Sunday, 22 June 2025
NEWS FEED

‘สาธารณสุขอินโดนีเซีย’ เผยผลการศึกษาวัคซีนซิโนแวค พบประสิทธิภาพสูง ป้องกันโควิดได้ 94% และป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% หลังฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ 25,374 ราย

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ผลวิจัยการใช้งานจริงจากกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซียระบุว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทซิโนแวคของจีนนั้น สามารถลดการติดเชื้อในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ของอินโดนีเซียลงได้อย่างมาก ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาที่ต้องพึ่งพาวัคซีนดังกล่าว เนื่องจากก่อนหน้านี้มีรายงานว่า วัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิภาพต่ำกว่าวัคซีนของบริษัทจากชาติตะวันตกอย่างมากในการทดลองทางคลินิก

นายบูดี กูนาดี ซาดิคิน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ว่า ทางกระทรวงฯ ได้ติดตามผลกับบุคลากรทางการแพทย์ 25,374 ราย ในกรุงจาการ์ตาเป็นเวลา 28 วัน หลังจากได้รับวัคซีนซิโนแวคโดสที่สองจนถึงช่วงปลายเดือนก.พ. และได้พบว่าวัคซีนของซิโนแวคสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% รวมถึงป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ 96% ภายในเวลาเพียง 7 วันหลังจากได้รับวัคซีน

นายซาดิคินกล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์ได้รับการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 94% ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งและดีกว่าข้อมูลจากในการทดลองทางคลินิกที่เกิดขึ้นหลายครั้งก่อนหน้านี้มาก อย่างไรก็ดี การวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ได้มีการคัดกรองบุคลากรเพื่อตรวจหาผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการหรือไม่

นอกจากนี้ นายซาดิคินยังระบุว่า อัตราการเสียชีวิตและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของบุคลากรทางการแพทย์นั้นลดลงอย่างมาก

ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า วัคซีนของซิโนแวคป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใดที่แพร่ระบาดในอินโดนีเซีย แต่หน่วยงานด้านสาธารณสุขของอินโดนีเซียยังไม่มีรายงานว่าเกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่จากไวรัสสายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด

ผลวิจัยครั้งนี้ยังสนับสนุนข้อมูลจากบราซิลที่ว่า วัคซีนซิโนแวคนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ระบุไว้ในขั้นทดลองซึ่งประสบปัญหาหลายประการ ทั้งข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพที่ไม่แน่นอน รวมถึงข้อกังขาเกี่ยวกับความโปร่งใสของข้อมูล


ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/86197

‘จีน’ คุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้อย่างไร?

เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดโควิด -19 ผ่านไปเพียง 1 ปี ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องสวมหน้ากากออกตอนนอกบ้าน

‘จีน’ คุมการแพร่ระบาดได้อย่างไร?

รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศจีน มีคำตอบสั้น ๆ เพียงแค่ ‘3 ไม่’ เท่านั้น คือ

รัฐบาลจีน ‘ไม่’ สร้างความสับสนให้กับประชาชน

สื่อจีน ‘ไม่’ นำเสนอข่าวที่ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธา

คนจีนเขา ‘ไม่’ แตกแยกกันเอง

'Molnupiravir' ยาเม็ดแห่งความหวังของผู้ป่วยโควิด พบผลหยุดแพร่กระจายเชื้อระยะเริ่มต้นได้ภายใน 24 ชั่วโมง .

นับวัน Covid-19 ยิ่งพิสูจน์ให้โลกเห็นถึงความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่สามารถกัดกร่อนสังคมมนุษย์ได้จริง ทั้งในด้านชีวิต และสุขภาพ ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจ

แม้จนถึงตอนนี้ โลกของเราจะเริ่มมีวัคซีนป้องกัน Covid-19 ออกมาแล้วหลายตัว และกำลังจะมีเพิ่มอีกในเร็ว ๆ นี้ แต่วัคซีนก็ยังคงขาดแคลนอย่างมากในหลายประเทศ และประชากรส่วนใหญ่ยังฉีดวัคซีนไม่ทันกับอัตราการแพร่ระบาด

ฉะนั้นสิ่งที่พอทำได้ สำหรับคนที่ยังไม่ติด Covid-19 จึงเป็นการตั้งการ์ด ป้องกันตัวเอง งดเดินทางออกจากบ้านหากไม่จำเป็น ระหว่างรอเพื่อฉีดวัคซีน

