Thursday, 19 June 2025
SPECIAL

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565 : หลวงปู่หา สุภโร

อย่าทำตัวเป็นไม้บรรทัด
เที่ยววัดคนอื่น แต่ไม่เคยวัดตัวเอง
อย่าเอาคนอื่นมาวัดกับเรานะ
เรากับเขา มันคนละคนกัน
การปฏิบัติธรรม...
เป็นเรื่องส่วนตัวของใครของมัน
อย่าเอามาอวดมาอ้างกัน
อย่าเอาเขามาทำให้เราทุกข์

ผบ.ตร. สั่งการ PCT ชุดที่ 5 จับกุมแก๊งต่างชาติ ‘ขายเพชรเก๊-ปลอมใบเซอร์’ เสียหาย 16 ลบ.

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ (3 พ.ย. 65) มีผู้เสียหาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสน.บางขุนนนท์ ว่าประมานวันที่ 15 มิ.ย. 65 ถึง 20 ต.ค. 65 ได้ถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงโดยเอาเพชรปลอมมาจำนำครั้งละ 1-2 เม็ด ตามร้านสาขาต่าง ๆ รวม 21 ครั้ง ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นเงินกว่า 16 ล้านบาท          

จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้ มีผู้ร่วมขบวนการเป็นชาวต่างชาติ และแหล่งผลิตทำเพชรปลอมนำเข้ามาจากต่างประเทศ พร้อมทั้งมีการทำใบรับรอง หรือที่เรียกว่า ‘ใบเซอร์’ ตบตาทางร้านได้อย่างแนบเนียน จนทางร้านผู้เสียหายหลงเชื่อ รับจำนำเพชรในราคาที่สูง แต่ได้ ‘เพชรปลอม’ สูญเงินจำนวนมาก จากแผนประทุษกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างยิ่ง     

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร (PCT) ให้ปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดในทุกรูปแบบที่สร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก จึงเร่งรัดสั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5 ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีโดยเร็ว

คืบหน้าเมื่อวันที่ (3 พ.ย. 65) เวลาประมาณ 15.00 น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5 ประกอบด้วย พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง, พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ จงเจริญ, พ.ต.ต.สุริยะ น้อยภักดี, พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ เสวกวัง, ร.ต.อ.ปรมา ปราณี, ร.ต.ท.พุฒิพงศ์ กองแก้ว, จ.ส.ต.สรศักดิ์ ด้วงชู และส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย ร่วมกันจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ผู้ต้องหาจำนวน 2 รายเป็นชาวต่างชาติ 1 และชาวไทย 1 ราย ได้แก่

1.) Mr.Sajan Dilpkumar Shah หรือ นายซาจัน ดิบคูมาร์ อายุ 32 ปี สัญชาติ อินเดีย ผู้ต้องหา
ตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชันที่ จ.549/2565 ลงวันที่ 3 พ.ย. 65 

2.) นายธนะสิทธิ์ สถิตมงคลไพศาล อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/436 ซ.ศาลธนบุรี 29/2 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ จ.กรุงเทพฯ ผู้ต้องหา

ตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชันที่ จ.548/2565 ลงวันที่ 3 พ.ย. 65 

โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอมพร้อมตรวจยึด 
1.) ตั๋วรับจำนำจำนวน 10 ฉบับ 
2.) วัตถุคล้ายเพชรอีกเป็นจำนวน 18 รายการ 
3.) ใบรับรองเพชร จำนวน 19 ฉบับ 
4.) โทรศัพท์มือถือ Sumsang Galaxy S22 Ultra สีชมพู จำนวน 1 เครื่อง 
5.) สมุดบัญชีธนาคารชื่อบัญชี Mr.Sajan Dilipkumar จำนวน 1 เล่ม 
6.) นามบัตรของ Mr.Sajan Shah (Sajji) S.D.Diamond จำนวน 4 ใบ
7.) นาฬิกาข้อมือโลหะสีเงิน จำนวน 1 เรือน
8.) โทรศัพท์มือถือ Sumsung Galaxy F62 สีน้ำเงิน จำนวน 1 เครื่อง
9.) เอกสารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรจำนวน 7 ฉบับ

จับกุมตัว Mr.Sajan Dilpkumar Shah ได้ที่ ถนนในซอยอินทรพิทักษ์ 1 แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร

จับกุมตัวนายธนะสิทธิ์ได้ที่ บ้านเลขที่ 94 ถ.ตากสิน บางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพ

พฤติการณ์กล่าวคือ ภายหลังผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.บางขุนนนท์ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT ชุดที่ 5 ได้วิเคราะห์แผนประทุษกรรมโดยละเอียดของกลุ่มคนร้ายจะใช้การลบแก้ไขข้อความบางส่วน โดยทำลายบริเวณของคำว่า ‘LABGROWN’ คือเพชรที่ทำสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฎิบัติการ โดยลบให้เหลือแค่คำว่า ‘BGROW’ ซึ่งยังมองเห็นด้วยกล่องที่ส่องกำลังขยาย และจะมีการยิงเลเซอร์ที่ขอบเพชร ให้ตรงกับหมายเลขประจำใบรับรอง หรือ ‘ใบเซอร์’ ซึ่งทั้งตัวเพชรและใบเซอร์ต่างถูกปลอมขึ้นทั้งสิ้น 

เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบโดยละเอียด ตามขนาดของเพชรที่นำมาจำนำมีความแตกต่างของขนาดไปจากข้อมูลบนใบรับรอง, บริเวณขอบเพชรพบว่ามีการทำลายบริเวณของคำว่า ‘LABGROWN’ ให้เหลือเพียง ‘BGROW’, ตำหนิภายในของเพชรที่นำมาจำนำพบว่าไม่ตรงกับข้อมูลบนใบรับรอง, ลักษณะของใบรับรองปลอมแปลงที่แตกต่างไปจากใบรับรองตัวจริงจากสถาบัน GIA ซึ่งต่อมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ชุดที่ 5 ลงพื้นที่สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิด จนสามารถพิสูจน์ทราบผู้ร่วมขบวนการทั้ง 2 คน ได้คือ Mr.Sajan Dilpkumar Shah หรือ นายซาจัน ดิบคูมาร์ อายุ 32 ปี สัญชาติ อินเดีย และ นายธนะสิทธิ์ สถิตมงคลไพศาล อายุ 45 ปี สัญชาติไทย ผู้ต้องหาทั้ง 2 จะเดินทางมาก่อเหตุหลอกจำนำเพชรที่ร้านรับจำนำพร้อมกันทุกครั้ง และจากข้อมูลการสืบสวนทราบว่า Mr.Sajan จะเดินทางไปมาระหว่างประเทศไทย - อินเดีย เป็นจำนวน 4 ครั้ง ในช่วงเดือน ต.ค. 65 ที่ผ่านมา 

