Wednesday, 25 June 2025
NEWS FEED

สรรพสามิต ต้อนรับ กมธ.ฯ เห็นพ้องเดินหน้าเพิ่มโอกาส ลดข้อจำกัด สุราพื้นบ้าน-สุราชุมชน ดันสู่ Soft Power ไทย

กรมสรรพาสามิต นำโดย ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และผู้บริหาร ให้การต้อนรับคณะกรรมธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานกรรมาธิการ ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อกำหนดกรอบการออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตผลิตสุรา จะต้องมีการส่งเสริมการประกอบอาชีพของผู้ประกอบการรายย่อย ให้นำสินค้าเกษตรในท้องถิ่นมาแปรรูปเป็นสุราพื้นบ้านที่มีมูลค่าสูงขึ้น สร้างรายได้ให้ชุมชน และสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม

ดร. เผ่าภูมิ เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังและคณะกรรมาธิการฯ เห็นพ้องในการสนับสนุนการลดข้อจำกัดต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้นำผลผลิตทางการเกษตรในท้องถิ่น มาแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นสุราพื้นที่บ้าน-สุราชุมชน ซึ่งนอกจากสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมแล้ว ยังเป็นการพัฒนาสุราชุมชนที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ให้เป็น Soft Power ของไทยได้ ที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้พิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการผลิตสุราที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งได้มีการแก้ไขปลดล็อค เปิดโอกาสให้สุราชุมชนขนาดเล็กที่มีศักยภาพสามารถขยายกำลังการผลิตเป็นขนาดกลางได้ รวมถึงได้มีการยกเลิกเงื่อนไขการกำหนดขนาดกำลังการผลิตขั้นต่ำและยกเลิกการกำหนดทุนจดทะเบียนสำหรับเบียร์ ทำให้มีโรงอุตสาหกรรมสุราพื้นบ้านขนาดกลาง และโรงอุตสาหกรรมเบียร์ ประเภทผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต (Brewpub) ที่มีมาตรฐานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตกำลังจะปรับปรุงเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถขอใบอนุญาตผลิตสุราได้สะดวกขึ้นมากขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้ในอีก 3 ประเด็น โดยยังคงมุ่งเน้นและให้ความสำคัญเกี่ยวกับมาตรการในการควบคุมคุณภาพของสุราเพื่อมิให้มีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานออกมาสู่ผู้บริโภค รวมถึงการสร้างสมดุลเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมด้วย

ด้านนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ กล่าวว่า กรรมาธิการในคณะนี้ประกอบด้วยผู้แทนทั้งจากภาคการเมือง ราชการ นักวิชาการ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง มาร่วมกันพิจารณากฎหมาย และที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนผู้ประกอบการสุราชุมชน ที่จังหวัดชัยภูมิและนครราชสีมา จึงได้รับนำปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นความต้องการของพี่น้องประชาชนที่อยากจะประกอบอาชีพให้ถูกต้อง มาใช้ปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัย และเหมาะสมกับบริบทของการส่งเสริมสุราชุมชนในปัจจุบันตามนโยบายของรัฐบาลมากขึ้น โดยการแก้พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ จะเป็นเหมือนหลักประกันทางโอกาสของกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย ว่าจะสามารถเข้าถึงสิทธิในการเป็นผู้ผลิตสุราได้ เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่แค่การสร้างอาชีพเท่านั้น แต่จะเป็นการยกระดับการแปรรูปสินค้าเกษตร ให้ครัวเรือนเกษตรกรมีทางเลือกในการสร้างรายได้ที่มากขึ้น และการส่งเสริมวัฒนธรรมสุราชุมชนที่อยู่กับสังคมมายาวนานนี้ จะสร้างเอกลักษณ์ให้แต่ละพื้นที่ ส่งต่อการสร้างเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอาหารต่อไป

“หนาวนี้ ให้ป่อเต็กตึ๊งดูแล..” มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ส่งมอบไออุ่นจากผู้มีจิตศรัทธา จัดงบฯ กว่า 34.6 ล้านบาท กระจ่ายทีมลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร 4 ภาค 43 จังหวัด

