Thursday, 10 July 2025
NEWS FEED

ทรภ. 1 จัดกิจกรรมผู้นำเยาวชนพัฒนาสัมพันธ์ กองทัพเรือ ประจำปี 2567

วันที่ 21 มิ.ย.67 เวลา 09.00 น. กองทัพเรือ โดย ทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) จัดกิจกรรมผู้นำเยาวชนพัฒนาสัมพันธ์ กองทัพเรือ ประจำปี 2567 โดยมี พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานในพิธีฯ  ณ โรงเรียนเฉลียวภาวนานุสรณ์ (ศึกษาพิเศษชลบุรี) ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

 

 

กิจกรรมผู้นำเยาวชนพัฒนาสัมพันธ์ กองทัพเรือ ประจำปี 2567 เป็นหนึ่งในโครงการประชาสัมพันธ์สำหรับเยาวชนยุคใหม่ มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เยาวชนเกิดจิตสำนึกในเรื่องของความรักความสมานฉันท์ รู้รักสามัคคี และสามารถนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เป็นกำลังในการเผยแพร่และเสริมสร้างความสมานฉันท์ ให้เกิดในสังคมอย่างยั่งยืน

โดยในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ทัพเรือภาคที่ 1 ได้นำกำลังพลจิตอาสาของทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการจิตวิทยา ฐานทัพเรือสัตหีบ อบรมให้ความรู้ และร่วมกิจกรรมนันทนาการ เล่นเกมส์ ฝึกทักษะให้กับน้อง ๆ นักเรียนโรงเรียนเฉลียวภาวนานุสรณ์ (ศึกษาพิเศษชลบุรี) ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กพิเศษ เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ กระตุ้นให้เด็ก ๆ เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงช่วยสร้างประสบการณ์ทางสังคมในด้านต่าง ๆ ร่วมกันด้วย ทั้งนี้ยังมีการจัดเลี้ยงและรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับน้อง ๆ  อีกด้วย

ทำให้น้อง ๆ นักเรียนโรงเรียนเฉลียวภาวนานุสรณ์ (ศึกษาพิเศษชลบุรี) มีความสุข สนุกสนาน ได้รับความรู้ และขอขอบคุณพี่ ๆ ทหารเรือที่แสนใจดีของทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ ที่ให้โอกาสได้มีกิจกรรมดี ๆ สนุกสนาน และน่าจดจำ จึงอยากให้พี่ทหารเรือ มาจัดกิจกรรมแบบนี้อีกต่อไป

ชัยภูมิ- จัดกิจกรรม RUN WITH LOVE 'วิ่งด้วยรัก ครบรอบ 71ปี โรงพยาบาลชัยภูมิ'

เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 22 มิถุนายน 2567 นายอนันต์ นาคนิยม ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ,ปลัดจังหวัดชัยภูมิ ,หัวหน้าส่วนราชการ, สื่อมวลชน, และพี่น้องชาวชัยภูมิ และนักวิ่งผู้รักสุขภาพทั่วประเทศ กว่า 3,000 คน เข้าร่วมกิจกรรม RUN WITH LOVE “วิ่งด้วยรัก ครบรอบ 71ปี โรงพยาบาลชัยภูมิ” จุดปล่อยตัว ณ บริเวณหน้าศาลากลางขังหวัดชัยภูมิ

ผศ.(พิเศษ) นายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ บำรุงถิ่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชัยภูมิ ประธานจัดกิจกรรม กล่าวว่า ชาวชัยภูมิสุดปลื้มพร้อมใจกันร่วมงานฉลองครบรอบ 71 ปีการก่อตั้งโรงพยาบาลชัยภูมิ ด้วยการจุดวิ่ง RUN WITH LOVE วิ่งด้วยรัก อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 3,000 คน ก่อนที่จะทำพิธีทำบุญโรงพยาบาล และที่ชาวชัยภูมิ ผู้เข้ารับบริการ วันหลายหลาย 10,000 คน ที่ต้องพูดเป็นเสียงเดียวว่าต้องเจอกับปัญหาและยากลำบากในการหาที่จอดรถมาเป็นเวลายาวนานมาก 

คณะกรรมการร่วมพัฒนาโรงพยาบาลชัยภูมิ ได้รับทราบเรื่องการขออนุมัติสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างโรงจอดรถขนาด10 ชั้นเป็นเงินกว่า98 ล้านบาท เนื่องจากประชาชนที่จะเข้ามาใช้บริการได้รับความลำบากในการหาที่จอดรถเพราะสถานที่จอดภายในโรงพยาบาลมีอย่างจำกัด จึงต้องทะลักข้ามไปใช้และจอดในพื้นที่ศาลากลางชัยภูมิมานานหลาย10ปีแล้ว ขณะเดียวกันโรงพยาบาลชัยภูมิ ได้มีการเติบโตในด้านแผนกการรักษาที่เพิ่มขึ้น 

