Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

นายจิตกร บุษบา คอลัมนิสต์ ชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย และการจัดสรรวัคซีนโควิด ที่ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไข

นายจิตกร บุษบา คอลัมนิสต์ ชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย และการจัดสรรวัคซีนโควิด ที่ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไขว่า...

เรื่องโรคโควิด และวัคซีนโควิดตามข้อมูล ณ ปัจจุบัน คือ

1.) ตอนนี้ประเทศไทยมีการระบาดมาก คนตายวันละหลายสิบราย ระบาดมากใน กทม.และปริมณฑล เตียงรับผู้ป่วย โดยเฉพาะ ICU ไม่พอ

2.) เชื้อไวรัส มีการกลายพันธุ์เรื่อย ๆ ปัญหาของการกลายพันธุ์คือ ทำให้มีการแพร่เชื้อและติดได้ง่ายขึ้น มีการดื้อต่อวัคซีนทุกชนิด

3.) วัคซีนที่กระตุ้นภูมิได้สูงกว่า ก็จะต้านการดื้อต่อวัคซีนของเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีกว่า ถ้าพูดถึงความสามารถในการกระตุ้นภูมิของวัคซีนที่มีในตลาดปัจจุบัน

mRNA สูงกว่า viral vector และ viral vector สูงกว่า เชื้อตาย

ซึ่งภูมิที่สูงกว่า ล้อไปกับ ผลข้างเคียงที่มากกว่า

แต่ผลข้างเคียงของวัคซีนทุกชนิด ยังเกิดในอัตราต่ำมาก การฉีด มีประโยชน์มากกว่าการกลัวผลข้างเคียงแล้วไม่ฉีด

4.) สายพันธุ์ที่ระบาดใหญ่ในประเทศไทยเดือนเมษา คือ แอลฟา ตั้งแต่มิถุนายนเริ่มมีเดลตามากขึ้น (ซึ่งติดง่ายและดื้อต่อวัคซีนเพิ่มขึ้น) ตอนนี้เดลตาครองพื้นที่ กทม.แทนแอลฟาแล้ว และกำลังจะครองทั่วประเทศในอีกไม่นาน

5.) วัคซีนที่มีใช้ในประเทศไทยตอนนี้ คือ แอสตร้าฯ และซิโนแวค ตัวที่โดนบูลลี่มาก ๆ คือ ซิโนแวค

ผลการใช้ซิโนแวค ในสถานการณ์จริงของไทยต่อเชื้อสายพันธุ์แอลฟา พบว่าป้องกันการติดเชื้อได้ดี 70-90% ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 51% ที่พูด ๆ กันมาหลายเดือน

6.) ข้อมูลเฟส 3 Pfizer ป้องกันติดเชื้อ 95%, ซิโนแวคป้องกันติดเชื้อได้ 51% ดูเหมือนช่องว่างเยอะ แต่เราจะเอาการศึกษาที่ต่างเวลา ต่างสถานที่ ต่างสายพันธุ์ ต่าง criteria ในการเก็บข้อมูลมาเทียบกันโดยตรงไม่ได้

ที่พอเทียบกันได้ คือ การใช้ในสถานการณ์เดียวกันที่ชิลี ดังนี้

ลดโอกาสการตาย PZ 91.8%, SV 86.4%

ลดโอกาสเข้า ICU PZ 98.4% SV 90%

ลดโอกาสติดเชื้อแบบมีอาการ PZ 90.9%, SV 63.6%

7.) การมาของเดลตา ทำให้ซิโนแวคป้องกันการติดเชื้อได้ลดลง (ลดลงทุกวัคซีน แต่วัคซีนเชื้อตาย ต้นทุนในการกระตุ้นภูมิต่ำกว่าตัวอื่น จึงด้อยลงมากที่สุด) แต่ยังป้องกันอาการหนัก ป้องกันตายได้ดีเหมือนเดิม

8.) ในไทยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่รับวัคซีน 2 โดสแล้ว (ส่วนใหญ่เป็น SV) เกิด breakthrough infection (คาดว่าเป็นผลจากเชื้อเดลตาดื้อวัคซีน และระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน ก็เริ่มต่ำลงตามเวลาที่ผ่านไป) ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่ต้องกักตัวรักษา และขาดกำลังคนทำงาน ยังไม่ทราบตัวเลขในภาพรวมที่แน่ชัด คงรอรวบรวมข้อมูล

มีเสียงเรียกร้องขอกระตุ้นภูมิ (เข็ม 3)ให้บุคลากรการแพทย์ด้วยวัคซีน "ดี ๆ" ซึ่งการศึกษาการกระตุ้นเข็ม 3 ยังไม่เรียบร้อย แต่ใกล้ได้ข้อสรุปภายใน 1 เดือน

ทั่วโลก ก็มีรายงาน vaccine breakthrough infection กันทุกยี่ห้อ แต่ mRNA น่าจะ breakthrough น้อยสุด

9.) เมื่อ 3 วันก่อนมีการแชร์เอกสาร note การประชุมของคณะกรรมการด้านวิชาการ "ชุดเล็ก" 3 คณะ เรื่องการใช้ PZ บริจาค 1.5 ล้านโดส เบื้องต้น เสนอให้ระดมฉีดเข็ม1 ให้กลุ่มเสี่ยงก่อน (โดยยังไม่ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ให้ HCP)