อย่างไรก็ตาม วัคซีนนั้นมีไว้เพื่อป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายไม่เจ็บหนักเมื่อติดเชื้อ นั่นจึงหมายความว่า วัคซีนอาจไม่ใช่ความหวังของผู้ป่วย Covid-19 ที่มีอยู่หลายสิบล้านคนทั่วโลกในขณะนี้

การคิดค้นหายาที่มีสรรพคุณต้าน Covid-19 ในร่างกายไม่ให้ลุกลามจนถึงขีดอันตราย จึงเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยกู้วิกฤติ Covid-19 นี้ได้ โดยเฉพาะในประเทศที่เกิดการระบาดระลอกใหม่อย่างรุนแรง และกำลังรอการมาถึงของวัคซีน อย่างประเทศไทย

เดิมยาต้านไวรัส Covid-19 ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย หากตัด Hydroxychloroquine หรือยาแก้โรคมาลาเรีย ที่เคยเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่งออกไป ก็จะมี...

1.) Remdesivir ที่พัฒนาโดยบริษัท Gilead ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาให้ใช้รักษาผู้ป่วย Covid-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงได้ตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป แต่ข้อเสียของ Remdesivir คือ ราคาสูงมาก อยู่ที่หลอดละ 390 ดอลลาร์ และขายยกชุด 6 หลอดเพื่อใช้ต่อเนื่องกัน 6 วัน คิดเป็นเงิน 2,340 ดอลลาร์ต่อชุด หรือประมาณ 72,500 บาท

2.) Favipiravir หรือ Avigan พัฒนาโดยบริษัท Toyama Chemical ซึ่งเป็นบริษัทเครือเดียวกับ Fujifilm เป็นยาที่ใช้รักษาอาการไข้หวัดใหญ่ ก็ยาอีกชนิดที่นิยมใช้รักษาผู้ป่วย Covid-19 และราคาต่อเม็ดอยู่ในระดับที่จับต้องได้ คิดเป็นราคาเม็ดละ 125 บาท

แต่ผู้ป่วย 1 คน อาจต้องใช้ยาตั้งแต่ 40-70 เม็ด คิดเป็นค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 5,000 - 8,750 บาทต่อคน แต่หากสามารถผลิตได้เองในประเทศ จะทำให้ราคายาถูกลงกว่าเดิมครึ่งหนึ่งทีเดียว แต่ข้อเสียของ Favipiravir นั้นคือต้องทานยาต่อเนื่องกันเป็นเวลานานมาก และยังไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจนและมากพอที่จะสรุปถึงผลลัพธ์ของ Favipiravir ได้

แต่ต่อมา ก็มีการพูดถึงยาต้าน Covid-19 ตัวล่าสุด ที่กำลังพูดถึงอย่างมากอยู่ในขณะนี้ ว่ามีความสามารถในการต้านเชื้อไวรัส Covid-19 ในร่างกายได้ภายในเวลาแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น และอาจเป็นความหวังครั้งสำคัญของผู้ป่วย Covid-19 ในขณะนี้

ยาที่ว่านี้คือ Molnupiravir !!

Molnupiravir พัฒนาโดยบริษัท Merck จากเยอรมันเมื่อราว ๆ ปี 2000 เพื่อใช้ต้านเชื้อไวรัสที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะ และเคยใช้ได้ผลดีกับผู้ป่วยโรค SARS และ MERS ที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรน่าเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ได้มีการทดสอบกับผู้ป่วยกลุ่มเล็กโดย Georgia State University พบว่า สามารถยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส Covid-19 ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง

ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ เป็นยารับประทาน จึงสามารถใช้ได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ติดเชื้อในระยะเริ่มต้น ช่วยลดระยะเวลารักษา และการกักตัว ที่มักมีผลด้านจิตใจของผู้ป่วย จึงสามารถป้องกันการเกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนใหม่ ๆ ได้อย่างทันท่วงทีได้

ถึงแม้ว่ายา Molnupiravir ยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่าจะสามารถช่วยรักษาในกลุ่มผู้ป่วยในระยะวิกฤติได้ผลหรือไม่ แต่การทดลองกับกลุ่มผู้ป่วยไม่มีอาการและกักตัวที่บ้าน ยังดำเนินอยู่ถึงเฟส 3 เรียบร้อยแล้ว และเป็นยาที่ได้รับความสนใจอย่างมากในอินเดีย ที่ตอนนี้มีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 4 แสนคนต่อวัน จึงทำให้มีการผลักดันให้ Molnupiravir ได้รับการรับรองให้ใช้ได้ในกรณีฉุกเฉินที่อินเดีย

