Sunday, 22 June 2025
NEWS FEED

พาณิชย์สำเร็จ! นำเรือ 400 เมตรเข้าเทียบท่า "ขนตู้คอนเทนเนอร์มาได้แล้ว" ตั้งเป้าขนเพิ่มอีก 3 เที่ยวถัดจากนี้ 

วันที่ 5  พฤษภาคม พ.ศ.2564 ที่ห้องรับรองชั้น 11 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์เรื่องความคืบหน้าการแก้ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ในการส่งออกขาดแคลน 

นายจุรินทร์ กล่าวว่า เรื่องการแก้ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ในการส่งออกขาดแคลน มีการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนและกระทรวงคมนาคม ในการจับมือแก้ไขปัญหาและสถานการณ์เริ่มคลี่คลายขึ้น สาเหตุหลักสำคัญที่ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนเพราะเป็นเรื่องที่ขาดแคลนไปทั่วโลก และประเทศไทยเรามีการส่งออกมากกว่าการนำเข้าเยอะ จึงมีแต่ตู้ออกไปต่างประเทศแต่ตู้ที่กลับมามีน้อยกว่า อย่างไรก็ตามในการร่วมมือกันฝ่ายแก้ไขปัญหา ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นลดภาระให้ภาคเอกชนมากขึ้น เช่น ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม มีการช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกลดภาระค่าบริการหน้าท่าลง 1,000 บาทต่อตู้ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนของผู้เช่าออกไปได้

แต่ประเด็นที่ภาคเอกชนต้องการมากคือทำอย่างไรให้เรือขนาด 400 เมตรเข้ามาเทียบท่าที่แหลมฉบังได้ เพื่อสามารถนำตู้คอนเทนเนอร์เข้ามาส่งออกสินค้าคราวละมากๆโดยเรือขนาด 400 เมตร สามารถรับสินค้าส่งออกของไทยไปยังปลายทางได้เลยไม่ต้องไปถ่ายลงเรือเล็กที่สิงคโปร์อีกทอดหนึ่ง ปกติถ้าใช้เรือเล็กขนของที่แหลมฉบังจะต้องไปถ่ายสินค้าที่สิงคโปร์ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นหลายทอด ถ้าใช้เรือขนาดใหญ่จะสามารถออกจากแหลมฉบังตรงไปยังปลายทางได้ทันที

"มีข่าวดีโดยวันนี้ถือเป็นวันแรกที่จะมีเรือขนาด 399 เมตร มาเทียบท่าที่แหลมฉบังโดยจะมาเทียบท่าที่ท่า D1 เป็นเรือของบริษัทเมอร์ก โดยเรือลำนี้มาจากสหภาพยุโรป สิงคโปร์ แล้วก็มาไทยจากนั้นจะไปปลายทางที่จีนและสหรัฐอเมริกา โดยขนตู้เปล่ามาประมาณ 6,000 ทีอียู ซึ่งสามารถช่วยส่งสินค้าออกให้กับประเทศไทยในภาพรวมได้ประมาณ 120,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 12,000 ล้านบาทในภาพรวม โดยจะขนของของไทยออกไปในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2564 สินค้าที่ส่งออกประกอบด้วย ข้าว อาหารกระป๋อง ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ถือว่าเป็นภาพความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน " นายจุรินทร์ กล่าว 

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวด้วยว่าหลังจากนี้จะมีเรือมาเทียบท่าอีก 3 ลำ วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เป็นเรือ MSC ขนาด 399 เมตร วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2564 เรือ MSC 395 เมตร และวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2564 เรือ MSC ขนาด 398 เมตร จะช่วยคลี่คลายเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนได้

พรรคกล้า เปิดคลับเฮาส์ “กรณ์-วรวุฒิ” ร่วมถกประชาชนกลุ่ม “ร้านอาหาร” พร้อมร่วมมือรัฐกันระบาด-ต้องเยียวยา-เสนอ 7 ข้อก่อนตายทั้งระบบ

พรรคกล้า เปิดคลับ Idea I do ในคลับเฮาส์ ระดมสมองหาทางออกช่วยเหลือร้านอาหาร ในหัวข้อ “ร้านอาหารกำลังจะตาย ควรช่วยยังไง” โดยมีผู้ประกอบการร้านอาหารในพื้นที่ 6 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการห้ามนั่งทานในร้าน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ของรัฐบาล ตลอดจนเชฟร้านอาหารชื่อดัง เชฟต้น-Le Du เชฟตาม-บ้านเทพา เชฟหนุ่ม-ซาหมวย&ซันส์ เชฟนิค เต้-พันชนะ จากสมาคมตัวแทนร้านอาหารและโครงการ Food For Fighters ตัวแทนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ Robinhood และเจ้าของร้านอาหารดัง ร้านอาหารสตรีทฟู้ดเข้าร่วมรับฟังกว่า 1 พันคน 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทั้ง 3 ระลอก ก็ต้องขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน แต่เท่านั้นไม่พอ เราต้องมีข้อเสนอมาตรการเพื่อให้อยู่รอด แต่อย่างน้อยเที่ยวนี้เราพอที่จะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ที่จะสร้างความมั่นใจในระดับหนึ่งคือเดือนหน้า (มิถุนายน) เราจะมีวัคซีนตามที่รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะเริ่มฉีดให้กับประชาชนและจะฉีดครบภายในสิ้นปี ทั้งนี้จากที่ดูจากหลายประเทศเมื่อประชาชนเขาได้รับวัคซีนแล้ว ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจบริการ และร้านการค้าปลีกต่าง ๆ มีตัวเลขชัดเจนว่าฟื้นตัว ซึ่งก็เชื่อว่าหลังจากเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป แต่อย่างไรก็ตามกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นก็คงจะต้องรอไตรมาส 4  ดังนั้นโจทย์สำคัญคือช่วงนี้เราทำอะไรได้บ้าง และรัฐบาลจะช่วยอะไรเราได้บ้าง เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่รอด เพราะอุตสาหกรรมร้านอาหาร ไม่ใช่อุตสาหกรรมขนาดเล็ก จากตัวเลขของ “วงใน” ระบุว่ามีถึง 230,000 ร้าน มีจำนวนชีวิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้นับล้านคน  

