทางถนน และท่าเรือบก ทำให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายโลจิสติกส์กับเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ปัจจุบันสนามบินนานาชาติเจิ้งโจวซินเจิ้ง อยู่ที่ 40 อันดับแรกของโลกด้านปริมาณการขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ และมีเส้นทางขนส่งสินค้าเชื่อมโยง 28 ประเทศ และ 62 เมืองทั่วโลก

นอกจากนี้ ศูนย์ท่าเรือบกนานาชาติเจิ้งโจว ซึ่งเป็นศูนย์กลางรถไฟขนส่งสินค้าจีน-ยุโรปแห่งเดียวในภาคกลางของจีน คาดว่าจะสามารถรองรับ รถไฟ 10,000 ขบวน และสินค้ากว่า 10 ล้านตัน ภายในปี 2578

โดยเขตนำร่องเศรษฐกิจแห่งนี้กำลังกลายเป็น ศูนย์กลางการผลิตระดับสูง โดยมีอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นำโดย Foxconn, xFusion และ Loongson, อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ ขับเคลื่อนโดย BYD, Skyworth และ Geely, อุตสาหกรรมชีวการแพทย์ มีศูนย์กลางที่ Zhongyuan Medical Science City

อีกทั้งโรงงานของ Foxconn ในเจิ้งโจวได้ผลิตสมาร์ตโฟนไปแล้วกว่า 1.2 พันล้านเครื่อง ทำให้กลายเป็นฐานการผลิตอุปกรณ์อัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่ BYD ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ได้ถึง 545,000 คันในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 169.8%

ส่งผลให้เขตเศรษฐกิจแห่งนี้ยังพัฒนาไปสู่ เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมใหม่ เช่น ดาวเทียมอวกาศ การกักเก็บพลังงาน และปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยศูนย์การคำนวณอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดในจีนตอนกลางกำลังจะเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบภายในไตรมาสแรกของปีนี้

สำหรับในอนาคต เขตนำร่องเศรษฐกิจท่าอากาศยานเจิ้งโจวตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางใน 5 ด้าน ได้แก่ ศูนย์การผลิตขั้นสูง, ศูนย์โลจิสติกส์เพื่อธุรกิจ, ศูนย์นวัตกรรมและการประกอบการ, ศูนย์แฟชั่นเชิงสร้างสรรค์ และศูนย์พัฒนาทรัพยากรบุคคล ด้วยศักยภาพและนโยบายสนับสนุนที่แข็งแกร่ง เขตเศรษฐกิจแห่งนี้จึงพร้อมเปิดรับ นักธุรกิจและนักลงทุนจากทั่วโลก ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ การเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับนานาชาติ

จีน-รัสเซีย-อิหร่าน ประกาศซ้อมรบทางทะเล ยกระดับความร่วมมือทางทหาร กระชับอำนาจในอ่าวเปอร์เซีย

(11 มี.ค. 68) สำนักข่าว Sputnik รายงานว่า กระทรวงกลาโหมจีนประกาศว่า จีน, รัสเซีย และอิหร่าน จะร่วมกันซ้อมรบทางทะเลบริเวณน่านน้ำใกล้ท่าเรือจาบาฮาร์ของอิหร่าน ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้

แถลงการณ์จากกระทรวงกลาโหมจีนระบุว่า การซ้อมรบครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่ การเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล การต่อต้านภัยคุกคามทางยุทธศาสตร์ และการประสานงานทางทหาร ระหว่างกองทัพเรือของทั้งสามประเทศ ซึ่งถือเป็นการขยายความร่วมมือทางทหารที่สำคัญ

การซ้อมรบระหว่าง จีน-รัสเซีย-อิหร่าน เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศที่มีความตึงเครียด โดยก่อนหน้านี้ รัสเซียเพิ่งเสร็จสิ้นการซ้อมรบครั้งใหญ่ "Ocean-2024" ในทะเลญี่ปุ่นร่วมกับจีน ขณะที่จีนและอิหร่านก็กำลังพัฒนาความสัมพันธ์ทางทหารอย่างต่อเนื่อง