ระหว่างเดือน พฤศจิกายน -  ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร มอบหมายให้ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จัดทีมสังคมสงเคราะห์ 

นำโดย  นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน ลงพื้นที่แจกจ่ายผ้าห่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบ “ภัยหนาว” ในถิ่นทุรกันดาร ครอบคลุมพื้นที่ ภาคเหนือ  ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้  รวมการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวทั้งสิ้น  4 ภาค  43 จังหวัด 

ผ้าห่มกันหนาวพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภครวม 51,500 ชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 34,637,500 บาท (สามสิบสี่ล้านหกแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน)  โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนในบางพื้นที่ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา คัดกรองเบาหวาน ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ  

โดยมูลนิธิฯ ได้เริ่มออกเดินช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวภาคเหนือ และอีสาน ในระหว่างวันที่ 4 พฤศจิกายน – 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ติดต่อสอบถาม ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

โดยในวันนี้ (วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567) นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำทีมลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่อำเภอสารภี อำเภอหางดง อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านธิ และอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน มอบผ้าห่มกันหนาว พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค อาทิ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา ฯลฯ บรรจุลงกระเป๋าผ้า รวมจำนวน 1,950 ชุด โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

โครงการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยหนาว เป็นโครงการที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งดำเนินการต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่า 60 ปี โดยตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สละแรงกาย แรงใจ สมทบทุน ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป

ภูมิธรรม บินเยี่ยมทหารเกาะกูด ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย ส่วน MOU44 ต้องเจรจา 2 ส่วน เขตแดนและพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

เวลา 10.30 น. เมื่อวันที่ (9 พ.ย.67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเรือเอกไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ และคณะ เดินทางด้วยอากาศยานกองทัพเรือจากสนามบินดอนเมือง มายังหน่วยปฎิบัติการเกาะกูด ตรวจเยี่ยมพื้นที่ ทักทาย ให้กำลังใจทหารเรือที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญ 

เมื่อเดินทางถึง พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินและผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด นายไพรัช สร้อยแสง นายอำเภอเกาะกูด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ 

จากนั้น นายภูมิธรรม สักการะ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสร็จแล้ว กล่าวกับทหารหน่วยปฎิบัติการเกาะกูด ว่า การเดินทางมาตรวจเยี่ยมในวันนี้ ต้องการรับทราบปัญหาและชีวิตความเป็นอยู่ของกำลังทหารตามแนวชายแดน และมีหน้าที่พิทักษ์รักษาอธิปไตรของประเทศ วันนี้อยากจะมารับรู้สถานการณ์ในพื้นที่ เป็นอย่างไร เนื่องจาก ประชาชนในกรุงเทพมหานคร และบางส่วนของประเทศไทย มีความรู้สึกไม่มั่นใจและกังวลใจว่าอำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด ไม่ใช่ของไทย และวันนี้ที่เดินทางมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเกาะกูด เป็นของประเทศไทยมาตั้งแต่สนธิสัญญาฝรั่งเศษ และกล่าวให้กำลังใจกำลังพลให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง มีความสุข

หลังจากกล่าวเสร็จแล้ว นายภูมิธรรม พร้อมคณะ ไปร่วมประชุมรับฟังบรรยายสรุปและสถานการณ์ปัจจุบัน โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนรับฟังด้วย แต่อนุญาตสื่อมวลชนเก็บภาพบรรยากาศในการประชุมเท่านั้น โดยการประชุมใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนที่นายภูมิธรรม จะออกมาจากห้องประชุม มอบสิ่งของให้กำลังพล และให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

โดย นายภูมิธรรม กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้ มาในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เนื่องจากเกาะกูด เป็นอธิปไตยของประเทศไทย เป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ ทั้งบนบกและในทะเล และมายืนยันว่าเกาะกูด เป็นของประเทศไทยแน่นอน ไม่ใช่เป็นของประเทศกัมพูชาตาม mou 44 ซึ่งชาวบ้านมาตั้งถิ่นฐานกันมานานแล้ว และจะต้องทำความเข้าใจกันใหม่ในเรื่องนี้ ชาวบ้าน อายุ 80-90 ปี ที่อยู่ที่นี่ ก็ยังรู้สึกผูกพัน ไม่ยอมให้ใครมาล่วงเกิน แต่เมื่อมีความเข้าใจของประชาชนชาวไทยบางส่วน จนทำให้เกิดความสับสน ส่งผลให้การท่องเที่ยวของเกาะกูด ลดลง 20-30% และเมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจแล้ว ทำให้การท่องเที่ยวกลับมาสู่ภาวะปกติ 

