Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

‘ป้าแสงเดือน’ โอด บอบช้ำหนักจากภัยพิบัติ ยังมีแต่คนคอยบิดเบือนซ้ำเติม อาจพิจารณาเดินหน้าฟ้องหากล้ำเส้น ขอทำงานต่อเพื่อสัตว์ที่ไร้เสียง

(8 ต.ค. 67) น.ส.แสงเดือน ชัยเลิศ ผู้อำนวยการศูนย์บริบาลช้างและประธานมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม และเป็นเจ้าของศูนย์บริบาลช้าง Elephant Nature Park อำเภอแม่แตง ได้ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระบุว่า 

“ดิฉันไม่ชอบทำงานท่ามกลางดราม่า และไม่อยากเสียเวลากับเรื่องอย่างนี้ เพราะคิดอยู่เสมอว่าชีวิตคนเรามันสั้นเรามีเวลาจงใช้เวลาในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ดรามาเป็นเรื่องปกติแต่การใส่ร้ายคนอื่นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ หลายวันที่ผ่านมาถ้าสังคมจะเห็นประเด็นใส่ร้ายป้ายสีโจมตีต่าง ๆ นานาต่อตัวดิฉันจนกระทั่งนักข่าวแทบทุกสำนักต้องมาสอบถามข้อเท็จจริงจากดิฉัน เรื่องดราม่าไม่ใช่มีแค่วันนี้แต่มันมีมาเกือบยี่สิบปี หลายคนถูกฟ้องและลงข้อความขอโทษทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่าง ๆ หลายคนถูกพิพากษาติดคุก บางคนทั้งปรับทั้งจำ บางคนอยู่ระหว่างรอลงอาญา เมื่อมีเวลาดิฉันจะทยอยเอาลงสื่อมาให้สังคมได้รับทราบแล้วท่านจะได้โยงถูกกับประเด็นดราม่าว่าต้นตอมาจากไหน

วันที่พวกเราบอบช้ำอย่างหนักจากการสูญเสียแต่มีการโยงพวกเราจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งแม้กระทั่งบิดเบือนข้อมูลควาญช้างเพื่อสร้างประเด็นให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคม ดิฉันพยายามอดกลั้นอดทนเนื่องจากพวกเรากำลังผ่านเรื่องเลวร้ายมาควาญหลายครอบครัวที่ไร้ที่อยู่ต้องไปขออาศัยตามที่ต่าง ๆ เพราะบ้านพังไหลไปกับน้ำ เราต้องเร่งฟื้นฟูช่วยเหลือเพราะบางครอบครัวมีลูกเล็ก ๆ นอกจากนั้นเรายังมีสัตว์เจ็บป่วยระงม สัตว์จำนวนมากที่ยังต้องไปฝากไว้ที่อื่นเพราะสภาพพื้นที่เข้าไม่ได้เพราะพื้นที่ยังไม่พร้อมเต็มไปด้วยดินโคลน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า พวกเราต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้ ดิฉันเป็นหัวหน้าครอบครัวที่นี่ชีวิตเหล่านี้คือความรับผิดชอบ

แต่ประเด็นดราม่าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ดิฉันอยากจะให้สังคมวิเคราะห์และตั้งคำถามว่า คนที่เลือกออกมาโจมตีคนอื่นในช่วงระหว่างการสูญเสียนี่มันมีเบื้องหลังหรือไม่อย่างไร คนที่มีศีลธรรมเขาเลือกที่จะทำอย่างนี้หรือ

ในวันที่พวกเรามีสัตว์ที่รับผิดชอบอยู่หลายพันชีวิตดิฉันไม่สามารถใช้เวลามาต่อสู้กับคนที่มีแต่ความเกลียดและจิตใจเต็มไปด้วยอคติ

การวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผลที่ดีเป็นเรื่องที่รับฟังได้และดิฉันพร้อมที่จะรับฟังและนำไปแก้ไขแต่เรื่องมีการวิจารณ์ที่เต็มไปด้วยอคติและไม่เป็นความจริง ดิฉันจำเป็นต้องมาแจ้งความจริงให้สังคมได้รับทราบ ผู้คนที่มาเยี่ยมโครงการของเราคนไทยจำนวนมากที่มาเยี่ยมน้องช้างในศูนย์ของเรา บางคนมานอนเป็นอาทิตย์คนเหล่านี้ต่างหากที่เห็นความจริงในพื้นที่แห่งนี้

การกล่าวหาว่าที่ศูนย์ช้างเราไม่มีควาญประจำ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าพูดออกมาโดยที่ไม่รู้จริง โครงการของเรามีควาญช้างมากกว่าจำนวนช้างเสียด้วยซ้ำ คนพูดเคยมาเห็นวันที่พวกเราประชุมควาญช้างทุก ๆ สองอาทิตย์หรือไม่