เมื่อวาน อ.อุดม ในฐานะที่ปรึกษาแก้ไขสถานการณ์โควิดของนายก แถลงหลังประชุมกรรมการ "ชุดใหญ่" ว่าถ้าผลการศึกษาได้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการกระตุ้นภูมิ จะกระตุ้นภูมิให้ HCP เป็นกลุ่มแรก ด้วย AZ หรือ PZ

10.) เกิด Dilemma ขึ้น ในการบริหารทรัพยากรที่มีจำกัด ระหว่างการฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เพื่อกันติดให้ HCP กับ ฉีดเข็ม 1 ให้กลุ่มเสี่ยง เพื่อกันตาย ต่างคนต่างมีเหตุผล แล้วแต่มุมมอง แต่ถ้าพูดในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ ย่อมมีประเด็น conflict of interest แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยุติแล้ว โดยการแถลงของ อ.อุดม

11.) ผู้เชี่ยวชาญของโลกและของไทย พูดตรงกันว่า หน้าที่หลักอันดับแรกของวัคซีนโควิด คือ ป้องกันการตายและอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบัน วัคซีนทุกชนิดยังทำหน้าที่หลักของมันได้ดีมาก คือประมาณ 90% แม้เชื้อจะกลายพันธุ์

12.) ประเทศไทยเตรียมแผนวัคซีน"ฟรี"สำหรับปีนี้ไว้อย่างต่ำ 100 ล้านโดส คร่าว ๆ คือ

AZ 61, PZ 20, JJ 5*2, Sputnik V น่าจะประมาณ 5, SV มากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนวัคซีนไม่ฟรี คือ Moderna ที่รัฐเป็นตัวกลาง ช่วย รพ.เอกชน ซื้อมาขายต่อให้คนที่อยากมีทางเลือกเพิ่มขึ้น (เพราะผู้ผลิตยืนยันไม่ขายให้เอกชนโดยตรง) บริษัทบอกขายให้ได้ 5 ล้านโดส เริ่มทยอยส่งให้ได้เร็วสุดปลายปีนี้

และ Sinopharm ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำเข้ามาขายราคาทุนให้หน่วยงานต่าง ๆ ซื้อไปฉีดให้ประชาชนฟรี นำเข้ามาแล้ว 2 ล้านโดส และน่าจะมีมาอีก

13.) ทั่วโลกขาดแคลนวัคซีนประเทศต่าง ๆ ใช้ทุกสรรพกำลังในการต่อรองแย่งชิงวัคซีนกัน วัคซีนแทบทุกชนิด ส่งล่าช้ากว่าสัญญาที่ทำไว้ทั่วโลก ประเทศที่ไม่ขาดแคลน คือ ประเทศมหาอำนาจที่ร่ำรวย และเป็นเจ้าของเทคโนโลยี ที่กักตุนยอดวัคซีนไว้ตั้งแต่ช่วงวิจัย ใช้ไม่ทัน มีบางส่วนใกล้หมดอายุ หรือหมดอายุไปแล้วโดยไม่ได้ฉีด และเริ่มมีการบริจาควัคซีนมากขึ้น

14.) ประเทศไทยก็โดนผลกระทบจากการเลื่อนส่ง เช่น AZ วัคซีนหลัก เดิมคาดว่าจะได้ 61 ล้านโดสภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะได้เดือนละ 10 ล้านโดส ตอนนี้บริษัทแจ้งว่าจัดสรรให้ได้เดือนละ 5-6 ล้านโดส ส่วน Pfizer บริษัทแจ้งว่าส่งได้อย่างเร็วสุด ปลายปีนี้

15.) ที่ผ่านมา ในบรรดา 5 วัคซีนในแผนวัคซีนฟรีของไทย มีซิโนแวคยี่ห้อเดียว ที่สามารถขยายจำนวน และเร่งเวลาส่งให้เร็วขึ้นได้ เป็นเหตุให้ต้องสั่งมาเติมส่วนที่ล่าช้าของวัคซีนอื่น

16.) ตอนนี้ตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย ผู้ซื้อต้องยอมทำสัญญาตามเงื่อนไขที่เสียเปรียบผู้ขาย เช่น ผู้ขายมีสิทธิ์เลื่อนส่งได้, ส่งช้ากว่ากำหนดไม่มีค่าปรับ, ถ้ารอไม่ไหว ยกเลิกได้ แต่ไม่คืนเงิน ถ้าเราไม่รับเงื่อนไข ผู้ขายไม่ง้อ มีแต่ต้องพยายามเจรจาให้เสียเปรียบน้อยที่สุด ผู้ขาย (หรืออาจจะประเทศผู้ขาย) กำหนดคิวเอง ไม่ใช่ระบบบัตรคิวที่เรียงลำดับก่อนหลังเพียงอย่างเดียว ทั่วโลกมีข่าวแซงคิว ข่าวทางลัด

17.) จำนวนและกำหนดส่งวัคซีน mRNA ที่เราจองไว้ กำหนดไว้แล้ว ว่า PZ 20 ล้าน, MDN 5 ล้าน เริ่มทยอยส่งปลายปี การดีลเริ่มต้นนับ 1 มาตั้งแต่ต้นปี ไม่ใช่รอนับ 1 หลังเซ็นสัญญาซื้อ แล้วบวกไปอีก 4 เดือนอย่างที่บางคนพูด

