Thursday, 19 June 2025
NEWS FEED

ปะทะเดือดหน้า สภ.เมืองขอนแก่น ผู้ชุมนุมถูกจับ 3 คน หลังม็อบราษฎร โขง ชี มูล เคลื่อนพลจากสวนสาธารณะประตูเมือง ไปยัง สภ.เมืองขอนแก่น ขอพบผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เรียกร้องให้ยกเลิกการดำเนินคดีมาตรา 112 กับแกนนำคณะราษฎร

เมื่อเวลา 00.00 น. วันที่ 21 ก.พ.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากลุ่มผู้ชุมนุมในชื่อกลุ่มราษฎร โขง ชี มูล นำโดย นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ , นายวชิรวิทย์ เทศศรีเมือง หรือ เซฟ และ นายภาณุพงษ์ ศรีธนาณุวัฒน์ หรือ ไนซ์ ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมเดินจากสวนสาธารณะประตูเมืองขอนแก่น มายังหน้า สภ.เมืองขอนแก่น เพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิกการดำเนินคดีมาตรา 112 กับนายพริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือเพนกวิน และ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน 2 แกนนำกลุ่มราษฎร ที่ถูกดำเนินคดีในพื้นที่รับผิดชอบของ สภ.เมืองขอนแก่น

โดยทันทีที่กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนพลมาถึงยังหน้า สภ.เมืองขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวขชุดปราบจลาจลและควบคุมฝูงชน ได้ตั้งแนวโล่กำบังที่บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้าไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้เข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่นได้ โดยมี พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น นำเจ้าหน้าที่ออกมาเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยทางกลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันว่าจะขอพบกับ พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสภ ผบช.ภ. 4 เพื่อยืนหนังสือเรียกร้องให้ยกเลิกการดำเนินคดีในมาตรา 112 กับแกนนำคณะราษฎรทั้ง 2 คน

ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจและพยายามฝ่าแนวกำแพงโล่ของเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น ทำให้เกิดการปะทะกันขึ้นอีกครั้งแต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ถอยมาตั้งหลักพร้อมทั้งนำอาหารสุนัขชนิดเม็ดมาโปรยใส่เจ้าหน้าที่ที่ตรึงกำลังอยู่ ทางเข้า สภ.เมืองขอนแก่น

และพยายามที่จะฝ่าเข้าไปอีกครั้งครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุม 3 คนก่อนที่จะปล่อยตัวออกมา แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปล่อยตัวออกมา โดยการชุมนุมหน้า สภ.เมืองขอนแก่น ผ่านไปประมาณเกือบ 2 ชม.ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาเจรจากับแกนนำอีกครั้ง โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมถอยให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้เข้ามาภายในสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น แต่ต้องอยู่บริเวณด้านหน้าเท่านั้น

ในเวลาต่อมาได้มีผู้แทน ผบช.ภ.4 เดินทางมารับหนังสือเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยนายอรรถพล ได้ยื่นคำขาดขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยกเลิกการดำเนินคดีมาตรา 112 กับนายพริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือเพนกวิน และ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน 2 แกนนำกลุ่มราษฎร ที่ถูกดำเนินคดีในพื้นที่ สภ.เมืองขอนแก่นก่อนหน้านี้ และห้ามดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามในวันนี้ที่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมมีการจัดกิจกรรมขึ้น และขอทราบผลภายใน 5 วัน หากไม่ยกเลิกจะกลับมารวมตัวที่ สภ.เมืองขอนแก่นอีกครั้ง และหากพื้นที่ใดมีการแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมก็จะเดินทางไปชุมนุมที่ สภ.นั้น ๆ ทันที

โดยที่ผู้แทน ผบช.ภ. 4 กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า จะรับหนังสือไว้และจะส่งต่อให้กับ ผบช.ภ. 4 ได้พิจารณาและสั่งการตามขั้นตอนต่อไป ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะแยกย้ายและเดินทางกลับไปปักหลักชุมนุมต่อภายในสวนสาธารณะประตูเมือง ริม ถ.มิตรภาพ เขตเทศบาลนครขอนแก่น

