Wednesday, 25 June 2025
NEWS FEED

ทบ. มอบม้าทหารให้ชาวลำปาง ร่วมสืบสานเอกลักษณ์รถม้าคู่เมือง 

ร้อยเอกหญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้ความสำคัญในการสืบสานเอกลักษณ์วัฒนธรรมของประเทศไทย โดยเฉพาะเอกลักษณ์อันสำคัญของชาวลำปาง เมืองแห่งรถม้าที่มีความผูกพันกับประชาชนในพื้นที่มายาวนานร่วม 100 ปี และนับเป็นจังหวัดเดียวที่ยังคงมีการใช้ม้าเป็นพาหนะให้บริการประชาชนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

โดยผู้บัญชาการทหารบกได้มีดำริให้มณฑลทหารบกที่ 32 ร่วมกับกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 3 กรมการสัตว์ทหารบก พิจารณาสนับสนุนม้าของกองทัพบกที่มีสุขภาพแข็งแรง ผ่านการดูแลฝึกฝนจนสามารถเสริมภารกิจด้านต่างๆ ทั้งงานพระราชพิธีและปฏิบัติการทางทหาร อาทิ การลาดตระเวนเฝ้าระวัง สกัดกั้นแนวชายแดนหรือพื้นที่ที่มีข้อจำกัดต่อการเข้าถึง และการช่วยขนย้ายบรรทุกสิ่งอุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนการช่วยเหลือประชาชนผ่านโครงการอาชาบำบัด, โรงเรียนสอนขี่ม้าและส่งเสริมด้านการกีฬาเพื่อสนับสนุนการแข่งขันของเยาวชนในระดับประเทศและนานาชาติ

โดยได้ร่วมกับส่วนราชการจังหวัดและชมรมขี่ม้า จ.ลำปาง สำรวจความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และดำเนินการส่งมอบม้าจำนวนทั้งสิ้น 12 ตัว พร้อมอาหารและเวชภัณฑ์ ณ โพนี่แคมป์ อ.เมือง จ.ลำปาง เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.64 ที่ผ่านมา ภายใต้รูปแบบกิจกรรมสอดคล้องตามมาตรการ ศบค. เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน และลดภาระประชาชนในการจัดหาม้าตัวใหม่ที่มาราคาค่อนข้างสูง ทดแทนตัวเดิมที่มีอายุและการใช้งานระยะเวลานาน 

ขณะเดียวกันทางหน่วยจะมีการติดตามข่าวสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างส่วนราชการในพื้นที่และประชาชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลอนุรักษ์ม้า ส่งเสริมการประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านรถม้าบริการท่องเที่ยว และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวจังหวัด เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวหากสถานการณ์คลี่คลายในอนาคต ตลอดจนร่วมสืบสานเอกลักษณ์รถม้าคู่เมืองให้คงอยู่สืบไป 

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นหนึ่งในภารกิจการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะในช่วงที่เผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งกองทัพบกยืนยันจะดำรงการใช้ศักยภาพของทรัพยากรที่มีอยู่ในทุกมิติให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดเพื่อดูแลเคียงข้างประชาชน และร่วมฟื้นฟูบรรเทาทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบให้สามารถข้ามผ่านวิกฤตการณ์ กลับมาดำเนินตามสภาวะปกติสุขได้โดยเร็ว

‘ศักดิ์สยาม’ รับนโยบาย ‘บิ๊กตู่’ เร่งจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ลดการพึ่งพาเรือต่างชาติ เพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพบริการขนส่งทางทะเล

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564 ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ด้วยระบบ Zoom Cloud Meetings โดยมีนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) อธิบดีกรมเจ้าท่า ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย และสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมประชุม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ทำหน้าที่ ฝ่ายเลขานุการ 

นายศักดิ์สยามฯ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้กระทรวงคมนาคม จัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ เพื่อพัฒนาการขนส่งทางทะเลของไทยให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้น กระทรวงคมนาคมได้มีนโยบายที่จะให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติขึ้นมาใหม่ เนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน กองเรือพาณิชย์ของไทยที่ทำการขนส่งสินค้าทางทะเล มีขนาดเล็ก มีระวางบรรทุกน้อย ไม่สามารถขนส่งระยะไกล เรือสินค้าไทยมีสัดส่วนในการขนส่งสินค้าเข้า-ออกจากประเทศเพียงร้อยละ 9 และไทยต้องพึ่งพาเรือสินค้าต่างชาติถึงร้อยละ 91 ทำให้ไทยขาดดุลค่าระวางขนส่งสินค้าสูงถึงประมาณร้อยละ 90 คิดเป็นเงินประมาณ 1.33 ล้านล้านบาทต่อปี 

เมื่อกระทรวงคมนาคมมีแผนการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาค ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศ ความเป็นศูนย์กลาง การเป็นทางผ่านของการขนส่งระหว่างภูมิภาคของโลก ย่อมเป็นความได้เปรียบและเป็นโอกาส ในขณะที่กระทรวงคมนาคม ได้เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมาอย่างต่อเนื่อง การผลักดันการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ จะช่วยให้ไทยลดการพึ่งพาเรือต่างชาติ ลดต้นทุนการขนส่ง ลดการขาดดุลค่าระวาง และเสริมศักยภาพ การแข่งขันให้กับเรือไทย ตลอดจนช่วยให้มีการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งให้คุ้มค่า การขนส่งสินค้านำเข้าส่งออกทางทะเลจะมั่นคงและมีเสถียรภาพมากขึ้น