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่าจากมาตรการห้ามนั่งรับประทานอาหารในร้านของรัฐบาล ผู้ประกอบการทั้งหมดที่อยู่ในคำสั่ง คงต้องเดือดร้อนหนักแน่ เพราะผลกระทบอันเกิดจากวิกฤตโควิดมีมาปีกว่าแล้ว เพียงแต่ระลอกนี้มันหนักหนา รัฐบาลควรออกมาตรการมาช่วยแหลือ ผู้ประกอบการเหล่านั้นได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าว 

โดยพรรคกล้าได้ออกแถลงการณ์ถึงรัฐบาล เสนอ 5 มาตรการเยียวยาคือ

(1.) ควรเร่งเจรจากับ Platform online ที่ร้านอาหารทั้งหลายใช้เป็นช่องทางขายและจัดส่งอาหารอยู่ในปัจจุบัน ไม่ให้คิดค่าธรรมเนียมการใช้บริการหรือ GP เกิน15% อย่างน้อยก็ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด เพื่อแบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบการและประชาชน

(2.) ควรช่วยเหลือเยียวยาค่าจ้างเงินเดือนของพนักงานในร้านอาหารเหล่านี้สัก 50% ในช่วงที่รัฐบาลประกาศห้ามมีลูกค้านั่งในร้านอาหารเหล่านี้

(3.) งดการจัดเก็บภาษีให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของรัฐบาลในการหยุดให้บริการ ในรอบระยะเวลาบัญชี 1 ปีที่ผ่านมา

(4.) ผ่อนผันในเรื่องการผ่อนชำระเงินกู้และดอกเบี้ยของ ผู้ประกอบการร้านอาหาร ด้วยมาตรการงดผ่อนต้นผ่อนดอก ไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน และ

(5.) ในกรณีที่ร้านอาหารมีค่าเช่าพื้นที่ เช่น ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า เจ้าของพื้นที่ควรลดค่าเช่าให้ด้วย อย่างน้อย 50% และเจ้าของพื้นที่สามารถนำส่วนลดที่ให้กับร้านอาหารเหล่านั้น ไปขอลดหย่อนภาษีจากทางรัฐบาลได้ ในรอบบัญชีถัดไป เพื่อเป็นการชดเชยและลดค่าใช้จ่ายให้ร้านอาหารที่ต้องเสียค่าเช่าทุกเดือน 

และในช่วงที่มีการแชร์ประสบการณ์ ก็มีผู้แสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง อาทิ สีหนาท ล่ำซำ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มฟูดดิลิเวอรี่ “Robinhood” ซึ่งไม่มีการเรียกเก็บค่า GP ที่มองว่า ในช่วงสถานการณ์นี้ แพลตฟอร์มส่งอาหารไม่ควรเก็บ GP แต่ควรเอาส่วนนั้นเป็นส่วนลดให้กับลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์โดยตรง นอกจากนี้ ช่องทาง Social Media ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง ทำให้ลูกค้าได้เห็นสินค้าและสามารถเลือกได้  
ขณะที่ ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี ผู้ก่อตั้ง “เพนกวิ้นกินชาบู” กล่าวว่า จากที่ได้คุยกับผู้ประกอบการร้านอาหารหลาย ๆ ท่านพบปัญหาเดียวกันคือ ค่า GP ที่ตอนนี้เรียกเก็บอยู่ที่ 35% ของราคาสินค้าค่อนข้างสูงไป ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ลดลงมาเหลือ 15-20% ก็ยังพออยู่ได้ ตอนนี้ผู้ประกอบการร้านอาหารบางรายแม้จะพอขายได้ แต่มันไม่มีกำไร การจัดการทางการตลาดก็ต้องมีต้นทุน ถ้าคนทำไม่เป็นก็จะหายไป 

เตเต้ พันชนะ วัฒนเสถียร  ผู้ก่อตั้งร้านอาหาร “เป็นลาว” บอกว่าเห็นด้วยกับมาตรการที่พรรคกล้า นำเสนอ นอกจากนี้ยังมองว่า รัฐควรสนับสนุนของใช้วัสดุป้องกันความปลอดภัย เช่น หมวก หน้ากากอนามัย อุปกรณ์ฆ่าเชื้อต่าง ๆ เพราะตัวเลขเริ่มสูงขึ้น อยากให้ผู้ประกอบการทุกคนรวมตัวกันเพื่อเป็นพลังในการเรียกร้องให้ได้รับความช่วยเหลือ ในส่วนของ Food Delivery พื้นที่ เขาใหญ่ ปากช่อง ก็พยายามที่จะทำแต่บริบทเมืองไม่เอื้อ  สอดคล้องกับ เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เชฟชื่อดังแห่งร้าน le du (ฤดู) ที่บอกว่า ร้านอาหารอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหาประโยชน์จาก ฟู้ด ดิลิเวอรี่ได้ และมันก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาทั้งหมดของธุรกิจร้านอาหาร เวลานี้ มันคือโค้งสุดท้ายของโรคระบาด แต่โค้งนี้อันตรายที่สุด และเชื่อว่าคนบาดเจ็บล้มตายเยอะมาก จากตัวเลขธุรกิจร้านอาหาร ก่อนปี 2563 มีถึงกว่า 300,000 ร้าน ปัจจุบันเหลือเพียง 200,000 กว่าร้าน และสุดท้ายหากไม่มีการช่วยเหลือจากรัฐก็เชื่อว่าน้อยลงมาอีกมาก 

