Tuesday, 24 June 2025
NEWS FEED

‘Vitalik Buterin’ ผู้ก่อตั้งเหรียญคริปโต Ethereum โผล่โหนรถไฟฟ้าที่ไทย หลังเข้าร่วมงานที่ศูนย์สิริกิติ์

เมื่อวันที่ (13 พ.ย.67 ) เพจ Stocker Day ได้สร้างกระแสฮือฮาบนโลกโซเชียล หลังจากโพสต์ภาพและข้อความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum ซึ่งเป็นหนึ่งในเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาดสูงถึงกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 10 ล้านล้านบาท โดยในโพสต์ระบุว่า มีผู้พบเห็น Vitalik กำลังโดยสารรถไฟฟ้า BTS ในกรุงเทพฯ หลังมาร่วมงาน DevCon 7 ที่ ศูนย์สิริกิติ์ โดยระบุข้อความว่า

“มีคนเจอ Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum อยู่บน BTS ถ้าไม่รู้จักมาก่อน ก็คงไม่รู้นะว่านี่คือ founder ของเหรียญคริปโตมูลค่าตลาดกว่า $300B ติดดินเว่ออ ปล. เสื้อแกก็น่ารักเกินนน”

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ Vitalik Buterin เลือกเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ โดยก่อนหน้านี้ เคยมีภาพของ  Vitalik Buterin ที่มีชาวเน็ตพบเห็นว่า เขากำลังนั่งรอขึ้นรถไฟฟ้า MRT ที่สถานีรถไฟฟ้า MRT King Albert Park ในประเทศสิงคโปร์ 

เป็นที่น่าสังเกตว่า Vitalik Buterin มีวิถีชีวิตและการเดินทางที่เรียบง่าย ซึ่งมักจะมีคนพบเห็นเขาเดินทางโดยใช้ในระบบขนส่งสาธารณะ แม้เขาจะเป็นมหาเศรษฐีอายุน้อยที่มีทรัพย์สินมหาศาล แต่ยังคงมีสไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่หรูหราจนเกินไป

Vitalik Buterin มักสวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นแบบสบาย ๆ ซึ่งทำให้เขาดูเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย เป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของมหาเศรษฐีส่วนใหญ่

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยได้แสดงความเป็นห่วงต่อความปลอดภัยของ Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum โดยกังวลว่า การเดินทางด้วยรถสาธารณะในลักษณะนี้ อาจทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดีได้ หลายคนชี้ว่า หากข้อมูลส่วนตัวหรือทรัพย์สินดิจิทัลของเขาถูกชิงไป เช่น กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) ที่มักใช้เก็บสินทรัพย์คริปโตมูลค่ามหาศาล อาจก่อให้เกิดความเสียหายทั้งส่วนตัวและวงกว้างในโลกคริปโต

พบซากพะยูนถูกตัดหัว ลอยในทะเลภูเก็ต คาดถูกนำไปทำเครื่องรางตามความเชื่อ

โลกออนไลน์แห่แชร์ภาพสุดสะเทือนใจ พบซากพะยูนถูกตัดหัวอยู่บริเวณใกล้ท่าเทียบเรือบ้านบางโรง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต คาดถูกนำไปทำเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ

เมื่อวันที่ (14 พ.ย. 67) มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Theerasak Saksritawee' ได้โพสต์ภาพสุดสะเทือนใจพบซากพะยูนตายลอยขึ้นอืดถูกตัดหัวขาด อยู่บริเวณใกล้ท่าเทียบเรือบ้านบางโรง ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งคาดว่าการตัดหัวพะยูนนั้นต้องการเขี้ยว เพื่อนำไปทำเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ

โดยผู้โพสต์ระบุข้อความว่า "เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว กับซากพะยูนไร้หัว ท่าเรือบางโรง ภูเก็ต (14/11/2024) !!!! ต้องจริงจังเต็มกำลังกับเรื่องนี้แล้วสิ !!!!

