Tuesday, 24 June 2025
NEWS FEED

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก หัวข้อ "โลกกำลังอยู่ในช่วงผันผวนรุนแรง ถ้าระบบราชการยังช้า ไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!"

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก หัวข้อ "โลกกำลังอยู่ในช่วงผันผวนรุนแรง ถ้าระบบราชการยังช้า ไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!" โดยยกงานเขียนของนาย Bill Gates เคยเตือนภัยต่อโลกไว้ก่อนที่จะเกิดแพร่เชื้อโควิด 2 ปี ว่าจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเกิดขึ้นแน่นอน และภาวะโลกร้อน จะมีผลต่อชีวิตของมนุษย์มากกว่านี้หลายเท่าว่า...

ในช่วงที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสร่วมวงเสวนากับ Bill Gates ซึ่งจัดโดย บริษัทเก่าของผม เครือธนาคาร JP Morgan Chase มีประเด็นสำคัญหนึ่งที่เป็นยุทธศาสตร์หลักต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก

ผมขอชวนถกประเด็นพูดคุยกันได้ในโพสต์นี้นะครับ

ก่อนอื่นผมขอเล่าเกริ่นให้ฟังก่อนว่า Bill Gates เขากล่าวไว้ว่าอย่างไรบ้าง และมุมมองขยายความของผมต่อโอกาส และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย หลังยุคโควิดควรมีโฉมหน้าอย่างไร

หากใครได้อ่านงานเขียนของ Bill Gates จะทราบว่า ท่านเคยเตือนภัยต่อโลกไว้ก่อนที่จะเกิดแพร่เชื้อโควิด 2 ปี โดยเขาขอให้ทั่วโลกเตรียมตัวรับมือ ว่าจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งมันเกิดขึ้นจริงตามที่เขาพูด นั่นแสดงให้เห็นว่า Bill Gates จับกระแส และพยากรณ์ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องใหญ่ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อมนุษยชาติได้ค่อนข้างแม่นยำ

ในวันนั้นเอง เขาได้พูดเรื่องผลกระทบที่ต่อโลกของเราโดยมองข้ามช็อตจาก โควิดไปสู่ภาวะโลกร้อน โดยระบุว่า "ไม่ว่าการแพร่เชื้อโควิดเที่ยวนี้จะรุนแรงแค่ไหน จะมีผลต่อชีวิตประชากรชาวโลกไปแล้วกี่คนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว ผลจากภาวะโลกร้อน จะมีผลต่อชีวิตของมนุษย์มากกว่านี้หลายเท่า”

วันนี้ทั้งโลกกำลังมุ่งไปที่ปัญหาเฉพาะหน้า แล้วก็คิดเพียงว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วมันอาจจะมีวิกฤตการณ์ที่รอเราอยู่ ซึ่งจะมีผลต่อเรา มากกว่าวิกฤตการณ์เฉพาะหน้านี้อีกหลายเท่า เรื่องเฉพาะหน้าก็ต้องดูแลให้ดี เรื่องในอนาคตก็ต้องวางแผนให้ทัน

นั่นหมายความว่า สิ่งที่เราต้องทำคือ เตรียมแผนไว้ว่ามันอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่จะได้รับผลกระทบมากกว่า ศัพท์ใช้กันอย่างแพร่หลายในระยะหลังคือ VUCA V-Volatility ความผันผวนรวดเร็ว, U-Uncertainty ความไม่แน่นอนว่าจะเกิดอะไรอีก, C-Complexity ความสลับซับซ้อน และ A-Ambiguity ความคลุมเครือ ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเห็นภาพว่ามันจะเป็นจะเป็นอย่างไร มันจะเกิดขึ้นกับเราหรือเปล่า จะมีผลกระทบกับประเทศไทยหรือไม่ เพราะดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงกับประเทศเรา

[ผมคิดว่าโควิดเป็นตัวเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ชัดที่สุดว่า ตอนนี้ทั้งโลกอยู่ในภาวะ VUCA อย่างแท้จริง]

Bill Gates ยังให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจนั่นคือ "ความร่วมมือระหว่างประเทศติดลบ ขาดความร่วมมืออย่างสิ้นเชิงในทุกระดับ" ทั้งยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาและการรับมือ ดูได้จากมีการแก่งแย่งวัคซีนกัน

ผมค่อนข้างแปลกใจว่า ตอนนี้ไม่มีบทบาทของอาเซียนเลย ทั้งที่หากเรารวมตัวกันอำนาจการต่อรองกับบริษัทผู้ผลิตจะมากที่สุดในโลก แต่กลับกลายเป็นต่างคนต่างคิด แบบตัวใครตัวมัน ทั้งนโยบายและยุทธศาสตร์การตั้งรับ หรือแม้แต่การสั่งซื้อวัคซีนเอง เราต้องกลับมาทบทวนว่าจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งในสถานกรณ์การแพร่เชื้อหรือปัญหาอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจาก ภาวะโลกร้อน