“ธุรกิจของเรามีมูลค่าต่อจีดีพีของประเทศค่อนข้างเยอะ เราจ้างงานคนเป็นล้านคน เราเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญ สิ่งที่รัฐจะช่วยให้เราพ้นโค้งสุดท้าย วิธีที่ง่ายสุด และทำได้เร็วที่สุดคือ แจกจ่ายเงินช่วยเหลือให้พวกเรา โดยไม่มีข้อแม้เหมือนโครงการอื่น ๆ ที่ออกมาช่วยเหลือก่อนหน้านี้ เพราะความเดือดร้อนครั้งนี้ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ รัฐต้องมองว่าฉุกเฉินมากเช่นเดียวกับที่ทั่วโลกเจอ ควรต้องช่วยแบบไม่แบ่งชนชั้นเริ่มต้นร้านละ 50,000 บาท ถ้าผู้ประกอบการร้านอาหารมี 300,000 ราย ก็ใช้เงินเพียง 15,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเงินที่กู้มาช่วยเหลือประชาชน 1 ล้านล้านบาท ที่ยังเหลืออีก 4 แสนล้านบาทถือว่าน้อยมาก เพราะเชื่อว่าหลุดจากมาตรการ 1 พฤษภาคม ไปอีก 14 วันก็จะต้องมีการห้ามต่อ เพราะสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นเลวร้ายที่สุดอาจจะถึง 6 เดือนก็ได้ 

ในขณะที่เชฟตาม บ้านเทพา บอกว่า ตนได้ทำในทุกช่องทางที่จะผ่านวิกฤตไปแล้ว แต่รายได้ก็ยังหายไป 60-70% การทำดิลิเวอรี่ก็ไม่ถนัดเพราะร้านอาหารไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อดิลิเวอรี่ เพราะใช้วัตถุดิบจากชุมชน จะโยนภาระต้นทุนไปให้กับพวกเขาก็ทำไม่ลงและสู้ไม่ไหว 
นอกจากนี้ยังมีผู้แสดงความคิดเห็นอีกมากมายส่วนใหญ่มีปัญหาเรือง GP ของ ฟู้ดดิลิเวอรี่ และค่าจ้างของพนักงาน ขณะเดียวกันก็มีผู้นำเสนอแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ประชาชนในยุควิกฤตโควิด คือ ป๊อกป๊อก ดิลิเวอร์รี่ ที่รวมอาหารชื่อดังให้บริการประชาชนทั่วกรุงเทพ รวมถึงมีการเสนอบริการ Truck food ที่มีทั้งห้องเย็นใส่อาหารและไมโครเวฟเพื่ออุ่นได้ทันทีด้วย 

นายกรณ์ กล่าวเสริมว่า เป็นข้อเรียกร้องที่น่าสนใจ ซี่งจะขอรวบรวมเป็นข้อเรียกร้องไปทางรัฐบาลว่า

(1.) รัฐบาลเยียวยาตรง 50,000 บาทให้ทุกร้านอาหาร (เป็นเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท)

(2.) รัฐบาลชดเชย 20% ของรายได้ ช่วงเดือน พฤษภาคมถึงสิ้นเดือนกันยายน โดยมีการกำหนดเพดานที่เหมาะสม  

(3.) รัฐบาลรับภาระการจ่ายเบี้ยประกันสังคมพนักงานทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง

(4.) รัฐบาลเจรจาปรับลดหรือชดเชยค่า GP delivery เพื่อให้ค่า GP ไม่สูงกว่า 15% (ปัจจุบัน 30-35%)

(5.) รัฐบาลลดค่านํ้าค่าไฟให้ผู้ประกอบการ 50%

(6.) รัฐบาลและท้องถิ่นงดเก็บภาษีป้าย/ภาษีที่ดินจากร้านอาหารจนถึงสิ้นปี และ

(7.) แบงค์ชาติจัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องมีหลักประกัน ทั้งหมดนี้มีเงื่อนไขสำคัญข้อเดียว คือร้านอาหารต้องไม่ลดพนักงานและไม่ลดค่าจ้าง

นายวรวุฒิ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวเสริมว่า พรรคกล้าจะสรุปข้อเรียกร้องส่งรัฐบาลและเร่งติดตามเพื่อให้เกิดความช่วยเหลือ เพราะทราบดีว่า ผู้ประกอบการร้านอาหารหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าฟ้าหลังฝน งดงามเสมอ เดี๋ยวเหตุการณ์ร้าย ๆ จะผ่านไป ขอทุกท่านอย่าหมดใจ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน

"กรณิศ" สุดทน เผยชาวคลองเตยร้อง แจกบัตรคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 เล่นพรรคพวก วอน อย่านำชีวิตคนเป็นตัวประกันเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม.เขตคลองเตย-วัฒนา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งคำถามว่า ตรวจโควิด ต้องมีบัตรคิว แล้วบัตรคิวน่ะ อยู่ที่ใคร? 