ดังนั้น กระทรวงคมนาคม จึงแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติขึ้น และได้กำหนดให้มีการประชุม ครั้งที่ 1 ในวันนี้ เพื่อให้คณะกรรมการ เป็นกลไกเร่งรัดการดำเนินงาน และการขับเคลื่อนเพื่อจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติให้สำเร็จโดยเร็วต่อไป 

นายศักดิ์สยาม กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมในวันนี้ ได้พิจารณากรอบแนวทางในการดำเนินงานจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ และทางเลือกรูปแบบการดำเนินงาน รวมทั้งเห็นชอบแผนการดำเนินงาน (Action Plan) เพื่อเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ซึ่งได้มอบหมายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ และนำเสนอผลการศึกษาให้คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเตรียมการจัดตั้งบริษัท สายการเดินเรือแห่งชาติ จำกัด โดยมีนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล แนวทางและรูปแบบการจัดตั้งบริษัท สายการเดินเรือแห่งชาติ จำกัด ที่มีความเหมาะสม รวมทั้งประเด็นข้อกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยบข้อง เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติต่อไป

ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ได้มีข้อสั่งการให้นำเสนอความก้าวหน้าของการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ภายใน 1 เดือน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ 

1.) มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคม ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย และกรมเจ้าท่า เชิญสถาบันการศึกษา เพื่อหารือเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดเตรียมบุคลากรด้านพาณิชย์นาวี สำหรับรองรับ จัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ 

2.) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร จัดตั้งคณะอนุกรรมการในแต่ละด้านเพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติต่อไป 

3.) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบ การลงทุนและการถือหุ้นของบริษัทเดินเรือในประเทศต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นแนวทางและรูปแบบการจัดตั้ง สายการเดินเรือแห่งชาติต่อไป 

4.) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษาแนวทางการกำหนดสิทธิประโยชน์ และการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและจดทะเบียนเรือในประเทศไทย

5.) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในรูปแบบการดำเนินงานของ บริษัท สายการเดินเรือแห่งชาติ จำกัด ในกรณีที่รัฐบาลถือหุ้นบุริมสิทธิ เพื่อให้มีความคล่องตัว ในการดำเนินงานและมีอำนาจในการตัดสินใจ 

รมว.เฮ้ง ลงพื้นที่เตรียมกำลังแรงงานพร้อมเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์”

รมว.เฮ้ง ลงพื้นที่เตรียมกำลังแรงงานพร้อมเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เตรียมความพร้อมกำลังแรงงาน สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล ในการเปิดประเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาโดยเร็ว 

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดภูเก็ต ณ ห้องประชุมตึก 3 ชั้น สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 21 ภูเก็ต โดยมี นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายพิเชษฐ์  ปาณะพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายสุทา  ประทีป ณ ถลางสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 จังหวัดภูเก็ต 

นายประทีป ทรงลำยอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี ท่านพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี ท่านพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงานมีความห่วงกังวลและต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลายประเทศใช้มาตรการการล็อกดาวน์หรือปิดเมือง เพื่อจำกัดการเคลื่อนที่ของผู้คนและลดการสัมผัสใกล้ชิด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบุคคลที่อยู่ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างกะทันหัน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน จึงได้กำหนดมาตรการและการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องผู้ใช้แรงงาน จึงได้เร่งรัดให้ทุกจังหวัดสำรวจความต้องการการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตน เพื่อเป็นการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการมีงานทำให้กับผู้จบการศึกษาใหม่ การพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อรองรับวิถีใหม่ โดยการ Up skill และการ Re skill การคุ้มครองสิทธิแรงงาน และการสร้างหลักประกันทางสังคม รวมถึงมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการอีกด้วย ในวันนี้ผมจึงได้ลงพื้นที่มาเพื่อประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามรายงานสถานการณ์ด้านแรงงาน และการดำเนินงานตามภารกิจกระทรวงแรงงานเพื่อเตรียมการรองรับการเปิดเมืองภูเก็ต และตรวจเยี่ยมกิจกรรมที่สอดรับการเปิดเมือง เช่น การประเมินความรู้ความสามารถสาขาช่างไฟฟ้า ทดสอบมาตรฐานสาขาช่างไฟฟ้า มอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ผ่านการประเมินความรู้ความสามารถสาขาช่างไฟฟ้า สาธิตบาริสต้า อบรมภาษาอังกฤษผ่านระบบซูม 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้มีการดำเนินการของหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับมาตรการดังกล่าว ได้แก่ การเตรียมตำแหน่งงานว่างรองรับสำหรับผู้ว่างงาน การฝึกอาชีพอิสระ โดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ การ Up - skill/Re - skill/New - skill เพื่อยกระดับศักยภาพกำลังแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ สร้างความรับรู้ความเข้าใจ ให้คำปรึกษาด้านแรงงานแก่สถานประกอบการเกี่ยวกับใช้ระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง การดูแลสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีผู้ถูกเลิกจ้างว่างงานจากผลกระทบโควิด-19 ตลอดจนการส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล ในการเปิดประเทศตามโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาโดยเร็ว 