อย่างไรก็ตามก็มีมุมดีในแง่การรับมือของภาคเอกชน ส่งผลให้เรามีแนวโน้มโอกาสที่จะออกจากปัญหาเฉพาะหน้าได้เร็วกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งตามที่นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไป เมื่อวันก่อนว่า อีก 120 วัน จะเปิดประเทศ นั้นก็เพราะมันมีความเป็นไปได้เพราะตัวแปรสำคัญคือเรามีวัคซีนที่สามารถผลิตได้เร็วๆ และมีแนวโน้มว่าจะสามารถเข้าสู่สภาวะปกติได้ภายในเวลา 1 ปี เป็นเรื่องที่ค่อนข้างมหัศจรรย์มาก เมื่อเทียบกับในอดีตที่จะใช้เวลา 3-4 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งทำให้มั่นใจว่า ด้วยประสบการณ์ และทรัพยากรที่มีอยู่ของ ภาคเอกชนทำให้เชื่อว่า หากเกิดการแพร่เชื้อชนิดใหม่ขึ้นอีก โลกก็น่าจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะค้นหาวัคซีน เพื่อมาต่อกรกับไวรัสได้ในระยะเวลาเพียงไม่เกิน 6 เดือน แต่ในโลกของ VUCA ใครจะเป็นคนที่มีความมั่นใจว่าประเภทปัญหาในระดับวิกฤตที่เราะจะต้องรับมือในอนาคต มันต้องไม่ใช่การรับมือแบบเดิมอย่างแน่นอน

“นี่คือบริบทในการพูดถึง New Normal หากในอนาคตเราจะเจอปัญหาที่เคยประสบมาแล้ว เราต้องมีโครงสร้างและองคาพยพที่มีความฉลาดและยืดหยุ่นเพียงพอในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง

ถามว่าแล้วโครงสร้างสังคมและการบริหารจัดการของเรา ณ วันนี้มันมีความยืดหยุ่น คล่องตัว ว่องไว และมีความสามารถเพียงพอที่จะวิเคราะห์ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนแล้วหรือไม่ ผมคิดว่าพวกเราทุกคน มีคำตอบเดียวกัน คือยังห่างไกล เพราะระบบบริหารจัดการระดับประเทศของเรา โดยเฉพาะระบบราชการ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมายาวนาน ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่า ขาดวัฒนธรรมการบริหารข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ต้องเตรียมการรองรับโลกที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หากยังเป็นอยู่แบบนี้ โอกาสที่จะปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาในอนาคตก็ยังน้อยเหมือนเดิม

[ไทยปรับตัวได้ช้า เพราะติดกับดัก “ระบบราชการ” ล้าหลัง]

เราจะหวังให้ระบบราชการปฏิรูปตัวเองคงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าคนทำงานหรือข้าราชการดีๆ เก่งๆ มีประสิทธิภาพ อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงก็ตาม แต่เพราะอำนาจของหน่วยราชการ มาจากการรับหน้าที่ด้วยกฎหมาย ดังนั้น ตราบใดที่กฎหมายยังกำหนดว่าขั้นตอนต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แม้จะไม่ทั้งหมด เพราะบางอย่างมันก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีขั้นตอนในระบบราชการ แต่หากจะนำไปสู่การยกระดับให้ระบบราชการมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น แม้จะเป็นความเหมาะสมของแต่ละประเทศ แต่มันก็ได้ใช้แล้วกับหลายประเทศที่มีความหลากหลาย เช่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ทางซีกตะวันตก ที่เขาเรียกกันว่า Regulatory Guillotine ปฏิรูปกฎหมาย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รัฐบาลนี้ก็เคย ได้พิจารณาเรื่องนี้ แต่มันก็เงียบหายไป เพราะขาดแรงดัน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าประเทศไทยมีทั้งกฎหมาย กฎระเบียบ ประกาศกระทรวง เป็นจำนวนมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งมันเป็นค่านิยมที่ทำให้ ระบบราชการมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะมารองรับกฎพวกนั้นที่มีความสลับซับซ้อนและมากขึ้นเรื่อยๆ

[การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องเกิด...ไทยต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เพื่อหาเงินแหล่งให้เข้ากระเป๋าคนไทย]

การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจนี้ คำถามคือ เราจะต้องปรับในประเด็นไหน ความจริงถ้าเราย้อนกลับไปดูวิกฤตต้มยำกุ้ง 20 กว่าปีที่ผ่านมา มันคือตัวเปลี่ยนในหลายๆ เรื่องในภูมิภาคเอเชียของเราเอง หลายประเทศได้รับผลกระทบในระดับเดียวกัน ทั้ง ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ แต่ละประเทศ มีการปรับเปลี่ยนที่แตกต่างกัน แต่ประเทศไทยปรับน้อยมาก สิ่งที่มีความสำคัญต่อระบบโครงสร้างที่เกิดจากวิกฤตต้มยำกุ้ง คือ การลอยตัวค่าเงินบาท นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เพราะเงินบาทลอยตัว ส่งผลให้การส่งออกของเราไปแข่งกับคนอื่นได้ง่ายขึ้นในด้านของราคา ทำให้การส่งออกโตอย่างรวดเร็ว สัดส่วนการส่งออกเทียบกับจีดีพีต้มยำกุ้งประมาณ 35% หลังต้มยำกุ้ง มาถึงทุกวันนี้มี 70% ซึ่งเป็นเหตุให้ภาคธุรกิจที่เน้นการส่งออกเติบโต แต่การเติบโตเพียงเพราะเรามีขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาที่ดีขึ้น ไม่ได้เติบโตด้วยนวัตกรรม หรือประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น และไม่ได้ส่งผลต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่