 

อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ‘ทิพานัน ศิริชนะ’ ซัด ‘ปิยบุตร’ หยุดเป็น ‘ทะแนะ’ ให้ ก้าวไกล - ราษฎร ชี้ ทำตัวเป็นนักกฎหมายศรีธนญชัยดิ้นหาแต่ ‘รูลอด’ ช่องกฎหมาย

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่สภาฯลงมติไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป พร้อมด้วยรัฐมนตรีรวม10คน ว่า เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ สามารถชี้แจงได้กระจ่างชัดทุกประเด็น ทำลายน้ำหนักของฝ่ายค้าน เหนืออื่นใดคือความมุ่งมั่นและจริงใจในการบริหารประเทศ โดยปราศจากผลประโยชน์ ใดๆ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีทุกคนที่มีความตั้งใจในการทำหน้าที่ ประกอบกับข้อมูลของฝ่ายค้านที่ไม่น่าเชื่อถือ

ดังที่ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจความเห็นประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 98.7 ระบุ ว่าการอภิปรายพูดเรื่องเดิม ๆ รู้อยู่แล้ว เอาข้อมูลจากสื่อมาพูด ขาดหลักฐานใหม่ จึงไม่แปลกที่ร้อยละ 97.5 ระบุ รู้สึกผิดหวังต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ซึ่งเท่ากับเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลกลายเป็นจุดอ่อนของฝ่ายค้าน กลายเป็นเวทีที่ประจานตนเอง ให้ประชาชนไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านในการทำหน้าที่ต่อไป

“ในขณะที่รัฐบาลหลังผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ประชาชนเชื่อมั่นและอยู่ยาวจนครบเทอม ซึ่งนับจากนี้จะได้ตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป” น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สิ่งน่าผิดหวังที่สุด คือความพยายามพูดพาดพิงสถาบันในการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่จำเป็น และไม่เกิดประโยชน์ต่อการบริหารประเทศ ซึ่งประชาชนรู้เท่าทัน แม้แต่ส.ส.ของพรรคก้าวไกลเอง ก็ยังแสดงออกด้วยการลงมติสวนทางกับพรรคถึง 4 คน สะท้อนถึงการต่อต้านกรณีดังกล่าว แต่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กลับตะแบงอ้างว่า "การอภิปรายพูดถึงบุคคลภายนอกในสภาผู้แทนราษฎรกระทำได้" โดยยกรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรค 3 และข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 39 ที่ให้บุคคลภายนอกผู้เสียหายมีสิทธิขอเข้ามาชี้แจงได้ภายใน 3 เดือน

และมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ มาอ้าง โดยพยายามหา "รูลอด" ช่องกฎหมาย แบบนักกฎหมาย "ศรีธนญชัย" เพราะที่ยกมาอ้างนั้นเป็นเพียงมาตรการเยียวยาความเสียหายเบื้องต้นของบุคคลภายนอกที่ถูกละเมิดเท่านั้น ไม่ได้หมายความตามที่นายปิยบุตรตีความเข้าข้างตัวเอง

ใจความสำคัญของเอกสิทธิ์ ส.ส. ในเรื่องนี้นั้น รัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรค 2 บัญญัติชัดเจนว่า “เอกสิทธิ์ตามวรรคหนึ่งไม่คุ้มครองสมาชิกผู้กล่าวถ้อยคำในการประชุมที่มีการถ่ายทอดฯ ปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกล่าวถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น” และรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรค 3 บัญญัติชัดเจนว่า “ทั้งนี้ โดยไม่กระทบต่อสิทธิของบุคคลในการฟ้องคดีต่อศาล”