พร้อมทั้งมีการขยายตัวในการที่จะรองรับ น.ศ.แพทย์ ที่ต้องมาศึกษาที่ศูนย์โรงพยาบาลชัยภูมิแห่งนี้ในอนาคต ซึ่งงบประมาณในครั้งนี้ต้องขอบคุณที่ภาคส่วนที่มีส่วนร่วม โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่เล็งเห็นความสำคัญและได้อนุมัติงบประมาณในครั้งนี้ และถือว่าเป็นข่าวดี ชาวชัยภูมิได้ฝันที่เป็นจริง ช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนที่จอดรถ ภายในโรงพยาบาล ซึ่งส่งผลต่อความสะดวกสบายของผู้มาใช้บริการ โดยอาคารจอดรถใหม่นี้ จะสามารถรองรับรถได้จำนวนมาก ช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด และอำนวยความสะดวกให้กับผู้มารับบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นที่ ได้มาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่ง จากแรงขับเคลื่อนของทุก ๆ ท่านในวันนี้ ในโอกาสครบรอบ 71 ปี โรงพยาบาลชัยภูมิปีนี้นับว่าเป็นปีแห่งความเจริญรุ่งเรือง เป็นปีที่เป็นข่าวดี  เราได้งบประมาณในการก่อสร้างอาคารหอผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยใน จำนวน 300 เตียง ซึ่งเป็นอาคาร 8 ชั้น และยังได้งบประมาณสนับสนุนอาคารจอดรถ10 ชั้น ที่จะได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ในอาทิตย์วันที่ 23 มิถุนายนนี้

รองผู้บัญชาการทหารเรือตรวจที่ดินกองทัพเรือในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก (จ.สงขลา)

เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดิน และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ระดับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่

ระหว่างวันที่ 19 - 21 มิ.ย.67 พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการที่ดินกองทัพเรือ และคณะ เดินทางไปตรวจที่ดินกองทัพเรือในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก (จ.สงขลา) ประกอบด้วย ที่ดินเกาะแต้ว ต.เกาะแต้ว และ ต.ทุ่งหวัง อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา , ที่ดินสวนเก๋ง ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา และร่วมพิจารณาในการดำเนินการที่ดินบริเวณ ต.ท้องเนียน อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช โดยได้รับฟังการบรรยายสรุป ร่วมพิจารณา และให้คำแนะนำในการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินก่อนเข้าตรวจพื้นที่ ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 จ.สงขลา

การตรวจที่ดินครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินที่อยู่ภายใต้การปกครองของทัพเรือภาคที่ 2 และรับทราบปัญหา อุปสรรคข้อขัดข้อง ซึ่งจะส่งผลให้สามารถช่วยแก้ปัญหาที่อาจจะต้องได้รับการขับเคลื่อนระดับนโยบาย อีกทั้งเป็นการบำรุงขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ระดับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ดินให้กับกองทัพเรือ

ในการนี้รองผู้บัญชาการทหารเรือได้เน้นย้ำว่า “…การตรวจที่ดินในความรับผิดชอบของทัพเรือภาคที่ 2 นอกจากจะมีปัญหาคล้ายกับพื้นที่อื่น ในการที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมายแล้ว ยังมีงานที่ต่างออกไปคือ การแลกเปลี่ยนที่ดินกับเอกชน และการขอถอนสภาพที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า เพื่อขึ้นทะเบียนและใช้ในราชการต่อไป จำเป็นต้องอาศัยความเอาใจใส่ และกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญคือ ต้องใช้เวลาในการดำเนินการมาก ดังนั้น หากมีอุปสรรคข้อขัดข้องที่จะให้คณะกรรมการฯ ช่วยเหลือ สามารถแจ้งผ่านฝ่ายเลขาฯ ได้ตลอดเวลา และเชื่อมั่นว่า หากตั้งใจจริง และมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องแล้ว งานแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับที่ดินของกองทัพเรือที่อยู่ในความรับผิดชอบ ก็จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี…”

ทั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์การใช้ที่ดินของกองทัพเรือให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือไปพร้อมกับการได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชน และเป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือด้านการส่งกำลังบำรุงในการบริหารจัดการที่ดินของกองทัพเรือที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล

ชวนรู้จักเรื่องราว ‘เจ้าบัตตันส์’ อดีตสุนัขจรสายพันธุ์ไทย สวยถูกใจ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ จนขอรับไปเลี้ยงในลอนดอน