“นอกจากการมาในครั้งนี้แล้ว มาเพื่อยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของไทย มีชาวบ้าน มีกองทหาร มีส่วนราชการ มีตำรวจ และอีกหลายหน่วยงาน ขอให้ทุกท่านสบายใจได้ว่า ที่นี่ประเทศไทย มีธงชาติไทยปักอยู่ทั่วอาณาบริเวณ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ป้องกันประเทศอยู่ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ทางชายแดนทั้ง 2 ฝั่ง ไปมาหาสู่กันดี ปีละ 4 ครั้ง เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ไม่มีอะไรวิกฤตหรือน่ากังวล ส่วนแรงงานกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานที่เกาะกูด 600 กว่าคน ก็เข้ามาทำงานถูกต้องตามกฎหมาย และขอยืนยันว่า เกาะกูดสงบ สวยงาม มีความปลอดภัย อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคง“ นายภูมิธรรม กล่าว

นอกจากการมายืนว่าเกาะกูด เป็นของไทยแล้ว อีกหนึ่งภารกิจ คือ การมาเยี่ยมเยือนกำลังพลตามภารกิจของกระทรวงกลาโหม อยู่แล้ว 

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เข้าใจว่าตนเองน่าจะได้เป็นประธานเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ระหว่างสองประเทศ จะสร้างความมั่นใจได้ว่า เกาะกูดเป็นของไทย  แต่เรื่องจริงคือ ใน MOU ไม่ต้องเจรจาในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เป็นการเจรจาในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล แต่ใน mou ระบุไว้ว่า สองส่วนนี้ ต้องเจรจาไปด้วยกันอย่างสันติ และไม่ต้องกังวลว่า การเจรจานั้นต้องไม่เอื้อนายทุน และต้องเจรจาให้คนไทยทั้งหมดเห็นชอบด้วยและจะต้องเข้าสภาให้ผ่านความเห็นชอบ ซึ่งการแก้ปัญหาจะต้องอยู่บนกฎหมายและประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด

หลังจากจบภารกิจแล้ว นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานครทันทีในเวลา 13.00 น.

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการตำรวจทั่วประเทศดูแลความปลอดภัยช่วงเทศกาลลอยกระทงอย่างเข้มงวด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนป้องกันอันตราย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่น

(11 พ.ย.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศ ดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว ในวันลอยกระทง ประจำปี พ.ศ.2567 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยกำชับให้หน่วยปฏิบัติดำเนินการตามมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด 

มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ได้กำชับให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภทก่อนวันลอยกระทง ระหว่างวันที่ 8 – 14 พฤศจิกายน 2567 พร้อมกวดขันจับกุมผู้เล่นดอกไม้เพลิง พลุ และประทัด ในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ หรือในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในส่วนของผู้ผลิต หรือผู้จำหน่ายดอกไม้เพลิง พลุ และประทัดที่ได้รับอนุญาต ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากตรวจพบว่ามีการลักลอบผลิต จำหน่าย โดยผิดกฎหมาย ให้ดำเนินคดีทันที ในกรณีที่เป็นเด็กให้ดำเนินการกับผู้ปกครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 เพื่อให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนรับผิดชอบด้วย

