Saturday, 21 June 2025
NEWS FEED

เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน (จ.สุราษฎร์ธานี) เปิดใช้ศาลาวัด ตั้ง 'รพ.สนาม'

จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ซึ่งหลาย ๆ โรงพยาบาลตอนนี้ กำลังประสบกับปัญหาเตียงเต็ม

นั่นจึงทำให้เกิดการดัดแปลงสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามมากขึ้น

ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้เผยภาพ โรงพยาบาลสนาม ซึ่งใช้พื้นที่ศาลาวัดมาตั้งเตียงผู้ป่วย โดยสถานที่ดังกล่าว อยู่บนเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยระบุข้อความไว้ว่า...

"ขอขอบพระคุณ ท่านเจ้าอาวาสวัด อัมพวัน ที่เอื้อเฟื้อ สถานที่ ให้จัด โรงพยาบาลสนาม"

ทั้งนี้หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้มีชาวเน็ตจำนวนมากต่างพากันเข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่บอกว่า สาธุ, บุญรักษา พระคุ้มครอง


ที่มา: https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/145798

ภาพ : มีรูนะ ซัง : https://www.facebook.com/sangclinic

วันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมามีเอกสารภายในแจ้งไปยังเขตศุลกากรเมียวดีว่า ระงับการนำเข้าสินค้าไทย 5 กลุ่ม

วันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมามีเอกสารภายในแจ้งไปยังเขตศุลกากรเมียวดีว่า ระงับการนำเข้าสินค้าไทย 5 กลุ่มได้แก่ น้ำอัดลม ชาและกาแฟปรุงสำเร็จ กาแฟสำเร็จรูป นมจืดและนมข้น ผ่านชายแดนแม่สอด-เมียวดีชั่วคราว

โดยให้นำเข้าผ่านทางทะเลแทน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป


ที่มา: AYA IRRAWADEE

อีกความภาคภูมิใจของประเทศไทย หลังเพจ JU - JITSU THAI ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ 'เพชรดา เคซี ตัน' สาวสัญชาติไทยที่คว้าเหรียญทองในการแข่งขัน Abu Dhabi World Professional Jiu-Jitsu 2021

กลายเป็นอีกความภาคภูมิใจของประเทศไทย หลังเพจ JU - JITSU THAI ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ 'เพชรดา เคซี ตัน' สาวสัญชาติไทยที่คว้าเหรียญทองในการแข่งขัน Abu Dhabi World Professional Jiu-Jitsu 2021 ระดับสายม่วงรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม ในวันที่ 8 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา และยังคว้าเหรียญทองในรายการ Abu dhabi Grandslam 2021 ระดับสายม่วงรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม

โดยทั้งสองรายการทำการแข่งขัน ณ เมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นรายการยิวยิตสูระดับโลก

'เพชรดา เคซี ตัน' ชื่อเดิม 'เพชรดา กกฝ้าย' เกิดที่เมืองไทย จบการศึกษา ระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรังสิต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

สำหรับเส้นทางชีวิตของเธอก่อนจะคว้าแชมป์ยิวยิตสูระดับโลกได้นั้น ดูน่าสนใจอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้เธอทำงานเป็นสถาปนิกในบริษัทชั้นนำในประเทศไทย (Origin Properly)

แต่เธอได้ตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อไล่ตามความฝันนี้ โดยในปี 2019 เธอเดินทางไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา และบราซิล เพื่อฝึกฝนอย่างหนัก หวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถคว้าเหรียญทองให้กับประเทศไทยกับกีฬาประเภทนี้

และวันนี้เธอทำได้แล้ว!!

ติดตามผลงานของเธอได้ใน

Instagram : kacieingi


ที่มา: https://www.facebook.com/262984937235819/posts/1694994830701482/

เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ภูหินกอง จ.หนองบัวลำภู สร้างกิโยตินตัดคอตัวเองเสียชีวิต เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เพราะเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้ได้เป็นพระปักเจกพระพุทธเจ้าในโลกหน้า

ทางผู้สื่อข่าวได้ทำการเดินทางเข้าพบ 'พระราชธรรมนิเทศ' หรือ 'พระพยอม กัลยาโน' เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เพื่อทำความเข้าใจถึงกรณีดังกล่าว...