การเซ็นสัญญาต่าง ๆ มีกรอบระยะเวลาแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเซ็นเดือน พ.ค. มิ.ย. ก.ค. หรือ ส.ค. ก็ได้ของปลายปีเหมือนเดิม มีการต่อรองเพื่อให้เสียเปรียบน้อยที่สุด

18.) สัญญาซื้อ PZ เริ่มจากคุยกันเบื้องต้น แล้วลงนามใน

- confidential disclosure agreement เซ็นแล้ว

- binding term sheet เซ็นแล้ว

- Manufacturing and supply สัญญาสุดท้าย เมื่อวาน ครม. มีมติให้ลงนามแล้ว

สัญญา confidential disclosure agreement เป็นตัวเปิดทาง ไม่เซ็นก็ไม่ขาย เซ็นแล้วก็ห้ามเปิดเผยข้อมูล เพราะผู้ขายเค้าเจรจากับแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ราคา ผลประโยชน์ ต่างกัน ที่ผ่านมา เราจึงแทบไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกเลย คนทำงานอยู่ในภาวะพูดไม่ได้

แต่ละประเทศก็มีแนวทางเจรจาของตน เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ จำนวนดีลต่างกัน ดีลเล็กของประเทศประชากรน้อย ดีลได้ง่ายกว่าดีลใหญ่ ๆ ของประเทศประชากรเยอะ, ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างกัน และการดำเนินนโยบายการเมืองโลกของประเทศมหาอำนาจ ก็มีส่วนอย่างยิ่ง

ประเทศไหนดีลได้ด้วยข้อเสนอแลกผลประโยชน์ใดบ้าง คือสิ่งที่เราไม่อาจรู้ แต่มีข้อสังเกตว่า บางประเทศเจรจาซื้อ mRNA มานาน ไม่คืบหน้า พอมีข่าวสั่งซื้อขีปนาวุธ และฝูงบินจากมหาอำนาจ ดีลก็เร็วขึ้น

19.) (ความเห็นส่วนตัว) ตอนนี้คนไทยติดเชื้อวันละหลายพัน ตายวันละหลายสิบ ถ้าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ ก็ต้องหาวัคซีนกันติดมาให้มาก ๆ และเร็ว ๆ แล้วทุกอย่างจะดีตาม แต่นั่นมันความฝัน ความจริงคือ วัคซีนที่ให้ผลกันติดที่ดีที่สุดตอนนี้ ยังไม่บินมาช่วยเรา ในจำนวนและเวลาที่ทันต่อสถานการณ์

และทุกวัคซีนจะเสื่อมประสิทธิภาพกันติดไปเรื่อย ๆ เพราะไวรัสกลายพันธุ์อยู่เสมอ Herd immunity ไม่ใช่ว่าจะสร้างขึ้นได้ด้วยวัคซีนใดที่มีอยู่ในตอนนี้ แต่วัคซีนทุกชนิดยังป้องกันป่วยหนักได้ดี

ถ้าเรียงลำดับความสำคัญตามสถานการณ์ สิ่งที่ทำได้จริง คือต้องเร่งลดคนอาการหนักก่อน คนตายก็จะลด, ภาระ ICU ก็จะลด ต่อให้ติด ก็มักจะอาการน้อยซึ่งแพร่เชื้อได้น้อยกว่าคนอาการมาก ดังนั้น จึงไม่ควรต่อต้านหรือด้อยค่าการซื้อวัคซีนกันตายที่ส่งมาช่วยเราได้จริง จนกว่าทุกคนจะได้รับการกันตาย และควรจะรับรู้ร่วมกันว่า อย่าฝากความหวังไว้กับวัคซีนทั้งหมด หน้ากาก ล้างมือ ปรับวิถีชีวิต ตั้งสติ ความร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเราได้มาก ๆ

ส่วน mRNA ก็อยากให้รัฐพยายามต่อรองเอาเข้ามาเพิ่มเท่าที่ทำได้ ภายใต้เงื่อนไขที่เราไม่เสียเปรียบเกินไป ทำได้หรือไม่ได้ ก็ต้องพยายามสื่อสารสร้างความเข้าใจให้ดีกว่าที่ทำมา (แต่ประชาชนควรเข้าใจด้วยว่า การพูดอะไรล่วงหน้าต่อสาธารณะ ก่อนที่การเจรจาจะคืบหน้า จะทำให้การเจรจายากขึ้น) ปัญหาตอนนี้คือ คนส่วนหนึ่ง ไม่เชื่อใจว่ารัฐได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่หรือยัง ในการเอา mRNA เข้ามา รัฐต้องพยายามชี้แจงจุดนี้ให้มากขึ้น

แล้วปีหน้าค่อยไปมองหาวัคซีน generation ใหม่ รวมถึงวัคซีนสัญชาติไทย ที่กำลังพัฒนากันอยู่

20.) (ความเห็นส่วนตัว) วัคซีนทุกชนิดสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิตคนจากโรคระบาด แต่เรากลับเอาวัคซีนมาเป็นเหตุทะเลาะกัน บางคน แค่อาจารย์ผู้ใหญ่บางท่านพูดไม่ถูกใจ ผสมโรงกับสื่อเสี้ยม ก็ไปคุกคาม เหยียดหยามอาจารย์ซะแล้ว