รมว.แรงงาน ยังได้กล่าวส่งความห่วงใยและให้กำลังใจข้าราชการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดชายแดนภาคใต้และทุกจังหวัดในภาคใต้ที่เข้าร่วมประชุมผ่านระบบ Zoom  โดยขอให้ทุกคนระมัดระวังดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงปลอดภัยจากการที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ในตรวจแรงงานต่างด้าว การตรวจเยี่ยมสถานประกอบการ ซึ่งกระทรวงแรงงานมีหน้าที่ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานให้ทันสมัย ทั้งการรับสมัครงาร อบรมฝึกอาชีพ แรงงานสัมพันธ์ การสร้างหลักประกันความมั่นคง ความปบอดภัยในการทำงานอีกด้วย

"บิ๊กตู่" ห่วงเฟกนิวส์คนป่วยโควิดภูเก็ต ทำลายบรรยากาศเปิดประเทศ วอนตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จะเดินทางไปดูความเรียบร้อยในวันแรกที่จะเปิด "ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์" ซึ่งนายกฯ มีความกังวลเรื่องเฟกนิวส์ที่ออกมาล่าสุดว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด 5 ราย ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ได้ชี้แจงแล้วว่า ผู้ติดเชื้อดังกล่าวไม่ใช่ผู้ที่อยู่ใน จังหวัดภูเก็ต แต่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากกทม. และผ่านการคัดกรองตามระเบียบของจังหวัด ขณะนี้ผู้ป่วยทั้ง 5 รายที่ติดเชื้อก็ดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่างแล้ว

นายอนุชา กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อไม่ทำลายบรรยากาศการเตรียมความพร้อมเปิดประเทศ เพื่อให้เข้าใจตรงกันทุกอย่าง และดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการ เพื่อให้สามารถเปิดประเทศนำร่องที่จังหวัดภูเก็ตได้ จึงเป็นเรื่องที่นายกฯ อยากให้สื่อสารให้ประชาชนทุกคนได้เข้าใจ


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รมช.แรงงาน เดินหน้าปรับปรุงแผนการดำเนินงานด้านพัฒนากำลังคนของประเทศ รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve รับสถานการณ์โควิด-19

วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ครั้งที่ 3/2564 โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุม และนางสาวจิราภรณ์ ปุญญฤทธิ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำหน้าที่เลขานุการ ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ เป็นการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน ตามแผนการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve เพื่อให้เกิดการผลิตและพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก การรวบรวมแผนงานโครงการด้านการผลิตและพัฒนาแรงงาน การวิเคราะห์ตำแหน่งงานและความต้องการแรงงาน และการจับคู่ระหว่างแผนโครงการและความต้องการแรงงาน เพื่อหาช่องว่างของการพัฒนา นำไปสู่แผนงานโครงการในอนาคต นอกจากนี้ยังได้มีการปรับแผนปฏิบัติงาน เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้งดจัดการประชุม และห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มของบุคคลจำนวนรวมกันมากกว่า 20 คน ทำให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ได้ โดยในที่ประชุมได้เสนอให้มีการประชุมกลุ่มย่อยแต่ละอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น ประสานข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อให้ข้อมูลมีความสมบูรณ์และเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน รวมถึงให้รายงานความก้าวหน้าในทุกสัปดาห์ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากที่สุด

รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ทบทวนและเพิ่มเติมแผนงานโครงการในปี พ.ศ. 2564-2471 ให้เป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้วิเคราะห์ตำแหน่งงานและความต้องการแรงงานเชิงปริมาณในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ประกอบด้วย ข้อมูลทักษะเพื่ออนาคตและตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม ข้อมูลความต้องการแรงงานใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายปี พ.ศ. 2563 ซึ่งขณะนี้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดทำร่าง 2nd Function Map โดยได้หารือร่วมกับผู้แทนกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อพิจารณาร่างแผนตำแหน่งงานและความต้องการแรงงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“แม้ว่าในช่วงนี้สถานการณ์โควิด-19 ยังระบาดอย่างอย่างต่อเนื่อง แต่ภารกิจในการเตรียมแรงงานให้มีความพร้อมในอุตสาหกรรม S-Curve ยังคงเดินหน้าต่อไป โดยต้องปรับรูปแบบและแนวทางการดำเนินงานให้สอดรับกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม เพื่อให้แรงงานมีทักษะ มีความรู้ความสามารถ และแข่งขันในตลาดแรงงานได้ ” รมช. แรงงงาน กล่าวทิ้งท้าย

บก.ทบ. จัดตรวจเชิงรุกคัดกรองเชื้อกำลังพล WFH สร้างความปลอดภัยกำลังพลผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ 

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ส จากนโยบายพิทักษ์พลที่สอดคล้องกับมาตรการป้องกัน COVID-19 ที่กองทัพบกดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการติดเชื้อสู่หน่วยทหารและกำลังพล โดยเฉพาะมาตรการ WFH (Work From Home) ให้กำลังพลปฏิบัติงาน ที่ที่พัก และผลัดเปลี่ยนมาปฏิบัติงานในหน่วยทหารตามวงรอบเพื่อลดความแออัด เมื่อกลับมาปฏิบัติงานในที่ตั้งหน่วยจะมีการตรวจคัดกรองหรือการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กำลังพลตามแนวทางของ ศบค.19 ทบ. 

สำหรับในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก กทม. พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีนโยบายให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุก โดยมอบให้สถาบันวิจัยวิทยาศาตร์การแพทย์ทหาร เข้าดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยวิธี Rapid Test ให้กับกำลังพลทุกระดับที่หมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติงาน 

โดยได้จัดตรวจคัดกรองเชิงรุกในผลัดแรกไปแล้วเมื่อ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา และล่าสุดในวันที่ 30 มิ.ย. 64 ได้จัดตรวจคัดกรองเชิงรุกในผลัดที่ 2 ซึ่งมีกำลังพลเข้ารับการตรวจ 1,360 นาย โดย ผู้บัญชาการทหารบกได้มาตรวจเยี่ยมและเข้ารับการตรวจหาเชื้อพร้อมกับข้าราชการที่ปฏิบัติงานในกองบัญชาการกองทัพบกด้วย สำหรับผลการตรวจหากพบกำลังพลมีการติดเชื้อจะมีการตรวจซ้ำและนำเข้าสู่กระบวนการควบคุมและรักษาตามลำดับต่อไป โดยระหว่างการตรวจคัดกรองได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการตรวจหาเชื้อ การฉีดวัคซีน COVID-19 เพื่อให้ตระหนักและสามารถปฏิบัติตนได้สอดคล้องกับพัฒนาการของการแพร่ระบาด 

“การตรวจคัดกรองเชิงรุกก่อนเข้าปฏิบัติงาน เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ในการดูแลกำลังพลไม่ให้มีการติดเชื้อ เป็นการสร้างความปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID ในสถานที่ทำงาน และไม่เป็นภาระด้านการรักษาพยาบาลให้กับระบบสาธารณสุข ที่สำคัญทำให้กำลังพลมีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การตรวจคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบกจะมีการจัดตรวจตามวงรอบแบ่งผลัดปฏิบัติงานตามมาตรการ WFH อย่างต่อเนื่องทุก 7 วันทำการ

กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลประกาศหาผู้ที่สนใจซื้อต่อวัคซีน Pfizer มากกว่า 8 แสนโดสที่ค้างอยู่ในสต็อค และกำลังจะหมดอายุภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2021 นี้ หากไม่มีประเทศไหนสนใจก็จำเป็นต้องทำลายทิ้งทั้งหมด

วัคซีนตกค้างมูลค่ารวมหลายล้านเหรียญที่อิสราเอลถือครองอยู่และประกาศขายเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะจากข้อมูลที่เปิดเผยโดยสื่อมวลชนอิสราเอลพบว่า รัฐบาลมีวัคซีน Pfizer เหลือค้างที่กำลังจะหมดอายุถึง 1.4 ล้านโดส แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 สายพันธุ์ Delta ที่กลับมาใหม่ในอิสราเอล จึงต้องเร่งฉีดวัคซีนประมาณ 6 แสนโดส ให้กับกลุ่มเยาวชนชาวอิสราเอลอายุระหว่าง 12-15 ปี ให้ทันภายในเดือนนี้

ส่วนที่เหลือมากกว่าครึ่งที่ฉีดไม่ทัน จำเป็นต้องทิ้งไป

ตอนนี้รัฐบาลอิสราเอลกำลังเร่งเจรจาหาประเทศที่สนใจมาซื้อวัคซีนต่อจากอิสราเอล หรือแม้แต่ขายโควตายอดจองวัคซีนล่วงหน้า ซึ่งมีรายงานว่ามีถึง 3 ประเทศที่เข้ามาติดต่อขอรับซื้อวัคซีนแล้ว

แต่ก่อนหน้านี้ อิสราเอลก็มีวัคซีนล็อตที่หมดอายุภายในเดือนมิถุนายนปีนี้ และได้ติดต่อส่งมอบให้กับรัฐบาลปาเลสไตน์ แต่ถูกปฏิเสธไปเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งกระชั้นชิดกับวันหมดอายุมากจึงต้องทิ้งไป

แต่วัคซีนล็อตที่กำลังจะหมดอายุในเดือนกรกฎาคมมีมากถึงกับต้องประกาศขาย และเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับวัยรุ่นอิสราเอลให้ทันภายในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ เพื่อจะได้มารับวัคซีนเข็ม 2 ได้ทันวันหมดอายุ เท่ากับว่าจำเป็นต้องเร่งฉีดให้ได้มากถึง 1.3 หมื่นคนต่อวันเป็นอย่างน้อย

จนถึงตอนนี้ มีประชาชนชาวอิสราเอลรับวัคซีนครบ 2 เข็มไปมากกว่า 5 ล้านคน คิดเป็น 57% ของประชากร มากเป็นอันดับ 1 ของโลก และอิสราเอลเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่ได้รับวัคซีน Pfizer ในจำนวนที่ไม่มีการเปิดเผย

แต่ถึงแม้จะมีวัคซีนในสต็อคเป็นจำนวนมากแล้ว จนไม่สามารถฉีดทันวันหมดอายุ และต้องเหลือทิ้งเกือบล้านโดส แต่เมื่อช่วงเดือนเมษายนก็พบว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ได้เซ็นสั่งวัคซีน Pfizer เข้ามาเพิ่มอีก 18 ล้านโดส เตรียมที่จะฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อ้างอิง : https://www.timesofisrael.com/israel-may-have-to-throw-away-nearly-1-million-covid-vaccines/

https://www.fr24news.com/a/2021/06/israel-may-have-to-throw-away-nearly-a-million-covid-vaccines.html


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. ให้มุมมองเกี่ยวกับ BRI

เมื่อสถานการณ์ภาพรวมโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มทรง ๆ ผู้คนเริ่มชินชากับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน ประเด็นโรคระบาดครั้งใหญ่ แผ่วเบาลงบ้างจากความสนใจของประชาคมโลก

เวลานี้จึงมีเรื่องราวของ อภิมหายุทธศาสตร์ Belt and Road initiative (ข้อริเริ่มแถบและเส้นทาง) หรือ BRI หวนกลับมาเป็นหัวข้อสำคัญอีกครั้ง