เพื่อลักลอบนำเพชรปลอมเหล่านี้มาจากต่างประเทศ จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ชุดที่ 5 ได้สืบสวนติดตามจนกระทั่งวันที่ 3 พ.ย. 65 สามารถจับกุม นายธนะสิทธิ์ สถิตมงคลไพศาล ได้ที่บ้านเลขที่ 94 ถ.ตากสิน บางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพ และจับกุม Mr.Sajan Dilpkumar Shah ได้ที่ ถนนในซอยอินทรพิทักษ์ 1 แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร พร้อมตรวจยึด ตั๋วรับจำนำของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงรับจำนำ ย่งฮวดหลี จำนวน 10 ฉบับ วัตถุคล้ายเพชรอีกเป็นจำนวน 18 รายการ ใบรับรองเพชร จำนวน 19 ฉบับ โทรศัพท์มือถือ Sumsang Galaxy S22 Ultra สีชมพู จำนวน 1 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคารชื่อบัญชี Mr.Sajan Dilipkumar จำนวน 1 เล่ม และนามบัตรของ Mr.Sajan Shah (Sajji) S.D.Diamond จำนวน 4 ใบ

จากนั้นได้เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ชุดที่ 5 ได้เข้าตรวจค้นห้องพัก เลขที่ 772/283 คอนโด ยู ดีไลท์ เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ฟรอนท์ พระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ผลการตร เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ชุดที่ 5 ได้นำตัวทั้งสองมาขยายผลการจับกุมที่ บก.สส.บช.น. ซึ่งจากการขยายผลตอนนี้ได้ข้อมูลว่าก่อเหตุลักษณะนี้ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง ซึ่งตำรวจ PCT ชุดที่ 5 อยู่ระหว่างการติดตามประสานงานกับเหยื่อร้านรับจำนำรายอื่นๆ และจากการขยายผลทราบว่า Mr.Sajan หลอกลวงลักษณะนี้มาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยได้ทรัพย์สินจากการหลอกลวงไปเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

สำนักงานตำรวจ งัด 6 มาตรการ คุมเข้ม 'เด็กแว้น' ช่วงลอยกระทง สั่งจับตาเพจชักชวนรวมกลุ่มมั่วสุม แข่งรถป่วนประชาชน

(4 พ.ย. 65) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ตระหนักและให้ความสำคัญในปัญหาการแข่งรถในทางของเด็กและเยาวชน (เด็กแว้น) อันเป็นปัญหาที่สร้างอุบัติเหตุบนท้องถนน เกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน และสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชนในชุมชนและสังคม จึงมุ่งหวังให้ ตร. แก้ไขปัญหาดังกล่าว

วันนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนศูนย์ป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปข.ตร.) และกำหนดแนวทางมาตรการการปฏิบัติในช่วงเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2565 โดยมีหน่วย บช.น., ภ.1 – 9 และ บก.ทล. พร้อมด้วยหัวหน้าสถานีตำรวจทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุม รับฟังรายงานการบันทึกข้อมูลในระบบ CRIME และสถิติการดำเนินการ สถิติการร้องเรียนผ่านทางสายด่วน 191 และ 1599 พร้อมวิเคราะห์จัดกลุ่มความเสี่ยงของพื้นที่ สน./สภ. ความคืบหน้าและผลโครงการวิจัยศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการแก้ไขปัญหาการแข่งรถในทางอย่างยั่งยืน เป็นต้น

พล.ต.ท.ประจวบ กล่าวว่า ได้กำหนดมาตรการการปฏิบัติและกำชับให้หน่วย บช.น., ภ.1 – 9 และ บก.ทล. นำไปขับเคลื่อนเพื่อป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยกำชับให้เพิ่มความเข้มในการปฏิบัติช่วงเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2565 ดังนี้...

1. เร่งรัดกวดขันตรวจสอบการกระทำความผิดทุกช่องทาง ทั้ง ONLINE เช่น คลิปการแข่งรถ, การขับรถ ที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัย, ร้านค้าออนไลน์ ฯลฯ และ ON GROUND เพิ่มความเข้มออกกวดขันตรวจตรา แหล่งมั่วสุม จุดนัดหมาย สถานศึกษา ร้านจำหน่ายอะไหล่ ร้านซ่อมรถ ร้านดัดแปลงสภาพรถ ร้านแต่งซิ่ง โรงงานและร้านขายท่อไอเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ ดำเนินการตามกฎหมายกับตัวการ และสอบสวนขยายผลไปยังผู้สนับสนุน เช่น ผู้ผลิต ครอบครอง จำหน่าย ประกอบ ดัดแปลง ยุยงส่งเสริม สนับสนุนการแข่งรถในทาง Admin page และกองเชียร์ กรณีสืบทราบหรือพบเห็นการรวมกลุ่มเพื่อแข่งรถในทาง ให้ สน./สภ. บูรณาการกำลังทุกฝ่ายให้ยุติกิจกรรมพร้อมติดตามจับกุมให้ได้โดยเร็ว

2. การตรวจสอบแอดมินเพจชักชวนรวมกลุ่มมั่วสุมแข่งรถในทาง, ออกทริปท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมในช่วงวันหยุดราชการหรือเทศกาล ซึ่งอาจสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนในเส้นทาง ให้ดำเนินการตามมาตรการที่ ตร. กำหนด ตั้งแต่พื้นที่ต้นทาง พื้นที่กลางทาง จนถึงพื้นที่ปลายทาง ตั้งจุดตรวจจุดสกัด เพื่อกวดขันวินัยจราจร ให้หน่วยพื้นที่ต้นทางประชาสัมพันธ์กับแอดมินเพจให้ระงับการดำเนินการดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนและประชาชนที่พักอยู่ริมทาง และลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุ

3. ให้ความสำคัญการรับแจ้งเหตุและร้องเรียนในทุกช่องทาง ให้ กก.สส.บก.น./ภ.จว. ร่วมกับงานสืบสวนของ สน./สภ. ตรวจสอบและติดต่อสอบถามข้อมูลจากประชาชน เน้นการสืบสวนหลังเกิดเหตุให้ได้ตัวผู้ก่อเหตุ มาดำเนินคดีทุกราย เพื่อป้องปรามไม่ให้กลับมากระทำความผิดอีก และให้ความสำคัญกับการแสวงหาข้อมูล และเบาะแสจากเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่และช่องทางอื่น ๆ ทุกช่องทาง และสืบสวนสอบสวนให้ปรากฏข้อเท็จจริงโดยละเอียดทุกกรณี