จากกรณีจังหวัดตราดได้ยกระดับ ‘สุนัขพันธ์ุไทยหลังอาน’ ขึ้นเป็นอัตลักษณ์ประจำจังหวัดตราด พร้อมทั้งวางแผนต่อยอด เพิ่มมูลค่าด้วยการขับเคลื่อนให้เกิดเป็น Soft Power ผ่านการผลิตเป็นสินค้า เช่น เสื้อ กางเกง และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

นอกจากนี้ ยังได้ประกาศให้ ‘สุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน’ เป็นรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของจังหวัดตราด เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย

สำหรับสุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน ก็ถือเป็นสุนัขที่พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย และคนไทยก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่เพียงเท่านั้น สุนัขพันธุ์ไทยหลังอานยังเป็นที่รู้จักในด้านความฉลาด รักอิสระ ซื่อสัตย์ เชื่อมั่นในตัวเอง มีความกระตือรือร้น พร้อมผจญภัยได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังต้องการความเป็นผู้นำจากเจ้าของ เพื่อเขาจะได้เป็นผู้ตามที่ดีได้ ทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้สามารถเป็นได้ทั้งเพื่อน คู่หูผู้ซื่อสัตย์ และที่สำคัญสุนัขสายพันธุ์นี้ถือเป็นพันธุ์ที่เป็นที่นิยมเลี้ยงอย่างมากทั้งในและต่างประเทศ

เมื่อพูดถึงสุนัขสายพันธุ์ไทยแล้ว วันนี้ THE STATES TIMES ก็มีเรื่องราวของสุนัขสายพันธุ์ไทยที่แสนน่าประทับใจเรื่องหนึ่งมาเล่าสู่กันฟัง นั่นก็คือเรื่องของ ‘เจ้าบัตตันส์’ อดีตสุนัขจรพันธุ์ไทย เพศเมีย จากศูนย์พักพิงในเกาะสมุย ที่ถูกรับเลี้ยงโดยอดีตนักร้องชื่อดังอย่าง ‘เลียม กัลลาเกอร์’ 

ต้องย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว (2566) สื่อต่างประเทศได้รายงานข่าวระบุว่า อดีตนักร้องนำวง ‘โอเอซิส’ หรือ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ หนึ่งในเซเลบริตีที่เป็นทาสสุนัขตัวจริงเสียงจริง ได้เผยสมาชิกใหม่ของบ้านให้กับแฟน ๆ รู้จักผ่านทางอินสตาแกรมของเขา โดยเขียนแคปชั่นว่า “Buttons” หรือแปลเป็นไทยก็คือ ‘กระดุม’ 

ซึ่งเจ้าบัตตันส์ ก็เป็นสุนัขขนสั้นสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ทางจากประเทศไทย (โดยหลาย ๆ คนระบุว่านี่คือสุนัขสายพันธุ์ไทยหลังอาน ‘Thai Ridgeback’) ที่เขาได้รับอุปการะ การเปิดตัวสุนัขจากเมืองไทยในตอนนั้นทำเอากระแส ‘Adopt, don’t shop’ หรือการรณรงค์ไม่ให้ซื้อสัตว์เลี้ยง แต่ช่วยกันรับเลี้ยงดูเหล่าสัตว์จรจัดที่ต้องการบ้าน ได้กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

‘เจ้าบัตตันส์’ เป็นสุนัขจรจัดในศูนย์ช่วยเหลือบนเกาะสมุย ที่ ‘ไนล์ ฮาร์บิสัน’ หนุ่มชาวไอริชได้จัดทำขึ้น เพื่อดูแลเหล่าสุนัขที่เจ็บป่วย ไม่มีเจ้าของ ซึ่งมีสุนัขที่ต้องดูแลอยู่หลายร้อยตัว พร้อมทั้งพยายามหาบ้านให้กับเหล่าสุนัขเหล่านั้น 

‘ไนล์ ฮาร์บิสัน’ มีผู้สนับสนุนที่ติดตามการทำงานของเขาอยู่ทั่วโลก และได้ทำการจัดส่งสุนัขจรจัดเหล่านี้ ไปให้คนรักสัตว์ใจบุญในหลาย ๆ ประเทศ ที่ขอรับเลี้ยงมาแล้วหลายครั้ง ซึ่ง ‘เลียม กัลลาเกอร์’ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน

‘เลียม’ หลงรักเจ้าบัตตันส์ สุนัขวัย 5 เดือน ที่ถูกเจ้าของเดิมทอดทิ้ง (ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ยิ่งโต ยิ่งไม่น่ารัก’) และได้เข้ามาอยู่ในศูนย์ช่วยเหลือได้ไม่นานนัก เขากรอกแบบฟอร์มขอรับเลี้ยงสุนัข ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง โดยไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