กำชับหน่วยปฏิบัติให้เข้มงวดกวดขันป้องกันการฉวยโอกาสของผู้ไม่หวังดีหรือผู้เสียผลประโยชน์ ก่อเหตุร้ายในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นกรณีพิเศษ โดยเพิ่มความเข้มในการตรวจตรารักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ สถานที่ที่มีชาวต่างชาตินิยมเดินทางไปท่องเที่ยว รวมทั้งสวนสาธารณะ แหล่งชุมชน พร้อมประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนร่วมปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ หรือสถานที่ที่คาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวไปร่วมงานประเพณีลอยกระทงจำนวนมาก เพื่อป้องกันการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ การหลอกลวงขายสินค้าหรือบริการของกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งต้มตุ๋น ผู้มีอิทธิพลหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพล รวมถึงการกระทำอนาจารที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมทั้งให้เพิ่มความเข้มในตรวจตราการกระทำผิดในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในประเทศ จัดกำลังสนับสนุนการปฏิบัติของตำรวจท้องที่ในการตรวจสอบสถานบันเทิงไม่ให้มีการใช้ยาเสพติดชนิดต่าง ๆ และประสานหน่วยในพื้นที่ที่มีพื้นที่รับผิดชอบติดแนวชายแดนในการป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์

สำหรับการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ให้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกและจัดการจราจร ประจำในบริเวณสถานที่ที่คาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวมาร่วมงานประเพณีลอยกระทง และเส้นทางหลักที่คาดว่าจะมีปัญหาจราจร

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว ในการป้องกันอาชญากรรมหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นในช่วงวันลอยกระทง โดยห้ามเล่นดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด และโคมลอย อันก่อความเดือดร้อนรำคาญหรือเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น การยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันควร การแต่งกายที่เหมาะสมไม่ควรประดับของมีค่าหรือนำทรัพย์สินติดตัวไปจำนวนมาก เพื่อป้องกันมิให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสประทุษร้ายต่อทรัพย์ได้ ให้ระมัดระวังการใช้บริการโป๊ะ ท่าเทียบเรือ หรือพื้นที่ที่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวหนาแน่น เพราะอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และให้ผู้ปกครองกำชับบุตรหลานให้ระมัดระวังเพื่อมิให้ถูกหลอกลวงไปในทางมิชอบหรือประพฤติตนไม่สมควร รวมถึงไม่ควรปล่อยให้เด็กไปเที่ยวงานโดยลำพัง ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดทำคลิปประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ทางสื่อต่างๆ เพื่อสร้างความรับรู้ดังกล่าวให้กับพี่น้องประชาชนด้วย 

หากพี่น้องประชาชนต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเบาะแส เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับอาชญากรรมต่างๆ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือสายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

รอง นรม. / รมว.กห. ลงพื้นที่ฐานปฏิบัติการเกาะกูด ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพล พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ และดูแลความเป็นอยู่ ยืนยันพื้นที่เกาะกูดเป็นของไทย 100% 

พลตรีธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รอง นรม. / รมว.กห.)  พร้อมด้วย พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และพลเอกไตรศักดิ์ อินทรรัสมี เลขานุการ รมว.กห. ลงพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา บริเวณเกาะกูด อ.เกาะกูด จ.ตราด โดยมี พลเรือเอกไพโรจน์ เฟื่องจันทร์  เสนาธิการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือให้การต้อนรับ

โดยได้เรียนเชิญ รอง นรม./รมว.กห. ขึ้นแท่นรับความเคารพ และเข้ารับฟังการบรรยายสรุป ตรวจพื้นที่และการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด พร้อมพบปะกำลังพล มอบเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของเครื่องใช้ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ โอกาสนี้ได้ร่วมหารือพูดคุยกับหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

ในโอกาสนี้ รอง นรม./รมว.กห. ได้กล่าวให้โอวาทกับกำลังพลหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด ตอนหนึ่งว่า ขอให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง และยืนยันพร้อมสนับสนุนในส่วนที่มีความขาดแคลน เพื่อให้กำลังพลปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มขีดความสามารถ ซึ่งหน่วยมีความพร้อมในการปฎิบัติหน้าที่ทั้งการบรรเทาสาธารณภัยและงานพัฒนาต่างๆ ที่ทำร่วมกับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของไทย แต่ขณะนี้เนื่องจากมีการเตรียมที่จะเจรจาตามกรอบของเอ็มโอยู 44 จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนขึ้นในสังคม แต่ขอย้ำให้กำลังพลปฏิบัติหน้าที่ของตนเองต่อไป