เรื่องการขายทัวร์ในวันน้ำท่วมนี่ก็ยิ่งไปใหญ่โปรแกรม Volunteer ของเรามีการจองล่วงกันมาข้ามปีเราจะมีปฏิทินในเว็บไซต์อย่างชัดเจน และวันที่เราเกิดอุทกภัยเราประกาศแจ้งปิดให้อาสาสมัครและนักท่องเที่ยวได้ทราบในจดหมายข่าวอย่างชัดเจน

ดิฉันขอแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบในตรงนี้ว่าดิฉันจะไม่เสียเวลามานั่งตอบคำถามดราม่าเหล่านี้อีกต่อไปเพราะดิฉันมีชีวิตของสัตว์นานาชนิดที่รอการช่วยเหลือและต้องรับผิดชอบ อยากถามกลับคนที่ออกมาวิพากษ์ด่าเทสาดเทเสียดิฉันว่าบ้านคุณมีหมาแก่มาพิการเลี้ยงเต็มบ้านเกือบร้อยตัวเหมือนดิฉันไหม ถ้าคุณมีคุณจะเข้าใจว่าทำไมดิฉันถึงไม่ให้ค่าความเป็นดราม่าของคุณ บอกตรง ๆ ดิฉันไม่อยากเขียนอะไรอย่างนี้ออกมาด้วยซ้ำเพราะกัลยาณมิตรที่ดีที่อยู่รอบข้างดิฉันต่างบอกว่าใส่ใจ การได้รับความเมตตาจากทุกท่านในวันที่พวกเรามีวิกฤตทำให้ดิฉันมองเห็นสองด้านของความเป็นคนได้อย่างชัดเจน

ทุก ๆ วันเราต่างมีบทเรียนจากการดำรงชีวิต ความสูญเสียที่เกิดขึ้นพวกเราใจแหลกสลาย และพวกเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องชีวิตสัตว์ที่เหลืออยู่ในความดูแลของพวกเราให้ดีที่สุด

ดิฉันขอบคุณคนรักสัตว์ทุกท่านที่เข้าไปตอบช่วยตอบแทนในหลายคอมเมนต์ ดิฉันเข้าใจดีถึงการที่พวกท่านทนไม่ได้ต่อสิ่งที่บิดเบือนเหล่านั้น แต่ดิฉันอยากขอร้องทุกท่านว่าอย่าไปตอบโต้ ถ้าท่านรักดิฉันเราเอาเวลาไปช่วยกันไปช่วยกันหาทางช่วยเหลือหมาแมวสัตว์ต่าง ๆ และชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนจากน้ำท่วมกันเถอะค่ะ จะได้ประโยชน์มากกว่า

แต่ข้อมูลไหนที่คิดมันล้ำเส้นเกินไปขอส่งมาทางอินบ็อกซ์ดิฉันจะส่งต่อให้กับทีมทนายพิจารณาค่ะ เพราะการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นมีมูลค่าที่ต้องจ่ายเสมอ
ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้นะคะ

ขอจบดรามาในหน้าเพจนี้นะคะเพราะชีวิตที่เหลือของดิฉันจะทำงานเพื่อสัตว์ที่ไร้เสียงเท่านั้นค่ะ“

‘ทนายนพ’ พร้อมลงชิงเก้าอี้ ‘นายกสภาทนายความ’ แย้มนโยบายจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ-ทำงานเป็นทีม

( 8 ต.ค.67) ‘ทนายนพ’ แย้มนโยบาย ทำงานเป็นทีม เพื่อเพื่อนทนาย เน้นกระจายอำนาจ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ผลักดันจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ ทำงานอย่างมีอิสระ ปลอดจากการเมือง

ดร.ธนพล คงเจี้ยง ‘ทนายนพ’ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยถึงแนวนโยบายในการขันอาสาลงสมัครว่า จะมาร่วมกันพลิกฟื้นทวงคืนบทบาทของสภาทนายความ ให้กลับมาทำงานเพื่อทนายความ ด้วยการทำงานเป็นทีม โดยสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารด้วยการกระจายอำนาจอย่างจริงจัง ให้ กรรมการส่วนกลาง กรรมการส่วนภูมิภาคและประธานสภาทนายความจังหวัด ดูแลช่วยเหลือกันในการทำงานตามบทบาทอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของสภาทนายความ เพื่อดูแลเพื่อนพี่น้องทนายความอย่างใกล้ชิดและทั่วถึงและมีความเสมอภาคกัน

“จะปรับปรุงสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความให้มีการบริหารอย่างมืออาชีพ จะควบคุมมรรยาทด้วยการสร้างความเข้าใจในบทบาทของวิชาชีพทนายความ เน้นการป้องปรามไม่ให้ทนายความประพฤติผิดมรรยาท จะลดจำนวนคณะกรรมการมรรยาททนายความลงเหลือไม่เกิน 15 คน ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ ที่เป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน” ดร.นพ กล่าว 