ขอความร่วมมือหลายๆ อย่างจากทุก ๆ คน ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องช่วยดูแลพวกเขาให้ปลอดภัยด้วย ใครอยากมาช่วยเป็นอาสาสมัครนักวิทยาศาสตร์พลเรือนก็สามารถติดต่อมาร่วมงานกันได้ และตอนนี้ถ้าเป็นไปได้อยากให้ลดผลกระทบต่อพวกเขาให้มากที่สุดเพราะสถานการณ์ถึงขั้นวิกฤติ จึงอยากขอความร่วมมือละเว้นการลอยกระทงลงทะเล"

อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตแห่คอมเมนต์สุดเศร้ากันเป็นจำนวนมาก เช่น ปกติไม่แช่งใครเลย แต่อันนี้ขอสาปแช่งคนทำ สิ่งใดทำลงไปขอให้ได้รับผลกรรมนั้นเหมือนกัน, สงสารน้องจับใจค่ะ ความเชื่อบ้าๆ บอๆ แต่ทำลายอีกชีวิต, ความเชื่อที่งมงายและโง่เขลา มาเบียดเบียนสัตว์ น่าสงสารพะยูนมากค่ะ

หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การต้อนรับคณะสโมสรไลออนส์สากล เข้าเยี่ยมชมศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ  

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.67) นาวาเอก วิวัฒน์ ขวัญสูงเนิน รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การต้อนรับ คณะสโมสรไลออนส์สากลที่นำคณะผู้เข้าร่วมการประชุมไลออนส์สากล ภาคพื้นเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

โดยมีกิจกรรมเข้าฟังบรรยายงานอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ ชมบ่ออนุบาลเต่าทะเล เยี่ยมชมโรงพยาบาลเต่าทะเล ร่วมปล่อยเต่าทะเลคืนสู่ธรรมชาติ ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

มูลนิธินักศึกษาพระปกเกล้าฯ และกลุ่ม SEED Thailand ร่วมหารือ ‘นายกสมาคมมิตรภาพจีน-ไทย’ ถึงความร่วมมือในอนาคต

มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคมและเยาวชน SEED Thailand ให้การต้อนรับนายกสมาคมมิตรภาพจีน-ไทย พร้อมคณะ

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.67) มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม นายกรรณภว์ ธนภรรคภวิน ที่ปรึกษามูลนิธิฯ และ ดร.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วยเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ให้การต้อนรับ Mr. Yang Wanming นายกสมาคมมิตรภาพจีนไทย และคณะ ในโอกาสหารือพูดคุยการดำเนินงานด้านเยาวชนระหว่างประเทศไทยและจีนร่วมกันในอนาคต เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน

ในการนี้ Mr.Yang Wanming ได้กล่าวทักทายผู้บริหารมูลนิธิฯ และตัวแทนเยาวชน SEED Thailand ที่ให้การต้อนรับ ว่า “การทำงานของสมาคมให้ความสำคัญในด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจและการศึกษา แต่หน้าที่หลักที่สำคัญคือการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนในประเทศจีน และต่างประเทศ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนกับต่างประเทศ ต้องมีการดำเนินกิจกรรมร่วมกันให้ต่อเนื่องจึงจะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ เนื่องด้วยเยาวชน SEED Thailand และมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า ได้มีการจัดโครงการศึกษาดูงาน ณ ประเทศจีนอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 2 ปี Mr.Yang Wanming ยืนยันว่ารัฐบาลจีนยินดีให้การสนับสนุนการศึกษาดูงานของเยาวชนไทยอย่างต่อเนื่องทุกปี” 

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม ได้หารือถึงประเด็นการต่อยอดการศึกษาของเยาวชนไทยและจีน โดยเฉพาะการนำองค์ความรู้ของจีน หลักแนวคิดต่าง ๆ มาปลูกฝังเยาวชนให้เกิดการต่อยอดในทุกด้าน นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาของประเทศจีนร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ร่วมมือกันพัฒนาสถานที่การเรียนรู้ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทยอีกด้วย เพราะการศึกษาเป็นเสมือนสิ่งสำคัญที่สุดของเยาวชน ดังนั้นจึงต้องมีการสนับสนุนเยาวชนให้มีการศึกษาในทุกระดับ 