โดยพระพยอม ได้เปิดเผยว่า ไม่มีคำว่าตัดหัวถวายเป็นบารมี ถ้าตัดกิเลสตัดทุกข์ ตัดความเห็นผิด ก็ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าตรัส เเละเรื่องการค่าตัวตายไม่ใช่มีในยุคนี้ ยุคก่อน ๆ ก็มี

พุทธเจ้าสอนให้ละสังขาร ละความยึดมั่นในสังขาร แต่ 'ตัดคอ' ตัดกิเลสตัดทุกข์ คือ คนละเรื่องกัน อย่าเอามาปนกัน ถ้าปนกันแล้วก็เป็นอีกลัทธินึง

ถ้าถามว่า การทำเเบบนี้เป็นพุทธบูชาไหม บูชามี 2 อย่าง 'อมิสบูชา' กับ 'ปฏิบัติบูชา' ถ้าเอาหัวไปบูชาน่าจะเข้าข้อ อมิสบูชา แต่ถ้าปฏิบัติบูชาอย่างหลวงปู่มั่นเอาชีวิตเข้าแรก ปฏิบัติให้ตายแล้วได้เป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการปฏิบัติบูชา

อย่างนี้เป็นการดูถูกพระพุทธเจ้าหรือไม่ที่นำหัวคนมาถวาย เพราะพระพุทธเจ้าไม่มีทางรับหัวคน ถ้ามีใครตัดคอลูกตัดคอเมียมาถวายพระพยอม ก็รับไม่ได้ เเละไม่รับเด็ดขาด เพราะเป็นหัวคน ชีวิตคนทั้งคน

พระพุทธเจ้าไม่ใช่ไสยเวทไสยศาสตร์ ที่จะนำหัวคนมาปลุกเสก พระพุทธเจ้ารับปัจจัย 4 อาหาร, เครื่องนุ่งห่ม, เสื้อผ้า, กุฏิที่อยู่อาศัย, ยารักษาโรค ไม่เห็นมีว่าเอาหัวคนเป็นปัจจัยที่ 5-6

อยากจะฝากสาวกคนที่เลื่อมใสศรัทธา-ความเชื่อ การเชื่อครูบาอาจารย์ เราจะเชื่อได้ แต่ไม่ใช่การเชื่อทางสอนที่จูงไปในทางผิด ถ้าจะบำเพ็ญบารมี ควรทำบารมี 10 ทรรศ แต่ตัดหัวนี่ไม่ใช่แน่นอน


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000036770

รมว.สุชาติ รับมอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์นำไปทำความสะอาดฆ่าเชื้อป้องกันโควิด-19

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับมอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อ จากบริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุพ เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท วิจิตรสมพรพาณิชย์ อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด เพื่อนำไปส่งมอบให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานนำไปใช้ทำความสะอาดฆ่าเชื้อในการป้องกันโควิด-19

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับมอบแอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อสำหรับหน่วยงานจาก นายอภิชาติ พัชรภิญโญพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุพ เทรดดิ้ง จำกัด เป็นโรงงานผลิตเอทิล แอลกอฮอล์ชนิด 95 % มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 กว่า 29 ปี เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้เห็นถึงการขาดแคลนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือของคนไทยในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และบริษัท วิจิตรสมพรพาณิชย์ อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน 

นายสุชาติ กล่าวว่า ในวันนี้ผมได้รับมอบผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดฆ่าเชื้อสำหรับหน่วยงานจากกรรมการผู้จัดการบริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุพ เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท วิจิตรสมพรพาณิชย์ อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดนครปฐมเป็นผู้ประสานงานนำมามอบให้กับกระทรวงแรงงานเพื่อนำไปส่งมอบให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานนำไปใช้ทำความสะอาดฆ่าเชื้อในการป้องกันโควิด-19 ซึ่งประกอบด้วย 1) แอลกอฮอล์ชนิดน้ำ 78 % ขนาด 5 ลิตร จำนวน 200 แกลลอน (ปริมาณ 1000 ลิตร) 2) แอลกอฮอล์ชนิดน้ำ 78 % ขนาด 50 ml จำนวน 300 ขวด (ปริมาณ 15 ลิตร) และ 3) แอลกอฮอล์ชนิดน้ำ 78 % ขนาด 20 ml จำนวน 200 ตลับ (ปริมาณ 4 ลิตร)