รอง นรม./รมว.กห. ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทัพเรือ ได้จัดกำลังดูแลอธิปไตยของชาติทางทะเลด้านตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่เกาะกูด มาตั้งแต่อดีต และเมื่อไทยประกาศไหล่ทวีป เมื่อปี พ.ศ.2516 กองทัพเรือ ได้ดูแลมาอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ปรากฏปัญหาในพื้นที่ที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพของประชาชน สำหรับปัญหาในเรื่องระบบสาธารณูปโภคจะร่วมกันพัฒนาและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เพื่อ พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน

สำหรับ การอ้างสิทธิ์ในพื้นที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสากล จะต้องใช้ MOU 44 มาเจรจากันในเรื่องที่ยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน สิ่งสำคัญที่สุดคือ การจัดสรรผลประโยชน์ทางทะเล ซึ่งข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ที่สุดคืออยู่บนความพึงพอใจของสองประเทศ และประชาชนต้องได้รับประโยชน์สูงสุด 

โดยได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การเดินทางมาครั้งนี้ เพื่อยืนยันว่าที่แห่งนี้เป็นของไทย และมีกำลังพลของกองทัพเรือและหน่วยงานราชการในการพิทักษ์รักษาอธิปไตย ใครจะรุกล้ำไม่ได้ และขอให้ประชาชนมีความสบายใจและมั่นใจขึ้นว่า รัฐบาลจะรักษาพื้นที่ไว้ไม่ให้เสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว  

บิ๊กอุ้ย ติวเข้มมัคคุเทศก์จิตอาสา พร้อมเปิดพระราชวังเดิมรับ ปชช. ธันวาคม นี้

พลเรือเอกชาติชาย ศรีวรขาน อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ ประธานมูลนิธิ อนุรักษ์โบราณสถาน ในพระราชวังเดิม ร่วมกับกลุ่มพลังดี โดย คุณขจรศักดิ์ เชาวเจริญรัตน์ จัดอบรมมัคคุเทศก์ จิตอาสา จำนวน 43 คน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม และ 9 พฤศจิกายน 2567

โดยมีคุณศุภวรรณ ชวรัตนวงศ์ หัวหน้าสำนักงานและนักวิชาการมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม เป็นวิทยากร

ทั้งนี้ ได้บรรยายความเป็นมาของพระราชวังเดิม  ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ท้องพระโรง พระตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ ศาลศีรษะปลาวาฬ และป้อมวิไชยประสิทธิ์

สำหรับการอบรมในครั้งที่สอง เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2567 นั้น ช่วงเช้า มัคคุเทศก์จิตอาสาได้รับข้อมูลจากวิทยากรเพิ่มและลึกขึ้น มีการทบทวนซ้ำข้อมูล รวมถึงจุดที่ควรเน้นย้ำกับนักท่องเที่ยว และได้เข้าศึกษาพระตำหนักเก๋งคู่ (หลังใหญ่) ภายในอุดมด้วย รูปวาดอธิบายการค้าขาย เส้นทางการรบ และการทำนุบำรุงบ้านเมือง แผนที่กรุงธนบุรี  สินค้าที่ค้าขายในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

ช่วงบ่าย เป็นการฝึกมัคคุเทศก์ภาคปฏิบัติ ได้เห็นพัฒนาการของผู้เข้าอบรมชัดเจน สามารถพูดได้ยาวและเรียงลำดับได้ดี มีการบันทึกคลิปช่วงฝึกฝน ทุกคนได้เห็นผลงานคลิปนำชมพระราชวังกรุงธนบุรี ของตัวเอง ก็เกิดรอยยิ้มแห่งความมั่นใจในความพร้อมที่จะร่วมเป็นมัคคุเทศก์จิตอาสา นำชมพระราชวังแห่งนี้  

พระราชวัง กรุงธนบุรี กำหนดเปิดให้เข้าชม ระหว่างวันที่ 14 - 28 ธันวาคมนี้ มัคคุเทศก์พลังดีจิตอาสาทั้ง 2 วัย (ผู้สูงวัยและเยาวชน) พร้อมแล้วที่จะต้อนรับทุกท่าน