ทนายนพ กล่าวว่า ที่สำคัญ คือ จะส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิกสภาทนายความ ด้วยการกระจายอำนาจให้กรรมการบริหารสภาทนายความภาค และประธานสภาทนายความจังหวัดมีบทบาทในการบริหารงานสภาทนายความในส่วนภูมิภาคอย่างจริงจัง รวมทั้ง  จัดตั้งกองทุนสวัสดิการทนายความ ให้ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่ประธานจังหวัดเพื่อช่วยเหลือดูแลทนายความ

รวมทั้ง จะกระจายบทบาทให้อำนาจประธานสภาทนายความจังหวัด พิจารณาช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนผู้ยากไร้และไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างจริงจัง

“เราจะเข้ามานำพาองค์กรสภาทนายความ เพื่อรับใช้ทนายความอย่างแท้จริง ด้วยการทำงานเป็นทีม สร้างความมั่นคงในการประกอบวิชาชีพทนายความกระจายอำนาจให้เป็นจริง นโยบายที่ทำได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม มั่นใจจะทำให้สภาทนายความเป็นที่พึ่งของทนายความและที่พึ่งของประชาชนให้ได้” ว่าที่ผู้สมัครนายกสภาทนายความฯ หนุ่มไฟแรง กล่าว

ทนายนพ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญ สภาทนายความซึ่งเป็นองค์กรอิสระ ต้องมีความเป็นอิสระจริง ๆ ปลอดจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง เหมือนองค์กรวิชาชีพอื่น

ตชด.23 ตามสืบเครือข่ายยาบ้า จับกุมต่อเนื่องได้กว่า 200,000 เม็ด

ตามนโยบายเน้นหนักของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน โดยให้เพิ่มความเข้มงวดและเพิ่มมาตรการในการปราบปราม เพื่อมิให้มีการขนย้ายยาเสพติดเข้าสู่ตอนในของประเทศ

เมื่อวานนี้ (7 ต.ค.67) เวลา 11.30 น. ที่ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 ค่ายศรีสกุลวงศ์ อ.เมือง จ.สกลนคร นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วย  พล.ต.ต.สมจิตร เหล่ามงคลนิมิต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสกลนคร, ว่าที่ร้อยตรีรวยรุ่ง ใครบุตร ปลัดจังหวัดสกลนคร,  พ.ต.อ.วุทธยา สิงห์กิ้ง ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23, ผู้แทนจากกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี, ผู้แทน ปปส.ภ.4 ได้ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม ผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) รวม 200,000 เม็ด ในพื้นที่ อ.เมือง จ.สกลนคร

การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการจับกุม นายอัษฎาวุธกับพวก พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 170,000 เม็ด เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงได้ขยายผล ตามสืบ จนพบว่ายังมีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอีก 1 คน คือ นายธเนศพล แก้วก่อง อายุ 20 ปี จึงให้สายลับติดตามพฤติการณ์ จนเมื่อวันที่ 6 ต.ค. เวลา 15.00 น. ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดนด้าน จ.เลย เข้ามาพักไว้ที่บ้านเช่าของ นายธเนศพล เพื่อรอลำเลียงเข้าพื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค ป้ายทะเบียน 8 กจ 157 กรุงเทพมหานคร เป็นพาหนะในการลำเลียงยา จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาและแจ้ง นปส.นครพนม, เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และหน่วยความมั่นคงในพื้นที่

จนเมื่อเวลา 23.20 น. เจ้าหน้าที่จับกุมพบรถยนต์ คัน ดังกล่าว บริเวณแยกบ้านธาตุ อ.เมือง จ.สกลนคร จึงได้สะกดรอยตามไป เมื่อไปถึงบ้านเช่าแห่งหนึ่ง พบนายธเนศพลกับนายรัฐภูมิ  (ทราบชื่อภายหลัง) กำลังช่วยกันยกห่อวัตถุลงจากท้ายรถ จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม และเข้าตรวจสอบ พบเป็นยาบ้าจำนวน 100 มัด ประมาณ 200,000 เม็ด จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ในกลุ่มประชาชนและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ก่อนจะนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี และดำเนินการสอบสวนขยายผลต่อไป 

เปิดมุมมอง! บุคลิกประเทศไทยที่ไม่เคยสังเกต สยามเมืองยิ้ม ดินแดนแห่งความกลมเกลียว

(8 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘เพื่อนลงทุน’ ได้โพสต์วิเคราะห์บุคลิกของคนไทยและประเทศไทยได้อย่างน่าสนใจ ความว่า 

ประเทศไทยมีดีตรงไหน? มุมมองจากพี่มี่

“ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีอนาคต แต่อนาคตมันมองยาก อนาคตไม่เหมือนคนอื่น” พี่มี่เล่าให้ฟังแบบเป็นกันเองแต่เนื้อหาแน่นมาก แอดนั่งดูวิดีโอนี้แป๊บเดียวจบ ขอหยิบมาสรุปให้ฟังเฉพาะมุมมองต่อประเทศไทยของพี่มี่นะครับ 