โดยข้อความระบุว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนมาจากชาวบ้านและประธานชุมชนว่า เกิดความไม่ยุติธรรม เล่นพรรคเล่นพวกในการแจกบัตรคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 และสถานที่รถตรวจโควิดในชุมชนแออัดเขตคลองเตย 

“ในฐานะผู้แทนของพี่น้องชาวคลองเตยอยากจะเรียกร้อง ให้เกิดความยุติธรรมต่อชาวบ้านทุกชุมชน โปรดอย่านำชีวิตและความหวาดกลัวของคนมาเป็นเครื่องมือ มาเป็นตัวประกัน เพื่อประโยชน์ของพรรคพวกตัวเองกันเลยนะคะ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาชิงดีชิงเด่น แต่คือช่วงเวลาที่เราควรต้องร่วมมือกัน ฟันฝ่าวิกฤตินี้ไปด้วยกัน คลัสเตอร์คลองเตย ไม่ใช่แค่วิกฤติในคลองเตย ถ้าผิดพลาดลุกลามไปมากกว่านี้ จะเป็นวิกฤติของคนทั้งชาติ”

กระทรวงแรงงาน เตือนภัย นายหน้าเถื่อนหลอกทำงานซาอุฯ 

สนร. ซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) พบพฤติการณ์สาย-นายหน้าเถื่อน ใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์รับสมัครงาน หรือเว็บไซต์รับฝาก Portfolio ติดต่อคนหางาน เพื่อหลอกให้สมัครงานและโอนค่าดำเนินการก่อนเชิดเงินหนี

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สำนักงานแรงงานในประเทศชาอุดีอาระเบียพบว่ามีมิจฉาชีพกลุ่มหนึ่งอาศัยข้อมูลจากเว็บไซต์รับสมัครงาน หรือเว็บไซต์รับฝากประวัติเพื่อสมัครงาน (Portfolio / Curriculum Vitae) ติดต่อไปยังคนหางาน โดยแอบอ้างเป็นตัวแทนบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ หรือบริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศซาอุฯ เพื่อให้โอนเงินซึ่งอ้างว่าเป็นค่าตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานประมาณ 8 หมื่นบาทไปยังบัญชีธนาคารที่มีชื่อบัญชีเป็นคนไทย เบื้องต้นคาดว่ามิจฉาชีพอาจมีผู้ร่วมขบวนการเป็นคนไทย หรือสามารถเข้าถึงบัญชีที่เปิดโดยไม่ถูกต้องของไทยได้ เป็นเหตุให้เน้นเป้าหมายมาที่กลุ่มคนหางานไทย 

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการดูแลแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศ เพราะเป็นผู้ที่สร้างรายได้ให้ประเทศไทย และนำความรู้ ทักษะฝีมือตลอดจนประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานกลับมาต่อยอดในการประกอบอาชีพได้ขณะเดียวกันแรงงานก็ได้รับค่าตอบแทนจำนวนมาก จนสามารถยกระดับความเป็นอยู่ในครอบครัวได้ทำให้คนหางานจำนวนมากหวังจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ตำแหน่งงานในต่างประเทศที่เปิดรับสมัครนั้นยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อคนที่ต้องการเดินทางไปทำงานทำให้กลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกลวงคนหางานว่าสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้ เช่นกรณีที่เกิดในประเทศซาอุฯ เกี่ยวกับเรื่องนี้กระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจล่าสุดได้เร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการหลอกลวงดังกล่าวในทุกช่องทางของกระทรวงแรงงานพร้อมประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบข้อมูลบัญชีที่ใช้ในการรับโอนเงินและประสานสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยเพื่อทราบรายละเอียดเกี่ยวกับกรณีหลอกลวงข้างต้น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว 

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายและมีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มเติมจากการหลอกลวงไปทำงานประเทศซาอุฯ ขอให้คนหางานตรวจสอบข้อมูล และคำนึงถึงข้อสังเกตต่อไปนี้ ก่อนหลงเชื่อโอนเงินให้ผู้ใด

(1.) ปัจจุบันซาอุฯยังไม่มีการตรวจลงตราประเภททำงานอย่างเป็นทางการแก่ผู้ถือสัญชาติไทย โดยบริษัทที่จดทะเบียนในซาอุฯ ต่างทราบถึงข้อจำกัดนี้และมักจะไม่เสนอตำแหน่งงานแก่ผู้ที่มีสัญชาติไทย ดังนั้นการเสนอตำแหน่งงานในซาอุฯ แก่ผู้หางานสัญชาติไทยจึงเป็นเรื่องผิดสังเกต (ทั้งนี้ไม่รวมถึงการจ้างงานโดยหน่วยงานพิเศษ อาทิ พระราชวัง หรือหน่วยงานรัฐ) 

(2.) อีเมลของตัวแทนนายจ้างควรเป็นทางการใช้โดเมนที่จดทะเบียนในนามบริษัท หรือเอเจนซี่จัดหางาน ไม่ควรเป็นอีเมลฟรี อาทิ @gmail หรือ @yahoo 

(3.) ระมัดระวังอีเมลที่โดเมนจดทะเบียนคล้ายชื่อบริษัท ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือเพิ่มเติม เช่น หากท่านได้รับการติดต่อด้วยอีเมล [email protected] ท่านสามารถตรวจสอบหน้าโฮมเพจโดยพิมพ์ URL เช่น http://www.hyudaicons.com หรือ http:/hyundaicons.com ซึ่งโดยส่วนมากมิจฉาชีพมักจะไม่ได้จัดทำหน้าโฮมเพจไว้ทำให้ไม่สามารถเข้าหน้าเว็บไซต์ได้ อย่างไรก็ดีโปรดระวังการเคลื่อนย้าย (redirect) ไปยังโฮมเพจของบริษัทจริงซึ่งสามารถตรวจสอบจาก URL ที่เปลี่ยนไป 