และหาก Molnupiravir สามารถต้าน Covid-19 ในร่างกายได้อย่างรวดเร็วจริง ก็จะเป็นความหวังของหน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลก ที่ยังพบปัญหาการระบาดระลอกใหม่ ด้วยเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่มาจากการเริ่มเปิดเมือง ผู้คนต้องเดินทาง เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า แต่หากมียาที่สามารถกินป้องกันได้ รักษาในระยะเริ่มแรกได้ทันทีโดยไม่ต้องกักตัวนาน ก็นับเป็นข่าวดีมาก

แต่เสียเพียงอย่างเดียว คือ ตัวยา Molnupiravir ต่อเม็ดก็ยังมีราคาสูงอยู่พอสมควร โดยข้อมูลของสื่ออินเดีย ชี้ว่ายา Molnupiravir กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในท้องตลาด แม้จะยังไม่มีผลทดลองขั้นสุดท้าย หรือการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลอินเดียก็ตาม จะซื้อขายกันอยู่ที่ 3,000 รูปีต่อเม็ด หรือประมาณเม็ดละ 1,270 บาท

จากข้อมูลยารักษา Covid-19 ที่มีอัพเดทอย่างต่อเนื่อง ก็จะเห็นได้ว่า ยาแต่ละชนิด ต่างมีข้อดี และข้อเสีย และราคายังจัดว่าค่อนข้างสูง แต่ไม่ได้รับประกันผลได้อย่าง 100% นำไปสู่วลีที่ว่า ‘กันไว้ดีกว่าแก้’ เพราะสุดท้ายแล้วการลงทุนกับการป้องกัน มักคุ้มค่ากว่าการรักษาเยียวยาเสมอ

ดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันตัวเอง ควรเป็นทางเลือกอันดับแรกของการแก้ปัญหาการระบาดของ Covid-19 ที่มีราคาถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับค่ายา และค่ารักษาพยาบาลอย่างแน่นอน


อ้างอิง:

https://health.economictimes.indiatimes.com/news/pharma/antiviral-drug-molnupiravir-blocks-covid-19-virus-within-24-hours-study/79583150

https://economictimes.indiatimes.com/industry/healthcare/biotech/pharmaceuticals/natco-seeks-emergency-approval-to-launch-molnupiravir-for-covid-19-in-india/articleshow/82256562.cms?from=mdr

https://www.empr.com/home/news/molnupiravir-merck-ridgeback-oral-antiviral-investigational-covid-19-treatment/

https://en.wikipedia.org/wiki/Molnupiravir

https://en.wikipedia.org/wiki/Favipiravir

https://en.wikipedia.org/wiki/Remdesivir

หลงเสนห์สาวไทย! นักดำน้ำชาวเบลเยี่ยม ‘จิม วอร์นีย์’ หนึ่งในทีมกู้ภัยแห่งถ้ำหลวง - ขุนน้ำนางนอน และนักแสดง ‘The Cave’ ได้ฤกษ์ควงแขนแฟนสาวชาวไทยจดทะเบียนสมรสแบบเรียบง่าย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ว่าการอำเภอศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายจิม วอร์นีย์ นักดำน้ำกู้ภัยแห่งเขานางนอนกับบทบาทนักแสดงใน The Cave ได้ฤกษ์ควงแขน น.ส.ภภัสสร จักกะพาก ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง แฟนสาวที่คบหาดูใจกันมาตลอด 1 ปี 7 เดือน เข้าจดทะเบียนสมรสกัน โดยมี นายสุรเชษฐ์ แก้วคำ ปลัดอาวุโสอำเภอศรีราชา เป็นสักขีพยานในครั้งนี้ ซึ่งก็เป็นการจดทะเบียนสมรสแบบเรียบง่าย ตามที่ทั้งคู่ตั้งใจไว้แต่แรกนั้นเอง