พี่มี่เปรียบเทียบแต่ละประเทศในโลกว่าใครเป็นใครในห้องเรียนให้ฟัง
“อเมริกา คือหัวหน้าห้อง ที่ฉลาดแต่ขี้เกียจ และใช้เงินเก่ง”
“จีน เป็นรองหัวหน้าห้อง ฉลาดน้อยกว่า แต่ขยัน”
“เวียดนาม ไม่ได้ฉลาดสุด ไม่ได้ขยันสุด แต่เข้ากันได้ดีกับหัวหน้าห้องและรองหัวหน้าห้อง คนแบบนี้ก็อาจจะพอมีอนาคตไปได้แหละ เค้าจับกับข้างนี้ที จับกับข้างนั้นที”
“ไทย ไม่ได้ฉลาด ไม่ได้ขยัน แต่สวย เซ็กซี่ ขี้เล่นและเป็นกันเอง”

“ผมว่าอนาคตของคนแบบนี้วิเคราะห์ยากนะ อยู่ ๆ .. ปุ๊บ ๆ เละ ๆ ไปเป็นเมียเสี่ยเงี้ย มาไง ชีวิตขับซูเปอร์คาร์เฉย.. เฮ้ย มาไง! มันจะต้องมีบุคลิกแบบคนชอบเค้าเยอะ ผมมองเมืองไทยเป็นแบบนั้นอะ” พี่มี่พูดติดตลก แต่แอดว่าพี่มี่เปรียบเทียบเสน่ห์ของประเทศไทยได้ดีมาก ของแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเลียนแบบกันได้
พี่มี่เล่าต่อถึงเสน่ห์ของประเทศไทยจากที่พบเจอคนหลาย ๆ ประเทศ

คนจีนมาอยู่ไทย ส่งลูกมาเรียน “อย่างโรงเรียนนานาชาติ Harrow ถ้าที่เซี่ยงไฮ้ค่าเทอม 3,700,000 บาท ที่ไทย 900,000 บาท แบรนด์เดียวกัน”

พี่มี่ยังมีเพื่อนต่างชาติคนนึงที่ครอบครัวไม่กินอาหารบางอย่าง แต่พอมาอยู่ไทย เตะบอลกับพี่มี่แล้วพากันไปกินได้ เพื่อนคนนั้นบอกพี่มี่ว่า “ถ้าอยู่บ้านเรากินไม่ได้ แต่ถ้าออกมากับพวกนายเรากินได้”

“คนญี่ปุ่นอยู่บ้านเค้าเข้าแถวเป็นระเบียบ ขึ้นรถไฟเป็นระเบียบ มาอยู่ทองหล่อขี่มอเตอร์ไซค์ซิ่งกว่าคนไทยอีกนะ จอดหน้าวิลลามาร์เก็ต เดินไปซื้อยา” พี่มี่มองว่าไม่มีความเป็นญี่ปุ่นหลงเหลือแล้ว อยู่เมืองไทยสบาย ๆ มาอยู่แล้วก็หลอมกลืน

นอกจากนั้น พี่มี่ยังมองว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งสันติภาพ
“คนจีนแผ่นดินใหญ่กับคนฮ่องกงไม่ถูกกัน คนจีนแผ่นดินใหญ่กับคนไต้หวันไม่ถูกกัน แต่มาเมืองไทย เค้ากินหมาล่าที่จินดาด้วยกัน เค้าเป็นเพื่อนกันได้ที่นี่” 
“ที่พัทยาเราเห็นรัสเซียกับยูเครนนั่งกินเบียร์ด้วยกัน” 
“พอมาที่นี่ปุ๊บ เป็นดินแดนปลอดภัย เป็นดินแดนที่ช่างมันเถอะ เรื่องราวบนโลกเดี๋ยวมันก็ตายแล้ว” พี่มี่เล่าถึงความเป็นอริในเวทีโลกที่กลับมากอดคอกันได้ในประเทศไทย

พี่มี่ยังพาย้อนไปดูสถิติ “คุณไปดูช่วงปี 1920 เรา GDP ต่ำสุดในอาเซียน สลับกันกับพม่า ไม่เราก็พม่าต่ำสุด ทุกคนบอกขี่ควายต่อไปเถอะ เมืองไทยแย่แล้ว”
“แต่สุดท้ายเราก็มี GDP อันดับต้น ๆ ของอาเซียนได้ เพราะเรามีเสน่ห์บางอย่างที่ตอบไม่ได้ เรามีความเป็น United States ในโลกผมไปมา 40 กว่าประเทศ มี 2 ประเทศที่เป็น United States คือ อเมริกากับไทย"
พี่มี่อธิบายว่า United States คืออะไร ? “ในห้องประชุมนี้ ใครบ้างที่สืบเผ่าพันธุ์แล้วเป็นไทยแท้ ? ขอซักคนเดียว.. ไม่มี แต่ทุกคนบอกกูเป็นคนไทย ถูกมั้ย” 