(4.) ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับบริษัทนายจ้างต้องชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้ทั่วไปจากการค้นหาทางอินเตอร์เน็ต หมายเลขโทรศัพท์มักเป็นโทรศัพท์สำนักงาน ไม่ใช่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ (สามารถตรวจสอบได้จากรหัสนำหน้าหมายเลข กรณีซาอุดีฯ มีรหัสประเทศ +966 และหากตามด้วยเลข 5 จะเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น +966576302632 เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ของมิจฉาชีพ) 

(5.) รูปแบบเอกสาร หรือสัญญาควรมีลักษณะเป็นทางการ ไม่มีคำผิด หรือประโยคที่ผิดหลักไวยากรณ์ มีตราประทับบริษัท หรือลงนามจริง มีการจัดหน้า ตัดคำที่เหมาะสม ใบสมัครงานควรมีช่องให้กรอกข้อมูลพอสมควร มิใช่มีเพียงหน้าเดียว เป็นต้น 

(6.) การสมัครงานปกตินั้น กระบวนการตรวจสอบเอกสาร สัมภาษณ์ และการตอบรับมักจะใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครหากพบว่านายจ้างตอบรับการเข้าทำงานเพียงแค่ตรวจสอบเอกสาร Portfolio/CV ใช้เวลา 1-2 วัน โดยไม่มีการสัมภาษณ์ หรือเร่งรัดให้ลงนามในเอกสารต่างๆ ขอให้พึงระวังว่าเป็นการหลอกลวง 

(7.) การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการสมัครงานโดยที่ตัวแทนนายจ้างเป็นผู้ติดต่อคนหางานก่อน (Headhunting) ถือว่าเป็นเรื่องผิดสังเกต 
 
“ทั้งนี้ กรมการจัดหางาน มีการตรวจสอบสื่อโซเซียลมีเดียต่าง ๆ เมื่อมีการโพสต์ข้อความชักชวนคนหางาน ไปทำงานในต่างประเทศที่อาจเข้าข่ายกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการหลอกลวงคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ และเฝ้าระวังพฤติการณ์ของขบวนการค้ามนุษย์และกลุ่มมิจฉาชีพอย่างเข้มงวด โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2563-3 พฤษภาคม พ.ศ.2564 มีการดำเนินคดีสาย นายหน้าเถื่อน 68 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย จำนวน 14,359,965 บาท ซึ่งประเทศที่พบคนหางานถูกหลอกลวงไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ แคนาดา ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ และสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถขอรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/ipd ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทฯ ที่ได้รับอนุญาต จำนวน 129 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงมหานคร 90 บริษัท และกระจายอยู่ในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ 39 บริษัท” นายไพโรจน์ฯ กล่าว

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารของรัฐบาล โดยระบุว่า “สื่อกับชาวบ้านต้องอย่างนี้ มีเพื่อนส่งต่อกันในไลน์ ผมเห็นว่าสื่อได้ ‘โดน’ เข้าใจง่ายดีครับ”

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่องการสื่อสารของรัฐบาล โดยระบุว่า “สื่อกับชาวบ้านต้องอย่างนี้ มีเพื่อนส่งต่อกันในไลน์ ผมเห็นว่าสื่อได้ ‘โดน’ เข้าใจง่ายดีครับ”

เปิดประสบการณ์พยาบาลสาวไทย วิ่งหา Lab ตรวจโควิด ที่เมืองคุรุคาม ทางใต้เมืองหลวงนิวเดลี

วันนี้หาที่ตรวจโควิดซ้ำหายาก คนเยอะ ขับรถวนอยู่หลาย Lab คนยืนต่อคิวแน่นเหมือนจุดลงทะเบียนเราชนะ ถ้าใครไม่ติดก็ควรจะติด ณ จุด ๆ นี้ Lab นี้ เจ้าหน้าที่มีสามคน ใส่ชุดอวกาศ PPE นั่งอยู่ในห้องสามคน พัดลมหมุนวิ้ง ๆ บนเพดาน เอกสาร กล่องต่าง ๆ วางลวก ๆ พร้อมย้ายฐานเหมือนคลินิกทำแท้งเถื่อน แต่ก็ดูได้มาตรฐาน พอเข้ามานั่ง มนุษย์อวกาศท่านหนึ่ง เข้ามาพ่นสเปรย์ใส่ เรานึกว่ามือ เปล่า ใส่ทั้งตัวเหมือนเราเป็นสิ่งของ

ทางเข้าเงียบ แปะป้ายเหมือนออฟฟิศซอมบี้ร้างในหนัง

มาวันที่หนึ่งแห้ว วนหาแลบอื่นคนยั้วะเยี้ยไม่กล้าลงจากรถ ครั้งแรกที่ตรวจ ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจที่หน้าห้องนอน ตอนนี้บริการนี้หายไป ผู้คนใช้ล้นหลาม ต้องทำนัดมาวันที่สอง

โควิด PCR ค่าตรวจแลบนี้ 1250 รูปี หรือประมาณ 600 บาทไทย

โซเชียลเมียนมา ลือ หนึ่งในสาเหตุที่ทางกองทัพตัดสินใจทำรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนนั้น เป็นเหตุผลที่ไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ แต่มีแค่เสียงเมาท์กันในวงการว่า 'อเมริกาได้ขอเช่าเกาะโคโค เพื่อทำฐานทัพ'