อยากชวนให้พวกเราขับเคลื่อนประเทศด้วยวิธีสร้างสรรค์ ใช้พลังเชิงบวก การใช้พลังบวก ไม่ใช่สิ่งเดียวกับการทำเป็นโลกสวย โลกสวยคือ การแสร้งมองสิ่งต่าง ๆ ว่าดีงาม น่าเห็นใจ แต่ไม่อยู่ในข้อเท็จจริงและเหตุผล

พลังบวก เช่น ความรัก ความสามัคคี ความเสียสละ ความรอบคอบ ความมีเหตุผล ความสุภาพ ความอดทน การให้อภัย การให้เกียรติ ความซื่อสัตย์ ความยั้งคิด การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของผู้อื่น พลังเหล่านี้ จะช่วยให้เราแก้ปัญหาในภาวะวิกฤติซึ่งเป็นภัยธรรมชาติได้ดีที่สุด

พลังลบ เช่น ความคิดอคติ ความโกรธ ความเกลียด ความเห็นแก่ตัว ความหยาบคาย ความกร้าวร้าว ความใจร้อน ความไม่ยั้งคิด ความบิดเบือน ความคดโกง ความชวนทะเลาะ พลังเหล่านี้ไม่ช่วยอะไร และทำลายทุกฝ่าย

เราอาจจะเข้าใจผิด ว่าพลังการด่าของเราช่วยขับเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้น ซึ่งไม่จริงเลย การด่า ดูเหมือนจะได้ผลในบางเรื่อง แต่ที่มันได้ผล ไม่ใช่เพราะความกร้าวร้าวหยาบคาย มันได้ผลเพราะพลังบวกอื่น เช่น ความพร้อมเพรียงในการแสดงออก หรือคนรับฟังเค้ามองข้ามเสียงด่าของเรา แล้วเก็บเอาเนื้อความที่ซ่อนอยู่ในคำด่าไปพิจารณา

ในขณะที่เราด่าใคร ถ้าคนที่เราด่า ศีลเสมอหรือต่ำกว่าเรา สิ่งที่เราจะได้รับคือ การด่ากลับ โดยไม่มีใครสนใจเนื้อหา แถมเราก็ยุยงกัน เช่น ดี ๆ ฟาดอีก, ฟาดมากแม่ เอาอีก ๆ

หลาย ๆ ครั้ง เราด่า เพราะเราถูกปั่นให้โกรธ ความโกรธทำให้เราปิดรับข้อมูล ด่าไปโดยที่ตัวเองยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งทุกวันนี้ มีสื่อเสี้ยมและบิดเบือนเต็มโลก social

ถ้าเราเชื่อว่าการด่าจะขับเคลื่อนสังคมให้ดีได้ เราก็คงต้องเชื่อว่าการดุด่า ประชดแดกดัน หรือทุบตีเด็ก จะช่วยให้เด็กรับฟังสาระที่เราต้องการบอก และปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ ซึ่งไม่จริง

เราสามารถวิจารณ์ ตำหนิ เสนอแนะได้ตามเหตุผล และข้อเท็จจริงรอบด้าน โดยเลี่ยงการใช้ hate speech ก็สื่อสารได้รู้เรื่อง และดีกว่าการด่าหรือประชดแดกดันกันอย่างแน่นอน


ที่มา : https://www.facebook.com/226733814031758/posts/4304807856224313/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตำรวจบุกถึงบ้าน จับมือปล่อยเฟคนิวส์ ‘ศพโควิด’ ถูกทิ้งเรียงราย ระบุเหตุเกิดในต่างประเทศ พร้อมขอความร่วมมือประชาชน อย่าแชร์ อย่าปล่อยข่าวเท็จ หลังศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพบข้อมูลเท็จระบาดหนัก

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.ต. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข่าวบิดเบือน เป็นภาพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 นอนเรียงราย ไร้การดูแลจากภาครัฐ แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท.1 ได้นำหมายศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา เข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้โพสต์ภาพดังกล่าว ใน อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา หลังการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวอีกว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ยังตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จเรื่อง “ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อธนาคารประชาชนสุขใจ ให้กู้ยืม 200,000 บาท ผ่อนเพียง 1,666 บาท” ได้รับการยืนยันจากธนาคารออมสิน และกระทรวงการคลัง ว่า เป็นข่าวปลอม

และกรณีการแชร์ข้อความว่า “ประชาชนอายุต่ำกว่า 60 ปี สามารถโทร.นัดหมายฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อได้แล้ว” ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า เป็นข่าวปลอมเช่นกัน

จึงขอความร่วมมือประชาชนอย่าแชร์ข่าวดังกล่าว ซึ่งการผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน และยังเสี่ยงถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีโทษทั้งจำและปรับ

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กล่องรอดตาย! ช่วยคนป่วยติดเชื้อโควิดรักษาตัวเองที่บ้าน

สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ (สนจ.) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค มูลนิธิส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะไทย และภาคีเครือข่าย ขอชวนพี่น้องนิสิตเก่าจุฬาฯ และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคยาและเวชภัณฑ์เพื่อจัดทำ “กล่องรอดตาย” (Survival Box) พร้อมระบบติดตามอาการสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ทราบผลจากการตรวจเชิงรุกของรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน (Express Analysis Mobile Unit) เพื่อใช้ดูแลรักษาตนเองที่บ้านขณะรอเตียง