และข้อบังคับการประชุมข้อที่ 69 ที่กำหนดว่า ’ห้ามผู้อภิปรายแสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ ใส่ร้าย หรือเสียดสีบุคคลใด และห้ามกล่าวถึงพระมหากษัตริย์หรือออกชื่อสมาชิกหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น’ ฉะนั้น ผู้อภิปรายย่อมตระหนักดีว่า การอภิปรายมีการถ่ายทอดทางวิทยุและโทรทัศน์รัฐสภาอยู่แล้ว จึงไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองให้พูดพาดพิงถึงบุคคลภายนอกและพาดพิงสถาบันฯ โดยไม่มีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 และกฎหมายอื่นได้

ฉะนั้นไม่ว่าจะในกฎหมายแม่บท คือรัฐธรรมนูญ หรือข้อบังคับการประชุมก็ไม่มีข้อไหนเปิดช่องให้ทำได้ตามที่นายปิยบุตรพยายามบิดเบือนแต่อย่างใด ซึ่งนายปิยบุตรเองก็คงทราบดีว่านำข้ออ้างดังกล่าวไปอ้างในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่เห็นนายปิยบุตริเสนอตัวเป็นทนายแก้ต่างในคดีมาตรา112 ให้แกนนำม็อบราษฎรเลย เพราะรู้ดีว่าอย่างไรก็ไม่รอด ดังนั้นขอให้นายปิยบุตรหยุดทำตัวเป็น “ทะแนะ” พูดบิดเบือนกฎหมายหลอกประชาชน

พรรคก้าวไกล จ่อลงโทษ 4 ส.ส. งูเห่า ยกมือโหวตให้ ‘อนุทิน’ เล็งไม่ส่งลงสมัคร ส.ส. ในครั้งหน้า, งดเข้าร่วมกิจกรรมพรรค และตัดสิทธิในสภาที่พึงมีในนามพรรค แต่ยังไม่ขับออกจากพรรค เหตุไม่อยากเพิ่มเสียงให้ฝั่งรัฐบาล

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี ส.ส.ของพรรคโหวตไว้วางใจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า กรณีที่ 4 ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้แก่ 1.) คารม พลพรกลาง 2.) พีรเดช คำสมุทร 3.) เอกภพ เพียรพิเศษ และ 4.) ขวัญเลิศ พานิชมาท ลงมติไว้วางใจให้รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยนั้น พรรคก้าวไกลต้องขอโทษสมาชิกพรรคและประชาชนที่สนับสนุนพรรคทุกคนครับ

และพรรคจะให้คณะกรรมการวินัยพิจารณาลงโทษต่อไป เช่น ไม่ส่งลงสมัคร ส.ส. ในครั้งหน้า, งดเข้าร่วมกิจกรรมพรรค, และตัดสิทธิในสภาที่พึงมีในนามพรรค

ส่วนเหตุผลที่ไม่ไล่ออกจากพรรคเพราะเราไม่ต้องเติมเสียงให้รัฐบาลอย่างเป็นทางการอย่างที่พวกเขาต้องการ

และตั้งแต่เดือนมีนาคม พรรคก้าวไกลจะประกาศรับเลือดใหม่เป็นผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศ”

รัฐบาล ประกาศเดินหน้า ผลักดันกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ - สร้างรายได้ให้เกษตรกร ย้ำ ทุกครัวเรือนปลูกได้ แต่ต้องขออนุญาต อย. และสาธารณสุขจังหวัด ยื่นขอภายใต้วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้กัญชาและกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร จนนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายและออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท5 พ.ศ. 2563 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา กำหนดให้ส่วนของพืชกัญชาและกัญชง เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้ปลูก ผลิต หรือสกัดในประเทศไทย ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษนั้น ปรากฏว่ามีประชาชนทั้งเกษตรกร และผู้ประกอบการแขนงต่างๆ ให้ความสนใจขอรับคำแนะนำมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการอนุญาตเป็นจำนวนมาก