ในตอนแรกที่ไนล์เห็นชื่อก็คิดว่าเป็นตัวปลอม หรือโดนเพื่อน ๆ แกล้ง แต่เมื่อได้ติดต่อขอสัมภาษณ์เพื่อคัดกรองผู้รับเลี้ยง ถึงได้รู้ว่าเป็นเลียม กัลลาเกอร์ตัวจริง 

ซึ่งกว่าเจ้าบัตตันส์จะไปถึงมือหนุ่มเลียมได้ ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน และผ่านหลากหลายขั้นตอน ทั้งทำเอกสาร เตรียมตัว การจัดการเรื่องสุขภาพ และต้องเดินทางทั้งทางรถ ทางเรือ ทางเครื่องบิน รวมเป็นระยะทางกว่า 10,000 กม.

และเมื่อถึงบ้านที่จะเป็น ‘forever home’ บัตตันส์ก็ดูจะเข้ากับเจ้าของใหม่ และบรรดาแมวที่เลียมเลี้ยงอยู่แล้วได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าปัจจุบันนี้เจ้าบัตตันส์ อดีตสุนัขจรจากประเทศไทย ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกัลลาเกอร์ และมีชื่อสกุลต่อท้ายเรียบร้อยแล้ว โดยเลียมได้โพสต์รูปพร้อมระบุข้อความว่า “BUTTONS GALLAGHER” เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 67 ที่ผ่านมานี้เอง

สำหรับ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ นั้น เหล่าแฟน ๆ รู้จักกันดีถึงความรักในสุนัข โดยก่อนหน้าที่จะรับเลี้ยงเจ้าบัตตันส์ เขาเพิ่งสูญเสียสุนัขสุดที่รักพันธุ์ไส้กรอกที่ชื่อ ‘รูบี้’ ไป ซึ่งเขาเศร้าโศกเสียใจมาก และดูเหมือนจะว่าไม่ได้เลี้ยงสุนัขตัวไหนอีกเลย จนมาถึงเจ้าบัตตันส์ สุนัขพันธุ์ไทยตัวนี้

การโพสต์ภาพสมาชิกใหม่ของบ้านนี้ ทำเอาแฟน ๆ และสื่อมวลชนจากทั่วโลกจับตามอง และทำให้ศูนย์ช่วยเหลือของไนล์ได้รับความสนใจ และสุนัขจรจัดจากเมืองไทยก็ได้รับความรัก และช่วยเพิ่มการติดต่อขออุปการะมากยิ่งขึ้น

'โทลล์เวย์' เสียงแข็ง!! ยื่น 3 เงื่อนไข แลกชะลอขึ้นค่าผ่านทาง 'ขยายสัมปทาน-ให้สร้างส่วนต่อขยาย-ได้สัมปทานส่วนต่อฯ'

(21 มิ.ย. 67) นายสมบัติ พานิชชีวะ ประธานกรรมการบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ โทลล์เวย์ เปิดเผยว่า หากกระทรวงคมนาคมจะให้ชะลอการขึ้นค่าผ่านทางวันที่ 22 ธันวาคม 2567 นี้ บริษัทพร้อมให้ความร่วมมือ และขอความเป็นธรรมด้วย ควรต้องมีการหารือร่วมกัน หากบริษัทดำเนินการแล้วจะชดเชยอะไรให้บริษัทบ้าง เพราะทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานทำไว้กับกรมทางหลวง (ทล.) ที่ปรับราคาได้ทุก 5 ปี ตลอดอายุสัญญา ครั้งละ 5-10 บาท ปัจจุบันบริษัทยังเหลือสัมปทาน 10 ปี ยังเหลือการปรับราคาอีก 2 ครั้ง คือ รอบวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2572 และครั้งสุดท้ายวันที่ 22 ธันวาคม 2572 ถึงสิ้นสุดสัญญาวันที่ 12 กันยายน 2577

นายสมบัติ กล่าวว่า “สัญญายังไม่หมด คงทำอะไรไม่ได้ ถ้ากระทรวงคมนาคมหรือรัฐต้องการให้เราชะลอขึ้นค่าผ่านทาง ก็ต้องมาคุยกัน จะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง อย่าผลักภาระมาให้เราฝ่ายเดียว รัฐต้องช่วยเอกชนด้วย แนวทางที่ง่ายสุด คือ ขยายอายุสัมปทาน เพราะรัฐไม่ต้องชดเชยรายได้ให้ หรือให้เราลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท ก่อสร้างส่วนต่อขยายจากรังสิต-บางปะอินให้และรับสัมปทานตลอดโครงการตั้งแต่ดินแดง-บางปะอินก็ได้ ทุกอย่างอยู่ที่การเจรจา อย่างไรก็ตามโทลล์เวย์เป็นทางเลือกในการเดินทาง ไม่ใช่ทางที่ผูกขาด ประชาชนสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บริการหรือไม่ใช้ก็ได้ ปัจจุบันโทลล์เวย์มีปริมาณการจราจรเฉลี่ยกว่า 100,000 คันต่อวัน”