สามารถสมทบทุนจัดทำกล่องรอดตาย กล่องละ 500 บาท บริจาคเงินผ่านมูลนิธิส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะไทย บัญชี ธ.กสิกรไทย เลขที่ 017-2-88191-2 (ส่งหลักฐานการบริจาคเพื่อขอลดหย่อนภาษีมาที่ LINE ID : @donatesurvivalbox) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณแมค โทร. 096-991-6363 และคุณโอม โทร. 093-698-9336


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กป้อม”สั่ง “ธรรมนัส-ส.ส.” ช่วยปชช. พื้นที่แดงเข้ม มอบถุงยังชีพ-ข้าวกล่อง บรรเทาผลกระทบปชช.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ระบุว่า จากที่รัฐบาลยกระดับมาตรการขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เป็น 13 จังหวัด เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมอบหมายให้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการ พปชร.และผู้อำนวยการ ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินสถานการณ์โควิด 19 (ศปฉ.พปชร.)และส.ส.พรรค ช่วยเหลือโดยมอบถุงยังชีพและสิ่งที่เป็นความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และประสานส่งตัวผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาในรพ.รัฐ-เอกชน รพ.สนาม และสถานพยาบาลในโรงแรม 

ซึ่งนับตั้งแต่เดือนเม.ยที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันศปฉ.พปชร. ช่วยประสานส่งต่อไปรักษากว่า 1,000 ราย มอบถุงยังชีพกล่องและข้าวกล่องไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และจะเป็นศูนย์กลางส่งต่อความช่วยเหลือขยายพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนให้ครอบคลุมชุมชนต่างๆ ขณะนี้มีผู้ประกอบการ ร้านค้า และภาคเอกชน ที่ติดต่อเพื่อให้ความช่วยเหลือผ่านศูนย์ ศปฉ.พปชร.จำนวนมาก

ด้านร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนและทีมสมาชิกพรรคพปชร. ได้เร่งส่งมอบถุงยังชีพ และข้าวกล่อง ไปในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และ พื้นที่เฝ้าระวัง อาทิ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี  นครปฐม ปทุมธานี  นครราชสีมา และเชียงใหม่ เป็นต้น และในสัปดาห์นี้ทางศูนย์ ศปฉ.พปชร. จะเร่งกระจายถุงยังชีพและข้าวกล่องเพิ่มเติมตามความต้องการของชุมชนในพื้นที่ต่างๆ หากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน สามารถแจ้งความประสงค์ มาที่ ศปฉ.พปชร. ผ่านสายด่วน 02-939-1111 จำนวน 30 คู่สาย หรือ Inbox มาในเพจเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/PPRPThailand/

คัดสหกรณ์ทั่วไทยระดมปลูก “ฟ้าทะลายโจร” ป้อนตลาดสู้โควิด

น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ คัดเลือกสหกรณ์เข้าโครงการส่งเสริมปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบผลิตยาสมุนไพร ให้กับกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้มีความต้องการวัตถุดิบจำนวนมาก แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้  จึงเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะผลักดันให้สหกรณ์เข้ามามีบทบาทเรื่องนี้ หากสามารถทำได้ดีผลเป็นที่น่าพอใจ อนาคตจะขยายไปปลูกสมุนไพรสำคัญตัวอื่น ๆ เพื่อลดการนำเข้าคือขมิ้นและขิง และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและสหกรณ์ที่เข้าโครงการ

“โครงการปลูกฟ้าทะลายโจร จะต้องเดินหน้าจริงจัง เพราะขณะนี้มีปริมาณไม่พอต่อความต้องการ ที่สำคัญต้องเป็นชนิดที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์สูง ที่ทางการแพทย์ต้องการซึ่งกรมวิชาการเกษตรมี 2 พันธุ์ ดังนั้นเพื่อให้มีการขยายพันธุ์และขยายผลผลิตจึงต้องจับระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์กับกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ซึ่งเป็นผู้ใช้ให้เป็นคู่ธุรกิจกัน และอนาคตจะขยายไปยังสมุนไพรตัวอื่น เช่น ขมิ้น ขิง ซึ่งกรมแพทย์แผนไทยจะได้เป็นผู้ชี้ว่า ต้องการสมุนไพรตัวไหน เท่าไหร่ อย่างไร เพื่อที่จะได้คุมคุณภาพการผลิตเพราะต้องปลอดสารเคมี เนื่องจากใช้เป็นยา การจับมือกับกระทรวงสาธารณสุขจะทำให้มีความชัดเจนทั้งด้านการผลิตที่มีคุณภาพและตลาดรองรับ” น.ส.มนัญญา กล่าว

น.ส.มนัญญา กล่าวว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดสมุนไพรของไทยมีมูลค่ามหาศาล เพราะเทรนด์ของโลกได้หันมาให้ความสำคัญกับการรักสุขภาพมากขึ้น และการระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ จะเห็นว่าสมุนไพรฟ้าทะลายโจรมีบทบาทที่สำคัญมาก เบื้องต้นโครงการนี้ จะเริ่มประมาณต้นส.ค. 54 คาดว่าจะได้กล้าพันธุ์ดีที่กรมวิชาการเกษตรสนับสนุนประมาณ 2 แสนกล้า เพื่อเป็นต้นพันธุ์ให้เกษตรกรที่เข้าโครงการ