เป็นอีกข่าวที่โผล่ขึ้นมาในสื่อโซเชียลของเมียนมา หลังจากมีเสียงลือมาว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทางกองทัพตัดสินใจทำรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนนั้น เป็นเหตุผลที่ไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ แต่มีแค่เสียงเมาท์กันในวงการว่า 'อเมริกาได้ขอเช่าเกาะโคโค เพื่อทำฐานทัพ' เช่นเดียวกันกับที่อเมริกาเคยใช้อู่ตะเภาเป็นที่มั่นในการทำสงครามอินโดจีนในครั้งอดีต

หมู่เกาะโคโค เป็นหมู่เกาะเล็ก ๆ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวเบงกอล เป็นส่วนหนึ่งของเขตย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา หมู่เกาะตั้งอยู่ทางทิศใต้ของย่างกุ้งราว 414 กิโลเมตร โดยเกาะโคโคมี 5 เกาะ มีเกาะพรีแพริสของพม่าอยู่ทางเหนือของหมู่เกาะ และมีเกาะแลนด์ฟอลล์อยู่ทางทิศใต้

คำถามคือทำไมอเมริกาถึงสนใจหมู่เกาะโคโค?

เรื่องนี้คาดการณ์ได้จากหลายสาเหตุดังต่อไปนี้

1.) หมู่เกาะนี้มีสนามบินอยู่ ซึ่งน่าจะถูกสร้างไว้เมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นในแง่งบประมาณในการปรับปรุงเพื่อนำมาใช้ย่อมประหยัดกว่าการเช่าพื้นที่เปล่ามาสร้าง

2.) หมู่เกาะโคโคอยู่ไม่ไกลจากหมู่เกาะนิโคบาร์ ที่มีกองทัพเรือของอินเดียอยู่ที่ Port Blair ซึ่งถือว่าเป็นจุดแนวกันชนระหว่างทะเลอันดามันกับมหาสมุทรอินเดีย

3.) ไม่มีฐานทัพสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่บริเวณคาบสมุทรอินเดียกับฝั่งทะเลอันดามันเลย ในขณะที่ฝั่งตะวันออก มีฐานทัพสหรัฐฯ ในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แล้ว

แล้วเหตุใดเรื่องนี้ จึงถูกนำมาโยงกับเรื่องการรัฐประหาร แล้วทางกองทัพเมียนมามองเห็นอะไรกันแน่?

เหตุผลข้อแรก คือ ระยะทางจากหมู่เกาะโคโคถึงแผ่นดินใหญ่มีระยะทางเพียง 400 กว่ากิโลเมตร หากวันใดวันหนึ่งอเมริกาต้องการจะโจมตีเมียนมาแล้วละก็ สามารถยิงอาวุธพิสัยกลางสามารถถล่มเมืองย่างกุ้ง มัณฑะเลย์และเนปิดอว์ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงหากต้องการล่วงล้ำอธิปไตยของเมียนมาด้วยแล้วละก็ การส่งฝูงบินรบจากหมู่เกาะโคโคถึงแผ่นดินใหญ่จะใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที

ดังนั้นหากวันใดวันหนึ่งเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนขึ้นแล้วละก็ เมียนมาจะกลายเป็นสมรภูมิระหว่างทั้งสองประเทศแน่นอนในการยกพลขึ้นบกเข้าจีนจากทางใต้ ซึ่งหากไปถึงจุดนั้นจริง ๆ แล้ว ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเมียนมาจะมหาศาล ทั้ง ๆ ที่เมียนมาไม่ได้เป็นคู่รบในสงครามครั้งนี้เลย

ความมั่นคงของชาติน่าจะเป็นเหตุผลหลักเหตุหนึ่งที่เป็นปัจจัยให้กังวล ซึ่งหากนางอองซาน ซูจี ให้เช่าหมู่เกาะโคโคจริง ก็ไม่ต่างกับการชักศึกเข้าบ้านและตอนนั้นต่อให้เมียนมามีแสงยานุภาพทางการทหารมากเพียงไหน ก็ไม่สามารถต้านทานแสงยานุภาพทางทหารของสหรัฐอเมริกาได้เลย

และนี่เป็นเรื่องที่แม้แต่คนเมียนมาผู้เรียกร้องประชาธิปไตยไม่เคยสนใจ เพราะคงมองว่าทุกสิ่งที่กล่าวมามันยังไม่เกิดขึ้น แต่หากเกิดขึ้นมันก็จะสายเกินแก้ไปเสียแล้ว


ที่มา: AYA IRRAWADEE

สำนักข่าว Bloomberg ซูฮกสิงคโปร์ มาแรงเบียดแซงนิวซีแลนด์ขึ้นแท่นประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาด Covid-19 ได้ดีที่สุดในโลก

สำนักข่าว Bloomberg ซูฮกสิงคโปร์ มาแรงเบียดแซงนิวซีแลนด์ขึ้นแท่นประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาด Covid-19 ได้ดีที่สุดในโลก ที่ตอนนี้ได้ฉีดวัคซีนให้กับประชากรไปแล้วประมาณ 1 ใน 5 และสามารถสกัดการแพร่ระบาดได้ดีเยี่ยมด้วยมาตรการเฝ้าระวัง และการกักกันโรคอย่างเข้มงวด 
.
นอกเหนือจากสิงคโปร์ ก็มี นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อิสราเอล และไต้หวัน ตามติดมาอยู่หัวตารางของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาด Covid-19 ได้ดี ซึ่งในกลุ่มประเทศเหล่านี้มีอยู่จุดหนึ่งที่ชี้วัดความสำเร็จนอกจากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศที่ลดลงจนแทบเหลือศูนย์ ก็คือปริมาณการฉีดวัคซีน ที่สามารถไล่ทันอัตราการแพร่ระบาดได้ 