จุดมุ่งหมายของการหารือในวันนี้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ระหว่างเยาวชนไทยและจีนในอนาคต และการที่เยาวชนไทยเดินทางไปศึกษาดูงานในประเทศจีน ทำให้เกิดการเรียนรู้วัฒนธรรมจีนที่ถูกต้อง รู้จักความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกระดับ ปัจจุบันประเทศจีนมีความพร้อมด้านการศึกษา วัฒนธรรม เทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ จีนพร้อมต้อนรับเยาวชนจากเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ในอนาคต และมุ่งหวังว่ามูลนิธินักศึกษาพระปกเกล้าเพื่อสังคมจะร่วมสร้างกิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่างเยาวชนไทยและจีนอย่างต่อเนื่อง โดยทางสมาคมฯ พร้อมให้การสนับสนุน

ทั้งนี้ มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม และเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ระบุถึงความยินดีที่จะร่วมการดำเนินงานสนับสนุนเยาวชนร่วมกับสมาคมจีน-ไทยในอนาคต เยาวชนของทั้ง 2 ประเทศ จะดำเนินการร่วมกันในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ในปีที่จะถึงนี้ และเยาวชนของเครือข่าย SEED Thailand ที่ได้ไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศจีนทั้ง 2 ปีที่ผ่านมา จะนำองค์ความรู้ที่ได้ไปศึกษามาต่อยอดการทำงานเพื่อพัฒนาบ้านเกิด ประเทศชาติของตัวเองต่อไป

สมรสเท่าเทียม ดันท่องเที่ยวไทย GDPโตอีก 0.3%

(15 พ.ย. 67) งานวิจัยจาก อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว ระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทยจะช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ถึง 4 ล้านคนต่อปี และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายใน 2 ปีหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ โดยส่งผลให้ GDP ของไทยเติบโตขึ้น 0.3%

งานวิจัยนี้ ซึ่งจัดทำโดย อโกด้าร่วมกับบริษัท Access Partnership ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายสมรสเพศเดียวกัน ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 22 มกราคม 2568 โดยไทยจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการรับรองกฎหมายนี้ และเป็นประเทศที่สามในเอเชีย รองจากไต้หวันในปี 2562 และเนปาลในปีที่แล้ว กฎหมายดังกล่าวจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว LGBTQIA+ จากทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

รายงานยังคาดการณ์ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กระจายไปยังหลายภาคส่วน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 4 ล้านคนต่อปีใน 2 ปี ซึ่งจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น

เพิ่มรายรับจากการท่องเที่ยวประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยกระจายไปยังหลายภาคส่วน เช่น การจองที่พัก 0.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, การบริการอาหารและเครื่องดื่ม 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, การจับจ่ายซื้อสินค้า 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, การเดินทางภายในประเทศ 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ความบันเทิงและการแพทย์

สนับสนุนการสร้างงานเพิ่มขึ้น 152,000 ตำแหน่ง โดย 76,000 ตำแหน่งจะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอีก 76,000 ตำแหน่งจะกระจายไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ ผลักดัน GDP ของไทยให้เติบโตขึ้น 0.3%

แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมระดับโลกอยู่แล้ว การออกกฎหมายสมรสเท่าเทียมในครั้งนี้จะเพิ่มความน่าสนใจของไทยในสายตานักท่องเที่ยว LGBTQIA+ ที่มองหาจุดหมายที่เปิดกว้างและต้อนรับทุกคน โดยเฉพาะในยุคที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายและเปิดกว้างมากขึ้น