ล่าสุด กลายเป็นหนึ่งในวาระการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ประกอบด้วย สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีขึ้นที่รีสอร์ทริมทะเลคาร์บิสเบย์ มณฑลคอร์นวอลล์ ของสหราชอาณาจักร เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

‘ไบเดน ยุ G7 รวมพลังต้านอิทธิพลจีน เปิดแผนสู้โครงการเส้นทางสายไหม’ กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ของ เว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2564

คล้อยหลังไม่ทันข้ามวัน เพจ TNN World รายงานข่าวในประเด็นเดียวกัน โดยอ้างถึงบทวิเคราะห์ของ สำนักข่าว Reuters ที่ระบุ ผู้นำ G7 กำลังหาหนทางร่วมกันในการรับมือกับ สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน ที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น หลังแผ่ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและทางทหารขนานใหญ่ ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา

บทวิเคราะห์ จากรอยเตอร์ ยังเชื่ออีกว่า ผู้นำกลุ่ม G7 กำลังเตรียมเสนอโครงการโครงสร้างพื้นฐานให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อแข่งกับโครงการเส้นทางสายไหม ในศตวรรษที่ 21 หรือ Belt and Road initiative (BRI) มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของผู้นำจีน

ในโอกาสที่ BRI ถูกจับตาอีกครั้งและพรรคคอมมิวนิสต์จีน เฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2021 นี้ เพจเฟซบุ๊ก Platform Economy and Transition in the New Era under the BRI ASEAN ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์แบบ Exclusive จาก รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. ซึ่งเกาะติดจับตาการเปลี่ยนแปลงของจีนมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนานเกือบ 30 ปี มีบทความวิเคราะห์ผ่านสื่อต่าง ๆ มีผลงานหนังสือ 9 เล่ม และงานวิจัยเกี่ยวกับจีน อีก 20 กว่าเรื่อง อีกทั้งยังเน้นลงพื้นที่เก็บข้อมูลในจีน เพราะอยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ใช่แค่มองจีนผ่านสื่อตะวันตก จึงตั้งใจเดินทางไปให้ครบทุกมณฑลของจีนว่า...

วันที่ ‘สื่อไทย’ ต้องรู้เท่าทันแผนการใหญ่ BRI หรือ Belt and Road initiative (เส้นทางสายไหมใหม่) ของจีน!!

แน่นอนว่าหลายคนอาจจะวัดจากปริมาณงานที่ทำเกี่ยวกับจีนของ รศ.ดร.อักษรศรี และมีเข้าใจผิดไปบ้างว่าเธอเป็นนักวิชาการ ‘โปร จีน’ ซึ่งเธอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่เลย เพียงแต่เธอมอง จีน ในมุมของความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จึงต้องศึกษาให้รู้เท่าทัน และเกาะติดจับตาอย่างต่อเนื่อง

รศ.ดร.อักษรศรี >> “จับเรื่องจีนอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2535 ที่เริ่มเรียนปริญญาโท เพราะมี Passion ที่เริ่มจากความสงสัยในระบบแบบจีน ต้องการไขปริศนาระบบแบบจีนที่ไม่เหมือนใคร จากที่เคยเรียนรู้มาแบบเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก จึงเกิดความสงสัยว่า การที่จีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่จะใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมกลไกตลาด แล้วมันจะไปด้วยกันได้เหรอ มันจะทำได้นานแค่ไน มันจะพังลงสักวันหนึ่งมั้ย หรือจะล่มสลายเหมือนสหภาพโซเวียตมั้ย” รศ.ดร.อักษรศรี ยิ้มเมื่อเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่สนใจไขปริศนาระบบแบบจีน ก่อนบอกจริงจังว่า…

รศ.ดร.อักษรศรี >> “ช่วงแรก ๆ บอกเลยว่า ออกแนวจับผิดว่า ระบบแบบจีนจะไหวมั้ย มันจะล่มสลายเมื่อไร ตอนนั้นมองอย่างนั้น เพราะเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีแนวเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาไง เลยเอากรอบแบบตะวันตกไปมองจีน แต่เมื่อเวลาผ่านไป จีนเติบโตอย่างที่ยากจะหยุดยั้ง ด้วยระบบทุนนิยมโดยรัฐของจีนที่ไม่ได้เดินตามตำราฝรั่ง จึงสนใจศึกษาเรื่องจีนที่แปลกไม่เหมือนใครอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสนุกกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันของจีน และมามองจีนตามข้อเท็จจริงที่ได้ไปเห็นหรือสัมผัสมาด้วยตัวเอง”

ทั้งนี้หากมองในประเด็นเกี่ยวกับ BRI นั้น เธอชี้ว่าไทยไม่ควรเคลิ้มเกินไป และไม่เชียร์เกินงาม…

รศ.ดร.อักษรศรี >> “เมื่อโลกหมุนมาถึง พ.ศ. นี้ ปฏิเสธไม่ได้ หากเอ่ย ถึง จีน เมื่อไหร่ ย่อมจะมีความเชื่อมโยงกับ BRI ไม่ทางใดทางหนึ่ง เพราะยุทธศาสตร์ BRI เป็น Long Term Strategy ที่จีน “คิดใหญ่ มองไกล” ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่ฉาบฉวยทำไปวัน ๆ และภายใต้ BRI จีน ไม่ใช่แค่ส่งออกแค่สินค้าจีน หรือจีนไม่ได้แค่ส่งออกแค่นักธุรกิจจีน แต่จีนใช้ BRI เพื่อส่งออกแพลตฟอร์มจีน และส่งออกเทคโนโลยีจีน นี่คือสิ่งที่อยากให้ความสำคัญว่าหลายอย่างที่จีนทำวันนี้ ล้วนเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ใหญ่ BRI