ตัวชี้วัดที่เห็นชัดๆ คือ ถ้าเราดูรายชื่อบริษัทชั้นนำที่มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน จนถึงวันนี้ ชื่อบริษัทยังไม่เปลี่ยนเลย ชื่อใหม่ๆ ก็เป็นรัฐวิสาหกิจบ้าง แต่ไม่ได้เกิดจากนวัตกรรมใหม่ๆ ถ้าเทียบกับสหรัฐอเมริกายี่สิบปีที่แล้ว ชื่อบริษัทที่ติดอันดับหนึ่งในห้า วันนี้คนรุ่นใหม่แทบจะไม่รู้จัก แต่วันนี้ TOP 5 มีแต่ Tech Company หมด ไม่ว่าจะเป็น Facebook Google Amazon Apple ทั้งๆ ที่ 20 ปีก่อน บริษัทพวกนี้ยังไม่ได้ก่อตั้งเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจ วิธีการทำมาหากินของประเทศเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก ขณะที่ของเรายังแบบเดิม และผู้ที่ประสบความสำเร็จ โดยส่วนใหญ่ ก็คือผู้ที่มีสัมปทานกับรัฐ ผู้ที่ค้าขายกับรัฐ หรือมีใบอนุญาตที่ออกจากรัฐคอยปกป้องคุ้มครอง

[ยุทธศาสตร์ Vaccine Economy เติมแหล่งรายได้ใหม่เข้ากระเป๋าคนไทย ทำได้ ทำไม่ง่าย แต่ไม่ทำ...ไม่ได้!]

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรับคือ “การเพิ่มความสามารถการแข่งขัน” ซึ่งของไทยมีน้อย ทำให้บริษัทที่มีใบอนุญาตโตวันโตคืน ส่วนแบ่งตลาดก็มากขึ้น แต่บริษัทเล็กจะไม่มีโอกาสที่จะโตมาแข่งขันในฐานะแรงดันหลักทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ ซึ่งมันขาดนวัตกรรม สุดท้ายแล้วทำให้ขาดการลงทุนซึ่งเป็นหัวใจหลัก จากที่เปรียบเทียบให้เห็นแล้วว่า การลงทุนจากต่างประเทศในรูปของ FDI ของเราลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์

ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนจากต่างประเทศถอนการลงทุนจากตลาดหลักทรัพย์บ้านเราไปแล้วเกือบ 1 ล้านล้านบาท นั่นคือสาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นของเราก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม เราเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ดัชนียังไม่กลับไปอยู่ในระดับเดิมก่อนต้มยำกุ้งด้วยซ้ำไป ตรงนี้เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่าต่างประเทศที่เขาเป็นนักลงทุนมืออาชีพ ช่วงนี้เขามองว่าแนวโน้มโอกาสในการทำกำไร ในการลงทุนในประเทศอื่นสูงกว่าการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งไม่ผิด เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเท่าตัวของเอเชียโดยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นประมาณ 40% แต่ของไทยยังอยู่ที่เดิม หรือแม้แต่เราดูการลงทุนจากบริษัทเอกชนของไทยเอง จะเห็นว่าอัตราการขยายตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ลดลงไปเกือบศูนย์ เหลือเพียง 2-3% เท่านั้น เพราะเขาไปลงทุนในประเทศอื่น ทั้งหมดเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มสิทธิประโยชน์ เพื่อที่จะเป็นแรงจูงใจให้คนกลับมาลงทุน แต่เป็นเรื่องของการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการเขามีความรู้สึกว่าเขาอยากจะมาลงทุนที่นี่

“จุดเริ่มต้นในการที่จะดึงดูดความสนใจหรือกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีความคึกคักมากยิ่งขึ้นข้อสำคัญ ต้องเริ่มที่ปฏิรูประบบราชการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และมีทัศนคติในทางบวกมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องเพิ่มการแข่งขัน ซึ่งไม่ว่าจะทำด้วยวิธีใดก็ตามต้องเอาจริง ที่สำคัญเราต้องสร้างโอกาสของธุรกิจใหม่ (New-S-curve) ซึ่งก็ต้องกลับมาที่เรื่องทัศนคติอีก อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กลต. ออกประกาศสกัดดาวรุ่งเรื่องของการนำเหรียญ คริปโต พวกโทเคิล ประเภทต่างๆ ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน มาจดทะเบียน ซึ่งมันเป็นประกาศที่สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ในวงการคริปโต เพราะไม่ได้ส่งผลทางบวกกับใคร ถ้าเป้าหมายเพียงเพื่อต้องการปกป้องนักลงทุน ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่านักลงทุนถ้าเขาอยากที่จะลงทุนในโลกคริปโตเขาสามารถที่จะลงทุนข้ามชายแดนได้โดยสะดวกอยู่แล้ว แต่ผลมันคือทำให้แนวโน้มโอกาสที่จะพัฒนาในส่วนของผู้เชี่ยวชาญที่จะพัฒนาทักษะหรือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล๊อคเชนในประเทศนั้นมันหมดไป ซึ่งเมื่อถูกปิดโอกาสแบบนี้ คนเก่งๆ ก็จะย้ายไปทำในประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์แทน”