// United แปลว่า รวมกัน, ปึกแผ่น, กลมเกลียว, พร้อมใจกัน
“เนี่ยคือบุคลิกของ United States มันไม่มีคนท้องถิ่นอะ ถ้าสืบไปเรื่อย ๆ ผมอาจจะมาจากแปะซัวเล็ก ซัวเถา อะไรอย่างเงี้ย เช็กไปทุกคนมาจากไหนก็ไม่รู้” 
“แต่พอมาอยู่ที่นี่ กลายเป็นว่ามันหลอมคนทั้งหมด ให้อยู่ที่นี่เลย กลายเป็นคนที่นี่ แล้วไม่อยากไปที่อื่นอีกแล้ว มันมีบุคลิกของความกลมเกลียวที่หาได้ยาก” พี่มี่บอก

ความน่ารัก ความเป็นกันเอง ความใจดีมีน้ำใจของสยามเมืองยิ้มนี้เองเป็นจุดแข็งของประเทศไทย และของแบบนี้อาจจะมีไม่กี่ประเทศในโลกที่จะมาทดแทนหรือมาเลียนแบบเราได้ 

พี่มี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ เป็นนักลงทุนที่คอยแบ่งปันความรู้ให้สังคมตลอด ดูวิดีโอที่พี่มี่เล่าแบบเต็มจาก Super Trader Republic ได้ที่ลิงก์ สนุกมาก ดูไปขำไป ความรู้แน่น พูดตรงไปตรงมา สุดยอด https://youtu.be/5wIz0i3swVs?si=f16w14CWNYLfzgew

สุดซึ้ง! ทหารใหม่ทำความเคารพอดีตทหารผ่านศึก คอมเมนต์เอกฉันท์แห่ขอบคุณและชื่นชมวีรบุรุษลายพราง

(8 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ข่าวดัง ออนไลน์’ ได้มีการเผยแพร่เรื่องราวของทหารผ่านศึกสุดประทับใจว่า 

เรื่องเล่าจากคุณลุงผู้เป็นทหารผ่านศึก ที่ได้รับการแสดงความเคารพจากทหารรุ่นน้องที่ไม่รู้จักกันมาก่อน มีคนถามคุณลุงว่าแล้วทหารท่านนั้นทราบได้อย่างไรว่าคุณลุงคือทหารผ่านศึก คุณลุงตอบว่าเพราะเสื้อกั๊กที่ใส่อยู่นั้น มีสัญลักษณ์ของทหารผ่านศึกติดอยู่ 

“..มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากคราวหนึ่งในชีวิตครับ วันนั้นผมปั่นจักรยานไปกระทรวงมหาดไทยเพื่อไปรับเหรียญพิทักษ์เสรีชน และ เหรียญราชการชายแดน ขากลับปั่นจักรยานผ่านสวนจิตรลดา จะมีป้อมทหารยามเป็นจุด ๆ รอบสวนจิตรลดา มีอยู่จุดหนึ่งน้องทหารเขาได้ตกปืนทำความเคารพ เสียงค่อนข้างดัง ผมหันไปมอง น้องทหารเขาก็มองตอบมา ผมจึงหันไปรอบตัว พบว่ามีผมอยู่คนเดียว จึงทราบว่าน้องเขาแสดงความเคารพให้ผม ผมก็ยกมือวันทยหัตถ์ตอบ น้องเขาลดปืนและมาอยู่ในท่าระเบียบพัก ผมปั่นจักรยานจากมาพร้อมกับน้ำตาไหลซึม ขอบใจน้องทหารที่ให้เกียรติกันอดีตทหารผ่านศึก เล่นเอาผม อดีตทหารผ่านศึกแก่ ๆ คนหนึ่ง น้ำตาร่วงได้..”

ในโพสต์ดังกล่าวได้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย เช่น 

“อ่านแล้วภูมิใจมาก ขอบคุณ ท่านทหารผ่านศึก ที่ท่านเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเราให้ได้มีแผ่นดินไทยอยู่ ขอให้สุขภาพท่านแข็งแรง และมีความสุขค่ะ ^___^
... จากครอบครัวผู้สูญเสียวีรบุรุษหินร่องกล้า”

“สวัสดีครับ ท่านสมาชิก อผศ.ในภาพที่สวมเสื้อวินมอไซค์ ท่านยังดูแข็งแรงอยู่มาก..ทำมาหากินไปครับ พวกเราต่อสู้ขับไล่ศัตรูแผ่นดินเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชนกันมา บางท่านก็พลีชีพ บางท่านบาดเจ็บพิการทุพพลภาพ ขอให้ท่านผู้ผ่านศึกทุกนายที่ยังมีชีวิตอยู่จงมีแต่ความสุขกายสุขใจตลอดไปนะครับ จากผมสมาชิก อผศ.บัตรชั้นที่ 3 ครับ..”