นักวิเคราะห์มองว่าการซ้อมรบครั้งนี้ อาจเป็นการส่งสัญญาณถึงชาติตะวันตกว่า พันธมิตรฝั่งตะวันออกกำลังแข็งแกร่งขึ้น และพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของตนในภูมิภาค โดยเฉพาะในบริเวณอ่าวเปอร์เซียและมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจและการทหาร

ทั้งนี้ รายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบการซ้อมรบ รวมถึงจำนวนกองกำลังและยุทโธปกรณ์ที่เข้าร่วม ยังคงต้องรอติดตามจากแถลงการณ์เพิ่มเติมของทั้งสามประเทศ

กรุงปักกิ่ง เตรียมเปิดสอนหลักสูตร AI ในชั้นประถม-มัธยม สานเป้าหมายดันจีนสู่มหาอำนาจด้านเทคโนโลยี AI

โรงเรียนในกรุงปักกิ่งเตรียมบรรจุหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเรียนการสอนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ตามเป้าหมายของจีนในการเป็นผู้นำด้าน AI

คณะกรรมการการศึกษาเทศบาลนครปักกิ่งระบุผ่านแถลงการณ์บนเว็บไซต์ว่า ตั้งแต่ภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วงที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 ก.ย.นี้ โรงเรียนในกรุงปักกิ่งจะต้องจัดการเรียนการสอนด้าน AI อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อปีการศึกษา โดยโรงเรียนสามารถเปิดเป็นวิชาเฉพาะ หรือบูรณาการเข้ากับหลักสูตรที่มีอยู่แล้ว เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศและวิทยาศาสตร์

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำนวัตกรรมด้าน AI มานานแล้ว แต่ภาค AI เพิ่งได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นทั่วโลกเมื่อต้นปีนี้ หลังจากสตาร์ตอัปสัญชาติจีนอย่างดีปซีค (DeepSeek) เปิดตัวโมเดล AI ที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพทัดเทียมกับโมเดลที่พัฒนาโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ แต่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่ามาก

แผนการศึกษานี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่ประกาศในที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ซึ่งมุ่งสนับสนุนการประยุกต์ใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ ตลอดจนการพัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะรุ่นใหม่และอุปกรณ์การผลิต

หวย จิ้นเผิง รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของจีน กล่าวเมื่อวันพุธ (5 มี.ค.) ระหว่างการประชุมสภานิติบัญญัติประจำปีว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโดย AI เปิดโอกาสสำคัญให้กับภาคการศึกษา พร้อมย้ำว่าจีนจะเผยแพร่สมุดปกขาวว่าด้วยการศึกษา AI ในปี 2568

ชาวเนปาลนับหมื่น แห่รับ ‘สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ’ พร้อมเรียกร้องให้ฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์อีกครั้ง

กลุ่มสนับสนุนสถาบันกษัตริย์นับหมื่นรวมตัวกันที่สนามบินเพื่อมาต้อนรับสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งเนปาล อดีตกษัตริย์เนปาลที่ถูกโค่นอำนาจเมื่อปี 2008 ซึ่งได้เดินทางกลับกรุงกาฐมาณฑุ

พร้อมเรียกร้องให้คืนสถาบันกษัตริย์ที่ถูกโค่นอำนาจไป ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ

เมื่อวันอาทิตย์ ผู้สนับสนุนของสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ ประมาณ 10,000 คน รวมตัวกันใกล้ทางเข้าหลักของสนามบินนานาชาติตริภูวันในกรุงกาฐมาณฑุ ขณะพระองค์เสด็จกลับจากการเดินทางไปเนปาลตะวันตก

“ขอให้พระองค์ทรงกลับมาเถิด ทรงกลับมาเป็นกษัตริย์ มาช่วยประเทศชาติ กษัตริย์ที่รักของเรา จงทรงพระเจริญ เราต้องการสถาบันกษัตริย์” ประชาชนพากันตะโกน

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ วัย 77 ปี ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2001 หลังจากพี่ชายของเขา Birendra Bir Bikram Shah และครอบครัวของเขาถูกสังหารในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่คร่าชีวิตสมาชิกราชวงศ์ไปเกือบหมด