แล้วผมจะมาชวนคุยต่อถึงแนวทางในการสร้างโอกาสที่ยั่งยืนให้ประเทศไทยสำหรับโลกใหม่หลังโควิดนะครับ

 

ที่มา : https://www.facebook.com/KornGoThailand/photos/a.10151851815469740/10159726945409740/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มานูเอล นอยเออร์ กัปตันทีมเยอรมัน สวมปลอกแขนสีสายรุ้ง ร่วมรณรงค์เดือนแห่ง Pride Month

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

หลายคนที่มีโอกาสได้ชมเกมที่ทีมชาติเยอรมันลงแข่งขัน คงแอบสังเกตเห็น มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูและกัปตันทีมของเยอรมัน สวมปลอกแขนลวดลายเป็นสีรุ้ง ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดราม่ากันไปเบาๆ

สืบเนื่องจากเดือนมิถุนายน ถูกยกให้เป็นเดือน Pride Month หรือเดือนที่เป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงสิทธิและความเท่าเทียมกันทางเพศ ทำให้ มานูเอล นอยเออร์ ออกมาสวมปลอกแขนกัปตันทีมที่มีสีสันเป็นสีรุ้ง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญระดับโลกนี้ด้วยนั่นเอง

โดยความตั้งใจของผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมันรายนี้ ต้องการสะท้อนถึงความเท่าเทียมกัน รวมไปถึงการเปิดใจกว้าง และต่อต้านการเหยียดซึ่งกันและกัน แต่ปรากฎว่า นอยเออร์กลับถูกทางสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า ตั้งทีมงานขึ้นมาสอบสวนถึงการกระทำดังกล่าว เนื่องจากการสวมปลอกแขนกัปตันทีม ถือเป็นกฎระเบียบข้อหนึ่งของนักฟุตบอลที่ต้องทำตามกติกาที่วางเอาไว้

แต่ต่อมา ทางยูฟ่าก็ออกมาให้ข่าวทำนองว่า ได้ล้มเลิกการสอบสวนกับนอยเออร์ไปแล้ว เนื่องจากได้ทราบถึงเจตนารมย์ของผู้รักษาประตูคนดัง ก็เป็นอันเข้าใจได้ แต่! เรื่องมันไม่จบเท่านั้น เพราะคืนนี้เยอรมันจะลงทำการแข่งขันนัดสุดท้าย เพื่อชี้ชะตาเข้ารอบ 16 ทีม โดยจะพบกับทีมชาติฮังการี ซึ่งประเด็นดราม่ามันอยู่ตรงที่ว่า

เยอรมัน ในฐานะเจ้าบ้าน จะขอเปิดไฟที่สนามอัลลิอันซ์ อารีนา ให้เป็นสีรุ้งรอบสนาม เจตนาก็เพื่อต้อนรับเดือน Pride Month นี่ล่ะ แต่มาติดตรงที่ว่า ที่ประเทศฮังการี รัฐสภาของฮังการี เพิ่งผ่านกฎหมายแบนการเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการรักร่วมเพศ พูดง่ายๆ ว่า เยอรมันไปอย่าง ฮังการีไปอีกอย่าง

เรื่องนี้จึงทำให้ยูฟ่า ในฐานะเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลยุโร 2020 ต้องตัดสินใจ เพราะถือว่าเป็นประเด็นอ่อนไหวพอสมควร และอาจจะมีผลกระทบในทางการเมืองโดยไม่จำเป็น สุดท้ายจึงขอไม่ให้ทางนายกเทศมนตรีเมืองมิวนิก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางสนามอัลลิอันซ์ อารีนา ได้เปิดไฟสีสันดังกล่าว

โดยทางผู้หลักผู้ใหญ่ของเยอรมันก็ยินยอม แต่ก็มีแอบประชดเล็กๆ ด้วยการไปเปิดไฟแสงสีรุ้งที่สนามฟุตบอลอื่นๆ ทั้งหมด และประชาชนเยอรมันก็จะพร้อมใจกันโบกธงสีรุ้ง เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แทน

สรุปเป็นเรื่องคนละมุมมองกันไป แต่สำคัญที่สุด ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน และหาความเหมาะสมร่วมกันให้ได้