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลย้ำว่าประชาชนทุกครัวเรือนมีสิทธิปลูกกัญชาได้เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นั่นคือ ทั้งการปลูก สกัด และผลิต จะต้องขออนุญาตจาก อย. ตามพ.ร.บ.ยาเสพติด ฉบับที่ 7 ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่จะขออนุญาตต้องเป็นหน่วยงานรัฐ สถาบันอุดมศึกษา วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ เภสัชกร แพทย์แผนไทย ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์จะต้องร่วมกับหน่วยงานรัฐเพื่อขออนุญาต ซึ่งการยื่นคำขออนุญาตปลูกนั้น สามารถยื่น ณ สถานที่ปลูกตั้งอยู่ โดยหากอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้ยื่นที่ อย. หากอยู่ต่างจังหวัดให้ยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)

“ประชาชนมีสิทธิ์ปลูกกัญชาได้ผ่านการรวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชนและร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ เช่นร่วมกับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) เพื่อขออนุญาตปลูกกัญชาโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งเวลานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ผลักดันให้เริ่มความร่วมมือรูปแบบนี้แล้ว ใน 46 จังหวัด ครอบคลุมประชาชนประมาณ 2,500 ครัวเรือน รพ.สต. 251 แห่ง ปลูกกัญชาไปแล้ว 15,000 ต้น โดยรัฐบาลคาดหวังว่าตั้งแต่นี้ไปทั้งกัญชาและกัญชงจะเป็นอีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจหลัก ที่เป็นทางเลือกการสร้างรายได้และสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกร และเป็นพื้นฐานสำคัญของการผลิตสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอนาคต” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนของกัญชาและกัญชงที่ไม่จัดเป็นยาเสพติดซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้นั้น ได้แก่ เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน และราก ใบซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออล (CBD) เป็นส่วนประกอบ และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ไม่เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือสารสกัดจากเมล็ดกัญชง ซึ่งแต่ละส่วนสามารถใช้ประโยชน์ทั้งทางการแพทย์ เช่นใช้ในตำรับยาแผนไทย ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อุตสาหกรรมยา อาหาร เครื่องสำอางตลอดจน เป็นเส้นใยใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

ในแง่ของผู้สามารถใช้ประโยชน์นั้น ไม่ได้มีเพียงผู้ประกอบการเท่านั้นที่สามารถนำส่วนของกัญชา และกัญชงไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ แต่ประชาชนทั่วไปก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่นการนำไปประกอบอาหารในครัวเรือน หรือประกอบอาหารและเครื่องดื่มเพื่อขายในร้านอาหาร เพียงแต่ต้องเป็นผลผลิตจากผู้ที่ได้รับอนุญาตปลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถระบุที่มาของส่วนกัญชาหรือกัญชงได้ ผู้สนใจสามารถตรวจสอบผู้ได้รับอนุญาตปลูกจากเว็บไซต์กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

น.ส. ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อสร้างความเข้าใจของสังคมต่อพืชกัญชาและกัญชง โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนในธุรกิจนี้ ให้เข้าใจถึงข้อกฎหมายและการสนับสนุนของภาครัฐ ในวันที่ 22 ก.พ. 2564 สถาบันกัญชาทางการแพทย์ จะจัดงาน ก้าวต่อไป กัญชา กัญชง สู่พืชสมุนไพรเศรษฐกิจ ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี เวลา 8.00 - 14.00 น.

โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข จะเป็นประธานในงาน เพื่อให้นโยบายกับผู้บริหารและข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การขับเคลื่อนการส่งเสริมกัญชาและกัญชง แต่ละหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย

สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจการซักฟอก มองจุดเด่นภาพรวมอภิปรายของฝ่ายค้าน จุดด้อยประท้วงบ่อย ขณะที่ส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลให้คะแนนแค่ 5.01 เต็มสิบ ส่วนฝ่ายค้านได้ 6.90 มองหลังจบอภิปรายครั้งนี้การเมืองไทยยังเหมือนเดิม

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศเฉพาะผู้ที่สนใจติดตามการอภิปราย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,712 คน ระหว่างวันที่ 17 - 20 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่า ส่วนใหญ่ติดตามผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดียมากที่สุด ร้อยละ 43.81 มองจุดเด่นของการอภิปราย คือ ภาพรวมการซักฟอกของฝ่ายค้าน ร้อยละ 52.64 จุดด้อย คือ การประท้วงบ่อย ทำให้เสียเวลา ร้อยละ 71.26

หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นคาดว่าการเมืองไทยจะเหมือนเดิม ร้อยละ 55.40 และไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล ร้อยละ 43.25 ภาพรวมให้คะแนนฝ่ายค้าน 6.90 คะแนน ให้คะแนนฝ่ายรัฐบาล 5.01 คะแนน

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ 2 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ประชาชนให้คะแนนฝ่ายค้านมากกว่าฝ่ายรัฐบาล เพราะเห็นว่าภาพรวมทำงานได้ดี มีเนื้อหาน่าสนใจ เตรียมข้อมูลเชิงลึกมาอภิปรายให้เห็นภาพ โดยมองว่าหลังจบอภิปรายครั้งนี้สถานการณ์การเมืองไทยก็น่าจะยังเหมือนเดิม และที่สำคัญประชาชนนั้นรู้สึก “ไม่เชื่อมั่น” ต่อรัฐบาล ถึงแม้ในสภา 10 รัฐมนตรีจะได้รับการไว้วางใจก็ตาม

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดังนภสร ณ ป้อมเพชร หลักสูตรรัฐศาสตร์ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือ มาตรการหรือเครื่องมืออย่างหนึ่งในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ การตัดสินใจ รวมไปถึงความโปร่งใสของรัฐบาล ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของฝ่ายนิติบัญญัติในการคานอำนาจ ของรัฐบาล และยังเป็นการขับเคลื่อนกลไกทางการเมืองให้เป็นไปตามแนวทางในระบอบประชาธิปไตย

ทั้งนี้ ความสำคัญของการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีมากกว่าการมองเพียง “ผลโหวต” เนื่องจากผลนั้นอาจเกิดจากวิถีทางการเมือง เช่น การที่รัฐบาลมีฐานเสียงมากกว่า ฝ่ายค้านมีหลักฐานไม่เพียงพอ หรือด้วยเหตุอื่นใดก็ตาม

หากแต่ “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” มีความสำคัญในการที่จะสามารถเป็นต้นแบบของวัฒนธรรมการเมืองที่ดี นั่นคือ การทำหน้าที่ในการใช้อำนาจของประชาชนในการอภิปรายและชี้แจงด้วยวุฒิภาวะของผู้นำทางการเมือง การนำประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง มาอภิปราย การใช้หลักฐานข้อมูลที่ถูกต้องเชื่อถือได้ การเชื่อมต่อการตรวจสอบกับภาคประชาชน เหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะก่อให้เกิดกลไกในการสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้แก่สังคมไทยอย่างแท้จริง

ดอกเหลืองอินเดีย บริเวณเกาะกลางถนนอำเภอท่าวังผาบานเหลืองอร่ามทั้งเส้น ด้านนักท่องเที่ยวแห่เก็บภาพเป็นที่ระลึก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต้นเหลืองอินเดียมากกว่า 300 ต้น ที่ปลูกบริเวณเกาะกลางถนน ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 ช่วงอำเภอท่าวังผากำลังออกดอกเบ่งบานเหลืองสะพรั่ง มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ทราบข่าวมาถ่ายภาพแล้วโพสต์ - แชร์ภาพ ในโลกออนไลน์