ทั้งนี้ ยังกล่าวต่ออีกว่า สำหรับค่าผ่านทางที่จะใช้วันที่ 22 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2572 ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ ปรับจาก 80 บาท เป็น 90 บาท มากกว่า 4 ล้อ จาก 110 บาท เป็น 120 บาท ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน 4 ล้อ ปรับจาก 35 บาท เป็น 40 บาท มากกว่า 4 ล้อจาก 45 บาท เป็น 50 บาท

ส่วนครั้งสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2572 ถึงสิ้นสุดสัมปทาน ช่วงดินแดง-ดอนเมือง รถ 4 ล้อ จาก 90 บาท เป็น 100 บาท มากกว่า 4 ล้อ จาก 120 บาท เป็น 130 บาท ช่วงดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน รถ 4 ล้อ จาก 40 บาท เป็น 45 บาท มากกว่า 4 ล้อ ปรับจาก 50 บาท เป็น 55 บาท

‘อานตี้ แอนส์’ สั่งพ้นสภาพ ‘พนักงานปากแจ๋ว’ ด่าทอลูกค้า พร้อมกราบขออภัย - สัญญาจะไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก

(21 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเพจอีซ้อขยี้ข่าว 3 โพสต์คลิปเหตุการณ์ที่มีลูกค้าสาวรายหนึ่ง มีปากเสียงกับพนักงานร้านขนมชื่อดังในห้างสรรพสินค้าย่านรามอินทรา โดยในคลิป พนักงานมีการโต้เถียงกับลูกค้า บอกว่า ที่เล่นโทรศัพท์ คุยกับหัวหน้า ทำงานอยู่ บอกลูกค้าว่าอย่าหาเรื่อง และไล่ให้ลูกค้าไปศัลยกรรม ลูกค้าก็เถียงกลับว่าไม่ได้หาเรื่อง แต่พนักงานพูดจาไม่ดีใส่ลูกค้าก่อน

โดยล่าสุด ทางเพจ Auntie Anne’s Thailand ได้มีการโพสต์แถลงการณ์ ระบุว่า 

“อานตี้ แอนส์ กราบขออภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างสูง จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น”

“ทางแบรนด์ได้พิจารณาลงโทษขั้นสูงสุดกับพนักงาน โดยให้สิ้นสุดสภาพการเป็นพนักงานนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และขอให้คำมั่นว่าจะดูแลพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงอบรมพนักงาน เน้นย้ำถึงมาตรฐานการให้บริการที่ถูกต้องอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก” 

ล่าสุด เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 21 มิ.ย.67 น.ส.เอ (นามสมมติ) เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์‘ กรณีดังกล่าว ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 20 มิ.ย.67 ที่ผ่านมาโดยกล่าวว่า…

“ตนได้เข้าไปสั่งน้ำที่ร้านดังกล่าว ตอนแรกสังเกตเห็นแล้วว่า พนักงานเล่นโทรศัพท์มือถือ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียส ก็สั่งออเดอร์ตามปกติ แล้วยืนรอน้ำ”

“ต่อมามีคุณป้าที่มาสั่งออเดอร์ต่อจากตน พนักงานก็ถามว่ารับอะไร แต่ยังคงเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย พอคุณป้าบอกว่า ขอใช้คูปองซื้อ พนักงานก็หยิบใบโปรโมชันมาวางแล้วไม่พูดอะไร คุณป้าก็มองว่าต้องทำยังไง เหมือนเล่นโทรศัพท์ไม่คล่อง”

“พนักงานก็ชี้ว่าให้สแกน แต่ไม่ได้ช่วยเหลือ ตนก็ยืนมองอยู่พักหนึ่ง เห็นคุณป้ามองขึ้นมองลง สแกนไม่ได้ ตนเลยเดินเข้าไปถามว่า ให้ช่วยไหม ระหว่างที่ช่วยสแกน ตนก็พูดกับคุณป้าว่า พนักงานไม่บริการเลย”

“พอพนักงานได้ยิน ก็เก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วเงยหน้ามาพูดกับตนว่า ก็แจ้งให้สแกนแล้วไงคะ ตนก็ตอบกลับว่า แล้วไม่ได้ดูหรอว่าลูกค้าสแกนไม่ได้ พนักงานก็มีท่าทีโมโห พูดขึ้นมาว่า “ก็แจ้งแล้วไงคะว่าให้สแกน เสือก” พอตนได้ยินคำนี้ จึงอารมณ์ขึ้นทันที ก็สวนกลับคำหยาบไปเหมือนกัน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามในคลิป”