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กรมการทหารช่าง กักตัว ครูฝึก-นร.นายสิบ ติดโควิด-19 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  กรณีการแพร่ระบาดของเชื่อไวรัสโคโรนา 2019 ในค่ายภาณุรังษี ทางเฟซบุ๊ก กรมการทหารช่างได้ชี้แจ้ง ว่า การแพร่ระบาดเกิดขึ้นภายในหน่วยฝึกหลักสูตรนายสิบกองหนุน ที่เข้ารับการฝึกตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ถึง วันที่ 6 สิงหาคม 2564 มีระยะเวลาการฝึก 3 เดือน และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดในห้วงที่ผ่านมา หน่วยได้มีการเตรียมการตามมาตรการข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข และตามแนวทางการจัดการฝึกของกองทัพบกภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งการเตรียมการหน่วยได้ดำเนินการกักตัวครูฝึกเป็นระยะเวลา 14 วันก่อนที่จะดำเนินการฝึก และในวันรายงานตัวเพื่อเข้ารับการฝึกของนายสิบนักเรียน หน่วยได้ดำเนินการคัดกรองนายสิบนักเรียนเป็นรายบุคคล โดยประเมินความเสี่ยงจาก ประวัติการเดินทาง ภูมิลำเนา และคัดแยกนักเรียนออกเป็นกลุ่ม เพื่อเฝ้าสังเกตอาการก่อนที่จะเริ่มดำเนินการฝึกเป็นเวลา 14 วัน 

โดยมีจำนวนนายสิบนักเรียน 147 นาย ซึ่งการดำเนินกิจกรรม เช่น การฝึกอบรม การรับประทานอาหาร การนอน และการทำกิจกรรมต่างๆ หน่วยได้แยกนายสิบนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย เพื่อรักษามาตรการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรค ตามแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของกระทรวงสาธารณสุขและกรมแพทย์ทหารบก นอกจากนี้ยังได้มีแผนรองรับ หากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในหน่วย โดยได้จัดเตรียม โรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ติดเชื้อ พื้นที่กักกันตัวสำหรับกำลังพลกลุ่มเสี่ยงสูง และพื้นที่กักกันตัวเพื่อสังเกตอาหารสำหรับกำลังพลกลุ่มเฝ้าระวัง

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2564 หน่วยได้รับทราบจากครูฝึกซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับไปพัก ในห้วงวันหยุด ซึ่งระหว่างการพัก ได้ไปสัมผัสกับผู้ป่วย ซึ่งทราบผลว่าเป็นผู้ป่วยยืนยัน ในวันที่ 18 มิถุนายน 2564 หน่วยจึงได้นำตัวครูฝึกดังกล่าว เข้ารับการตรวจหาเชื้อ ซึ่งผลการตรวจพบว่าติดเชื้อ และในวันที่ 21 มิถุนายน 2564 กรมการทหารช่าง จึงแจ้งโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี เข้าดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุก ครูฝึก และนายสิบนักเรียนทั้งหมด จำนวน 161 นาย และทราบผลในคืนวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ว่ามีครูฝึกและนายสิบนักเรียนติดเชื้อ จำนวน 72 นาย หน่วยจึงได้ดำเนินการร่วมกับโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี คัดแยกครูฝึก นายสิบนักเรียนที่ติดเชื้อ และที่ไม่พบการติดเชื้อออกจากกัน โดยกลุ่มผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (โรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี) และส่วนที่เหลือซึ่งเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง เข้ากักตัวในพื้นที่กักตัวค่ายบุรฉัตร จำนวน 84 นาย ตามแผนการป้องกันที่หน่วยได้เตรียมการไว้

ต่อมา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 กระทรวงสาธารณสุข และกรมแพทย์ทหารบก ได้จัดส่งบุคคลากรทางการแพทย์ เข้าตรวจคัดกรองอาการผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมดภายในโรงพยาบาลสนาม ซึ่งได้ดำเนินการตรวจโลหิต และเอ็กซเรย์ปอด เพื่อประเมินอาการเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป

กรมการทหารช่างจึงขอแจ้งให้ทราบถึงเหตุการณ์ การเตรียมการ มาตรการป้องกัน และการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และขอยืนยันเพื่อให้พี่น้องประชาชนเกิดความมั่นใจว่าการติดเชื้อดังกล่าวจะไม่แพร่กระจายไปสู่พี่น้องประชาชนภายนอก เนื่องจากกำลังพลนายสิบนักเรียนดังกล่าวทั้งหมด อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมและมาตรการป้องกันโรคมาโดยตลอด ซึ่งมิได้มีโอกาสสัมผัสบุคคคลภายนอก และมิได้อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าพบในห้วงระหว่างการฝึก สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ กองทัพบกได้สั่งการให้กรมการทหารช่างและกรมแพทย์ทหารบก ประสานการรักษาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด จึงขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน

ตำรวจเตือนแกนนำ หากร่วมชุมนุม 24 มิ.ย. ส่อโดนถอนประกันตัว

จากกรณี วันที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่จะถึงนี้ จะมีกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง 4 กลุ่ม ประกอบไปด้วย

1.) กลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า นำโดย นายชาติชาย ไพรลิน เวลา 13.00-20.00 น. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ เพื่อจัดกิจกรรมรำลึกถึงเหตุการณ์ครบรอบ 89 ปี อภิวัฒน์สยาม 2475

2.) กลุ่มประชาชนคนไทย นำโดย นายนิติธร ล้ำเหลือ เวลา 12.00 น. ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล วัตถุประสงค์ เรื่อง ขอให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