จากดาวรุ่งสู่ดาวร่วง!! พลิกปูมยุบพรรค ‘อนาคตใหม่’ เหตุสะดุดขาตัวเอง ไม่เล่นตามกติกา

ย้อนหลังไปเมื่อวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 แม้จะเป็นวันศุกร์ที่ 21 แต่สำหรับพรรคอนาคตใหม่แล้ว คงรู้สึกเหมือนเป็นศุกร์ 13 เพราะเป็นวันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุมเพื่อลงมติคำร้องคดียุบพรรคอนาคตใหม่ กรณีเงินกู้ 191 ล้านบาท เนื่องจากกกต. ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กรณีพรรคอนาคตใหม่ว่าฝ่าฝืน มาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรดการเมือง 2560 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด

สำหรับพรรคอนาคตใหม่นั้น ก่อตั้งโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรองประธานบริหารบริษัทไทยซัมมิท และนายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ร่วมก่อตั้งอีก 24 คน ยื่นจดทะเบียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561

หลังจากนั้น เพียงปีเศษๆ เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 3 รองจากพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) รวม 81 คน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นส.ส.หน้าใหม่ เรียกได้เป็นพรรคการเมืองดาวรุ่งที่มาแรงมาก

แต่แล้วพรรคการเมืองที่กำลังมาแรงสุด ๆ กลับต้องสะดุดขาตัวเอง เมื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แจ้งทรัพย์สินรวมคู่สมรส หนี้สิน รายได้ แต่ทรัพย์สินที่น่าสนใจคือมีการแจ้งเงินปล่อยกู้ยืม พรรคอนาคตใหม่ 191.2 ล้านบาท สัญญาแรก 161.2 ล้านบาท และสัญญาที่สอง 30 ล้านบาท

ระหว่างที่รอการวินิจฉัยก็มีการเล่นแง่สร้างวาทกรรมมากมาย รวมถึงการบิดพลิ้วไม่ยอมทำตามที่ศาลขอ เช่น ศาลให้ส่งหนังสือของพยาน 17 ปาก ‘คดีเงินกู้ 191 ล้านพรรคอนาคตใหม่’ เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ทางพรรคก็ไม่ส่ง ขอเลื่อน ศาลเมตตาเลื่อนให้ส่งวันที่ 17 ก.พ. ก็ออกมาท้าทายศาล บางคนถึงขั้นหมิ่นศาลเลยทีเดียว บรรดากองเชียร์อนาคตใหม่ออกมาฟูมฟายว่าโดนกลั่นแกล้งว่าศาลไม่ยอมไต่สวน โดยปิดหูปิดตาไม่ดูความจริงว่าที่ศาลไม่ไต่สวนเพราะข้อเท็จจริงชัดเจนแล้วว่ามีการกู้เงินจริง ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ก็มาจากปากของทั้งธนาธรและสมาชิกพรรคนั่นเอง ต่อให้ไต่สวนอีกร้อยอีกพันคน ข้อเท็จจริงข้อนี้ก็ไม่เปลี่ยน

ก่อนหน้าวันวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีการกดดันศาลต่างๆ นานา มีการทำแคมเปญคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่นำโดยอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ โมเดลล่ารายชื่อเพื่อกดดันศาลนี่ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในยุคทักษิณ ชินวัตร ก็เคยเกิดขึ้นในปี 2544 ตอนนั้นมีคดีซุกหุ้นของทักษิณ บรรดาปัญญาชนปนยาชันออกมาเคลื่อนไหวใหญ่โต ล่ารายชื่อกดดันศาลให้คนโกงพ้นผิด ชื่นชมว่าทักษิณคืออัศวินควายคำ ปากบอกรัก
ประชาธิปไตย แต่กลับเอากฎหมู่มาขู่ให้อยู่เหนือกฎหมาย 

ตร. แถลงผลปฏิบัติการ ‘ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน’ ทลายแก๊งจีนทำธุรกิจสีเทา ยึดทรัพย์กว่า 300 ลบ.

เปิดปฏิบัติการ 'ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน' รองต่อ-รองโจ๊ก ผนึกกำลัง ทลายแก๊งคนจีนสีเทา สวมบัตร ปชช. เอี่ยวโยงคิงส์โรมัน พบพิรุธถือครองสินทรัพย์หมู่บ้านหรูย่านอุดมสุขกว่าครึ่งเฟสใหม่

วันที่ (3 พ.ย. 65) ที่ บช.สอท. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง ผบก.ตม.1 ร่วมกันแถลงข่าวผลปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายนายทุนจีนสีเทา ตามปฏิบัติการ 'ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน' โดยปิดล้อมตรวจค้น 3 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จับกุมผู้ต้องหากว่า 15 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนจีน 11 ราย คนไทย 4 ราย พร้อมของกลางเป็นเงินสดกว่า 42 ล้านบาท รถยนต์หรูกว่า 10 คัน โฉนดที่ดินหลายรายการ สุราต่างประเทศ สำรับไพ่ กระเป๋าแบรนด์เนม มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า การปิดล้อมตรวจค้นครั้งนี้เป็นนโยบายของทางรัฐบาล และทาง พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมประกอบกับในช่วงที่ผ่านมามีกรณีชาวต่างชาติเสียชีวิตเพราะยาเสพติดในสถานบันเทิง และกรณีสถานบริการเปิดให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการพนัน โดยเจ้าของกิจการหรือสถานบริการล้วนเป็นนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามปฎิบัติการดังกล่าวเป็นการขยายผลจากการตรวจค้นสถานบริการจินหลิง ย่านยานนาวา เขตสาทร หลังพบกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวจีนกว่า 237 คน เป็นชายสัญชาติจีน จำนวน 111 คน เป็นหญิงสัญชาติจีน จำนวน 126 คน 