“ซึ่งตอนที่พนักงานบอกว่าให้ตนไปศัลยกรรม ตนก็งงและตกใจว่ามันเกี่ยวอะไรกัน แต่ตนคิดว่าเป็นเพราะว่าวันนั้นตนใส่ชุดนอนไป ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัว พนักงานเลยมองว่าตนเป็นเด็ก แล้วกล้ามีปากมีเสียงด้วยหรือไม่ หลังเกิดเหตุตนได้ไปแจ้งกับทางห้าง ซึ่งก็มีผู้บริหารเข้ามาพูดคุยและบอกว่าจะร้องเรียนให้”

“จากนั้น ทางบริษัทก็ติดต่อมา บอกว่า พนักงานคนนี้ทำประจำอยู่ที่สาขานี้มานานแล้ว อาจจะคิดว่าตนเองเป็นคนเก่าแก่ อยู่มานาน เลยแสดงกิริยาแบบนี้ออกมา ตนก็บอกว่า ตนไม่ขอรับคำขอโทษ ตนยินดีให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และต้องการให้พนักงานคนนี้ถูกลงโทษให้ออก เพราะจากพฤติกรรมไม่ควรที่จะทำงานต่อ หากไปเจอลูกค้าที่ปะทะรุนแรงกว่านี้ เหตุการณ์จะบานปลาย”

“โดยล่าสุด ที่บริษัทมีคำสั่งให้พนักงานคนนี้พ้นสภาพ ตนก็รู้สึกดีที่บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ เข้าใจหัวอกผู้บริโภค ว่าการกระทำของพนักงานคนนี้นั้นไม่ถูกต้อง และตนก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว เพราะจุดประสงค์ที่ร้องเรียนไปตั้งแต่แรก ก็แค่ต้องการให้ผู้บริหารบริษัทรับทราบว่ามีพนักงานที่มีพฤติกรรมแบบนี้ และยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการกลั่นแกล้ง หรือให้สังคมโจมตี ปิดช่องทางทำมาหากิน เพียงแต่ต้องการให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนกับพนักงาน ถ้าในอนาคตได้ไปทำงานที่ใหม่ ก็จะได้มีสติมากกว่านี้”

น.ส.เอ ยังบอกด้วยว่า “ตนก็เคยฝึกงานพาร์ทไทม์แบบเดียวกันนี้ มองว่า พนักงานควรจะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ และลูกค้าก็ไม่ได้พูดแดกดันหรือหยาบคายใส่ก่อน แต่ถามเพราะพนักงานไม่ต้อนรับลูกค้า ก็ควรจะเก็บอารมณ์ให้มากกว่านี้ หรือเลือกคำตอบให้กับลูกค้าได้ดีกว่านี้ ถ้าไม่มีคำว่า ‘เสือก’ ทุกอย่างอาจจะจบได้ดีกว่านี้ แม้แต่พนักงานอีกคนที่ไม่เกี่ยวข้องยังพูดขอโทษตน แต่กับพนักงานคนนี้ ไม่มีคำขอโทษออกมาเลย”

'โซเชียล' ตะลึง!! ชาวเมียนมาจบวิศวะ ภาษาดี เรียกเงินน้อย ใช้ 'ค่ะ' ถูกต้อง ชี้!! เจอคนแบบนี้เยอะ อาจทำเด็กไทยอยู่ยาก แต่ประเทศไทยจะอยู่ได้

(21 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กเพจ 'รักภาษาไทย อย่าใช้ผิด' ได้โพสต์ข้อความชวนคิด กรณีชาวเมียนมาท่านหนึ่งที่มีโปรไฟล์ดีโพสต์สมัครงาน จนเกิดการแชร์เป็นไวรัล ระบุว่า...

“ คนพม่าจบวิศวะ พัฒนาความรู้และมีประสบการณ์การทำงาน ใช้คำว่า ‘ค่ะ’ ถูก พูดภาษาอังกฤษได้ เรียกเงินเดือน 12,000 บาท เด็กไทยอยู่ยากแล้วค่ะ ”

นอกจากนี้ทางเพจ ยังได้โพสต์ตอีกว่า “ เล่านิด: ด้วยสภาพความไม่เรียบร้อยในบ้านเขา จึงทำให้หลายคนออกนอกประเทศ และเข้ามาหางานในไทย ”

“ ตอนนี้ครูต่างชาติสัญชาติพม่ามากพอๆ กับฟิลิปปินส์ ”