และนั่นคือจุดชี้ขาดในการสกัดการแพร่ระบาดได้ด้วยภูมิคุ้มกันหมู่ จากการเดินหน้าโปรแกรมวัคซีน 

แต่ทว่า ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ที่การแพร่ระบาดในหลายประเทศกลับมาทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แม้ในประเทศที่มีการฉีดวัคซีนแล้วเป็นจำนวนมาก อย่างตุรกี ชิลี หรือ โปแลนด์ แต่ทำไมยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับที่วางใจได้

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปริมาณของกลุ่มประชากรที่เข้ารับวัคซีนมีผลอย่างมากต่อการควบคุมโรคระบาด พูดง่าย ๆ ก็คือ ยิ่งฉีดมาก ยิ่งดี ดังตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือประเทศอิสราเอล ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วถึง 57.4% ของประชากร หรือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ฉีดไปแล้ว 47.4% ก็มีตัวเลขการควบคุมโรคระบาด Covid-19 ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

รวมถึงประเทศมหาอำนาจด้านวัคซีนอย่างสหรัฐฯ และ อังกฤษต่างเร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดจนกลายเป็นแคมเปญระดับชาติ ที่ก็ทำให้ทั้งสองประเทศกลับมาควบคุมสถานการณ์ได้ หลังจากที่เคยตกอยู่ท่ามกลางพายุการระบาด Covid-19 อย่างน่ากลัวตลอดปี 2020 ที่ผ่านมา

แต่สำหรับหลายประเทศในยุโรปอย่างโปแลนด์ ตุรกี ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วหลายล้านโดส ก็ยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อในจำนวนที่น่าเป็นห่วง หรือชิลี ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วถึง 36.9% ของประชากร แต่ก็ยังพบการระบาดรอบ 2 ที่หนักยิ่งกว่ารอบแรกเมื่อปีที่แล้ว

แสดงว่า แค่ฉีดวัคซีนอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะพาโลกให้พ้นวิกฤติ Covid-19 ได้ในเร็ววัน อย่างที่หลายคนตั้งความหวังไว้อย่างนั้นหรือ? 

จากฝันร้ายเดือนเมษายนที่พบตัวเลขการระบาดกลับมาพุ่งแรงทั่วโลก โดยเฉพาะในอินเดีย และบ้านเรา จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขมองว่า แค่เพียงการรอฉีดวัคซีนอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้ เพราะตอนนี้การตัวเลขการระบาดยังคงนำหน้าอัตราการฉีดวัคซีน 

รวมถึงการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรน่า ที่เป็นปัญหาในการสร้างภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีน ที่ยังทำให้สถานการณ์ Covid-19 ยังไว้ใจไม่ได้แม้จะได้รับวัคซีนครบตามจำนวนไปแล้วก็ตาม 

เพราะฉะนั้น ยังต้องรณรงค์เรื่องการฉีดวัคซีน ควบคู่ไปกับมาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มงวด สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน การปิดพรมแดนชั่วคราวเพื่อสกัดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ไม่ให้เข้าประเทศ แม้แต่การพิจารณาเปิดเมืองก็ต้องทำอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง แม้ว่าจะฉีดวัคซีนไปบ้างแล้วก็ตาม 

เราไม่อาจหาสูตรสำเร็จตายตัวว่า ทำอย่างไรถึงจะช่วยให้พ้นวิกฤติ Covid-19 ได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ ได้ในตอนนี้ ในขณะที่วัคซีนยังคงขาดแคลนทั่วโลก ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจต่างก็มาดักจองวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงเอาไว้ให้กับคนในประเทศก่อน ความกังวลของผู้คนเรื่องผลข้างเคียงจากวัคซีน และหลายประเทศที่ระบบสาธารณสุขกำลังล่มสลาย

แต่วิกฤติครั้งนี้ ไม่สามารถรอดได้เพียงประเทศเดียว  องค์การอนามัยโลกออกมาย้ำเตือนเรื่องการกระจายวัคซีนสู่ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศยากจนที่เข้าไม่ถึงโควตาวัคซีน เพื่อช่วยกระจายภูมิคุ้มกันหมู่ให้ครอบคลุมไปทั่วโลก

และที่สำคัญที่สุดคือการ "ตั้งการ์ด" งดกิจกรรมนอกบ้าน ทำตามกฎระเบียบ มาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ลดอคติ  หันหน้าช่วยเหลือกัน สร้างความเข้าใจ และรณรงค์ให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึง จะช่วยให้เราฝ่าวิกฤติ Covid-19 ที่น่าจะอยู่กับโลกเราไปอีกสักระยะ ได้ในที่สุด


อ้างอิง

https://www.bloomberg.com/graphics/covid-resilience-ranking/

https://www.straitstimes.com/asia/the-best-and-worst-places-to-be-in-the-world-as-covid-19-variants-outrace-vaccinations

https://www.dailysabah.com/turkey/turkey-ranks-6th-globally-in-covid-19-vaccination-numbers/news

สาวไทยผู้สวนกระแสในเมียนมา!! The Icebreaker - Thaitown Supermarket ผู้เปิดทางสินค้า OTOP เจาะหัวใจคนพม่า