นอกจากนั้น พบพนักงานและบุคคลชาวกัมพูชา และชาวไทยในบริเวณอาคารดังกล่าวอีกจำนวนกว่า 29 คน ตรวจยึดรถยนต์หรูกว่า 30 คัน เพื่อตรวจสอบหาเจ้าของว่ามีส่วนร่วม รู้เห็น หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีพฤติการณ์อันเข้าข่ายฟอกเงิน หนึ่งในรถยนต์หรูที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไว้นั้น ผู้ต้องหาหญิงชาวจีนเป็นผู้ขับ มีชายชาวจีนเป็นเจ้าของรถยนต์พบชายชาวจีนคนดังกล่าว คือ กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ แต่ถือหนังสือเดินทางประเทศกัมพูชาในการเดินทาง และยังมีหนังสือเดินทางของประเทศต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสวมสิทธิเป็นคนไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน เงินที่ได้จากการหลอกลวงจะถูกนำมาฟอกด้วยการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซื้อบ้านหรู คอนโดฯหรู รถยนต์หรู และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก มีการจ้างบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันตลอดเวลา จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายค้น

โดยตรวจค้น 3 จุด ประกอบไปด้วยจุดแรก เป็นบ้านเลขที่ 396/63 ซอยกาญจนาภิเษก 50 แขวงดอกไม้ แขวงประเวศ กรุงเทพฯ พบชาวจีน 5 คน และคนไทย 3 คน พร้อมทรัพย์สินหลายรายการ เช่น รถยนต์ 3 คัน รถจักรยานยนต์ ดูคาติ สีแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน สุราต่างประเทศกว่า 50 ขวด โทรศัพท์มือถือ 13 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 3 เครื่อง และ เงินสด 7 ล้านบาท

จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 89/46 หมู่บ้านแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา-อ่อนนุช แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านของนาย LIN YIAN หรือนายยะปะสอ สวรรยาคีรี พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินอีกหลายรายการ อาทิ รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ (ป้ายแดง) จำนวน 3 คันนาฬิกาหรูยี่ห้อ Patek Philippe จำนวน 1 เรือน เงินสด จำนวน 7.5 ล้านบาท บัตรประจำตัวประชาชน ชื่อนายยะปะสอ สวรรยาคีรี และหนังสือเดินประเทศไทย ชื่อนายยะปะสอ สวรรยาคีรี และ จุดที่ 3 เป็นคอนโดฯ บริเวณซอยสุขุมวิท 39 พบชาวจีน 4 คน พร้อมยึดทรัพย์สิน เช่น เงินสด 28 ล้านบาท กระเป๋าแบรนด์เนมหรู 8 ใบ

โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า จากการนำบัตรประชาชนของผู้ต้องหาคือนาย LIN YIAN หรือ นายยะปะสอ สวรรยาคีรี ที่ตรวจยึด มาตรวจสอบกับสารบบ ทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครองปรากฏว่า เลขประจำตัวประชาชนดังกล่าว นายทะเบียนออกให้กับบุคคลอื่น (ใบหน้าไม่ตรงกัน) โดยออกที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จึงเชื่อว่า เป็นการปลอมบัตรประจำตัวประชาชน จากการตรวจสอบแล้วว่า บุคคลตามบัตรประชาชนยังมีชีวิตอยู่ และทำอาชีพหักข้าวโพดอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด 

โดยประเด็นนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการขยายผลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน้าที่ในการออกเอกสาร ดังกล่าว ส่วนทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ตรวจยึดได้ จะมีการตรวจสอบความถูกต้อง และความเชื่อมโยงกับคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่ได้มีการแจ้งความไว้ในระบบการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป นอกจากนี้ยังพบพาสปอร์ต 2 สัญชาติ คือ ไทย และ กัมพูชา มีการเดินทางเข้าออกกัมพูชา 25 ครั้ง และกัวลาลัมเปอร์ มาเลเชีย 12 ครั้ง นอกจากนี้ จากการสอบสวนในเบื้องตนยังมีการทำธุรกิจ ร้านสุกี้ในคิงส์โรมัน สปป.ลาว และพื้นที่ 3 เหลี่ยมทองคำด้วย

‘รมว.ยุติธรรม’ แถลงผลจับกุมเครือข่ายทุน ‘มิน หลัด’ ยึดรีสอร์ต-โรงแรม-ทรัพย์สินรวมกว่า 1,858 ล้านบาท

สมศักดิ์’ แถลงผลงาน ป.ป.ส.ร่วม ตร.นครบาล จับเครือข่ายทุน มิน หลัด ยึดรีสอร์ต-โรงแรมหรูพร้อมทรัพย์สินกว่า 1,858 ล้านบาท ส่วนไหนยึดไม่ได้ขยายผลเรื่องภาษีต่อ กระตุ้นจนท.ต้องตื่นตัวหากไม่อยากให้ประเทศถูกทับถมด้วยยาเสพติด เผย 1 เดือนยึดได้แล้ว 3,171 ล้านบาท

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส ) มีการแถลงข่าวยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ และผลการยึดทรัพย์คดียาเสพติด รอบ 1 เดือน โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน พร้อมด้วย น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น และนายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ป.ป.ส.

พล.ต.ต.นิธิธร กล่าวว่า ตำรวจได้สืบสวนทำข้อมูลร่วมกันกับ ป.ป.ส. ตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งมีความเชื่อมโยงถึงการโอนย้าย ถ่ายเท และยังมีการตั้งบริษัทธุรกิจโอนเงินเข้าออกโดยผิดปกติ มีการนำเงินไปซื้อน้ำมัน ไฟฟ้า เราก็ต้องขยายผลเพิ่ม ตรงนี้จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบ มีบัญชีและตัวละครต่างๆ ที่เราต้องไปสืบสวน จากนั้นมีการยืนยันมา 4 จุดจึงออกหมายค้น และหนึ่งในนั้นคือตัวหลักที่มีความเชื่อมโยง โดยขณะนี้ตำรวจนครบาลได้ส่งข้อมมูลให้ตำรวจปราบปรามยาเสพติดแล้ว

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดให้พวกเราดำเนินการการปราบปรามยาเสพติดอย่างเร่งด่วน วันนี้สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ ตำรวจนครบาลจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ มีความพัวพันกับหลายคดีที่ผ่านมา ซึ่งในคดีนี้เราได้ติดตามจับกุมมาตั้งแต่ปี 2562-2565 จำนวน 5 คดี ยึดยาเสพติด เป็นยาบ้า 3,531,800 เม็ด ไอซ์ 86.98 กิโลกรัม คีตามีน 6 กิโลกรัม และ เฮโรอีน 380 กรัม 