พระองค์ทรงปกครองประเทศในฐานะประมุขแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีอำนาจบริหารหรืออำนาจทางการเมืองจนถึงปี 2005 เมื่อพระองค์ได้เข้ายึดอำนาจเบ็ดเสร็จโดยกล่าวว่าเพื่อปราบกบฏเหมาอิสต์ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์

พระองค์สั่งยุบรัฐบาลและรัฐสภา จำคุกนักการเมืองและนักข่าว และตัดการติดต่อสื่อสาร ประกาศภาวะฉุกเฉิน และใช้กองทัพปกครองประเทศ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดการประท้วงบนท้องถนนครั้งใหญ่ จนในปี 2006 สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ ต้องส่งมอบอำนาจให้กับรัฐบาลหลายพรรค

รัฐบาลดังกล่าวได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพกับกลุ่มเหมาอิสต์ ซึ่งยุติสงครามกลางเมืองยาวนานกว่าทศวรรษที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน

ในปี 2008 พระองค์ได้ลงจากบัลลังก์หลังจากรัฐสภาลงมติให้ยกเลิกระบอบกษัตริย์ฮินดูที่ปกครองมายาวนาน 240 ปีของเนปาล ทำให้ประเทศกลายเป็นสาธารณรัฐฆราวาส

แต่ตั้งแต่นั้นมา เนปาลมีรัฐบาล 13 ชุด และหลายคนในประเทศ เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับสาธารณรัฐนี้ พวกเขาบอกว่าเนปาลไม่สามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้ และโทษว่าเป็นต้นเหตุของเศรษฐกิจที่ตกต่ำและการทุจริตคอร์รัปชันที่แพร่หลาย

'ความไร้ความสามารถของนักการเมือง’ ผู้เข้าร่วมการชุมนุมกล่าวว่าพวกเขาหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองเพื่อหยุดยั้งประเทศไม่ให้เสื่อมถอยต่อไป Thir Bahadur Bhandari วัย 72 ปี กล่าวกับสำนักข่าว Associated Press ว่า "เราอยู่ที่นี่เพื่อสนับสนุนกษัตริย์อย่างเต็มที่และรวมตัวสนับสนุนพระองค์เพื่อให้พระองค์ได้ขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้ง" 

ในบรรดาคนนับหมื่นที่มาครั้งนี้ มีช่างไม้วัย 50 ปีชื่อ Kulraj Shrestha ซึ่งเคยเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านกษัตริย์เมื่อปี 2006 แต่เปลี่ยนใจแล้วและตอนนี้กลับมาสนับสนุนสถาบันกษัตริย์

“สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับประเทศคือการทุจริตคอร์รัปชันครั้งใหญ่ และนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจทุกคนไม่ได้ทำอะไรเพื่อประเทศเลย” Kulraj Shrestha ให้สัมภาษณ์กับ AP “ผมเข้าร่วมการประท้วงที่ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ด้วยความหวังว่ามันจะช่วยประเทศได้ แต่ผมคิดผิด และประเทศชาติยิ่งตกต่ำลง ผมจึงเปลี่ยนใจ”

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อเรียกร้องให้คืนสถาบันกษัตริย์ แม้จะมีการสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น แต่โอกาสที่พระองค์จะกลับคืนสู่อำนาจนั้นริบหรี่

Lok Raj Baral นักวิเคราะห์การเมือง กล่าวกับสำนักข่าว AFP ว่าเขาไม่เห็นความเป็นไปได้ที่สถาบันกษัตริย์จะฟื้นคืนมา เพราะสถาบันกษัตริย์เป็น “แหล่งที่มาของความไม่มั่นคง”

“สำหรับกลุ่มที่ไม่พอใจบางกลุ่ม การกระทำดังกล่าวได้กลายเป็นการส่งสัญญาณถอดใจ เนื่องจากความไร้ความสามารถของนักการเมืองที่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ความหงุดหงิดดังกล่าวได้แสดงออกมาผ่านการชุมนุมและการเดินขบวนดังกล่าว” เขากล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top