3.) กลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี นำโดย นายเจษฎา ศรีปรั่ง เวลา 11.00 น. ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในเวลา 11.00 น. วัตถุประสงค์เพื่อทำกิจกรรมขับไล่รัฐบาล

4.) กลุ่มไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นัดหมายทำเนียบรัฐบาล เพื่อทำกิจกรรมขับไล่รัฐบาล

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ออกมาเตือนประชาชนที่จะเข้าร่วมการ ‘ชุมนุม’ ช่วงนี้เข้าข่ายจำคุก 2 ปี ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พร้อมเผยว่า ทางการข่าวสืบทราบว่าแกนนำที่จะมาเข้าร่วมการชุมนุม หรือเป็นผู้เชิญชวนชักชวนให้ผู้อื่นมาร่วมการชุมนุม ยังเป็นจำเลย หรือผู้ต้องหาในคดีความมั่นคง ซึ่งอยู่ในระหว่างการประกันตัว โดยมีเงื่อนไขของการปล่อยตัวชั่วคราว

พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวต่อไปว่า โดยผู้ที่ได้รับการประกันตัวและศาลได้กำหนดเงื่อนไขไว้ เช่น ห้ามกระทำการใดๆ ในลักษณะเช่นเดียวกับที่ถูกกล่าวหา, ห้ามเข้าร่วม ‘ชุมนุม’ ในลักษณะที่เป็นการก่อความวุ่นวาย หรือความไม่สงบในบ้านเมือง, ห้ามพกพาอาวุธเข้าไปร่วมชุมนุมทางการเมือง หรือใช้กำลังประทุษร้ายต่อเจ้าหน้าที่ “จึงแจ้งเตือนผู้อยู่ในระหว่างประกันตัว ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลดังกล่าว อย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืน ทาง บช.น. จะทำการร้องขอต่อศาล พิจารณาให้ถอนการให้ประกันตัว" โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าว

นอกจากนี้ พล.ต.ต.ปิยะ ยังกล่าวย้ำเตือนประชาชนว่า การออกมาชุมนุมช่วงนี้เป็นความผิดตามข้อกำหนดซึ่งออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่ 24) ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2564 และที่เกี่ยวข้อง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ประกอบประกาศกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 33 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2564 ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน 20,000 บาท

 

ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/crime/471448


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รมต. ประจำสำนัก ยัน พร้อมเข้าสู่ รัฐบาลดิจิทัล ยึด เป้าหมาย 4 ด้าน

ที่อาคารบางกอกไทยทาวเวอร์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ (Government Chief Information Officer : GCIO) รุ่นที่ 30 ผ่านระบบประชุมทางไกล โดยมีนายสุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าร่วม 

โดยนายอนุชา กล่าวว่า รัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านภาครัฐให้พร้อมกับการเข้าสู่รัฐบาลดิจิทัล โดยมุ่งเน้นเป้าหมาย 4 ด้านสำคัญคือ

1.การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน  

2. การลดความเหลื่อมล้ำ

3. โปร่งใสตรวจสอบได้ และ

4.สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ภายใต้วิสัยทัศน์ “รัฐบาลดิจิทัล เปิดเผยเชื่อมโยงและร่วมกันสร้างบริการที่มีคุณค่าให้ประชาชน” ซึ่งจากผลสำรวจรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (United Nations E-Government Survey) 

นายอนุชา กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ พบว่าในปี 2563 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 57 ของจำนวนสมาชิก 193 ประเทศ ไต่อันดับขึ้นจากอันดับที่ 73 ในปี 2561 การก้าวกระโดดขึ้นมาถึง 16 อันดับในช่วงเวลาเพียง 2 ปี ถือว่าเป็นผลงานที่ดีเยี่ยม โดยส่วนหนึ่งเกิดจากรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรภาครัฐด้านดิจิทัลมาโดยตลอด โดยมีสถาบันพัฒนาบุคลากรภาครัฐด้านดิจิทัล : Thailand Digital Government Academy หรือ TDGA ภายใต้การดำเนินงานของ สพร. ทำหน้าที่ขับเคลื่อนการยกระดับทักษะดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐร่วมกับหน่วยงานและสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง 

นายอนุชา กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารับการอบรม จำนวน 80 คน ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมเป็นระดับผู้บริหารขององค์กรภาครัฐด้านเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) หรือ ผู้ช่วยผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO Assistant) โดยหลักสูตรมุ่งเน้นให้ผู้เข้ารับการอบรมเข้าใจในบทบาท หน้าที่และเสริมสร้างสมรรถนะที่จําเป็นของผู้บริหารสารสนเทศระดับสูง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดในการบริหารงานในองค์กรภาครัฐ สามารถนําความรู้ที่ได้รับจากการเข้าร่วมการฝึกอบรมไปใช้ในการกําหนด ขับเคลื่อนนโยบาย รวมถึงการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของชาติ 