จากนั้นได้มีการขยายผล ได้ 2 เคส ในปี 2564 และ ปี 2565 โดยในปี 2565 ได้จับกุม นายวรวัฒน์ วังศพาห์ กับพวก 4 คน ดำเนินคดีในฐานความผิด สมคบและสนับสนุนช่วยเหลือ ยึดอายัดทรัพย์กว่า 500 ล้านบาท และได้ขยายผลขออนุมัติสมคบ/ฟอกเงิน จับกุม กลุ่มอัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) 4 คน โดยมี นายทุน มิน หลัด นักธุรกิจชาวเมียนมาเป็นผู้ต้องหารายสำคัญ ยึดรถหรู นาฬิกา กระเป๋าแบรนด์เนม มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท เงินสดในตู้นิรภัยอีก 8 ล้านบาท

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในขบวนการยังมีตัวการสำคัญ คือ นายพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ และน.ส.กัลยวีร์ ธีระประภาวงศ์ ที่ยังหลบหนีหมายจับ เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินหลักของกลุ่มนิติบุคคล เป็นที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โดยเราสามารถยึดอายัดที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ รวม 71 แปลง มูลค่า 1,050 ล้านบาท มีทั้ง ที่ดินเปล่า อพาร์ตเมนต์ รีสอร์ต โรงแรมขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ในพื้นที่อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และอ.เมือง จ.สงขลา มูลค่าทรัพย์สินรวมของเครือข่าย ทุน มิน หลัด รวม 1,858 ล้านบาท หากในส่วนไหนที่ยึดทรัพย์ไม่ได้ ต้องไปขยายผลเรื่องภาษีต่อ

จับหนุ่มแสบหลอกรับซื้อดาวน์รถ นำไปขายต่อ อ้างเคยตกเป็นเหยื่อ รู้ช่องทางเลยเอามาหลอกต่อ

ปคบ.รวบหนุ่มแสบหลอกรับซื้อดาวน์/จำนำรถราคาถูกก่อนนำไปขายต่อตลาดมืด อ้างเคยตกเป็นเหยื่อ รู้ช่องทางเลยเอามาหลอกต่อ

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ.,พ.ต.อ.เชษฐ์พันธ์ กิติเจริญศักดิ์ ผกก.1 บก.ปคบ.สั่งการให้ พ.ต.ต.กฤษณ์ พิพัฒน์พูนสิริ สว.(สอบสวน) กก.1 บก.ปคบ., ร.ต.อ.รุ่งโรจน์ ดอนนันชัย รองสว.(สอบสวน) กก.1 บก.ปคบ.นำกำลังจับกุม นายจิรพงษ์ หวังเต่ากลาง อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรีในข้อหา 'ยักยอก' โดยจับกุมได้หน้าร้านข้าวมันไก่แม่มด ปากซอยช่างอากาศอุทิศ 5 แขวงและเขตดอนเมือง กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาได้หลอกรับซื้อดาวน์และรับจำนำรถยนต์จากเพจขายรถยนต์มือสอง หรือกลุ่มเฟซบุ๊กที่มีผู้ผ่อนรถต่อไม่ไหวแล้วหาคนผ่อนต่อ โดยผู้ต้องหาจะทำทีรับซื้อรับจำนำ หรือรับผ่อนรถยนต์ที่ติดไฟแนนซ์ต่อ ซึ่งจะเน้นเป็นรถยนต์ยี่ห้อ อีซูซุ ดีแม็กซ์ หรือโตโยต้า รีโว่ โดยรับซื้อหรือจำนำในราคาคันละ 40,000 บาท และนัดรับรถจากผู้เสียหาย ก่อนนำไปขายต่อในตลาดมืด ในราคาคันละ  1-2 แสนบาท ต่อมาพอผู้เสียหายติดตามรถคืน ก็ไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาได้ 

นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังได้ตีสนิทผู้เสียหายบางราย แล้วใช้อุบายขอยืมรถยนต์ไปใช้และบอกว่าจะนำมาส่งคืน แต่ต่อมาก็ไม่นำรถมาคืนได้ เนื่องจากนำไปขายในตลาดมืดแล้ว ทำให้ผู้เสียหายหลายรายไปแจ้งความต่อตำรวจในหลายท้องที่ จนกระทั่งมีการออกหมายจับ และถูกตำรวจ กก.1 บก.ปคบ.ติดตามจับกุมไว้ได้

'สุโขทัย' เข้ม!! ระดมพลกวาดล้างอาชญากรรมจากเหล่าทรชน สร้างความมั่นใจทุกมิติช่วงเทศกาลลอยกระทง 2565

เมื่อ (1 พ.ย. 65) ที่ผ่านมา บริเวณหน้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย นายสุชาติ ทีคะสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานเปิดพิธีปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม ช่วงเทศกาลลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ ประจำปี 2565 เพื่อให้การป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย และการดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 

โดยงานนี้มี พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ ผบก.ภ.จว.สุโขทัย, พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ นิลจันทร์ รองผอ.กอ.รมน.สุโขทัย ตำรวจภูธรจังหวัดสุโขทัย ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุโขทัย, ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจทางหลวง, ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดสุโขทัย, กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุโขทัย, อาสาสมัครรักษาดินแดนจังหวัดสุโขทัย, ป้องกันภัยจังหวัดสุโขทัย, สรรพสามิตจังหวัดสุโขทัย, อาสาสมัครตำรวจบ้าน, หน่วยกู้ภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย และหัวหน้าส่วนราชการ รอรับการปล่อยแถวในครั้งนี้ จำนวน 369 นาย 

'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' บุกตรวจผับนอมินีต่างชาติในคืนฮาโลวีน 7 แห่ง คาดโทษตำรวจท้องที่ละเลยบกพร่อง ลงโทษสถานหนัก

เซอร์ไพรส์คืนฮาโลวีน 'บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก' นำกำลัง 200 นาย สุ่มตรวจค้นสถานบันเทิงนายทุนต่างชาติเป็นนอมินี 7 แห่งทั่ว กทม.คาดโทษท้องที่ละเลยบกพร่องต้องรับผิดชอบ

เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 1 พ.ย.พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.(ปป.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. (สส.) พร้อมชุดปฏิบัติการ บช.น., บช.สอท., บช.ปส., บช.สตม. พิสูจน์หลักฐาน และ บช.ทท.กว่า 200 นาย เข้าตรวจค้น ผับ บาร์ สถานบริการซึ่งคาดว่าเป็นของนายทุนต่างชาติ และนอมินีพร้อมกัน 7 จุด ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยมีสถานบันเทิงขนาดใหญ่ อาทิ ร้าน แอสการ์ด (Asgard) บาร์โฮส ย่านห้วยขวาง และสถานบันเทิงเบบี้เฟส ย่านเอกมัย โดยใช้เวลาปฏิบัติการประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่คณะรอง ผบ.ตร. ทั้ง 2 นาย จะเดินทางมาสรุปผลปฏิบัติการที่ร้านแอสการ์ด บาร์โฮส แยกเหม่งจ๋าย