"ชื่นชมค่ะ.. จากครอบครัวทหาร.ค่ะ.. (... หลายปีที่ผ่านมา.เคยมีโอกาสเดินทางไปจ๋าหน่ายดอกปี้ในวันทหารผ่านศึก... ตามหน่วยงาน, องค์กรต่าง ๆ เพื่อนำรายได้จากการจ๋าหน่ายไปช่วยเหลือ น้อง ๆ ทหารหาญที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติภารกิจตามแนวชายแดนค่ะ.. ฯ.."ภาคภูมิใจค่ะ...”

“ขอร่วมภาคภูมิใจด้วยพี่ทหารทั้งสองท่านด้วยค่ะ และน้ำตาร่วงกับพี่ด้วยความชื่นชมอิ่มใจ ใน ทหารค่ะขอบคุณ ๆ”

สมุทรปราการ-แถลงข่าวงานประเพณีรับบัว “นมัสการองค์หลวงพ่อโต” หนึ่งเดียวในประเทศไทยของอำเภอบางพลี

เมื่อวานนี้ (7 ต.ค. 67) นายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธาน การแถลงข่าวการจัดงานประเพณีรับบัว ประจำปี 2567 พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ นายขจิตเวช แก้วน้อย นายอำเภอบางพลี นางสาวชูศรี สัตยานนท์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอบางพลี นายจิรศักดิ์ อ่วมอุไร ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานฉะเชิงเทรา นายรัชชานนท์ ทองอร่าม รองนายก อบจ.สมุทรปราการ คณะสมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวการจัดงานประเพณีรับบัว ประจำปี 2567 ณ บริเวณศูนย์การค้ามาร์เก็ควิลเลจ สุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

โดยในปีนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 16 ตุลาคม 2567 ตรงบริเวณที่ว่าการอำเภอบางพลี วัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง และบริเวณคลองสำโรง เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีโบราณของอำเภอบางพลีที่สืบทอดมาอย่างยาวนานให้คงอยู่ ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรปราการ ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย ทั้งการแสดงวิถีชีวิตชาวบางพลีในอดีต การละเล่นพื้นบ้าน การประกวดขบวนแห่เรือองค์หลวงพ่อโตทางน้ำ การแข่งขันเรือมาด การประกวดหนุ่มสาวรับบัว รวมถึงการจำหน่ายสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ของดีของอำเภอบางพลี

ประเพณีรับบัว เป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมาแต่โบราณของชาวอำเภอบางพลี ที่แสดงถึงความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อต่อคนต่างถิ่นที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในอำเภอบางพลี และแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความผูกพันกับสายน้ำของพี่น้องชาวอำเภอบางพลี ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปี ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 16 ตุลาคม 2567 โดยจะมีการอัญเชิญหลวงพ่อโตองค์จำลองลงเรือแห่ไปตามลำคลองสำโรง เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณสองฝั่งคลอง รวมถึงประชาชนโดยทั่วไปได้ร่วมพิธีสักการะองค์หลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์

โดยความเชื่อที่ว่าหากโยนดอกบัวลงไปในเรือที่องค์หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ แล้วตั้งจิตอธิษฐานสิ่งใดไว้ก็จะประสบความสำเร็จดังหวังทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม ทางอำเภอบางพลีมุ่งหวังให้ประเพณีรับบัวซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ดีงามของชาวอำเภอบางพลีไม่เลือนหายไป อำเภอบางพลีจึงได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมอนุรักษ์ประเพณีนี้สือต่อไป อีกทั้งประเพณีรับบัวของอำเภอบางพลี ได้รับการประกาศเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำปี 2555 โดยกระทรวงวัฒนธรรม

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘มาดามแป้ง’ ลั่นใส่เต็มร้อยเดินหน้าคว้าแชมป์ ‘คิงส์คัพ’ มั่นใจภาคใต้ใจรักฟุตบอล แห่เข้าชมล้นสนาม

(7 ต.ค. 67) ฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดใหญ่เดินทางมารายงานตัว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางไป จังหวัด สงขลา เพื่อทำการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 50 ระหว่างวันที่ 11-14 ตุลาคม 2567 

การรายงานตัวครั้งนี้นำโดย "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วย มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าผู้ฝึกสอน ทีมชาติไทย และนักเตะทั้ง 23 คนที่เดินทางมารายงานตัวโดยพร้อมเพรียง นำโดย ชนาธิป สรงกระสินธ์ กัปตันทีม

ก่อนการเดินทาง "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซํา นายกสมาคม กล่าวว่า "คิงส์ คัพ เมื่อสองครั้งที่ผ่านมาที่แป้งเป็นผู้จัดการทีม เราไปเล่นที่เชียงใหม่ เราพลาดแชมป์มา และเมื่อวันศุกร์ที่แป้งไลฟ์มีคำถามถามว่าเป็นอาถรรพ์หรือเปล่าเพราะคิงส์คัพไปเล่นต่างจังหวัดจะไม่ได้แชมป์ แต่ครั้งนี้แป้งคิดว่าภายใต้การนำทัพของมาซาทาดะ อิชิอิ และ ชนาธิป(สรงกระสินธ์) กัปตันทีม คงจะให้ความมั่นใจได้ว่าเราต้องการเป็นแชมป์ รวมถึงได้ไปเล่นที่ภาคใต้ซึ่งมีสถิติแฟนบอลเยอะด้วยก็คิดว่าจะเข้ามากันเต็มสนาม และปีนี้เป็นปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระชนมายุ 72 พรรษา ทำให้คิงส์คัพปีนี้มีความสำคัญยิ่งกว่าเดิม"