เนื่องจากไทยจะเป็นประเทศที่สามในเอเชียที่มีการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายนี้จะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำหรับคู่รัก LGBTQIA+ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการเฉลิมฉลองการแต่งงานในประเทศที่ยอมรับการสมรสเพศเดียวกัน หลายเมืองในไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านสถานที่สวยงามหรือความพร้อมในการบริการต่าง ๆ กฎหมายนี้จะกระตุ้นการเติบโตในอุตสาหกรรมงานแต่งงานและส่งผลดีต่อธุรกิจต่าง ๆ เช่น โรงแรม บริการจัดเลี้ยง และอุตสาหกรรมบันเทิง

ปิติโชค จุลภมรศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดของอโกด้า และผู้สนับสนุนกลุ่ม Agoda Pride กล่าวว่า “อโกด้าสนับสนุนชาว LGBTQIA+ มาตลอดทั้งในหมู่พนักงานและผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มของเรา ปีนี้เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือและสนับสนุน Bangkok Pride Parade 2024 ด้วยงานวิจัยชิ้นนี้ เราต้องการเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของความหลากหลายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสะท้อนถึงคุณค่าที่เกิดจากการยอมรับความแตกต่างในสังคม”

จากการพูดคุยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมและผู้จัดงาน Bangkok Pride งานวิจัยเผยให้เห็นถึงโอกาสสำคัญที่กฎหมายจะนำมา เช่น งาน WorldPride ที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว LGBTQIA+ ได้มหาศาล

ปิติโชคกล่าวเสริมว่า “การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมถือเป็นก้าวสำคัญของไทย ทั้งในด้านการส่งเสริมสิทธิที่เท่าเทียมและการตอกย้ำภาพลักษณ์ของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่เปิดกว้างและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน” วาดดาว ชุมาพร ประธานและผู้ก่อตั้งบางกอกนฤมิตรไพรด์ กล่าวเสริมว่า “การยอมรับความหลากหลายและการรับรองสิทธิในการสมรสของคู่รักทุกคู่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทผู้นำของไทยในการส่งเสริมความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของมนุษย์”

'ยูเนสโก' ยก ‘สุวรรณภูมิ’ ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2024

(15 พ.ย. 67) 'สุริยะ' ปลื้ม! 'ยูเนสโก' ยกย่อง 'ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ' ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2567 ด้าน 'อาคาร SAT-1' สุดปัง! ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสถาปัตยกรรมสวยที่สุดของโลก โชว์ความโดดเด่นด้านความงาม-ความคิดสร้างสรรค์ ชูอัตลักษณ์ความเป็นไทย ลุ้นประกาศผล 2 ธ.ค.นี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้รับการยกย่องจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ให้ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 (The World’s most beautiful List 2024)

ทั้งนี้ ล่าสุดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังได้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Prix Versailles หมวดหมู่สนามบิน จากคณะกรรมการ The Prix Versailles Selection Committee ซึ่งร่วมกับ UNESCO โดยจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่ UNESCO กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเกณฑ์การให้คะแนนการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในด้านความงาม ทั้งภายนอก และภายในอาคาร ประกอบด้วย ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่ผสมผสานกับบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อม

สำหรับอาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น เป็นอาคารสูง 4 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น มีพื้นที่ 216,000 ตารางเมตร มีประตูทางออกเชื่อมต่อกับหลุมจอดประชิดอาคาร (Contact Gate) จำนวน 28 หลุมจอด ถือว่ามีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบ การสร้างประสบการณ์ให้ผู้โดยสาร รวมทั้งให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนทางวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการถ่ายทอดความวิจิตรของเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ไทย สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ทอท.ยังได้มีการออกแบบที่สวยงาม โดยนำจุดแข็งทางวัฒนธรรมมานำเสนอ ประกอบกับการตกแต่งภายในอาคารเป็นแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมกับศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้กลมกลืนไปกับโครงสร้างอาคารที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และวิถีชีวิต โดยมีผลงานการตกแต่งประติมากรรมชิ้นเอกเป็นช้างคชสาร ตั้งอยู่บริเวณโถงกลางของชั้น 3 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาออก

ขณะเดียวกัน ภายในชั้น 3 ของอาคารฯ ได้รับการออกแบบให้เป็นสวนตกแต่งด้วยสัตว์หิมพานต์ตามคติความเชื่อไทยแต่โบราณ เช่น กินนร กินรี เหมราช และหงสา ส่วนชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาเข้า ได้ออกแบบเป็นสวนสัญจรที่จัดแสดงงานภูมิทัศน์ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมของไทย เช่น หุ่นละครเล็ก หนังใหญ่ หัวโขน และว่าวไทย เป็นต้น

ในส่วนปลายอาคารทั้ง 2 ด้าน คือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ติดตั้งสุวรรณบุษบก และรัตนบุษบก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธปฏิมา ปางมารวิชัย และปางเปิดโลก โดยถอดแบบมาจากวัดผาซ่อนแก้ว เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อสถานที่ ขณะที่ ห้องน้ำ ได้เสนออัตลักษณ์อันงดงามของแต่ละภาค มีภาพจิตรกรรม 4 ภาคของไทย ไปจนถึงประเพณีวัฒนธรรมของไทยมาใช้ออกแบบรูปลักษณ์ภายใน อีกทั้ง สุขภัณฑ์ทั้งหมดยังใช้ระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการประหยัดน้ำอีกด้วย

สำหรับ 6 สนามบินที่เว็บไซต์ www.prix-versailles.com ได้ประกาศ 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 ได้แก่ 1. อาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย 2. อาคารผู้โดยสาร E ท่าอากาศยานนานาชาติโลแกน (Logan International Airport) สหรัฐอเมริกา 3. อาคารผู้โดยสารที่ 2 ท่าอากาศยานชางงี (Changi Airport) ประเทศสิงคโปร์ 4. ท่าอากาศยานนานาชาติซายิด (Zayed International Airport) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5. ท่าอากาศยานนานาชาติเฟลิเป แองเจเลส (Felipe Ángeles International Airport) ประเทศเม็กซิโก และ 6. ท่าอากาศยานนานาชาติแคนซัสซิตี้ (Kansas City International Airport) สหรัฐอเมริกา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขานรับนโยบายรัฐบาล แถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมในช่วงเทศกาลวันลอยกระทง ประจำปี พ.ศ.2567

(15 พ.ย.67) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมในช่วงเทศกาลวันลอยกระทง ประจำปี พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร.ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมแถลง

เนื่องด้วยวันนี้ 15 พฤศจิกายน 2567 เป็นวันลอยกระทง ประจำปี พ.ศ.2567 และรัฐบาลกำหนดแนวทางการจัดงาน “ลอยกระทง วิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นงานเทศกาลที่จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยภาพรวมการจัดงานทั่วประเทศมี 3,592 แห่ง (กรุงเทพมหานคร 121 แห่ง และจังหวัดอื่น ๆ 3,471 แห่ง) แบ่งเป็นพื้นที่การจัดงานขนาดใหญ่จำนวน 74 แห่ง ใช้กำลังตำรวจกว่า 30,000 นาย ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มาตรการป้องกันและบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับพลุ ประทัด และดอกไม้เพลิง มาตรการคุ้มครองเด็ก การรักษาความสงบเรียบร้อย การบริหารจัดการพื้นที่ ตรวจตราท่าน้ำ ท่าเรือต่าง ๆ และมาตรการอำนวยความสะดวกการจราจร ในช่วงวันลอยกระทง โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ห้างสรรพสินค้า สถานีขนส่งต่าง ๆ จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย และระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศร่วมกันกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท ในห้วงวันที่ 8-14 พฤศจิกายน 2567 ผลการดำเนินการ ดังนี้