“ที่สำคัญ BRI ไม่ใช่แค่ FTA (Free Trade Area) แต่ BRI คือ Grand Strategy เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ครอบคลุมหลายมิติ เป็นหนังเรื่องยาวที่ต้องเกาะติด เป็นคัมภีร์ที่ สี จิ้นผิง ใช้บุกโลก ฉะนั้น ทุกภาคส่วนต้องตื่นตัว รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย”

รศ.ดร.อักษรศรี ยังบอกต่อ “จากประสบการณ์ที่จับเรื่องจีนมานาน สามารถสรุปได้ว่า Mindset ของสื่อไทย ทั้งสื่อกระแสหลัก และสื่อโซเซียลที่มีต่อจีนนั้น แบ่งเป็นสองกลุ่มสุดขั้ว คือ กลุ่มโปรจีน กับ กลุ่มไม่เอาจีน ซึ่งสื่อโซเชียลไทยที่โปรจีนก็จะชื่นชม สี จิ้นผิง ดุจดั่งผู้นำในฝันดีเลิศไปหมด ส่วนฝ่ายที่ไม่เอาจีน ก็แสดงความเห็นรุนแรง แบบสุดขั้ว จับผิดไปหมด และรู้สึกเสียดายมาก ที่สื่อไทยกระแสหลัก มักทำงานเรื่องจีน แค่ตามวาระงาน เช่น การทำข่าว BRI ก็นำเสนอเป็นข่าวรูทีน ตามวาระ Event การประชุมที่เกิดขึ้นเนือง ๆ ไม่ต่างกับข่าวต่างประเทศทั่ว ๆ ไป ไม่ค่อยมีการวิเคราะห์เจาะลึกอะไรมากมายนัก

“สื่อไทยส่วนใหญ่ ทำงานเหวี่ยงไปตามกระแส มากกว่านำกระแส ในขณะที่ตัวอาจารย์เองเริ่มเกาะติดเรื่อง One Belt One Road (ชื่อเรียกเดิม BRI) มาตั้งแต่ครั้งแรกที่สี จิ้นผิง ไปพูดคำนี้ที่เอเชียกลางเมื่อกันยายน 2013 และเขียนบทความเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องหลาย 10 ชิ้น ตั้งแต่นั้นมา จนเขียนหนังสือวิเคราะห์ BRI โดยเฉพาะออกมาหนึ่งเล่ม ชื่อว่า ‘The Rise of China จีนคิดใหญ่มองไกล’ 

ในขณะที่ สื่อไทยเพิ่งจะมาสนใจ BRI ก็ตอนที่มีกระแสดราม่า ว่า ผู้นำไทยไม่ได้รับเชิญจากจีนให้เข้าร่วมประชุม BRI Summit ครั้งแรกที่ปักกิ่งในเดือนพฤษภาคมปี 2017 บางคนบอกว่า เพราะเป็นผู้นำทหารที่มาจากการปฏิวัติ พอมีดราม่าเรื่อง BRI ขึ้นมาเท่านั้นแหละ คนไทยรู้จักยุทธศาสตร์นี้ของจีนขึ้นมาเลย (ยิ้ม) แต่น่าเสียดายที่บางคนก็ยังรู้จักแบบคลาดเคลื่อน เช่น บอกว่า BRI ไม่พาดผ่านไทย ไม่รวมประเทศไทยด้วย (หัวเราะ) ทั้ง ๆ ที่นายกฯ จีน หลี่ เค่อเฉียง พูดชัดว่าโครงการรถไฟไทย-จีน คือ ส่วนหนึ่งของ BRI และหลี่ เค่อเฉียง มาประกาศ 1 ใน 6 ระเบียงเศรษฐกิจของ BRI ตอนบินกรุงเทพฯ (ธันวาคม 2014) คือ ระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน (China-Indochina Peninsula Economic Corridor) ที่เกี่ยวข้องกับไทยโดยตรง

สื่อไทยต้อง #แปลงจีนให้เป็นโอกาส!!

รศ.ดร.อักษรศรี >> “อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ตั้งแต่เกาะติดพัฒนาการของ BRI จีนได้พยายามใช้แผนการใหญ่ BRI ในการออกไปมีอิทธิพลระดับโลกแบบเนียน ๆ ไม่โฉ่งฉ่าง และใช้เป็น Soft Power เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับสื่อทั่วโลก รวมทั้งสื่อไทยผ่านการจัดสอนภาษาจีนให้ฟรี จัดทำกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและศิลปะบันเทิง รวมทั้งจัดพาสื่อไทยจากค่ายต่าง ๆ ไปทัศนศึกษาในจีนและดูแลอย่างดี เป็นต้น”

นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า การไปศึกษาดูงาน การไปเรียนรู้ด้านภาษาหรือวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่จีนเสนอมาให้สื่อไทย ก็ไม่ได้เสียหายอะไร จึงคิดว่า ไม่ควรปฏิเสธ เพียงแต่ต้องใช้วิจารญาณในการที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ควรเคลิ้มตามโดยง่าย แต่ควรทำสิ่งที่ขอแนะนำว่า ต้อง ‘แปลงจีนให้เป็นโอกาส’ เพื่อไปรู้เท่าทันจีนด้วยตาเราเอง ไปอัปเดทข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาก อัปเดทชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนในจีน แต่ต้องตระหนักด้วยว่า สิ่งที่ฝ่ายจีนจัดให้ไปดู ก็คงจะโรยผักชีรออยู่เช่นกัน จึงไม่ควรเคลิ้มจนเกินไป หรือเชียร์จนเกินงาม