"กระแสแฟนบอลที่สงขลาถือว่าเยอะขึ้น มีแฟนบอลรอซื้อบัตรที่มีการเอาออกมาจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ วันที่ 14 เหลือบัตรอีกประมาณ 3,000 ใบ คาดว่าเมื่อนักเตะเดินทางไปถึงสงขลาและการเปิดให้แฟนบอลเข้าชมการฝึกซ้อมในวันที่ 7 และ วันที่ 8 ตุลาคม จะทำให้กระแสยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนมีแฟนบอลเข้ามาเต็มสนาม" 

เจ้าของเพจ SME ชื่อดัง ยกรถนักเรียนไทยของ ‘บัณฑูร ล่ำซำ’ เป็นโมเดล ชี้การรับส่งนักเรียนมีต้นทุนแฝงในวิถีชีวิตคนไทยสูง

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระ เจียรนัยพานิชย์ เจ้าของเพจ SME Networking Thailand ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

เวลาได้ยินข่าวเกี่ยวกับรถนักเรียนผมนึกถึง #โครงการรถนักเรียนไทย ของ คุณปั้น-บัณฑูร ล่ำซำ เสมอ

เมื่อก่อนทำงานที่ราษฎบูรณะ จะเห็นรถรับส่งนักเรียนสีเหลือง รูปทรงเท่ห์มากคล้ายกันกับรถนักเรียนในสหรัฐอเมริกา เวลาผมนั่งรถเมล์ไปทำงาน หรือวันไหนที่ไปใส่บาตร จะเห็นรถคันนี้ประจำ วิ่งรับส่งนักเรียนแถววัดสน กับ เส้นราษฎบูรณะ ส่งเสร็จแล้วก็จะมาจอดที่ ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ จอดหลังตึก 

เคยแอบไปมองดูข้างในรถ มีจอทีวี มีที่นั่งไม่เยอะมาก ตกแต่งข้างในกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กดี 

เคยถามประวัติรถคันนี้ เค้าบอกเป็นแนวคิดของคุณปั้น เห็นนักเรียนแถวนี้ต้องตากแดดตากฝนขึ้นรถเมล์ ค่าครองชีพก็สูงขึ้น เลยทำเป็นรถคันนี้ขึ้นมา มีสองสาย จำได้ว่า วัดสน อีกสายหนึ่งจำไม่ได้ บริหารโครงการนี้โดยมูลนิธิ ไม่ใช่ธนาคารทำเองโดยตรง ให้บริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย 

จะหาข่าวหรือหาข้อมูลโครงการนี้ก็มีไม่เยอะมาก ทั้งๆที่โครงการนี้ทำมานาน ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ทำมานานมากๆทำต่อเนื่องน่าจะใช้งบประมาณไม่น้อย แต่บนตัวรถเองก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเป็นโครงการของธนาคารกสิกรไทย เป็นโครงการทำตั้งใจทำจริงๆไม่ได้ทำเอาหน้าเอาตา ก็น่าจะพูดอย่างนี้ได้ เป็นหนึ่งในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมจริงๆ 

เคยอ่านข่าวเรื่องธุรกิจรถบัสในประเทศไทยเป็นธุรกิจใหญ่โตมาก แต่ธุรกิจรถรับส่งนักเรียนในไทยมีแค่เจ้าเดียวที่นึกออก คือ Montri เป็นบริษัททำรถนักเรียนในกรุงเทพ ทำมานานมาก ด้วยความที่ทำรถให้มีมาตรฐานดีมากเลยได้รับเลือกเป็นรถรับส่งนักเรียน รถทัศนศึกษาของโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ แต่ทำมานานขนาดนี้ มูลค่าธุรกิจที่ขายไปให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพียงแค่ 300 ล้านเอง ( เนชั่นNBC เป็นคนซื้อ)

เรื่องรับส่งนักเรียนนี่เป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงในประเทศไทยมายาวนานมากๆ แต่แทบไม่มีการแก้ไข เพราะมูลค่าทางธุรกิจไม่มาก หากจะทำให้มีคุณภาพราคาก็สูง สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกให้พ่อแม่ผู้ปกครองเลือกกลายเป็นการต้องไปรับส่งเอง เป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล พ่อแม่ทุกคนรู้ดี