จึงลงพื้นที่ จากเกาะกลางถนนด้านหน้าตลาดสดเทศบาลท่าวังผาไปตามถนนสาย 101 หรือ น่าน - ทุ่งช้าง พบต้นเหลืองอินเดียมากกว่า 300 ต้นเรียงรายแถวคู่ยาวเหยียดระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร กำลังออกดอกเหลืองอร่ามเบ่งบานสะพรั่งสวยงามเต็มต้น ท่ามกลางนักท่องเที่ยวจากใกล้-ไกล พากันมาถ่ายภาพความงดงามไว้ก่อนดอกไม้ร่วงโรย ดอกเหลืองออกดอกปีละ 1 -2 ครั้ง ๆ ละ 4 - 5 วัน ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ ต้นเดือนมีนาคม แต่ปีนี้ออกเร็ว ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาชมความงามและบันทึกภาพ จำนวนมาก จึงขอเชิญชวนมาชมความงดงามก่อนดอกร่วงโรย

สำหรับเหลืองอินเดีย มีชื่อวิทยาศาสตร์: Handroanthus chrysanthus เป็นไม้ประดับในวงศ์แคหางค่าง เป็นต้นไม้ประจำชาติเวเนซุเอลา มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้

เหลืองอินเดียเป็นไม้ต้นผลัดใบสูง 5 - 9 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ประกอบด้วยใบย่อยรูปรีแกมขอบขนาน 5 ใบ ปลายใบเรียวแหลมเป็นติ่งสั้น ๆ โคนใบมน ดอกออกเป็นช่อสีเหลือง ช่อละ 3 - 10 ดอก กลีบเลี้ยงรูปถ้วยสีน้ำตาลมีขน กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 4 อัน ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน ผลเป็นฝักยาว 10 - 15 เซนติเมตร


ปฏิญญา เรือนงาม รายงาน

พลังประชารัฐเตรียมลงดาบ 7 ส.ส. ฝืนแนวทางพรรค งดออกเสียงโหวต ‘ศักดิ์สยาม’ ส่วนข่าวลือคนในพรรคไม่พอใจ ‘ธรรมนัส’ คาดแค่หวังเสี้ยมก่อความขัดแย้ง

แหล่งข่าวจากกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า จากผลคะแนนการลงมติของ ส.ส.ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ทางพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เรียกประชุมกรรมการบริหารพรรค ในวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อประเมินผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจและนำมาพิจารณาในภาพรวม

ทั้งนี้ประเด็นสำคัญในเรื่องของการโหวตลงมติต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ พบว่ามี ส.ส. จำนวน 7 คน ที่ไม่ปฏิบัติตามแนวทางของพรรคที่วางไว้ โดย "งดออกเสียง" ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในส่วนของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมดังนั้นในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค จะพิจารณามาตรการลงโทษด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค

นอกจากนี้ที่มีรายงานข่าวว่าสมาชิกพรรคหลายคนไม่สบายใจกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้คะแนนโหวตไว้วางใจมากกว่านายกรัฐมนตรีนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งผู้ใหญ่ในพรรครู้สึกไม่สบายใจและข้องใจที่มีข่าวแบบนี้ออกมา และไม่พอใจอย่างยิ่งต่อผู้ที่ให้ข่าวเช่นนี้ ถือเป็นการเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งภายใน ทั้งที่มันไม่เป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้น


ที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9640000017042

'รุุ้ง' ออกตัว​ ไม่มีการ์ดคนไหนพกระเบิดปิงปองมาที่ชุมนุม​ มั่นใจชุมนุมหน้าสภาฯ วันนี้ยึดสันติ

น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำม็อบคณะราษฏร โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊กระบุว่า...

ด่วน! มีคนปล่อยข่าวเท็จว่าแนวร่วมมธ. และ We Volunteers จะนำระเบิดปิงปองมา 40 ลูก เพื่อสร้างภาพความรุนแรงในม็อบ

เราขอยืนยันตรงนี้ว่า ไม่จริง และไม่มีทางเป็นไปได้ พวกเราไม่สนับสนุนความรุนแรงทุกรูปแบบ และเรายึดถือแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด

และขอความร่วมมือจากทุกคนมา ณ ที่นี้ว่ารบกวนไม่พก/นำอาวุธทุกชนิดมาที่ม็อบอย่างเด็ดขาดนะคะ เราต้องการสร้างสังคมที่เป็นมิตรต่อกัน หาใช่การรบกันไม่

และขอให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา และคอยห้ามปรามกันด้วยหากมีใครที่พยายามจะสร้างความรุนแรงในม็อบ

สำหรับหัวข้อที่จะเน้นในวันนี้​ คาดว่าจะเกี่ยวกับการปราศรัย​ ที่สุดท้ายแล้วผลการอภิปรายในสภาก็ไม่สามารถตอบโจทย์ และแก้ปัญหาอะไรให้ประชาชนได้ ซึ่งการที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหว ก็เป็นเพราะเหตุนี้

ทั้งนี้​ รุ้ง​ ยังเผยอีกว่า​ คาดว่าผู้ชุมนุมจะเดินทางมาเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม​ ส่วนตัวอยากให้จบการชุมนุมในเวลา​ 21.30 น. เพราะค่าบริการสาธารณะในบริเวณนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทางของประชาชน

ส่วนการปิดถนน จะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งจากจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุม ขณะที่เวทีอื่นๆ​ ซึ่งมีการประกาศนัดรวมมวลชนต่างๆ ตน​ ก็เพิ่งทราบ แต่ตนเองจะเป็นหลักอยู่ที่หน้ารัฐสภา


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/221675

https://www.nationtv.tv/main/content/378816462

'มาดามเดียร์' แจงชัด!! งดออกเสียง 'ศักดิ์สยาม'​ เพราะไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ปมเปลี่ยนเงื่อนไข (TOR) และล้มประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม พร้อมทั้งไม่ปกป้องและเรียกคืนที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย เขากระโดง จ.บุรีรัมย์

'มาดามเดียร์ - วทันยา วงษ์โอภาสี'​ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี'​ ว่า...

การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร 'กลุ่มดาวฤกษ์'​ ใช้สิทธิ 'งดออกเสียง'​ ในการลงคะแนน ญัตติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคลกับรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่า ตลอดการอภิปรายและการชี้แจง 4 วัน (16 - 19 กพ.) ที่ผ่านมา ไม่พบคำชี้แจงที่ชัดเจนเพียงพอ ในการตอบคำอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน

ทำให้สังคมตั้งข้อกังขา และข้อสงสัยใน 2 ประเด็นหลัก ที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน กล่าวคือ เรื่องการเปลี่ยน เงื่อนไข (TOR) และการล้มการประมูล โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และข้ออภิปรายเรื่องการไม่ปกป้องหรือเรียกคืนที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ในพื้นที่ เขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์

ทั้ง 2 ประเด็นที่ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน เป็นสองประเด็นที่ สองรัฐวิสาหกิจอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมโดยตรง คือ รฟท. และ รฟม.

ส.ส. ในกลุ่มดาวฤกษ์ ได้พยายามอย่างที่สุดในการปฏิบัติตามมติพรรค ด้วยการไม่ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ

อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องปฏิบัติตามจิตวิญญาณ ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ด้วยการ 'งดออกเสียง'​ ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากการลงมติครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใด ส.ส. ในกลุ่มทั้งหมด พร้อมน้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชน อย่างดีที่สุดแล้ว

สำหรับ​ ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์ นั้น​ มีอยู่​ 6 คน ได้แก่

1.) น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ

2.) นายศิริพงษ์ รัสมี ส.ส.เขตหนองจอก

3.) นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.เขตคลองเตย-วัฒนา

4.) น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.เขตราชเทวี-พญาไท-จตุจักร

5.) น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ ส.ส.เขตบางกะปิ-วังทองหลาง

6.) น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.เขตดุสิต-บางซื่อ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top