ด้าน น.ส.ภภัสสร จักกะพาก กล่าวว่า เราทั้ง 2 คน พบใจกันที่งานเปิดตัวภาพยนตร์ ของโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งได้คบหาดูใจกันมาตลอด 1 ปี 7 เดือน จึงได้ตัดสินใจจดทะเบียนสมรสกัน โดยตอนแรกจะไปจดที่กรุงเทพมหานคร แต่ด้วยตนเองเป็นคนเกิดที่ศรีราชา จึงได้เลือกจดทะเบียนที่อำเภอศรีราชา ซึ่งเป็นการจดทะเบียนแบบเรียบง่าย

สำหรับ จิม วาร์นีย์ นักดำน้ำเบลเยียมแสดงนำในหนังสารคดีเรื่อง “นางนอน” The Cave ภารกิจช่วย 13 ชีวิตหมูป่าออกจากถ้ำหลวง ซึ่งเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกที่มีกำหนดลงโรงฉายทั่วโลกในเดือนกรกฎาคม 2562 โดยมีนายจิม วาร์นีย์ ชาวเบลเยียมเป็นนักแสดงเอกในภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวของการทำงานแข่งกับเวลาเพื่อที่จะช่วยชีวิตนักฟุตบอลเยาวชนจำนวน 12 คน และโค้ช 1 คน ให้ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากถ้ำที่ถูกน้ำท่วมทางภาคเหนือของประเทศไทยที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ระหว่างวันที่ 23 มิถุนายนถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 โดยที่คนทั่วโลกต้องกลั้นลมหายใจร่วมลุ้นในปฏิบัติการกู้ภัยเพื่อช่วยเหลือปล่อยทีมหมูป่าที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง ซึ่งเป็นถ้ำที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงราย ในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาเลย ซึ่งแม้ในขณะที่เด็กๆ และโค้ชของพวกเขายังคงเป็นติดอยู่ภายในถ้ำ ก็สามารถดึงดูดความสนใจในการดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดี

 

 

ทำไมคนอ้วนมีความเสี่ยงสูง อาจป่วยหนักและเสียชีวิต เมื่อติดไวรัสโควิด

โรคอ้วนส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ไขมันภายในช่องท้องดันกล้ามเนื้อกระบังลมขึ้นไปในทรวงอกมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อกระบังลมทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่วนไขมันที่ทรวงอกทำให้กล้ามเนื้อต้องออกแรงมากขึ้น แรงต้านมากขึ้นทำให้อากาศเข้าปอดน้อยลง หลอดลมอาจปิด ถุงลมของปอดส่วนล่างอาจแฟบ ทำให้การแลกเปลี่ยนของก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง


ที่มา : เพจ หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC

รัฐบาล เตรียมฉีดวัคซีน กลุ่มแรงงาน 16 ล้านคน ด้าน กทม.เร่ง ฉีดอาชีพเสี่ยง ตั้งเป้าวันละ 80,000 คน 

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากมติที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบเพิ่มประชากรวัยแรงงานระบบประกันสังคม รวม 16 ล้านคน เป็นกลุ่มเป้าหมายในการรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยมีสํานักงานประกันสังคม และจังหวัดเป็นผู้รวบรวมจำนวนและรายชื่อแรงงานที่จะรับวัคซีนโควิด-19 เพื่อส่งให้กระทรวงสาธารณสุข และเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มเสี่ยง ผู้สัมผัสเสี่ยงและประชาชนทุกคนให้มากที่สุด เพื่อเร่งควบคุมการแพร่ระบาดได้เร็วที่สุด โดยข้อมูลล่าสุดได้มีการฉีดสะสมแล้ว 1,809,894 โดส ในพื้นที่กทม. ฉีดวัคซีนโควิด-19 สะสม 315,504 โดส 

สำหรับในพื้นที่กทม.จัดสถานที่ 25 แห่ง โดยจะเปิดครบทั้งหมดในวันที่ 2 พ.ค.นี้ ตั้งเป้าฉีดให้ได้วันละ 50,000 คน เพื่อให้บริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ให้ประชาชนสามารถเดินทางมาฉีดวัคซีนได้สะดวกมากขึ้น โดยเน้นกลุ่มที่มีอาชีพเสี่ยงสัมผัสกับคนจำนวนมาก เช่น พนักงานขับรถโดยสารประจำทาง แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ คนขับเรือ ครู ผู้ขับขี่รถสาธารณะ พนักงานเก็บขยะ เป็นต้น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ขณะเดียวกันยังให้บริการฉีดวัคซีนโควิด19 ในโรงพยาบาลในพื้นที่กทม. อีก 126 แห่ง สำหรับกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ตั้งเป้าวันละ 30,000 คน รวมแล้วจะฉีดให้ได้วันละ 80,000 คน