ผมเชื่อว่าคุณปั้นตอนตั้งโครงการนี้ก็คิดแบบเดียวกัน ช่วยประหยัดต้นทุนให้คนในชุมชน สังคมชุมชนรอบสำนักงานใหญ่ก็จะดี เมืองไทยจะน่าอยู่มากขึ้นถ้าทุกคนคิดแบบนี้ 

สทนช. ออกประกาศเตือนคน 3 ลุ่มน้ำ เจ้าพระยา-ท่าจีน-แม่กลอง เฝ้าระวังน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุน-น้ำเหนือไหลบ่า พื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ประกาศให้เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 13 – 24 ตุลาคม 2567

เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับมวลน้ำหลากจากตอนบนของลุ่มน้ำไหลลงมาสมทบส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น 

มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) 

จึงขอให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม

‘BIG CAMERA’ เปิดตัว ‘LEICA Q3 43’ กล้องหน้าชัดหลังละลาย ภาพสวยไร้การปรุงแต่งด้วยเลนส์ใหม่ใกล้เคียงสายตามนุษย์

(7 ต.ค. 67) "BIG CAMERA Leica Authorized Dealer" ร่วมกับ "Leica Camera Asia Pacific" จัดงานเปิดตัวกล้องคอมแพคฟูลเฟรมระดับไฮเอนด์ “LEICA Q3 43” ที่เกิดมาเพื่อมอบแก่นแท้ของการถ่ายภาพที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่ง ด้วยเลนส์ตัวใหม่ใกล้เคียงสายตามนุษย์มากที่สุด สอดผสานเข้ากับเทคโนโลยีของกล้องแห่งศตวรรษที่ 21 มาพร้อมงานดีไซน์ตัวบอร์ดี้ที่คงอัตลักษณ์แห่งไลก้า โดดเด่นอยู่เหนือกาลเวลา สง่างาม เรียบหรู พร้อมเปิดให้เหล่าไลก้าเลิฟเวอร์ได้เก็บเข้าคอลเลกชันแล้วตั้งแต่วันนี้เฉพาะที่ บิ๊ก คาเมร่า เท่านั้น ราคาเริ่มต้น 264,000 บาท

กิจกรรมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก มร. ไบรอัน โก๊ะ ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาค บริษัท ไลก้า คาเมร่า เอเชียแปซิฟิก และ มร. เคซี อิง แบร์นแอมบาสเดอร์ และ ไลก้า อคาเดมี่ ประเทศสิงคโปร์มาร่วมแนะนำ “LEICA Q3 43” โดยมี นายธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ,นายชิตชัย เธียรกาญจนวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยช่างภาพท็อปคลาสของเมืองไทย จอร์จ-ธาดา วารีช, โอ๊ต-ชัยสิทธิ์ จุนเจือดี และนักแสดงชื่อดัง สเตฟาน-ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์, ฌอห์ณ จินดาโชติ รวมทั้งช่างภาพอินฟูเอ็นเซอร์จากเพจดัง อาทิ Seventeenfiftyseven, Rockhhound, Pakornograpx และ Bzsranuwat เข้าร่วมงานและร่วมเวิร์คชอปถ่ายภาพครั้งแรกกับกล้อง LEICA Q3 43 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ เดอะเฮาส์ ออน สาทร

กล้อง LEICA Q3 43 คอมแพคฟูลเฟรมระดับไฮเอนด์ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Moment, Just as Your Eye Sees ด้วยการแลกเปลี่ยนแนวคิดกับช่างภาพทั่วโลก พร้อมการพัฒนากลายเป็นกล้องที่เกิดมาเพื่อมอบความลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของการถ่ายภาพที่ไร้ซึ่งสิ่งปรุงแต่ง ตัวบอร์ดี้เน้นงานดีไซน์ที่คงอัตลักษณ์ Leica DNA มาอย่างหมดจด โดดเด่นอยู่เหนือกาลเวลา สง่างาม เรียบหรู สะท้อนความเป็น Iconic แห่งรสนิยม ที่สอดผสานเทคโนโลยีของกล้องแห่งศตวรรษที่ 21 มาพร้อมเลนส์ APO-Summicron 43 f2 ASPH เลนส์ Leica APO ในระยะใช้งานที่ไม่เคยมีมาก่อน ให้มุมมองใกล้เคียงสายตามนุษย์มากยิ่งขึ้น ผสานคุณสมบัติของเลนส์ไวแสง ให้ความคมชัดและความละเอียด 60 ล้านพิกเซล พร้อมไฟล์ภาพแบบ 3D Pop พื้นหลังละลายและเอกลักษณ์ Bokeh ที่สวยงาม

สำหรับผู้ที่สนใจ LEICA Q3 43 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ BIG Camera Leica Authorized Dealer ร้าน Exclusif by BIG Camera ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, ดิ เอ็มควอเทียร์, เซ็นทรัลลาดพร้าว, ไอคอนสยาม, แฟชั่น ไอซ์แลนด์ และ เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ หรือติดตามความเคลื่อนไหวอื่นๆ ได้ที่ https://www.bigcamera.co.th


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top