1. อาชญากรรมทั่วไป 
- ความผิดเกี่ยวกับการพนัน ยาเสพติด คนเข้าเมือง และสถานบริการ : รวมจับกุม 26,392 คดี ผู้ต้องหา 27,284 คน มูลค่าตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินในคดี 61,466,470 บาท ในส่วนคดียาเสพติด สามารถตรวจยึดของกลาง ยาบ้า 62,895,138 เม็ด , ยาไอซ์ 461,292 กรัม , เคตามีน 570,469 กรัม , เฮโรอีน 115.33 กิโลกรัม , ฝิ่น 135 กรัม , ยาอี 1,663 เม็ด , โคเคน 13 กรัม , กัญชา 4.4 กิโลกรัม และน้ำกระท่อม 144,000 มิลลิลิตร 

- ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน : รวมจับกุม 1,446 คดี ผู้ต้องหา 1,405 คน ของกลางอาวุธปืนสงคราม 2 กระบอก อาวุธปืนไม่มีทะเบียน 920 กระบอก อาวุธปืนมีทะเบียน 197 กระบอก วัตถุระเบิด 35 ลูก พลุ/ดอกไม้ไฟ 4,174 ดอก เครื่องกระสุนปืน 6,292 นัด รวมมูลค่า 2,442,231 บาท 

2. อาชญากรรมทางเทคโนโลยี 
- ความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ด้านการเงิน หลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย เผยแพร่ข่าวปลอม ล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก และพนันออนไลน์ : รวมจับกุม 2,362 คดี ผู้ต้องหา 2,350 คน มูลค่าตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินในคดี 18,924,237 บาท

- ความผิดตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 รวมจับกุม 295 คดี ผู้ต้องหา 277 คน มูลค่าตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินในคดี 3,968,083 บาท 
 
3. จับกุมบุคคลตามหมายจับ รวม 3,080 หมายจับ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยันมีความพร้อมในทุกพื้นที่ ติดตามสถานการณ์ และการจัดงานเทศกาลลอยกระทง เข้มงวดกวดขัน ปราบปราม แก้ไขปัญหาอาชญากรรมอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวในการป้องกันอาชญากรรมหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นในช่วงวันลอยกระทง หากต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเบาะแส เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับอาชญากรรมต่าง ๆ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือสายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

'พิพัฒน์' รมว.แรงงาน มอบที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ 'ธนัสถ์' เปิดประชุมนานาชาติ  APOSHO ครั้งที่ 38 หนุนความปลอดภัยอาชีวอนามัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

(15 พ.ย. 67) เวลา 09.00 น.นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการประชุมนานาชาติ Asia Pacific Occupational Safety & Health Organization (APOSHO) ครั้งที่ 38 โดยมี นายประสพชัย ยูวะเวส นายกสมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย) ในพระราชูปถัมภ์ กล่าวรายงาน ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์

นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า งานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศ อีกทั้งยังเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานและการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย โดยการประชุมนานาชาติ APOSHO ครั้งที่ 38 นี้ เป็นเวทีที่สำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเป็นโอกาสอันดีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานของภูมิภาคและประเทศไทย

นอกจากนี้ การประชุมครั้งนี้ยังถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกในการผลักดันนโยบายและแนวปฏิบัติที่ดี ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อประโยชน์ของลูกจ้างและนายจ้างในทุกภาคส่วน ด้วย

นายธนัสถ์ กล่าวต่อว่า ขอขอบคุณคณะผู้จัดงาน และผู้แทนจากทุกประเทศที่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมครั้งนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลการประชุมครั้งนี้ จะนำมาซึ่งความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและแนวทางในการพัฒนาความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง 2 องค์กร คือ สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย) ในพระราชูปถัมภ์ฯ และสมาคมอาชีวอนามัย และความปลอดภัย โดยในปี 2567 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมประจำปีขององค์กร APOSHO เป็นครั้งที่ 3 เพื่อแลกเปลี่ยนและนำเสนอข้อมูลทางวิชาการด้านความปลอดภัย เพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวทางในการพัฒนางานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย ให้กับแรงงานมีความปลอดภัยในการทำงาน 