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ปฏิบัติการในค่ำคืนนี้เป็นการทำงานร่วมกัน ระหว่างตำรวจฝ่ายป้องกันปราบปรามและตำรวจฝ่ายสืบสวน จากผลการปฏิบัติงาน ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ซึ่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนมาตั้งแต่คดีที่พัทยา โดยการทำงานจะเน้นไปที่เรื่องของยาเสพติด อาวุธปืน และ การปล่อยเด็กเข้าใช้บริการ อย่างที่เคยกล่าว ว่า 3 เรื่องนี้ เป็นหน้าที่ของสถานบันเทิงจะต้องเป็นผู้คัดกรองอยู่แล้ว ต้องไม่ให้มีเล็ดลอดเข้าไป หลังจากนี้เรื่องการกวดขันสถานบันเทิง เราจะทำงานบูรณาร่วมกันทั้งฝ่ายป้องกันปราบปรามและฝ่ายสืบสวน ใช้กำลังพลของทุกกองบัญชาการ รวมถึงปัญหาบุคคลต่างชาติที่เข้ามาทำงานในบ้านเรา โดยเฉพาะปัญหามาเฟียต่างชาติ หลาย ๆ แก๊ง

พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า ผลการปฏิบัติงานวันนี้ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย มีเพียงผลตรวจปัสสาวะนักท่องเที่ยวที่พบสารเสพติด ซึ่งอาจเป็นการเสพมาจากภายนอกสถานบันเทิง ในวันนี้ที่มี รอง ผบ.ตร.นำกำลังลงพื้นที่ ตรวจตราตามสถานบันเทิงถึง 2 คน ตนถือว่า พวกตนมาเปิดปฏิบัติการให้แล้ว หลังจากนี้ตำรวจท้องที่ก็ต้องทำงานกวดขันตามนโยบายด้วย หากตรวจพบภายหลัง ว่า ละเลยบกพร่อง เจ้าของท้องที่ก็ต้องรับผิดชอบ หากในภายหลังตรวจพบความผิด จำเป็นต้องลงโทษไม่มีการตักเตือน ในส่วนของสถานบันเทิงหากคุณทำผิดต้องปิด 5 ปี แอบเปิดเมื่อไหร่ ก็มีโทษจำคุก เนื่องจากเป็นนโยบายที่ท่าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.สั่งการเอาไว้แล้ว เข้าใจว่า เราเพิ่งผ่านพ้นสถานการณ์ความลำบากมาจากโควิด 19 การลงตรวจสอบของตำรวจ ย่อมส่งผลกระทบในภาพรวมต่อสถานบันเทิง แต่เมื่อคุณมีอาชีพทำสถานบันเทิง คุณก็ต้องอยู่ในกรอบ ปฏิบัติตามกฎหมาย และช่วยสอดส่องดูแลไม่ให้มีสิ่งผิดกฎหมายด้วย

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ท่าน ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำและกำชับ ในมาตรการป้องกันและตรวจค้นสารเสพติด อาวุธ และเยาวชน ในสถานบริการอย่างเคร่งครัด วันนี้ก็มีการบูรณาการร่วมกันลงพื้นที่ตรวจค้นประมาณ 7 แห่ง ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยใช้กำลังจาก บช.ปส., บช.สตม., บช.น., บช.ทท. และ ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ในแต่ละจุดที่ทำการตรวจค้น มีการนำน้ำยาตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด ลงไปตรวจทดสอบประมาณ 300 ชุด ผลการตรวจสอบมีนักท่องเที่ยวฉี่สีม่วงเพียง 1-2 คน ซึ่งถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดี แต่อาจเป็นเพราะคืนนี้ แม้จะเป็นเทศกาลฮาโลวีน แต่เป็นวันธรรมดา ไม่ใช่วันหยุดทำให้นักท่องเที่ยวน้อยก็เป็นได้ 

ในส่วนของการสืบสวนที่ตนรับผิดชอบ หลังจากนี้ หากพบว่ามีสถานบันเทิงฝ่าฝืนกฎหมายกระทำความผิด ก็จะต้องขยายผลหาตัวเจ้าของกิจการมาดำเนินคดีต่อไป คดีผับศูนย์เหรียญ บ่อนศูนย์เหรียญ ที่ สน.ยานนาวา และ สน. สุทธิสาร ก็ยังต้องดำเนินการต่อคาดว่าภายใน 2-3 วัน จะมีการออกหมายจับ ผู้กระทำความผิดได้เกือบทั้งหมด หลังจากทำการเช็คเส้นทางของเงิน และช่องทางการติดต่อสื่อสารของผู้ร่วมขบวนการ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รวบ ‘อาหยง’ หัวโจกแก๊งตุ๋นเหยื่อออนไลน์ ลวงคนไทยบังคับเป็น scammer ที่เมียนมา

รวบมังกรจีน หัวหน้าแก๊ง scammer หลอกคนไทยทำงานประเทศเพื่อนบ้าน บีบบังคับให้แชทตุ๋นเหยื่อออนไลน์

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ (31 ต.ค. 65) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม. พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม รรท.ผกก.4 บก.ปคม. ร่วมกันแถลงจับกุมนายหวง เทียนหยง หรือ อาหยง อายุ 33 ปี สัญชาติจีน ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1112/2564 ลงวันที่ 8 ก.ค. 2564 ข้อหา “สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ฯ และ ร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปหรือโดยสมาชิกองค์อาชญากรรมกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ด้วยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานฯ” หลังจับกุมตัวได้ที่ลานจอดรถของสนามมวยลุมพินี ถ.รามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ

พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงต้นปี 2564 นายหวง ผู้ต้องหา พร้อมกับพวกซึ่งเป็นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีทั้งคนจีน ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และพม่า รวม 19 คน ร่วมกันหลอกคนไทยไปทำงาน ด้วยวิธีการลงโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต หลอกหาคนไปทำงานที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อมีเหยื่อหลงเชื่อ ก็จะถูกบังคับพาข้ามไปยังฝั่ง จ.เมียวดี ประเทศเมียนมาร์ ผ่านช่องทางธรรมชาติ เมื่อไปถึงก็จะพาไปที่บริษัท JinXin Holdings จำกัด จากนั้นก็บังคับให้ทำงานเป็น Scammer เพื่อหลอกลวงเงินผู้อื่นผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อหลอกให้นำเงินมาลงทุนธุรกิจเงินดิจิทัล หรือ บิทคอยน์ 