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์  อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า กรมอยู่ระหว่างการคัดเลือกสหกรณ์ที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการปลูกฟ้าทะลายโจรในสถาบันเกษตรกร  4  แห่ง ภูมิภาคละ 1 แห่ง พื้นที่ดำเนินการ 500 ไร่ เมื่อได้สหกรณ์เป้าหมายแล้วจะมีการส่งเสริมให้สมาชิกสหกรณ์นั้นปลูก พื้นที่เป้าหมายเบื้องต้น 500 ไร่ ซึ่งต้นฟ้าทะลายโจรทั้งหมดของสมาชิกจะต้องขายให้สหกรณ์ทั้งหมด เพื่อให้สหกรณ์รวบรวมส่งให้กับกระทรวงสาธารณสุข  ซึ่งขณะนี้มีความต้องการมากเพื่อผลิตเป็นยาสมุนไพร แต่ยังขาดตัววัตถุดิบ 

“ประวิตร”กำชับ 5หน่วยงานหลัก  เร่งกำจัด-แปรรูป วัชพืช ปลื้มคนริมคลอง ร่วมมือแก้ปัญหา

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวา ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ 

โดยที่ประชุมฯเห็นชอบแนวทางการสนับสนุนการแปรรูปผักตบชวาเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ของม.สงขลานครินทร์ ด้วยรับทราบผลการดำเนินการกำจัดผักตบชวา และวัชพืช ของ 5 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า คณะทำงานฯระดับจังหวัด และกทม.ดำเนินการจัดเก็บผักตบชวาในเดือนมิ.ย.รวมทั้งสิ้น 4,513,836 ล้านตัน และในลุ่มน้ำภาคกลางและภาคตะวันออก 19 จ.จัดเก็บได้ทั้งสิ้น 511,912 ตัน รวมทั้งกำจัดผักตบชวาโดยชมรมคนริมคลอง ซึ่งกรมการปกครอง รับผิดชอบดำเนินกิจกรรม ขณะนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 7,653 ชมรม ดำเนินกิจกรรมแล้ว 20,719 กิจกรรม โดยเรือท้องแบนติดเครื่องยนต์ จำนวน 1,582 ลำ ได้ใช้จัดเก็บผักตบชวาแล้ว จำนวน 1,899 แหล่งน้ำ ตามแผนงานโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงได้รับทราบความคืบหน้า การขอขึ้นทะเบียน สารชีวภัณฑ์ เพื่อนำมาใช้ในการกำจัดผักตบชวาโดย ม.เกษตรศาสตร์ ที่จะต้องผ่านการประเมินประสิทธิภาพ และความปลอดภัยก่อน จึงจะนำไปใช้ในพื้นที่ได้

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืช และเน้นย้ำ 5 หน่วยงานหลัก ต้องเร่งรัดกำจัดและการแปรรูป เพื่อนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่า ต่อประชาชนชุมชน  และขอบคุณชมรมคนริมคลอง ที่ได้เสียสละร่วมแรงร่วมใจ มาอย่างต่อเนื่อง ที่จะช่วยกันกำจัดผักตบชวาและวัชพืช เพื่อให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยให้ได้ โดยเร็วที่สุด เพื่อให้สะดวกสัญจร และป้องกันน้ำท่วม พร้อมขอให้ทุกคนปลอดภัยจากโควิด-19 ในขณะปฏิบัติหน้าที่ภายใต้มาตรการที่ ศบค.กำหนด อย่างเคร่งครัด

กองทัพบกอนุเคราะห์ฌาปนสถานในการประกอบพิธีฌาปนกิจแก่ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ช่วยคลายความเดือดร้อนให้ประชาชน

พันโทหญิง นุชระวี แจ่มจำรัส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่นี้ มีความรุนแรงมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มมากขึ้น และจำนวนผู้เสียชีวิตเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ กองทัพบกขออาสาเป็นส่วนหนึ่งสู้วิกฤตเคียงข้างประชาชนตราบจนวาระสุดท้าย ในการอนุเคราะห์ฌาปนสถานเพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจให้แก่ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รวมถึงอำนวยความสะดวกให้กับญาติและครอบครัว ในการรับศพและเคลื่อนย้ายศพจากโรงพยาบาลมายังฌาปนสถาน เพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจสวดหน้าไฟและบังสุกุลให้แก่ผู้เสียชีวิตตามหลักพุทธศาสนา

ทั้งร่วมบริจาคหีบศพและถวายปัจจัยอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้วายชนม์ พร้อมวางพวงหรีดเพื่อแสดงความเคารพและไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตเป็นครั้งสุดท้ายโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งศาสนสถานของกองทัพบก ประกอบไปด้วย วัดอาวุธวิกสิตาราม, วัดโสมมนัสวรวิหาร, วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต และวัดสุทธจินดา (ทภ.2) นั้น มีความพร้อมด้านบุคคลากร และสถานที่ที่สามารถปฏิบัติได้ตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคกำหนด โดยตั้งแต่ 4 พ.ค. 64 ที่ผ่านมากองทัพบกได้อนุเคราะห์ฌาปนสถานในการประกอบพิธีฌาปนกิจให้กับผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 414 ราย และจะให้การอนุเคราะห์ต่อไปเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และคลายความโศกเศร้าให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างดีที่สุด 
 