ผู้บัญชาการทหารบก ต้อนรับ นายกสมาคม นายทหารนอกประจำการ และคณะ

พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์​ ผู้บัญชาการทหารบก ให้การต้อนรับพลเอกวินัย ภัททิยกุล นายกสมาคมนายทหารนอกประจำการ และคณะกรรมการฯ ณ ห้องรับรอง กองบัญชาการกองทัพบก 

โดยได้แสดงความยินดี ในโอกาสที่มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้า ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

นอกจากนั้น ยังได้มีการหารือถึงความร่วมมือในการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของนายทหารนอกประจำการ โดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสมาคมนายทหารนอกประจำการได้แก่
1.เป็นศูนย์กลางการติดต่อและประสานงาน เผยแพร่ข้อมูลและข่าวสารให้กับสมาชิกและนายทหารนอกประจำการ
2.ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติยศ และชื่อเสียง ของนายทหารนอกประจำการ
3.เพื่อจัดสวัสดิการ  กิจกรรมนันทนาการ การบริการด้านสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้แก่สมาชิกและครอบครัว
4.เพื่อแสวงหาและรักษาสิทธิประโยชน์ ให้แก่สมาชิกและนายทหารนอกประจำการ
5.เพื่ออนุเคราะห์สมาชิกที่เจ็บป่วยหรือเสียชีวิต
6.สนับสนุนกิจกรรมเพื่อการกุศล หรือเพื่อสาธารณประโยชน์
7.ดำเนินการหรือร่วมมือกับองค์กรอื่น ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประโยชน์ของนายทหารนอกประจำการ

สมุทรปราการ-งานบุญกฐินวัดมหาวงษ์ ร่วม 2 ล้านบาท ครอบครัวรุ่งเสมอ ครอบครัวพาณิชย์พิศาล และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีแห่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดมหาวงษ์ ปากน้ำ ถนนสุขุมวิท ต.ปากน้ำ อ.เมือง สมุทรปราการ ท่านพระปลัดสราวุธ โรจนธมฺโม (พระอาจารย์แดง) เจ้าอาวาสวัดมหาวงษ์ ปากน้ำ สมุทรปราการ พร้อมด้วย พระครูยุทธนา ภททญาโณ (พระอาจารย์ตุ๋ย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาวงษ์ ร่วมกับ คณะสงฆ์วัดมหาวงษ์ คณะกรรมการ ไวยาวัจกร อุบาสก อุบาสิกา

ประกอบพิธีทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 12  โดยมี นาวาเอก อนุศักดิ์ นาคทิม นายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง ได้รับเกียรติเชิญร่วมงานทอดกฐินในปีนี้ ซึ่งในปี 2567 นี้ วัดมหาวงษ์โดยทางกำนันตำบลบางเมือง นำโดย นางสาวขวัญเรือน นาคทิม พร้อมด้วย พันโท สมพงษ์ คุณรำพึง และครอบครัวรุ่งเสมอเป็นประธานอุปถัมภ์ 

พร้อมด้วยครอบครัวพาณิชย์พิศาล เศรษฐีผู้ใจบุญ นำโดย นายอัครนันท์ นางธัญยธรณ์ พาณิชย์พิศาล คุณจรูญ กระแชงขาว และครอบครัวคุณแม่เรณู งามสมุทร ผศ.แพทย์หญิงเกศริน นางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล เป็นประธานร่วมในปีนี้ อีกทั้งในปีนี้ยังได้รับเกียรติจากนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เดินทางมาเข้าร่วมในพิธีตลอดจนคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย พุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญ ชาวอำเภอเมือง และอำเภอใกล้เคียง ร่วมบุญกันอย่างคึกคัก

โดยในช่วงเช้าได้ประกอบพิธีทำขวัญกฐิน จากนั้นร่วมถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ ก่อนจะแห่องค์กฐินรอบพระอุโบสถและร่วมถวายองค์กฐิน ซึ่งในปีนี้ทางวัดมหาวงษ์ได้ยอดเงินทอดกฐิน ร่วม 2 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม พิธีทอดกฐินในปี 2567 นี้ นับว่ามีพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญเดินทางมาร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก อีกทั้งมีการจัดตั้งโรงทาน จำนวน 70 โรงทาน ให้ผู้ที่เดินทางมาร่วมงานได้รับประทานกัน และในส่วนจำนวนเงินที่ได้จากการทอดกฐินสามัคคีในปีนี้ ทางวัดมหาวงษ์จะนำไปบูรณปฏิสังขรณ์พร้อมทั้งปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ต่อไป

ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รับตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รับตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญจาก นาย ภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ในโอกาส มาตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ของกำลังพล การรับทราบปัญหา ข้อขัดข้อง ของหน่วย และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่มีต่อ กองทัพเรือ ในการดูแลรักษาทรัพยากรของประเทศไทย ณ หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด

หน่วยปฏิบัติการเกาะกูด มีภารกิจ ในการป้องกันการคุกคามทางทะเล และทางอากาศ คุ้มครองเรือประมงไทย สนับสนุนการปฏิบัติการของเรือและกำลังทางบก ปฏิบัติการจิตวิทยา และประชาสัมพันธ์กับส่วนราชการ และราษฎรในพื้นที่ เพื่อความสัมพันธ์อันดีและง่ายในการประสานการปฏิบัติงานร่วมกัน 

อัยการ เผย!! ‘ทนายตั้ม’ โดน ‘ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ’ ชี้!! ข้อหานี้ หาดูได้ยาก เพราะอยู่ในกฎหมายฟอกเงิน

(10 พ.ย. 67) ความคืบหน้ากรณีที่มีการยื่นคำร้องฝากขัง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง, ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), มาตรา 5, มาตรา 9 วรรคสอง และมาตรา 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

โดยมีรายงานว่า ในคำร้องฝากขังทนายตั้มได้มีการบรรยายว่า การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 (ทนายตั้ม) เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 อยู่ด้วยนั้น

สำหรับ ‘ความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ’ นั้นแหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด ให้ความเห็นทางกฎหมายว่า คดีของทนายตั้มถือเป็นคดีแรกเท่าที่ตนเคยพบ ซึ่งไม่ค่อยพบว่าที่ผ่านมามีคนเคยถูกแจ้งข้อหาดังกล่าว การดำเนินคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ถือว่าเป็นก้าวย่างที่สำคัญของการนำกฎหมายทั้ง 2 ฉบับมาผสมผสานกัน กล่าวคือ ข้อหาฉ้อโกงเป็นความผิดที่อยู่ในกฎหมายอาญา โดยมีแต่เฉพาะการฉ้อโกงบุคคลทั่วไป มาตรา 341 กับการฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343

โดยคำว่า ‘การฉ้อโกงเป็นปกติธุระ’ จะอยู่ในกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งเป็นมาตรการในการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด และการยึดอายัดทรัพย์สิน

ทั้งนี้ คำว่า ‘เป็นปกติธุระ’ อาจมีความหมายความว่า เป็นบุคคลผู้มีหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการมรดกหรือผู้จัดการทรัพย์สิน แล้วกระทำการฉ้อโกง โดยหลอกลวง แล้วเอาไปซึ่งทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไปจำนวนหลายครั้งหลายครา ‘เป็นอาจิณ’

กรณีที่เกิดขึ้นเป็นข่าวทางสื่อมวลชนในประเด็นที่ทนายความ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลซึ่งลูกความให้ความไว้วางใจมอบหมายให้ทำหน้าที่ในทางกฎหมายเกี่ยวกับคดีความของตน แต่ทนายความดังกล่าวกลับกระทำการผิดหน้าที่ หลอกลวงเอาทรัพย์สินของลูกความไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำการดังกล่าวจึงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย และเป็นการกระทำที่ผิดมรรยาททนายอีกด้วย

การดำเนินคดีกับทนายความในข้อหาดังกล่าวจึงถือว่าเป็นก้าวย่างสำคัญ เป็นปรากฏการณ์ทางกฎหมาย ด้วย ในอันที่จะตัดวงจรอาชญากรรม และบังคับใช้กฎหมาย เพื่อคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมกับสุจริตชนด้วย

หลังจากนี้ก็จะต้องมีการยึดอายัดทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติการฟอกเงินต่อไปอีก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top