“การไปเห็นด้วยตาตัวเองย่อมจะดีกว่า อย่ามองจีนโดยผ่านสายตาสื่อตะวันตกมากเกินไป เพราะต้องยอมรับ มีสื่อไทยจำนวนไม่น้อย ที่อ่านแค่แมกกาซีนฝรั่ง อ่านบทความฝรั่ง แล้วนำมาแปลเพื่อเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ของสื่อไทย มีคอลัมน์นิสต์ไทยบางคนไม่เคยบินไปจีนเลยด้วยซ้ำ หรือไปจีนนานมากแล้ว แต่ก็แปลบทความฝรั่งแล้วมาเขียนวิเคราะห์เรื่องจีน แล้วก็ใส่ซีอิ๊ว พริกไทย เข้าไปหน่อย เพื่อทำให้ดูเป็นเวอร์ชั่นไทย” 

รศ.ดร.อักษรศรี ให้ข้อสังเกตก่อนบอกต่ออีกว่า “ระบบจีนไม่เหมือนใคร ยิ่งจีน มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนแค่ไหน ยิ่งต้องรู้ให้จริง เรื่องจีน ทุกวันนี้มี Fake News เรื่องจีนเยอะมาก สื่อมวลชน ยิ่งต้องรู้ให้รอบด้าน ยิ่งต้องเกาะติดอัปเดท จึงขอแนะนำคาถาในการทำรายงานสื่อเกี่ยวกับจีน ด้วยหลัก 4 ร คือ รู้เขา รู้เรา รู้จริง และ รู้เท่าทัน”

แล้วสื่อไทยต้องทำอย่าง ถึงจะรู้จริง?

รศ.ดร.อักษรศรี >> “ต้องใฝ่รู้ เกาะติด ทำการบ้าน ฟังข้อมูลหลายฝ่าย ทั้งจากสื่อตะวันตก สื่อจีน นักวิชาการจากค่ายต่าง ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ มันไม่ยากนะ ถ้าอยากจะรู้จริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพียงแต่มีใจทุ่มเทรึเปล่าแค่นั้นเอง”

ในฐานะนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มองอย่างไร? หากสื่อมีข้ออ้างเรื่องข้อจำกัดในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับจีนให้รอบด้าน 

รศ.ดร.อักษรศรี มองว่า “ถ้าเป็นสื่อมืออาชีพ ไม่ควรมีข้ออ้าง ไม่ว่าจะอ้างเรื่องไม่มีงบในการบินไปลงพื้นที่เก็บข้อมูล ไม่มีงบค่าแปลหรือมีข้อจำกัดด้านภาษา ฯลฯ เพราะยุคนี้มีเทคโนโลยีช่วยได้ และมีข้อมูลเกี่ยวกับจีนหลายช่องทางมาก สื่อมืออาชีพ ต้องทำได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวสื่อเอง มี Passion ที่สนใจใฝ่รู้เรื่องจีน อย่างจริงจังแค่ไหน

สุดท้าย ถ้าสื่อไม่มี Passion เรื่อง BRI แล้ว ‘ประเทศไทย’ จะไปต่อได้หรือไม่? 

รศ.ดร.อักษรศรี บอกตรง ๆ ว่า...

“ไปต่อได้แน่นอน เพราะคุณูปการ (Contribution) ของสื่อหรืออิทธิพลของสื่อที่มีต่อนโยบายต่างประเทศของไทยที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น (ยิ้ม) เพราะข้อเท็จจริง คือ การกำหนดนโยบายของไทยเป็นเรื่องของนักการเมืองหรือชนชั้นปกครองมากกว่า แต่ถ้าจะขออนุญาตแนะนำ คือ สื่อต้องมีจุดยืนที่แน่วแน่ มี Strong Position ของตัวเองในการนำเสนอข้อเท็จจริงและบทวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ที่สำคัญ อย่าสร้างดราม่า หรือปั่นกระแส เพื่อแค่หวังยอดวิวหรือยอดแชร์ รวมทั้งอย่าตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของนักการเมือง จนทำให้งานที่สื่อออกมาจะแกว่งไปแกว่งมา ตามผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม”

 

ที่มา : https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223542323199664/?d=n
https://www.facebook.com/101768495251562/posts/178195904275487/?d=n


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' การันตีความดี ‘หมอยง’ ย้ำชัด เป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ระบุว่า ตามที่มีบุคคลเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนให้ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปลดนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ออกจากตำแหน่งหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลีนิคภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ด้วยการกล่าวอ้างว่า นายแพทย์ยง ในฐานะที่ปรึกษาสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ให้กับรัฐบาล ขาดจรรยาบรรณรับใช้การเมือง นั้น

ผมไม่รู้คุณคือใคร กล้าที่จะเรียกร้องให้ปลดคนที่ทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ไม่กล้าเปิดเผยชื่อ การเรียกร้องผ่านสื่อเช่นนี้ ต้องมีตัวตน อย่าทำตัวลึกลับ หลบอยู่ในเงามืด

สถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโควิด เป็นสถานการณ์รุนแรงและอันตราย ต้องการบุคคลที่มีความรู้จริง ไม่ใช่การลองผิดลองถูก ต้องไม่เอาชีวิตเพื่อนมนุษย์มาทดลองวิชา

ได้ทราบว่า มีนิสิตเก่าคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ กำลังร่วมลงชื่อเพื่อสนับสนุนและให้การรับรองความดีของนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ

ผมในฐานะนิสิตเก่าจุฬาคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้เรียนคณะเดียวกับท่าน แต่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนิสิตปี 2512 ขอให้กำลังใจนายแพทย์ยง ขอให้ท่านยืนหยัด อดทน และทำงานเพื่อประเทศชาติ และเพื่อสุขภาพของคนไทยต่อไป

#save หมอยง

 

https://www.facebook.com/nantiwat.samart/posts/1656464041206238


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม วัคซีนโควิด-19 ไทย รุดหน้า คาดช่วยส่งออก สร้างรายได้ให้ประเทศ

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ติดตามและแสดงความชื่นชมความก้าวหน้าผลงานวิจัยวัคซีนโควิด-19 โดยทีมแพทย์และนักวิจัยไทย เป็นอีกความหวังของประเทศในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคฯ ซึ่งนายกฯ ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ 2 แนวทางสำคัญ คือ

1.) ให้การสนับสนุนสถาบันวัคซีนแห่งชาติ คณะแพทย์ในมหาวิทยาลัย และองค์กรชั้นนำ ในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในรูปแบบต่าง ๆ

และ 2.) รับการถ่ายทอดกระบวนการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศโดยบริษัท Siam Bioscience Co,.Ltd. ของไทย สำหรับวางรากฐานในไทยเพื่อพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน ลดงบประมาณการจัดซื้อและสามารถส่งออกเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคตอีกด้วย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในไทย ประกอบด้วย

1.) โครงการศึกษาวิจัยระยะที่ 1/2 เพื่อประเมินความปลอดภัย และความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีน NDV-HXP-S ในประเทศโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมกับศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เริ่มฉีดอาสาสมัครเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ซึ่งวัคซีน NDV-HXP-S มีจุดเด่น คือ โรงงานของ อภ. มีความพร้อมในการผลิตระดับอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และได้รับความร่วมมือระดับนานาชาติจากองค์กร PATH ในการสนับสนุนกล้าเชื้อไวรัส คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการร่วมกันวิจัยจากผู้ผลิตจากประเทศเวียดนามและบราซิล

2.) โครงการพัฒนา mRNA วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 โดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตเช่นเดียวกับวัคซีนจาก Pfizer-BioNTech และวัคซีนจาก Moderna ผลศึกษาการทดลองใน “หนู และ ลิง” พบว่า กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง ช่วยยับยั้งการติดเชื้อในสัตว์ทดลองได้ โดยเริ่มการศึกษาในมนุษย์ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ทดสอบในระยะที่ 1 ใช้อาสาสมัครจำนวน 72 คน ซึ่งวัคซีน ChulaCov19 มีจุดเด่น คือ สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นาน 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์

จากการทดลองในหนูทดลองชนิดพิเศษที่ออกแบบให้สามารถเกิดโรคโควิด-19 ได้ พบว่า เมื่อหนูได้รับวัคซีน ChulaCov19 ครบ 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ แล้วให้หนูทดลองได้รับเชื้อโควิด-19 เข้าทางจมูก สามารถป้องกันหนูทดลองไม่ให้ป่วยและยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด รวมทั้งสามารถลดจำนวนเชื้อในจมูกและในปอดลงไปอย่างน้อย 10,000,000 เท่า มีความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง วัคซีนชนิด mRNA ยังสามารถปรับแต่งวัคซีนต้นแบบตามพันธุกรรมของเชื้อกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

3.) โครงการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด DNA (วัคซีนโควิเจน) โดยบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ผลการทดสอบในหนูทดลอง พบว่า วัคซีนมีความปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติกับทาง อย. เพื่อทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 และคาดว่าจะวิจัยในคนระยะที่ 2 และ 3 ในปีนี้ (ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564) โดยมีแผนการทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 ในประเทศออสเตรเลียรวมด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์ฯ CU Innovation Hub ที่ใช้ใบยาสูบเป็นพืชในกระบวนการสร้างวัคซีน หลังจากที่มีการผลิตวัคซีนล็อตแรกเสร็จ จะนำไปสู่ขั้นตอนการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ คาดจะอยู่ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้

น.ส.รัชดา กล่าวว่า บริษัท AstraZeneca ประเทศไทย แจ้งแผนการส่งมอบวัคซีนให้กระทรวงสาธารณสุข ครบ 6 ล้านโดสในสัปดาห์นี้ ตามแผนทั้งหมด 61 ล้านโดส และในช่วงต้นของเดือนกรกฎาคม จะมีวัคซีนจากการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น อีกจำนวน 1.05 ล้านโดส ขณะเดียวกัน ระบบ "หมอพร้อม" ได้เลื่อนการฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้นแก่ผู้ลงทะเบียนกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่ม 7 โรคเสี่ยง ในพื้นที่กทม. จากเดือน สิงหาคม เป็น กรกฎาคม

ส่วนกรมการแพทย์ ได้เปิดให้ผู้สูงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป สามารถรับการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ แบบระบบ On-site เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ โดยจะเริ่ม 30 มิถุนายน-18 กรกฎาคม

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เร่งเดินหน้า ตามแผนการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ประเทศเร็วที่สุด


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top