ทั้งนี้ หากครอบครัวผู้เสียชีวิตมีความประสงค์จะประกอบพิธีฌาปนกิจในศาสนสถานของกองทัพบก สามารถติดต่อผ่านศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด ทบ. ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-270-5685-9 ตลอด 24 ชม. ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตให้ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

‘หมอประกิต’ แนะ คนไทยใช้สติให้ความยุติธรรม ‘วัคซีนซิโนแวค’ หลังสังคมด้อยค่าเกินจริง ชี้หากไม่ฉีดช่วงที่ผ่านมา คนไทยอาจตายมากกว่านี้ ระบุวัคซีนทุกชนิด ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต แม้ว่าจะไม่ 100%

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ศาสตราจารย์นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้ทวิต หัวข้อ ‘ให้ความจริงและความเป็นธรรมกับวัคซีนซิโนแวค’ โดยมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้

ผมคิดว่าจะไม่เขียนเรื่องวัคซีนโควิด-19 แล้วเชียว เพราะมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากสื่อสารกับสังคมตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เมื่อคืนก็ยังมีคนโทรมาปรึกษา ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวค ควรจะไปฉีดหรือ ‘ควรรอวัคซีนที่ดีกว่านี้’

ผมจึงขอแสดงความคิดเห็นที่อาจจะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะ ‘ให้ความจริง และความเป็นธรรมกับวัคซีนซิโนแวค’ รวมทั้งให้ความสบายใจกับคนที่ได้รับการฉีด หรือกำลังจะได้รับการซิโนแวคในอนาคต

ผมเป็นแพทย์โรคทางเดินหายใจ แต่ด้วยอายุมากจึงไม่ได้เป็นแพทย์ ‘ด่านหน้า’ ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่ผมก็ติดตามการทำงานงานของลูกศิษย์ โดยเฉพาะหมอทางโรคปอดด้วยความเป็นห่วง เพราะลำบากสาหัสทั้งคนไข้ และทีมแพทย์ พยาบาล ที่ดูแลผู้ป่วย โควิด-19 อาการหนักในไอซียู

ในภาวะวิกฤตที่สังคมไทยกำลังเผชิญ ผมพยายามช่วยสิ่งที่จะลดจำนวนคนไข้ที่จะติดโควิด-19 ด้วยการเชียร์ให้คนไปฉีดวัคซีน ผมเองได้รับการฉีดแอสตราเซเนกาเมื่อปลายเดือนมี.ค. ตามเกณฑ์สำหรับคนอายุมากกว่า 60 ปี

ผมรู้สึกว่า คนในสังคมไม่น้อย มีอคติกับวัคซีนซิโนแวคมาก อย่างไม่ได้สัดส่วนกับความเป็นจริง ถึงขนาดบอกว่าเป็นวัคซีนประสิทธิภาพต่ำ ไม่อยากรับ คนได้รับแล้วก็เสียดายที่ได้วัคซีนนี้

เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวว่า จนถึงวันที่ 10 ก.ค. มีบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคไปแล้ว เกือบ 700,000 ราย มีคนที่ติดเชื้อโควิด-19 รวม 880 ราย

ในจำนวนนี้เสียชีวิต 7 ราย

- 5 รายยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

- 1 รายได้รับการฉีดซิโนแวค 1 เข็ม

- 1 รายที่ได้รับซิโนแวค 2 เข็ม

นั่นหมายความว่า เสียชีวิต 1 ราย จากจำนวนคนที่ได้รับการฉีดครบ 2 เข็ม เกือบ 7 แสนคน

นพ.โสภณ ยังให้ข้อมูลที่เปิดเผยโดยศูนย์ควบคุมโรค CDC สหรัฐอเมริกาว่า จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 มีคนอเมริกาที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม เสียชีวิต 750 ราย โดยที่อเมริกาใช้แต่วัคซีน mRNA เกือบทั้งหมด นั่นคือ คนที่ฉีดซิโนแวคหรือคนที่ฉีดวัคซีน mRNA ก็มีการเสียชีวิตเหมือนกัน

ที่สรุปกันตอนนี้คือ วัคซีนทุกชนิด ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต แม้ว่าจะไม่ 100% และวัคซีนซิโนแวคจะป้องกันการติดเชื้อ/แพร่เชื้อได้น้อยกว่าวัคซีนที่ทำด้วยเทคนิคแบบใหม่

จะไม่พูดถึงการเมืองเรื่องการจัดหาวัคซีน เพราะมีคนพูดกันมากอยู่แล้ว

แต่อยากให้ลองคิดว่า หากในช่วงเวลาที่ผ่านมา หากประเทศไทยไม่ได้มีวัคซีนซิโนแวค ฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนอื่น ๆ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งประชากรกลุ่มอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร จะมีคนตายมากกว่านี้อีกเท่าไร

ลองคิดดูว่าวัคซีนที่เราจะมีโอกาสได้มาใช้ในจำนวนที่มากพอและเร็วที่สุด คือ แอสตราเซเนกา เราหามาได้เร็วและมากเท่าซิโนแวคที่เราใช้ไปแล้วหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงว่าวัคซีนพวก mRNA เราจะได้มาเมื่อไร และเท่าไร

เราจึงควรให้ความยุติธรรม และยอมรับคุณค่ากับสิ่งที่วัคซีนซิโนแวคได้ทำประโยชน์แก่สังคมไทยส่วนรวมไปแล้ว ในสภาพการณ์และสถานการณ์จริงในช่วงเวลานั้น ๆ