หนุ่มส่งของเดลิเวอรี่เซ็ง ถูกพิตบูลลูกค้ากัดระหว่างไปส่งอาหาร ด้านเจ้าของชดใช้แค่ 100 บาท พร้อมบอกจะติดต่อมาใหม่ แต่สุดท้ายหายเงียบ

เป็นอีกปัญหาซ้ำซากในสังคมไทย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่เป็นพนักงานส่งของได้โพสต์ข้อความเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เมื่อทำการส่งอาหารที่บ้านหลังหนึ่ง แต่กลับถูกสุนัขพิตบูลของลูกค้ากัดเข้าที่บริเวณข้อเท้าซ้ายเป็นแผล 2 จุด ซึ่งเจ้าของสุนัข ชดใช้ให้เบื้องต้นเพียง 100 บาท และบอกว่าจะติดต่อกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายยังไม่มีการติดต่อกลับมาแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีดังกล่าว เข้าข่ายความผิดฐานผู้ใดควบคุมสัตว์ดุร้าย ปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นอยู่ลำพัง ในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์

โดยจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ป.อาญา ม.377 และอาจต้องชดใช้ในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของสุนัข ไม่ว่าจะเป็นค่าสินไหมทดแทน ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์จากการทำงาน หรือ ขาดรายได้ ตาม ป.แพ่งและพาณิชย์ ม.443


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000036751

https://www.facebook.com/groups/862974280826865/permalink/1222445311546425/

เพจ Street Hero Project ไขข้อข้องใจ ทำไมอิสราเอลฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม 70% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่มีการฉีดให้ประชากรสูงที่สุดในโลก โดยระบุว่า...

ทำไมอิสราเอลถึงฉีดวัคซีนได้ถึง 70% เป็นประเทศแรกของโลก เอาข้อมูลมาให้วิเคราะห์กัน

1.) อิสราเอลยอมจ่ายค่าวัคซีนล่วงหน้าให้บริษัทผู้ผลิตในราคาที่แพงกว่าที่สหรัฐฯ และยุโรปซื้อมากกว่า 35%

เฉลี่ย 1 คน ใช้เงิน 47 us แต่ยุโรปใช้เงิน 35 us (วัคซีนของ Pfizer และ Moderna)

2.) พื้นที่ประเทศขนาด 2 หมื่น ตร.กม. (เล็กกว่าโคราชเล็กน้อย) ประชากร 8.66 ล้านคน ทำให้ใช้งบประมาณและจำนวนวัคซีนไม่เยอะ ใช้เวลาฉีดวัคซีนรวมกว่า 100 วัน

3.) ปัจจุบันอิสราเอลมีผู้ติดเชื้อสะสม 8 แสนกว่าคน เสียชีวิต 6 พันกว่าคน และผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ 2 ร้อยกว่าคน

#ข้อมูลเสริม

อันดับ 2-3 ของโลก คือ อังกฤษที่ 48% และสหรัฐฯ ที่ 40% ทั้งสองคือประเทศที่วิจัยและผลิตวัคซีนได้เอง

ในเอเชีย สิงคโปร์เป็นชาติแรกที่ได้วัคซีนโดยจ่ายเงินล่วงหน้าในราคาที่แพงกว่าประเทศในเอเชียด้วยกัน

ปัจจุบันสิงคโปร์ฉีดวัคซีนได้ที่ 20% เกาหลีใต้ 3% ญี่ปุ่น 0.9% ไทย 0.7% เวียดนาม 0.1%

พอจะได้คำตอบไหมครับ

https://www.timesofisrael.com/liveblog_entry/israel-said-to-be-a-leader-in-number-of-covid-related-fines/


ที่มา : https://www.facebook.com/838203756283643/posts/3525020537601938/

เป็นเรื่องราวที่แพร่หลายในสังคมของชาวเมียนมา สำหรับเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ถึงคราวที่ประชาชนชาวเมียนมาได้รับวัคซีนบ้าง