‘ตำรวจท่องเที่ยว’ จัดการนักท่องเที่ยวมาเลเซียขับรถซ่า หลังสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม-ประชาชนโดยรวม

วันนี้ (31 ต.ค. 65) เวลา 09.00 น. ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ท. สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต. อภิชาติ สุริบุญญา โฆษกกองบัญชาการฯ แจ้งความคืบหน้าต่อสื่อมวลชนกรณีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียทราบชื่อภายหลังว่า MR.ABDUL RAIMI BIN AZMI อายุ 32 ปี เกิดความคึกคะนองดริฟต์รถเก๋งหรู BMW สีน้ำเงิน เป็นวงกลม 3 รอบ บริเวณลานจอดรถสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สร้างความเดือดร้อนให้กับรถยนต์คันอื่น ๆ ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 65 ที่ผ่านมานั้น

พล.ต.ต. อภิชาติ แจ้งว่าหลังจากได้รับแจ้งเหตุแล้ว พล.ต.ต. กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3 ซึ่งควบคุมรับผิดชอบพื้นที่ท่องเที่ยวภาคใต้ทั้งหมดได้สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลาตรวจสอบทันที จนกระทั่งวันที่ (29 ต.ค. 65) เวลา 22.00 น. ตำรวจท่องเที่ยวได้พบรถยนต์คันดังกล่าวทะเบียน VGC 2014 บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ จึงเรียกให้หยุดและสอบถาม ซึ่ง Mr.Abdul ผู้ขับขี่ให้ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ขับรถแบบคึกคะนองในวันที่เกิดเหตุจริง จึงได้เชิญตัวมายังสถานีตำรวจภูธรคอหงส์ พร้อมกับได้เรียกผู้เสียหายทั้งหมดมาเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยกัน 

ผลจากการเจรจาไกล่เกลี่ย Mr.Abdul ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายทั้งหมดรวมเป็นเงิน 99,000 บาท นอกจากนี้ เจ้าหน้าตำรวจได้แจ้งข้อหาให้ Mr.Abdul ทราบด้วยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายของไทย กล่าวคือ “ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควรจนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน” ซึ่ง Mr.Abdul ให้การรับสารภาพโดยพนักงานสอบสวนได้สั่งปรับเป็นจำนวนเงิน 1,000 บาท ก่อนจะปล่อยตัวเดินทางกลับประเทศมาเลเซียต่อไป 

พล.ต.ต. อภิชาติ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขอขอบคุณพลเมืองดีผู้แจ้งเหตุและประชาชนที่ได้ถ่ายภาพและคลิปวิดีโอในครั้งนี้ไว้ได้ ซึ่งใช้เป็นหลักฐานได้อย่างดีในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและส่งผลให้การไกล่เกลี่ยเกิดประสิทธิภาพเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และอยากถือโอกาสนี้ให้คำแนะนำต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกท่านว่า ประเทศไทยนั้นให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่านเสมอด้วยความอบอุ่นและเต็มใจ 

พลิกปมการเมือง ครั้ง 'ทักษิณ' หักหลัง 'สมัคร สุนทรเวช' จุดจบทางการเมืองที่น่าเวทนาของชายร่างใหญ่วัย 73

จะว่าไป 'ทักษิณ ชินวัตร' นี่ เป็นคนที่ใช้นอมินีเปลืองที่สุดเลยก็ว่าได้ 

แล้วก็ต้องบอกเลยว่า เมื่อพลิกย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทย สภาพนอมินีแต่ละคนของทักษิณ มีจุดจบที่ไม่สวยเลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่คนสุดท้ายอย่าง 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ด้วย

ล่าสุดส่งอุ๊งอิ๊งมาเป็นนอมินีพ่อ ก็รอดูต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร จะแลนสไลด์อย่างที่ฝันไว้หรือไม่?

พูดถึงเรื่องนอมินีแล้ว ก็อดยกกรณีที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนอมินีทักษิณ ชินวัตรกรณีหนึ่ง อย่างกรณีสมัคร สุนทรเวช ไม่ได้ หลังจากกลายมาเป็นนอมินีทักษิณ แล้วถูกหักหลังจนจบชีวิตทางการเมืองอย่างน่าเวทนา

ภาพจำที่บรรดาคอการเมืองจดจำขึ้นใจคือ ผู้ชายร่างสูงใหญ่ วัย 73 ปี เดินเดียวดายสีหน้าเศร้าสร้อยขึ้นรถกลับบ้าน ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายที่คนไทยได้เห็นสมัครปรากฎตัวต่อที่สาธารณะ ก่อนจะล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็งตับ 

นั่นคือวันที่สมัคร สุนทรเวช คงสุดชอกช้ำ หลังถูกคนที่ตนเคยอวยยศ ว่าเหมือน 'นมตราหมี เพราะดีที่สุด'  อย่างทักษิณหักหลังหลอกให้แต่งชุดเต็มยศไปรอเก้อ แต่สุดท้ายก็ต้องเดียวดายกลับบ้าน!! 

ย้อนรอยปูมประวัติศาสตร์การเมืองยุคนั้น : วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และเป็นครั้งแรกภายหลังการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยครั้งนั้นกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 480 คน เป็นส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน และปาร์ตี้ลิสต์ 80 คน

ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคพลังประชาชน ซึ่งมี สมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค ได้จำนวนส.ส.มาเป็นอันดับ 1 รวม 256 คน ตามมาด้วยพรรคประชาธิปัตย์ 162 คน และ พรรคชาติไทย 29 คน

จากนั้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2551 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ ให้สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมียงยุทธ ติยะไพรัช เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาถูกกล่าวหาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึงการดำรงตำแหน่งของสมัครว่าเป็นนอมินี ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของสมัคร สุนทรเวชสิ้นสุดลง เนื่องจากรับเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ ของรายการ 'ชิมไปบ่นไป' และ 'ยกโขยง 6 โมงเช้า'

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง เห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี จึงทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของสมัครสิ้นสุดลง