นายอนุชา กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่า ผู้บริหารขององค์กรภาครัฐจะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้นโยบายรัฐบาลดิจิทัลบรรลุตามเป้าหมายและสามารถตอบโจทย์การให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แจ็ค กรีลิชและเมมฟิส เดอปาย สองนักเตะถุงเท้าย่น แต่ฟอร์มการเตะจัดจ้านในศึกยูโร 2020

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

ถึงจะแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตร แต่ประทานโทษ! โชว์ฟอร์มดีนะคร้าบ!! เรากำลังพูดถึง แจ็ค กรีลิช และ เมมฟิส เดอปาย 2 กองหน้าของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ตามลำดับ

จะว่าไป ทั้งสองคนนี้มีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง เป็นต้นว่า เล่นในตำแหน่งกองหน้าด้านข้างเหมือนกัน ชอบเลี้ยงบอลกินตัว แล้วหักเข้าด้านในไปยิงประตูเหมือนกัน หุ่นก็ล่ำ ๆ ตัน ๆ เหมือนกัน และแน่นอน มีซิกเนเจอร์ที่เหมือนกัน นั่นคือ ไม่ชอบดึงถุงเท้าให้ขึ้นไปตึงสุด หรือพูดง่าย ๆ คือ ชอบใส่ถุงเท้าย่นนั่นเอง อารมณ์คล้าย ๆ เด็กนักเรียนที่ใส่ถุงเท้าแล้วต้องดึงให้ย่นลงหน่อย ๆ

แต่ถึงจะย่น พวกพี่ ๆ ทั้งสองก็ฟอร์มเยี่ยม ยืนยันได้จากผลงานในทัวร์นาเม้นท์นี้ เมมฟิส เดอปาย ลงเล่นไปครบทั้ง 3 นัดในรอบแรก ช่วยให้เนเธอร์แลนด์เข้ารอบ 16 ทีมแบบเป็นแชมป์กลุ่ม แถมยังยิงประตูไป 2 ลูก จัดแอสซิสต์อีก 2 ลูก เข้าขั้นฟอร์มเฉียบเอามาก ๆ

ด้าน แจ็ค กรีลิช ลงสนามมา 2 นัด แต่เพิ่งลงในฐานะ 11 ตัวจริงในนัดที่อังกฤษพบกับสาธารณรัฐเช็กเมื่อคืน ซึ่งทำผลงานได้ดีตั้งแต่เริ่มเกม เป็นคนเปิดบอลไปให้ราฮีม สเตอร์ลิ่ง โขกประตูชัย โดยหลังเกม เจ้าตัวถูกยกให้เป็น Star of the match ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่า กรีลิชจะยึดพื้นที่ตัวจริงในนัดต่อไปอย่างแน่นอน

ถึงตรงนี้ ทั้งเดอปาย และกรีลิช คือนักเตะคนสำคัญของทีม และน่าจะเชิดฉายในยูโร 2020 นี้อย่างไม่ต้องสงสัย ต้องติดตามกันต่อไปว่า ทั้งสองคนจะงัดศักยภาพออกมาช่วยทีมให้ประสบความสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด แต่ที่แน่ ๆ ยังไงพวกเขาก็ไม่ดึงถุงเท้าขึ้นมาอย่างแน่นอน! It’s my style!!


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘กลุ่มนักเรียนดี’ บำเพ็ญประโยชน์ ขจัดคราบแค้น ‘กลุ่มนักเรียนเทียม’

ไม่นานมานี้ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chiky Natkritta ได้โพสต์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กลุ่ม ‘นักเรียนเลว’ มาเรียกร้องขอมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน และเอาผ้าหลากสีเจลจารบีมาพันพระบรมรูป รัชกาลที่ 6 ที่กระทรวงศึกษา จนถูกตำรวจจับตัวไปว่า…

วันก่อนฝ่ายแค้นชังชาติ จ้าง ‘นักเรียนเทียม’ อายุโข่งผู้ใหญ่ให้แต่งตัวคอสเพลย์แสดงบทบาทตั้งชื่อกลุ่มว่า ‘นักเรียนเลว’ มาเรียกร้องขอมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน จากนั้นเอาสีมาสาด และเอาผ้าหลากสีเจลจารบีมาพันพระบรมรูป รัชกาลที่ 6 ที่กระทรวงศึกษา จนถูกตำรวจจับตัวไป

ทว่าเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 64 ที่ผ่านมา ตัวแทน ‘กลุ่มนักเรียนดี’ พร้อมด้วยตัวแทนลูกเสือจากหลายโรงเรียนรอบกรุงเทพฯ เดินทางมาบำเพ็ญประโยชน์ ทำความสะอาดบริเวณลานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

โดยนายชัยวัฒน์ สมมิตร ตัวแทนกลุ่มนักเรียนดี กล่าวว่า ตนเองเป็นตัวแทนกลุ่มนักเรียนดี เข้ามามอบหนังสือให้กำลังใจรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ น้องบอกว่าสิทธิเสรีภาพของประชาธิปไตย ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นคน แต่คำว่าประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพไม่ควรสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น อีกทั้งการแสดงออกของกลุ่มคนเหล่านี้ อาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของการเป็น LGBT เป็นไปในทางที่ดีหรือแย่ลง อย่าทำให้มันสุดโต่ง