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียประกาศคำสั่งล็อกดาวน์ทั่วประเทศ ห้ามชาวมาเลย์เดินทางระหว่างรัฐ และภายในรัฐ หวังสกัดโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์แอฟริกาที่ทำให้อัตราผู้ติดเชื้อสูงขึ้น

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซินแห่งมาเลเซีย ประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศแล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.-7 มิ.ย 64 เพื่อพยายามควบคุมสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ที่ยังคงมีความรุนแรง จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงพุ่งสูงขึ้น อีกทั้งยังพบการระบาดของเชื้อโควิดกลายพันธุ์ 'สายพันธุ์แอฟริกา' ในประเทศมาเลเซีย

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้มีคำสั่งห้ามประชาชนเดินทางระหว่างรัฐ รวมทั้งการเดินทางข้ามพื้นที่ภายในรัฐ ตลอดจนยังห้ามประชาชนมีกิจกรรมที่ต้องรวมกลุ่มกัน รวมถึงยังมีคำสั่งปิดสถานศึกษาทั่วประเทศ ทว่าในส่วนของธุรกิจ ผู้ประกอบการค้าต่าง ๆ ยังคงอนุญาตให้เปิดทำการได้ต่อไป

'มาเลเซียกำลังเผชิญกับการระบาดของเชื้อโควิดระลอกที่สาม ซึ่งทำให้เกิดวิกฤติในประเทศ' นายกรัฐมนตรียัสซินออกแถลงการณ์ พร้อมระบุว่า การประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศ เพื่อหวังสกัดกั้นการระบาดของเชื้อโควิดกลายพันธุ์ที่แพร่ระบาดได้เร็วขึ้น จนทำให้มีอัตราผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้มาเลเซียพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในวันที่ 9 พ.ค. 3,733 ราย และเสียชีวิตอีก 26 ศพ หลังจากวันที่ 8 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,519 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 25 ศพ ทำให้ยอดสะสมผู้ติดเชื้อโควิดในมาเลเซียเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 444,484 ราย และเสียชีวิต 1,700 ศพแล้ว


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/foreign/2088698

10 บ.ประกันชีวิต ผนึกกำลังแจกประกันโควิดฟรี คุ้มครองชีวิตบุคลากรทางการแพทย์กว่า 2.7 แสนราย

จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ ที่กระจายไปในหลายคลัสเตอร์ ทำให้มีประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานอย่างหนักและตกอยู่ในภาวะเสี่ยงในการรับมือและดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ต่อกรณีดังกล่าว

นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า สมาคมประกันชีวิตไทย ในฐานะองค์กรกลางของธุรกิจประกันชีวิตทั้ง 22 บริษัท ได้ตระหนักถึงความเสียสละและความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น ภาคธุรกิจประกันชีวิตจึงได้ดำเนินโครงการ “ประกันภัย COVID-19 คุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์”

โครงการดังกล่าวเป็นการจัดทำแผนความคุ้มครองประกันชีวิตกลุ่มให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข ประมาณ 270,000 ราย ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร นักวิชาการสาธารณสุข เจ้าพนักงานเภสัชกรรม พยาบาลวิชาชีพ พยาบาลเทคนิค นักกายภาพบำบัด นักรังสีการแพทย์ เจ้าพนักงานรังสีการแพทย์ นักเทคนิคการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ เจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ โภชนากร นักกิจกรรมบำบัด เจ้าพนักงานอาชีวบำบัด นักจิตวิทยา นักเวชศาสตร์สื่อความหมาย นักปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ เจ้าพนักงานเวชกิจฉุกเฉิน ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยเหลือคนไข้ พนักงานเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและบุคลากรที่จำเป็นในโรงพยาบาล

โดยจะมอบความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ด้วยทุนประกันภัย 1,000,000 บาทต่อคน มีระยะเวลาความคุ้มครองตั้งแต่ 10 พฤษภาคม-8 กรกฎาคม พ.ศ.2564

สำหรับ บริษัทภาคีสมาชิกที่เข้าร่วมรับประกันภัยจากโครงการนี้ จำนวน 10 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็ม บี เค ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท เอไอเอ จำกัด และ บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