กมธ.การบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา เข้าร่วมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.67) เวลา 09.30-12.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย โดย พลตำรวจโท ยุทธนา ไทยภักดี ประธานคณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา และกรรมาธิการ ได้เดินทางเพื่อประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นดังต่อไปนี้

​1) นโยบายของกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่เกี่ยวข้องกับอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย รวมทั้งการผังเมือง เพื่อการพัฒนาเมืองและการดำรงรักษาเมืองในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม ตลอดทั้งการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล
​​2) แนวทางการป้องกันและการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนในลักษณะให้คนต่างด้าว กลุ่มชาติพันธุ์ และแรงงานต่างด้าว สวมตัวเป็นคนไทยทำบัตรประจำตัวประชาชน
​3) การดำเนินงานนโยบายการจัดทำสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) ที่อาจมีการจัดทำธุรกิจกาสิโนถูกกฎหมาย

​​4) การดำเนินงานโครงการถมทะเลสร้างเกาะจำนวน 9 เกาะ เพื่อป้องกันน้ำทะเลท่วมกรุงเทพมหานคร
​5) การดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคการออกหลักฐานการถือครอง และการใช้ประโยชน์ที่ดินของประชาชน รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาชาวต่างชาติครอบครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
​6) แนวทางการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและได้มา ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 เพื่อการจัดทำแนวป้องกันปัญหาการเกิดอุทกภัย

​7) แนวทางการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย ที่อาจกระทบต่อภาพรวมของประเทศไทยทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น ปัญหาทุนจีนซื้อที่ดินจัดทำบ้านจัดสรร ปัญหาล้งจีน ประกอบธุรกิจการค้าผลไม้ไทย เป็นต้น โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหาร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวข้างต้น

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการได้แสดงความคิดเห็น ปัญหาอุปสรรค และผลกระทบที่เกี่ยวข้องต่อประชาชน รวมทั้งมีข้อเสนอแนะเพื่อผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งทุกฝ่ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะในส่วนที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการจะติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะได้นำข้อมูลและข้อคิดเห็นต่าง ๆ ที่ได้จากการประชุมร่วมกันไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการต่อไป

วุฒิสภา ร่วมรับชมการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจำปี 2567

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.67) เวลา 19.00 นาฬิกา ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วย นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง และสมาชิกวุฒิสภา ร่วมรับชมการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจำปี 2567 เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน 'พระจักราวตาร' โดยมีนางปัณณิตา สท้านไตรภพ รองเลขาธิการวุฒิสภา รักษาราชการแทนเลขาธิการวุฒิสภา และผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เข้าร่วม โอกาสนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ร่วมรับชมการแสดงดังกล่าว 

โดยหลังจากจบการแสดง ประธาน สภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ให้เกียรติมอบช่อดอกไม้ แก่ผู้กำกับการแสดง ผู้ประพันธ์บท ครูผู้ฝึกซ้อมการแสดง นักดนตรี นักพากย์ และนักแสดงในชุดการแสดงดังกล่าวด้วย

โขนรามเกียรติ์ ตอน 'พระจักราวตาร' เป็นตอนที่แสดงกฤษฎาภินิหารของพระจักราหรือพระนารายณ์ ที่อวตารลงมาเป็นพระราม โอรสของท้าวทศรถ กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา เพื่อปราบฝ่ายอธรรม เปรียบประดุจพระราชวงศ์จักรีที่ผดุงความสุขความสงบให้กับพสกนิกรชาวไทยตลอดมา มีกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 7 พฤศจิกายน - 8 ธันวาคม 2567 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ที่ทรงส่งเสริมและสนับสนุนการแสดงโขน เพื่อสืบทอด ธำรงนาฏศิลป์อันทรงคุณค่าของชาติให้คงอยู่คู่สังคมไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top