เป็นเรื่องราวที่แพร่หลายในสังคมของชาวเมียนมา มาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว สำหรับเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีนโยบายมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนรัฐประหารว่า หากเหล่าผู้นำทางการเมืองและกองทัพ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และผู้ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับวัคซีนหมดแล้ว ก็จะถึงคราวที่ประชาชนชาวเมียนมาได้รับวัคซีนบ้าง

ความจริงการฉีดวัคซีนให้แก่ชาวเมียนมา เป็นนโยบายต่อเนื่องเพื่อควบคุมโรคโควิดที่สานต่อเป็นวาระแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดการยึดอำนาจขึ้น ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ถึงจะมีเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่ถูกอ้างมา เช่น กลัวความไม่ปลอดภัยของวัคซีน หรือไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศไม่จำเป็นต้องฉีดก็ดี หรือหลายคนบอกว่าก็เคยเป็นแล้วมีภูมิแล้วไม่อยากฉีด

แต่ก็มีประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เชื่อและเอย่าคิดว่านี่คือสาเหตุหลักของคนไม่ฉีดวัคซีนคือการที่ยอมรับการฉีดวัคซีนเท่ากับการเห็นดีเห็นงามกับกองทัพ

การฉีดวัคซีน COVISHIELD เริ่มฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในเมียนมาก่อนตั้งแต่มกราคม 2021 ที่ผ่านมา

การฉีดวัคซีนในเมียนมาผู้เข้ารับการฉีดจะต้องทำการแสดงตนด้วยบัตรประชาชนพร้อมประวัติบิดา มารดา รวมถึงต้องเข้ารับการตรวจร่างกายก่อนที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนว่าไม่มีความเสี่ยงในการฉีดวัคซีน ซึ่งเมื่อฉีดครบ 2 เข็มแล้วทางหน่วยงานที่ฉีดวัคซีนจะมีเอกสารออกให้เป็นภาษาเมียนมาว่าได้รับวัคซีนแล้ว

เอกสารที่ได้จากกระทรวงสาธารณสุขเมียนมาที่แจ้งว่าได้รับวัคซีนแล้ว

สำหรับคนเมียนมาที่มีโอกาสในครั้งนี้ แต่เลือกที่จะละทิ้ง เพราะคิดว่ากองทัพจะนำชื่อเหล่านี้ของพวกเขาไปอยู่ในลิสต์ของผู้สนับสนุนทหารตามที่กลุ่มประชาธิปไตยได้เรียกร้องนั้น พวกเขาหารู้ไม่ว่า กำลังเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ หากเขาจะเดินทางไปประเทศอื่น

เพราะแค่นำเอกสารฉบับนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วให้กระทรวงการต่างประเทศเมียนมารับรอง ก็สามารถเดินทางไปประเทศอื่น ๆ ได้ และการที่เอกสารนี้ติดตัวไปสามารถการันตีได้ระดับหนึ่งดังที่ไทยได้มีประกาศออกมาแล้วว่าหากใครมีการฉีดวัคซีนจากต่างประเทศมาแล้วจะลดการกักตัวลงเหลือเพียง 7 วันเท่านั้น

สุดท้ายขึ้นกับคนเมียนมาเหล่านั้นจะคำนึงถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้แล้วละเลยโอกาสที่จะได้แก่ตนหรือจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตนก่อนแล้วหาโอกาสกลับมาทำในสิ่งที่ตนต้องการทีหลัง


ที่มา: AYA IRRAWADEE

เป็นความเชื่อในคนเมียนมามาเนิ่นนานตาปีแล้วสำหรับวันแรกของปี หรือในภาษาพม่าออกเสียงว่า Hnit San Ta Yat Nay สะกดว่า 'หนิด แซน ตะ ยัด เนะ'​ (နှစ်ဆန်းတစ်ရက်နေ့) หมายถึงวันแรกของปี ซึ่งตรงกับทุกวันที่ 17 เมษายนของทุกปี