นายสาระ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามตัวแทนของภาคธุรกิจประกันชีวิตขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกภาคส่วนที่ได้ทุ่มเทและเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังเพื่อสู้ภัยโควิด จึงขอเป็นกำลังหนุน พร้อมส่งกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด้วยการมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตแทนความห่วงใยไปยังบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่เป็นด่านหน้าเพื่อให้ท่านสามารถพาคนไทยฝ่าวิกฤติโควิดนี้ไปได้ในที่สุด

รัฐคุชราตทางตะวันตกของประเทศอินเดีย ผู้ศรัทธาอาบร่างกายด้วยมูลและปัสสาวะวัว หวังว่าจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายหรือหายจากโควิด

ในรัฐคุชราตทางตะวันตกของประเทศ ผู้ศรัทธาบางคนเข้าไปในคอกวัวสัปดาห์ละครั้ง เพื่ออาบร่างกายด้วยมูลและปัสสาวะวัว ด้วยหวังว่าจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายหรือหายจากโควิด

ทั้งนี้เนื่องจากในศาสนาฮินดู วัวเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิแห่งชีวิตและโลก ชาวฮินดูใช้มูลวัวทำความสะอาดบ้านและทำพิธีสวดเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว เพราะเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคและฆ่าเชื้อ

นายกัวทัม มานิลัล บอริสา ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทยาแห่งหนึ่ง เป็นหนึ่งในสานุศิษย์สำนักศรีสวามีนรายัณ คุรุกุล วิศววิทยา ประดิษฐนัม ของนักบวชฮินดู ร่วมพิธีอาบมูลและปัสสาวะวัวเป็นประจำ เขาเชื่อว่าวิธีนี้ช่วยให้หายป่วยจากโควิดเมื่อปีก่อน สำนักแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสำนักงานใหญ่บริษัทซีดัสคาดิลา ที่กำลังพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของตนเองอยู่ในขณะนี้

ขั้นตอนการปฏิบัติประกอบด้วยการอาบร่างกายด้วยมูลวัวผสมปัสสาวะวัวปล่อยไว้จนแห้ง กอดหรือเคารพวัวในคอก พร้อมฝึกโยคะเพื่อเสริมสร้างพลังงาน จากนั้นล้างตัวด้วยนมวัวหรือนมเปรี้ยว

ถึงกระนั้น เหล่าแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทั้งในอินเดียและทั่วโลกเตือนมาตลอดถึงการรักษาแบบทางเลือกว่า อาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าปลอดภัยและเกิดปัญหาสุขภาพมากขึ้น

“ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นรูปธรรมว่ามูลหรือปัสสาวะวัวเพิ่มภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้ เป็นความเชื่อล้วน ๆ อีกทั้งการอาบหรือบริโภคสิ่งเหล่านี้อาจทำให้มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เชื้อโรคสามารถแพร่จากสัตว์สู่มนุษย์ได้” นายแพทย์เจเอ จายาลัล ประธานสมาคมแพทย์แห่งอินเดียกล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น การรักษาแบบนี้อาจแพร่โควิด-19 ด้วย เพราะผู้คนต้องมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม แต่นายมธุจรัญ ดาส ผู้ดูแลคอกวัวอีกแห่งหนึ่งในอาห์เมดาบัดแย้งว่า พวกเขาจำกัดจำนวนผู้ร่วมพิธี

สำหรับการระบาดของโควิด-19 สร้างความเสียหายให้อินเดียมหาศาล จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 22.66 ล้านคน เสียชีวิต 246,116 คน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ตัวเลขจริงสูงกว่านี้ 5-10 เท่า ประชาชนทั่วประเทศกำลังดิ้นรนหาเตียงโรงพยาบาล ออกซิเจน หรือยา หลายคนเสียชีวิตไปโดยไม่ได้รับการรักษา


ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/937221

เลือก 'โควิด' หรือ 'วัคซีน'

ประเทศอื่นพบผลข้างเคียงทั้งหมด แต่ทุกประเทศต่างยอมรับผลข้างเคียงว่าย่อมเกิดขึ้นได้ โดยสัดส่วนที่พบเท่ากับ 1 ในแสน แต่หากฉีดยาแก้แพ้แล้วหายทุกคน ไม่มีใครตาย อย่างในประเทศไทยเอง ก็ยังไม่มีการเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว


ที่มา: ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคลินิก และ อาจารย์สาขาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

https://www.facebook.com/CheckSuthipong/videos/926573338100192/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top