“ ถ้าคุณคนนี้สอนหนังสือได้ ยิ่งถ้าเป็นวิชาหลัก เช่น Science, Math เขาได้งานแน่นอนค่ะ ”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ โลกโซเชียลก็ออกมาให้ความเห็นกันเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มองว่า Gen Z ของไทย อาจจะลำบากในการหางานต่อจากนี้ เพราะไม่สนใจความรู้วิชาการ วัน ๆ หนึ่งท่องแต่โซเชียล เสพแต่คอนเทนต์บันเทิง แถมมีเปราะบางทางจิตใจ ส่วนทางกายงานหนักไม่เอา เบาไม่สู้ สนใจแต่ความงาม อยากได้คู่ชีวิตที่สวย / หล่อ รวย มองเงินคือพระเจ้า แต่ไม่มีคุณสมบัติที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ แถมยังไปวัดเพื่อขอหวยและขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ร่ำรวยลูกค้า

ขณะที่บางคอมเมนต์ ก็มองว่า ถ้ามีต่างชาติคุณสมบัติแบบนี้เยอะ ๆ ก็ควรให้สัญชาติไปเลย คนมีความรู้ความสามารถแบบนี้ ต้องดึงมาเป็นคนไทย

ด้าน คุณเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ก็ได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า " เด็กไทยอาจอยู่ยาก แต่ถ้าเปิดใจรับแบบนี้เยอะ ๆ ประเทศไทยจะอยู่ได้ "

ขณะที่ เพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ก็ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นด้วยเช่นกัน ว่า...

" สาวเมียนมาอายุ 27 ปี จบวิศวะเครื่องกล มีใบเซอร์บริหารโครงการ ภาษาอังกฤษดีมาก ทำ CV มาอย่างดี เรียกเงินเดือน 12,000 เท่านั้น ไม่สนชื่อตำแหน่ง ที่สำคัญ ใช้ ‘ค่ะ’ ได้อย่างถูกต้อง ดูทรงแล้ว Gen Z ไทย คงต้องไปเน้นหาสามีต่างชาติรายได้สูงที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วครับ 555 "

‘เพจดัง’ เร่งล่าตัว ‘คนใจโหด’ ใช้หนังยางรัดคอ ‘เจ้าเมก้า’ ทำ ‘เนื้อตาย-ติดเชื้อ’ ทนเจ็บอยู่หลายวันกว่าเจ้าของจะรู้ตัว

(21 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ ‘Mootoo’ โพสต์ภาพและข้อความ ตามหาคนทำร้ายเมก้า ความว่า…

“วันนี้จะมาเตือนภัย และเพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้กับทุก ๆ คนนะคะ”

“อย่างที่เอฟซีหลายๆคนรู้ว่า มู่ทู่ จะมีน้องชื่อ เมก้า (ซึ่งเมก้าเป็นน้องหมาของพี่ชาย แม่น้องมู่ทู่เองค่ะ) มู่ทู่ และ เมก้า มักจะอยู่ประจำที่ร้าน MegaMoo Boardgame Cafe”

“เช้าวันนี้เมก้ามีอาการคางบวมผิดปกติ และมีน้ำลายยืดเยอะค่ะ (ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนยังวิ่งร่าเริงอยู่เลยค่ะ) พอพาไปหาคุณหมอ ถึงได้รู้ว่า เมก้าโดนคนใจโหด นำยางรัดของ 2 เส้น มารัดอยู่ที่คอค่ะ และโดนรัดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2-3 วัน”

“ด้วยความที่เมก้าเป็นหมาที่ดื้อมาก ๆ ค่ะ น้องร่าเริง วิ่งเล่น ดีดตลอดเวลา และที่สำคัญคือน้องขนยาวมากค่ะ (ในรูปคือใส่ปลอกคอทุกรูปเลยนะคะ แต่จะมองไม่เห็นเลยค่ะ) จนถึงวันนี้ที่น้องติดเชื้อ และ ไข้ขึ้นหนักมาก ๆ น้องถึงเริ่มที่จะมีอาการไม่ร่าเริงค่ะ และมีน้ำลายไหลเยอะค่ะ”

“พิมไม่แน่ใจว่าที่เมก้าตกเป็นเหยื่อ เป็นเพราะคนที่ทำเค้าตั้งใจเลือกน้องหมาที่ขนยาวรึเปล่า แต่ที่พิมมั่นใจคือ เมก้าเป็นหมาที่น่ารักมากค่ะ เฟรนด์ลี่มาก ๆ เค้าขี้อ้อน ใครเรียกก็ไปหาค่ะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าคนที่ทำเค้าสามารถทำลงไปได้ยังไง”