ในวันนี้ร้านค้าต่าง ๆ​ ในเมียนมาจะหยุดหมด​ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าในตลาดหรือแผงลอย โดยในวันนี้คนเมียนมาจะทำแต่สิ่งดี อาทิเช่น ที่บ้านจะมีการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ ส่วนผู้สูงอายุในบ้าน​ ก็จะมีบรรดาคนในบ้านมาคอยสระผมให้ผู้เฒ่าผู้แก่​ โดยใช้ 'ตะยอว์กินปุน'​ (Tha Yaw Kin Punn) ซึ่งเป็นแชมพูพื้นบ้านที่ทำมาจากเปลือกต้น Ta Yaw หรือ​ 'ต้นมาลัย'​ และ ผล Kin Punn หรือ 'ผลส้มป่อย'​ นั่นเอง ซึ่งเปลือกต้นมาลัยจะมีคุณสมบัติเป็นสารป้องกันการระคายเคือง​ ส่วนผลส้มป่อยจะมีสารกลุ่มซาโปนินหลายชนิด

นอกจากนี้​ คนในบ้านก็จะใช้ ตะยอว์กินปุน สระให้ตัวเองด้วย​ เพราะเชื่อว่าจะช่วยชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีและโชคร้าย​ รวมถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ​ ที่ติดมาจากปีเก่าให้หมดไป

ในวันนี้สำหรับพุทธศาสนิกชนจะนำพระพุทธรูปมาทำความสะอาด และทำกับข้าวไปแจกเพื่อนบ้านรวมถึงไปยังวัดต่าง ๆ​ เพื่อถวายเพลแก่พระภิกษุสงฆ์ ส่วนในตอนค่ำจะมีการนิมนต์พระมาเทศนาธรรมและสวดมนต์ขับไล่สิ่งไม่ดีในปีเก่าให้หมดไป

ยิ่งไปกว่านั้น​ ในวันนี้ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อแปลก ๆ​ คือ คนเมียนมาจะไม่ใช้เงินในวันนี้หรือใช้เงินให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพราะเชื่อกันว่าหากวันนี้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย​ จะ​ส่งผลให้ทั้งปีถึงจะมีเงินเข้ามาหาเงินได้ง่าย แต่เงินก็จะไม่อยู่กับเรา​ มีเท่าไร​ ก็จะมีเหตุให้ต้องเสียเงินออกไปง่ายๆตลอดทั้งปีนี้

สำหรับตัวเอย่าเอง​ ในวันนี้​ก็อยากจะขอให้เป็นวันเริ่มต้นที่ดี​ของเมียนมา​ ขอให้ความสงบเรียบร้อยเป็นปกติสุขกลับมา เพื่อให้ปีนี้ทั้งปีจะได้ไม่มีความวุ่นวายอีกต่อไป ขอให้ความสงบสุขกลับสู่เมียนมาโดยเร็ววัน


ที่มา: AYA IRRAWADEE

เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพเมียนมา หรือ Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในนามของ CRPH ประกาศจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น

เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพเมียนมา หรือ Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในนามของ CRPH ประกาศจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น โดยมีการประกาศรายชื่อประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ออกมา ซึ่งปรากฎชื่อของ U Win Myint และ Aung San Suu Kyi ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีและที่ปรึกษาแห่งรัฐ 

ในประกาศครั้งนี้มีการประกาศกระทรวงใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ดังนี้กระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศ (Ministry of International Cooperation) กระทรวงกิจการสหภาพของรัฐบาลกลาง (Ministry of Federal Union Affairs) กระทรวงกิจการด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ (Ministry of Humanitarian Affairs and Disaster Management) และกระทรวงกิจการสตรีเยาวชนและเด็ก (Ministry of Women, Youth and Child Affairs) ซึ่ง 1 ในเจ้าของเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นของ Dr. Sa Sa อดีตทูตเมียนมาประจำสหประชาชาติซึ่งลี้ภัยอยู่ตอนนี้

จากนี้คงต้องดูนานาชาติแล้วว่า ประเทศใดจะเป็นชาติแรกที่ให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นของเมียนมา ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องที่ยังหาบทสรุปกันไม่ได้ง่าย ๆ ภายในวันสองวันนี้แน่นอน


ที่มา: AYA IRRAWADEE


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top