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2565 : ท่านพุทธทาสภิกขุ

สุขแท้...
เกิดจากความสงบเท่านั้น
ส่วนสุขที่เกิดจากความวุ่นวาย
เป็นเพียงความสนุก
หาใช่ความสุขไม่

- ท่านพุทธทาสภิกขุ -

#THESTATESTIMES
#WeekendNews
#ธรรมะวันอาทิตย์
#ธรรมะ 
#ท่านพุทธทาสภิกขุ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมพิสูจน์ทราบเหตุพบศพชายถูกเผาเสียชีวิต พบมีอาการซึมเศร้าสะสมเป็นเวลานาน

จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ สภ.ประโคนชัย ภ.จว.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งเหตุกรณีพบศพ  นายธนทัต จันทร์แก อายุ 23 ปี สภาพศพนอนคว่ำ ถูกไฟเผาไหม้ทั้งตัว บริเวณที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้ เบื้องต้นไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิต เหตุเกิดที่บริเวณหลังโรงเรียนบ้านแสลงโทน ต.แสลงโทน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ รายละเอียดปรากฏตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ พ.ต.อ.เจตน์สฤษฎิ์ แพ่งศรีสาร ผกก.สภ.ประโคนชัย เร่งดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์ทราบสาเหตุการเสียชีวิตจากกรณีดังกล่าวโดยด่วน โดยให้สืบสวนในช่วงเวลาเกิดเหตุโดยละเอียด เนื่องจากเป็นการเสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบรายละเอียดดังนี้

ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียชีวิตเพิ่งเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยพร้อมมารดาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 65 หลังจากที่ย้ายไปอยู่ที่ประเทศเยอรมันกว่า 3 ปี จากนั้นได้เดินทางไปเที่ยวที่ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ก่อนจะกลับบ้านที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 9 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ต่อมาในวันเกิดเหตุ ช่วงเย็นได้มีพยานพบเห็นผู้เสียชีวิตมีอาการเหม่อลอย และเห็นผู้ตายถือขวดเครื่องดื่มซึ่งคาดว่าบรรจุน้ำมันที่ผู้เสียชีวิตไปซื้อมาจากปั๊มน้ำมันแบบหยอดเหรียญซึ่งอยู่ใกล้บ้านของผู้เสียชีวิต จากนั้นผู้เสียชีวิตได้เดินไปที่โรงเรียนที่เกิดเหตุเพียงลำพัง ก่อนจะเกิดเหตุพบศพถูกเผาดังกล่าว

เบื้องต้นผลการชันสูตรพลิกศพของผู้ตาย แพทย์ระบุว่า มีร่องรอยถูกไฟไหม้ตลอดช่วงลำตัว และด้านล่างของศพไม่พบร่องรอยบาดแผลอื่นใดจากการถูกทำร้ายหรือถูกกระแทกจากของแข็งมีคมและไม่มีคมแต่อย่างใด สาเหตุการตาย เกิดจากไฟไหม้หลอดลมจนขาดอากาศหายใจ คาดว่าผู้ตายจะใช้น้ำมันราดตัวเองในท่านั่ง ก่อนจุดไฟเผาตัวเองจนเสียชีวิต

จากการสืบสวนเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ผู้เสียชีวิตมีปัญหาการป่วยด้วยอาการซึมเศร้ามาเป็นเวลานาน รวมถึงมีอาการทางจิตเนื่องจากผลข้างเคียงจากการใช้ยาเสพติด ต้องมีการไปปรึกษาแพทย์และทานยารักษาอาการ นอกจากนี้ยังมีปัญหากับภรรยาซึ่งเกิดอาการหึงหวงระหว่างคู่รัก และมีความขัดแย้งในครอบครัวเป็นประจำ เนื่องจากถูกพูดถึงเกี่ยวกับอาการป่วย และถูกตักเตือนในเรื่องของการใช้เงินเป็นจำนวนมาก ประกอบกับผู้เสียชีวิตได้มีการโพสต์ข้อความตัดพ้อเกี่ยวกับชีวิตของตนผ่านเฟซบุ๊ก คาดว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เสียชีวิตตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมดังกล่าว

เลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 ทางสองแพร่งแห่งการเมืองไทย

จนปัจจุบันนี้ยังมีคนก่นด่าว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 คือการถอยหลังเข้าคลองทางการเมืองไทย โดยเฉพาะบรรดาคนเสื้อแดงและเสื้อส้มทั้งหลาย จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลา 8 ปีแล้ว มาย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น และเป็นการถอยหลังเข้าคลองอย่างที่หลายคนกล่าวหาหรือไม่

ก่อนจะมาถึงวันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 มีสาเหตุที่นำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ทางการเมือง นั่นคือการนิรโทษกรรมสุดซอยและลักหลับ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2556 อันมีจุดใหญ่ใจความคือต้องการล้างผิดให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ การต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมนำไปสู่การต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะเธอคือหุ่นเชิดของพี่ชายเท่านั้น ความไม่พอใจนำไปสู่การชุมนุมของกปปส.เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 โดยมีสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนทำให้มีการมาชุมนุมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงหลักล้านคน

วันที่ 1 ธันวาคม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภาฯ ตามข้อเรียกร้อง เพื่อลดแรงกดดัน เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 สิ่งที่กลุ่มกปปส.ต้องการคือการ 'ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง' กลุ่ม '40 ส.ว.' เสนอให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคในเวลานั้นประกาศไม่ส่งผู้สมัคร ส.ส. ทุกเขต เพื่อคว่ำบาตรการเลือกตั้ง

กลุ่มกปปส. มีความคิดว่าถ้ามีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยยึดตามตัวบทกฎหมาย และการตีความเข้าข้างตัวเองแบบที่รัฐบาลรักษาการแถลงการณ์เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง จะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองแน่นอน อีกทั้งยังสูญเสียงบประมาณ ในการจัดการเลือกตั้งอันไร้ประโยชน์ครั้งนี้ วันเลือกตั้งมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งกับกลุ่มผู้ต้องการใช้สิทธิ์หลายพื้นที่

หลังวันเลือกตั้ง วันที่ 21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6 ต่อ 3 ให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรค 2 เนื่องด้วยไม่สามารถกระทำการเลือกตั้งในวันเดียวกันได้ทั้งราชอาณาจักร มี 28 เขตเลือกตั้งไม่มีการจัดและเปิดรับสมัครเลือกตั้งมาก่อนเลย ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นธรรม และ กกต. ดำเนินการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งขัดต่อหลักการลงคะแนนลับ หากมีการจัดการเลือกตั้งหลัง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top