ส่วนเมื่อสถานการณ์การระบาดของโรคเปลี่ยนไป เชื้อโรคมีการกลายพันธุ์ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนเปลี่ยนไป วัคซีนที่เหมาะสมในสถานการณ์ใหม่ จะเป็นตัวไหนอย่างไร เป็นเรื่องที่เราต้องว่ากันไปตามเหตุและผล เพื่อแสดงถึงวุฒิภาวะของสังคมไทยว่า เราใช้สติ ไม่ใช่เพียงอคติในการวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย


ที่มา : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2835786


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ เรียกร้องรัฐใช้กฎอัยการศึก ย้ำจำเป็นต้องใช้ความเด็ดขาด ระบุประเทศไทยต้องใช้ปืนควบคุม ถึงเวลาทหารออกมารักษาระเบียบวินัยคนไทย ก่อนระบบสาธารณสุขล่ม

ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สถานการณ์โควิด-19 ในตอนนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องประกาศกฎอัยการศึก เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยข้อความระบุว่า

อำนาจรัฐนั้นก็อยู่ที่ปลายกระบอกปืน รัฐประหารโควิดจำเป็นครับ

อีกไม่กี่วันก็สองหมื่น จะมีคนตายเกินกว่าวันละ 200 ระบบสาธารณสุขจะล่ม ถ้ายังไม่ทำอะไรให้เด็ดขาด

อัยการศึกต้องประกาศใช้ครับ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ทำไงก็ต้องมีคนตาย ความเด็ดขาดจำเป็นแล้ว ไม่มีปืนคุมอะไรไม่ได้หรอกครับ สำหรับประเทศไทย

ในวิกฤติมหาโรคระบาดเช่นนี้ หากปราศจากความเด็ดขาดในการควบคุม สุดท้ายจะตายกันเกลื่อน โรงพยาบาลระบบล่ม คนจะนอนตายตามบ้านมากมาย

ไม่มีกฎอัยการศึก คนไทยไม่กลัว เรื่อง social media ก็ต้องทำให้สงบด้วยกฎอัยการศึก

ภาวะนี้ผมยืนยันว่าการประกาศกฎอัยการศึกจำเป็น เรากำลังอยู่ในมหาสงครามโรคระบาด

พ.ร.บ. กฎอัยการศึก ใช้ในภาวะสงคราม มีภัยอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ในเวลานี้จำเป็นและเหมาะสมที่สุดแล้ว

ทหารต้องออกมารักษาระเบียบวินัย ชาติจะรอดต้องรอดด้วยวินัยเท่านั้นครับเวลานี้ วินัยคือวัคซีนที่ดีที่สุดครับ


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จัดทีม CCRT เร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน 

นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ตรวจเยี่ยมทีมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุก Comprehensive Covid-19 Response Team (CCRT) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุกในชุมชน โดยการตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit โดยมี นางป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย นายนันทพงศ์ แก้วศรี ผู้อำนวยการเขตบึงกุ่ม พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สำนักอนามัย สำนักงานเขตบึงกุ่ม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยมและให้ข้อมูล ณ ศูนย์สาธารณสุข 56 (ทับเจริญ) เขตบึงกุ่ม 

ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีความห่วงใยในสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน โดยมอบหมายให้สำนักอนามัย จัดทีมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุก Comprehensive Covid-19 Response Team (CCRT) โดยร่วมกับสำนักงานเขต ศูนย์บริการสาธารสุข 69 แห่ง ประสานฝ่ายความมั่นคง ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) องค์กร NGO ภาคประชาชน และจิตอาสา ลงพื้นที่ชุมชน 69 แห่ง เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน ได้แก่ ผู้ป่วยโควิด ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ โดยการตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit พร้อมให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และให้คำแนะนำในการแยกกักที่บ้าน หรือ HI : Home Isolation มอบชุด HI แก่ผู้ป่วยที่สามารถกักตัวที่บ้านได้ โดยการจ่ายยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจน สำหรับผู้ที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้ ทีมจะนำผู้ป่วยนำส่งศูนย์พักคอย หรือ Community Isolation

ซึ่งกรุงเทพมหานครได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อแล้ว 24 ศูนย์ ในพื้นที่ 23 เขต เปิดบริการรับผู้ป่วยแล้ว 14 ศูนย์ โดยจะเปิดเพิ่มอีกให้ครบทั้ง 50 เขต นอกจากนี้ทีม CCRT จะดำเนินการกักกันผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่บ้าน และมอบชุด HQ : Home Quarantine หรือส่งเข้า LQ : Local Quarantine สำหรับวันนี้กรุงเทพมหานคร ได้นำชุดตรวจโควิด-19 Antigen Test Kit ซึ่งได้รับมอบจากไทยรัฐกรุ๊ป และพันธมิตรภาคเอกชน โดยนำมาใช้เป็นครั้งแรก เพื่อตรวจคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชน บริเวณศูนย์สาธารณสุข 56 (ทับเจริญ) เขตบึงกุ่ม โดยมีเป้าหมาย จำนวน 70 ราย รวมถึงบริการฉีดวัคซีนแก่ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ทั้งนี้ ทีม CCRT ได้กำหนดเป้าหมายในการลงพื้นที่ทั้ง 50 เขต เพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนให้ครอบคลุมและทั่วถึงมากที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top