“ที่ปวดใจยิ่งกว่าคือที่ต้องมารู้ว่าเมก้าทนเจ็บอยู่หลายวัน แล้วยังร่าเริงและชวนเราเล่นอยู่ตลอดเวลา จนดูไม่ออกเลยค่ะว่าเค้าถูกทำร้าย”

“เมก้า เลือดติดเชื้อ ไข้สูง และมีเนื้อตายบางส่วนค่ะ ตอนนี้อาการเมก้าดีขึ้นแล้วนะคะ แต่ยังต้องโกนขนเพิ่ม และอาจต้องตัดเนื้อส่วนที่ตายเพิ่ม กับรักษาแผลอีกนานเลยค่ะ”

“ตอนนี้กำลังไล่กล้องวงจรปิดตามหาคนที่ทำร้ายเค้าค่ะ ใครที่มีเบาะแส หรือ คำแนะนำอื่น ๆ ขอความกรุณาด้วยนะคะ”

“มู่ทู่ปลอดภัยดีค่ะ เค้าไม่เฟรนลี่เท่าเมก้า ไม่สุงสิงเท่าเมก้า ขนสั้นด้วยค่ะ และที่สำคัญ ถ้ามู่เจ็บเค้าจะไม่อดทนแบบเมก้าค่ะ เค้าจะมาฟ้องแม่ทันที”

“คุณพ่อคุณแม่ที่มีสุนัขขนยาว ขอให้นำเคสของเมก้ามาเป็นตัวอย่างนะคะ วันนี้ปวดใจมาก ๆ เลยค่ะ สงสารน้องมากๆเลย จะมาอัปเดตเรื่อยๆนะคะ”

‘มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์’ บริจาคเครื่องผลิตออกซิเจน 10 เครื่อง ใช้ดูแลผู้ป่วย ใน รพ.สมเด็จพระยุพราช จอมบึง ราชบุรี

(21 มิ.ย. 67) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ มอบเครื่องผลิตออกซิเจน ขนาด 5 ลิตร จำนวน 10 เครื่อง มูลค่าเครื่องละ 27,600 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 276,000 บาทให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยมี แพทย์หญิง ผกาพันธ์ เปี่ยมเคล้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง และคณะ เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า สำหรับเครื่องผลิตออกซิเจนที่นำมามอบให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึงในวันนี้ เป็นเครื่องมือบริการทางการแพทย์ ที่ทางมูลนิธิได้รับบริจาคจากนางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ โดยเครื่องผลิตออกซิเจนจำนวน 10 เครื่องที่นำมามอบในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องที่ได้ร่วมกับคณะกรรมการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา นำไปมอบให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ 

โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเพื่อไว้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ ตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิที่สนับสนุนด้านสาธารณสุขของประเทศ

ด้าน แพทย์หญิง ผกาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง กล่าวว่า ในนามโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึงต้องขอขอบคุณ คุณเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์เป็นอย่างสูงที่ได้มอบเครื่องผลิตออกซิเจนให้กับโรงพยาบาลในวันนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60 เตียง ที่ดูแลประชากร 65,000 คน และมีโครงการถวายการดูแลสุขภาพให้กับพระภิกษุสงฆ์ สามเณร และผู้นำทางศาสนา 72,000 รูป เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยหวังว่าเครื่องผลิตออกซิเจนที่ได้รับจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปดูแลรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิต่อไป

‘บ.ผลิตรถชื่อดัง นิคมแหลมฉบัง’ ปลดพนง.ซับยกล็อต ทำงานวันสุดท้าย 22 มิ.ย.นี้ ทั้งที่ช่วงปีใหม่เพิ่งรับคน

(21 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของไทย นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง สั่งปลดพนักงานซับทั้งหมดอย่างกะทันหัน หลังจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์บอกเล่าเรื่องราวลงในกลุ่ม ‘A1หางาน อีสเทิร์นฯ เหมราช ปลวกแดง บ่อวิน อมตะซิตี้ V.2’ โดยในเนื้อความระบุว่า... 

“ วันที่ 22 มิถุนายน 2567 นี้ ทำงานวันสุดท้าย ที่บริษัท… มอเตอร์ส นิคมแหลมฉบัง ประกาศเตรียมปลดพนักงานซับทั้งหมด เลิกจ้างกะทันหัน ขอเป็นกำลังใจให้พนักงานซับทุกคน สู้ ๆ กันต่อไปนะครับ ”

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นและให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก และบางรายก็คอมเมนต์ด้วยว่า “ได้ยินว่าไม่ใช่แค่แหลมฉบังหรอกครับที่จะปลด ในสยามก็จะปลดครับ, เห็นรับคนช่วงหลังปีใหม่มาไม่นานนี้เองปลดซะแล้ว, ฯลฯ ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top