ที่ผ่านมาหลายคนอาจวิตกกับการปั่นกระแสของฝ่ายแค้นชังชาติ ในการสร้างภาพให้เยาวชนเป็นคนเลว แต่ในความจริงนั้น ‘มีเป็นส่วนน้อยของสังคม’ เท่านั้น น้องๆ ที่ดีๆ มีอีกหลายล้านคน แต่พวกเขาตั้งใจเรียนทำหน้าที่ตามวัยของตน และไม่แสดงตนจนเมื่อเวลาเหมาะสมพวกเขาก็จะออกมาให้สังคมทราบว่า พวกเขาอยู่กันครบไม่หายไปไหน...ผู้ใหญ่เห็นแบบนี้ก็สบายใจว่าสังคมไทยยังเดินหน้าต่อได้อย่างมีอนาคตแน่นอน

 

ที่มา : https://www.facebook.com/groups/863058654427023/permalink/982658709133683/

ภาพ: Top News


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ฟอร์มเงียบ แต่แชมป์กลุ่ม อังกฤษ เฉือนหวิว เช็ก 1-0

อังกฤษ ต้องการชัยชนะ เพื่อการันตีเป็นแชมป์กลุ่ม กรุยทางเข้ารอบต่อไป ซึ่งก็ทำได้ตามเป้า โดย ราฮีม สเตอร์ลิง ซัดประตูชัยตั้งแต่นาทีที่ 12 ของการแข่งขัน

จากนั้น ทั้ง 2 ทีมทำอะไรกันไม่ได้ หมดเวลา 90 นาที อังกฤษ เฉือนชนะ สาธารณรัฐเช็ก 1-0 เก็บเพิ่มสามคะแนน มี 7 แต้ม เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฐานะแชมป์กลุ่มดี รอพบทีมอันดับ 2 ของกลุ่มเอฟ ต่อไป

ส่วนสาธารณรัฐเช็ก มี 4 คะแนน เท่ากับ โครเอเชีย แต่ประตูได้เสียเป็นรอง ตกไปเป็นอันดับ 3 แต่ยังได้ลุ้นเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 3 ที่มีคะแนนดีสุด


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ได้ความเก๋า! โครเอเชีย ทำได้ตามเป้า เข้ารอบเป็นที่สอง

ฟุตบอลยูโร 2020 กลุ่มดี นัดสุดท้าย

สกอตแลนด์???????????????????????? 1-3 โครเอเชีย

นัดสุดท้ายของกลุ่มดี โครเอเชีย รองแชมป์โลก ต้องชนะสถานเดียวเท่านั้น จึงจะผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ต่อไป ซึ่งพลพรรคตราหมากรุก สามารถทำได้ตามเป้า ใช้ความเก๋า บดเอาชนะ สกอตแลนด์ ไปได้ 3-1 โดยโครเอเชีย ได้ประตูจาก นิโคล่า วลาซิช นาทีที่ 17, ลูก้า โมดริช นาทีที่ 62 และอีวาน เปริซิช นาทีที่ 77 ส่วนสกอตแลนด์ ได้ประตูจากดาร์เรน แม็คเกรเกอร์ นาทีที่ 42


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้ร่นระยะเวลาฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า เข็มที่ 1 และ 2 จากปกติที่ห่างกัน 10-12 สัปดาห์ ปรับเป็น 8 สัปดาห์ได้ ในพื้นที่ที่มีการระบาด หลังพบสายพันธุ์เดลต้าระบาดเร็ว

เมื่อวันที 22 มิถุนายน 2564 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดสรรวัคซีนกระจายไปยังพื้นที่แล้วรวม 8.5 ล้านโดส ตามแผนที่ ศบค. กำหนด เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามการพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 21 มิถุนายน 2564 ฉีดวัคซีนแล้วรวม 7,906,696 โดส เป็นเข็ม 1 จำนวน 5,678,848 โดส และเข็ม 2 จำนวน 2,227,848 โดส เป็นวัคซีนซิโนแวครวม 5,550,891 โดส และแอสตร้าเซเนก้ารวม 2,355,805 โดส

นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า สำหรับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้มีมติ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 กำหนดระยะห่างของการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 ห่างกัน 10-12 สัปดาห์ และสามารถขยายได้ถึง 16 สัปดาห์ในกรณีที่จำเป็น สอดคล้องกับข้อมูลของประเทศอังกฤษที่มีการศึกษาว่าขยายได้ถึง 16 สัปดาห์ในระยะแรกของการรณรงค์ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่พบการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า โดยมอบให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด / กทม. บริหารจัดการฉีดวัคซีนในพื้นที่ได้ตามความเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่าสายพันธุ์เดลต้า (สายพันธุ์อินเดีย) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จึงเห็นชอบให้พื้นที่ที่มีการระบาด สามารถปรับระยะเวลาการฉีด เข็มที่ 2 ให้เร็วขึ้นจากปกติที่นัดห่างจากเข็มแรก 10-12 สัปดาห์เป็น 8 สัปดาห์

 

ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/150001


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top