ถ้ายังจำกันได้ ผมเคยเขียนหลายครั้งว่า SMEs ไทย 90% ของอุปสรรคในการนำเสนอธุรกิจและสินค้ามาขายในพม่าคือการค้นหา Partner หรือ Distributor ที่ดีและจริงใจ ผมและอาจารย์จิได้คุยกันเรื่องนี้เยอะมาก เพื่อสรรหา Distributor ที่ดีเพื่อต่อ Jigsaw การค้าในพม่าให้สมบูรณ์ Distributor บางรายใหญ่เกินไปจนไม่สนใจสินค้า SMEs บางรายเล็กเกินไปจนไม่มีกำลังกระจายสินค้าให้ ส่วนผสมนี้เป็นสมการที่แก้ยากมาก โดยเฉพาะช่วงที่เหตุการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง

เมื่อ 3 ปีที่แล้วมีบริษัทสัญชาติไทย บริหารงานโดยสาวไทยใจแกร่ง มาทำธุรกิจออนไลน์ นำเข้าสินค้า SMEs จากเชียงใหม่มาขายที่พม่า ผมมองอยู่ห่าง ๆ แบบติดกระแสว่าจะเป็นยังไง นางเป็น “แกะดำ” อีกตัวที่อ้าแขนให้สินค้าไทยเข้ามาขายที่พม่าด้วยความท้าทาย นางบอก SMEs ไทยต้องมีที่ยืน “ลูกค้าสั่งสินค้าไทยออนไลน์แค่ 20 บาท นางก็ส่งให้ฟรี” อย่างน้อยนางก็ทำให้สินค้าไทยเราได้เข้าปากคนพม่าแล้ว ครั้งต่อไปถ้าลูกค้าซื้อซ้ำ ก็เป็นเพราะคุณภาพสินค้าล้วน ๆ และตอนนี้ผมก็เห็นจริงตามนั้น หลาย ๆ สินค้าไทยได้เข้าไปอยู่ในใจลูกค้าพม่าเรียบร้อยแล้ว จนห้างดัง ๆ ในพม่ามีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เป็นวันที่นางได้เปิดห้างสรรพสินค้าใช้ชื่อ “Thaitown Supermarket” แนวคิดเรียบง่ายมากครับ ห้างที่ขายสินค้า SMEs และ OTOPs ไทย สินค้าไทยที่นางนำเข้ามาตลอด 3 ปีนับได้ เกือบ 2,000 รายการ ผมเฝ้ามองและพูดคุยกับนางมาตลอด ผมรู้ทันทีว่านางคือ Jigsaw ตัวสุดท้ายที่เติมเต็ม Supply Chain ให้สมบูรณ์ นางคือ Icebreaker ของวงการค้าขายต่างประเทศ และผมคนนึงที่ติดสินค้า SMEs ไทยที่นางเอามาขายมากครับ รสชาติและคุณภาพดี ที่สำคัญราคาจับต้องได้จริง ผมและอาจารย์จิยินดีที่จะเป็นสะพานให้ SMEs ไทยเราได้สยายปีกและมีที่ยืนในต่างประเทศครับ

AEC ภาคปฎิบัติ เป็นเพจแรกและเพจเดียวที่จะพาคุณไปขายของโดยไม่เสียตังค์


ที่มา: อ.จิรวัฒน์​ เดชาเสถียร

ผู้บุกเบิกการตลาด อินโดจีน พม่า อาเซียนให้บริษัทยักษ์ใหญ่ ตั้งแต่ยุคที่อาเซียนยังไม่ได้รวมตัวกัน เอาประสบการณ์ตรงมาเล่าแบ่งปัน ในวันที่โควิด-19 ล็อคประตูเพื่อนบ้าน เรายิ่งต้องทำงานหนักมากขึ้น

ดับฝันฝากเงินสหกรณ์ได้ดอกเบี้ยบาน รัฐกำหนด 1 ก.ค.นี้ ได้ไม่เกิน 4%

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ออกประกาศนายทะเบียนสหกรณ์ เรื่องกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากของสหกรณ์ กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภทของสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ทุกประเภทให้ไม่เกิน 4% ต่อปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2564 เป็นต้นไป เว้นแต่กรณีการรับฝากเงินประเภทประจำที่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยแน่นอนแล้วให้สามารถจ่ายอัตราดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดสำหรับบัญชีที่ได้เปิดไว้ก่อนมีประกาศฉบับนี้

สำหรับเหตุผลของการออกประกาศครั้งนี้ กรมฯ ประเมินว่า จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของสหกรณ์การเกษตรและสหกรณ์นอกภาคเกษตรบางแห่งที่กำหนดไว้สูงถึง 5-7% ทำให้สหกรณ์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง เพื่อช่วยเหลือสมาชิกได้มากขึ้น โดยเฉพาะในยุคสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อการช่วยลดรายจ่ายของสมาชิกลงได้ 

ขณะเดียวกันการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 4% ต่อปี ยังไม่ส่งผลกระทบต่อประโยชน์ของสมาชิกที่จะได้รับ เนื่องจากอัตราดังกล่าวยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินอื่น เช่น ธนาคารพาณิชย์ที่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยไม่ถึง 0.50 บาท ซึ่งที่ผ่านมา กรมฯ เคยมีการออกประกาศนายทะเบียนสหกรณ์ในเรื่องกำหนดอัตราดอกเบี้ยในลักษณะนี้มาแล้ว เช่น ในปี 2543 กำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 7% และในปี 60 สำหรับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน กำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ไม่เกิน 4.5%\


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top