Thursday, 19 June 2025
NEWS FEED

หนุ่มวัย 15 ประสบอุบัติเหตุสมองตายได้สร้างบุญกุศลยิ่งใหญ่ หลังครอบครัวตัดสินใจบริจาคอวัยวะส่งมอบชีวิตใหม่ให้ผู้อื่น

หนุ่มวัย 15 ปี ประสบอุบัติเหตุจนสมองตาย ครอบครัวตัดสินใจบริจาคอวัยวะ เพื่อส่งต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย ที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ ให้กลับมามีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น

(13 ก.พ. 68) เพจเฟซบุ๊ก 'คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (official)' ได้โพสต์เรื่องราวสุดเศร้า แต่ก็สร้างความประทับใจในเวลาเดียวกัน เมื่อหนุ่มวัย 15 ปี ประสบอุบัติเหตุ แล้วเกิดสมองตาย จึงทำให้ครอบครัวบริจาคอวัยวะ มอบชีวิตใหม่ให้แก่ผู้อื่น นับว่าเป็นกุศลยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้าย

โดย เพจคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุข้อความว่า รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ สร้างสะพานบุญ ผู้ป่วยภาวะสมองตาย รายที่ 41“ส่งต่อ 'ชีวิตใหม่' ให้ผู้อื่นผ่านการบริจาคอวัยวะ”

คุณรัชชานนท์ พรหมเสน อายุ 15 ปี ประสบอุบัติเหตุทางจราจร เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้การรักษาอย่างเต็มความสามารถ แต่อาการของโรคทรุดลงตามลำดับ จนในที่สุดทีมแพทย์วินิจฉัยว่า ผู้ป่วยอยู่ใน 'ภาวะสมองตาย' โดยประกาศการเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 ในเวลา 02.40 น. 

ทางครอบครัวมีความเห็นร่วมกันว่า มีความประสงค์จะบริจาคอวัยวะทุกส่วนของผู้เสียชีวิต ที่จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์และส่งมอบโอกาสการรอดชีวิตกับผู้ที่รอคอย โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และสภากาชาดไทย จึงได้ประสานงานร่วมกัน เพื่อส่งต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ ให้กลับมามีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น 

การบริจาคอวัยวะในครั้งนี้ สามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ โดยส่งต่ออวัยวะคือ ตับ และ ไต 2 ข้าง 

คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่ได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ขอให้ดวงวิญญาณของ คุณรัชชานนท์ พรหมเสน ไปสู่สุคติและสัมปรายภพที่ดี 

ร่วมสร้างความตระหนักรู้ในสังคม เกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะว่า นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในมิติใหม่แล้ว ยังช่วยให้กระบวนการทางการแพทย์ในด้านการปลูกถ่ายอวัยวะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และลดเวลารอคอยสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการ

การบริจาคอวัยวะผู้ป่วยภาวะสมองตายนั้น เปรียบเสมือน 'พินัยกรรมอวัยวะ' ถึงแม้ว่าผู้เสียชีวิตจะสมัครใจในการบริจาคอวัยวะ หากญาติไม่ให้ความยินยอม ผู้เสียชีวิตย่อมไม่สามารถบริจาคได้ ดังนั้น ครอบครัวและญาติ จึงเป็นแรงกำลังสำคัญที่จะร่วมกันสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่นี้ 

ตำรวจเตือนระวังภัยวาเลนไทน์ พร้อมแนะ 3 ข้อป้องกัน 

(13 ก.พ.68) พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า เทศกาล 'วันวาเลนไทน์' หรือวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะมีประชาชนจำนวนมากถือเป็นโอกาสในการแสดงออกถึงความรัก ซึ่งมิจฉาชีพหรือผู้ไม่หวังดีมักจะใช้โอกาสพิเศษเหล่านี้ก่อเหตุร้าย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวง การล่อลวง คุกคามทางเพศ และภัยออนไลน์ต่างๆ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมเหล่านี้

กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์ 3 ข้อป้องกันภัยช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ดังนี้
1. ระมัดระวังพฤติกรรมเสี่ยง : ขอความร่วมไปยังพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ระมัดระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการออกไปเที่ยวฉลองวันวาเลนไทน์
2. รู้ทันกลลวงที่มากับความรัก : กลลวงของมิจฉาชีพในการหลอกลวงแสวงหาประโยชน์จากประชาชนในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ เช่น หลอกให้รักหวังเอาเงิน ชวนให้เหยื่อวิดีโอคอล หรือถ่ายคลิปลามก บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอม แอบอ้างเป็นร้านอาหารต่างๆ จัดโปรโมชั่นช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ 
3. ประสานเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : หากพบการกระทำไม่เหมาะสมของเด็กและเยาวชน หรือเหตุการณ์อาชญากรรมต่างๆ ให้แจ้งเบาะแสข้อมูลข่าวสารให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบ ทางสายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 

นอกจากนี้ ผู้บังคับการกองสารนิเทศ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดกำลังสายตรวจออกตรวจตราบุคคลกลุ่มเสี่ยง โดยเน้นพื้นที่ล่อแหลมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม การคุกคามทางเพศ แหล่งมั่วสุมของเด็กและเยาวชน พร้อมเน้นย้ำให้สถานบันเทิงและสถานบริการ ต้องไม่ปล่อยให้เด็กและเยาวชนเข้าไปใช้บริการ รวมถึงตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่เด็กและเยาวชน และสุ่มตรวจหาสารเสพติดในสถานบันเทิงและสถานบริการต่างๆ รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดและเฝ้าระวังตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ พร้อมตรวจสอบและเฝ้าระวังการกระทำผิดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ โดยเฉพาะกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ สื่อลามกอนาจารที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน 

นครพนม-แม่ทัพภาคที่ 2 แถลงข่าวทหารพราน 'Seal Stop Safe' สกัดยาเสพติดชายแดน รวบ 3 ผู้หาขนยาไอซ์ 658 กิโลกรัมพร้อมยาบ้ากว่าแสนเม็ด ริมฝั่งแม่น้ำโขงบ้านอำเภอบ้านแพง 

เมื่อวันที่ (12 ก.พ. 68) เวลา 15.00 น. ที่กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 บ้านปากห้วยม่วง ตำบลนาเข อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2/ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มทภ.2/ผบ.นบ.ยส.24) พร้อมด้วยพลตรี สุคนธรัตน์ ชาวพงษ์  ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี, พลเรือตรีณรงค์ เอมดี ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง,พันเอกศิวดล ยาคล้าย ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 1 ( ร.3 ), พันเอกอินทราวุธ  ทองคำ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21,นายคณิศร ภาพีรนนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 4 , นายอำเภอบ้านแพง พร้อมกับหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาชาว สปป.ลาว 3 ราย 

พร้อมตรวจยึดยาเสพติดประเภท 1 ยาไอซ์ จำนวน 16 กระสอบ 658 กิโลกรัม/ก้อน และยาบ้า  58 มัด จำนวน 116,000 เม็ด รถตู้ 1 คัน เรือกีบติดเครื่องยนต์ 2 ลำ ที่บริเวณริมตลิ่งแม่น้ำโขงบ้านแพงใต้ ตำบลบ้านแพง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม โดยร้อยโท วันชาติ  เหมือนปืน ผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 21 ได้นำกำลังพลหน่วยขึ้นตรงกองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากฝั่ง สปป.ลาวเข้ามายังพื้นที่ฝั่งไทยเพื่อนำเข้าสู่พื้นที่ตอนใน บริเวณริมตลิ่งแม่น้ำโขงบ้านแพงใต้ ตำบลบ้านแพง อำเภอบ้านแพงจึงได้ประสานกำลังกับหน่วยงานฝ่าวความมั่นคงที่เกี่ยวข้องซุ่มเฝ้าตรวจ พบเรือกลีบ จำนวน 2 ลำรถยนต์(รถตู้)จำนวน 1 คันพร้อมผู้ต้องหา จำนวน 3 คน เป็นชาวสปป.ลาว ประกอบด้วย ท้าวดำ (ไม่ทราบนามสกุล) อายุ 16 ปี บ้านนาข่า เมืองคูนคำ แขวงคำม่วน สปป.ลาว-ท้าว ลี (ไม่ทราบนามสกุล) อายุ 17 ปี บ้านทางแยกหลักซาว เมืองปากกะดิ่ง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว และท้าวพง อภัยโส อายุ 30 ปี อยู่บ้านดอน เมืองปากกระดิ่ง แขวงบอลิคำไซ สปป. ลาว พร้อมของกลาง 4 รายการ คือยาไอซ์ จำนวน 16 กระสอบ น้ำหนัก 658 กิโลกรัม/ก้อน,ยาบ้า 58 มัด 116,000 เม็ด,เรือกลีบเล็กพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 2 ลำ-รถยนต์ (รถตู้) จำนวน 1 คัน ทางหน่วยได้นำของกลางมาตรวจนับอีกครั้ง ที่กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21

และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านแพง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปจากการสอบถามผู้ต้องหาทั้งสามคนรับสารภาพว่าได้รับค่าจ้าจากนายทุนชาวลาวให้นำของกลางมาส่งที่ฝั่งไทยแลกค่าจ้างคนละ 20,000 บาทก่อนจะมาถูกจับกุมเสียก่อน โอกาสนี้ แม่ทัพภาคที่ 2 /ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้กล่าวขอบคุณกำลังพลทุกนาย และทุกภาคส่วน ที่ได้มีการบูรณาการกำลัง ได้ทุ่มเทเสียสละ แรงกายแรงใจ ร่วมกันสกัดกั้น ป้องกันและปราบปราม การลักลอบนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดน ปฏิบัติภารกิจในการเสริมสร้างความมั่นคงป้องกัน/ปราบปราม ต่อการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ในทุกภารกิจต่อไป

ซึ่งหลังจากวันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดมอบนโยบายปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน ในห้วงที่ผ่านมาในพื้นที่ชายแดนซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2  มีสถิติการจับกุมในพื้นที่อําเภอชายแดนของจังหวัดนครพนม จำนวน 139 ครั้งผู้ต้องหา 237 ราย โดยมีของกลางยาบ้ามากถึง 16,707380 เม็ด, ไอซ์ 778 กิโลกรัม, เฮโรอีน 67 กิโลกรัม และเคตามีน 320 กิโลกรัม การจับกุมในพื้นที่รับผิดชอบทั้งหมด 7 จังหวัด 25 อําเภอ จํานวน 428 ครั้ง ผู้ต้องหา 626 คน โดยมีของกลางยาบ้ามากถึง 74,168,318 เม็ด, ไอซ์ 2,566,308 กิโลกรัม, เฮโรอีน 123.95 กิโลกรัม, เคตามีน 573.83กิโลกรัม, และอื่น ๆ (ยาอี 1,490 เม็ด. happy Water 800 ซอง, ฝิ่น 0.66 กรัม)

รฟฟท. จัดโครงการ 'พี่หนูแดงพาน้องนั่งรถไฟไปเปิดโลกกว้าง' เสริมการเรียนรู้ผ่านการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีแดง

(13 ก.พ.68) บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด จัดโครงการ CSR 'พี่หนูแดงพาน้องนั่งรถไฟไปเปิดโลกกว้าง ปี 2' เปิดโลกแห่งการเรียนรู้ผ่านเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดง เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ของเด็ก ๆ ในชุมชนตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่า โครงการ 'พี่หนูแดงพาน้องนั่งรถไฟไปเปิดโลกกว้าง' ถือเป็นโครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักเรียนและชุมชนในปี 2566 ที่ผ่านมา และในปี 2568 บริษัทฯ มีความยินดีที่จะสานต่อโครงการดีดีอย่างนี้ให้พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 จำนวน 100 คน จากโรงเรียนชุมทางตลิ่งชัน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดง ได้ทัศนศึกษาโดยการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งเริ่มต้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ไปจนถึงสถานีหลักหก (ม.รังสิต) และเดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ อ.คลองห้า จ.ปทุมธานี

โดยการเดินทางในครั้งนี้ เด็ก ๆ จะได้เห็นและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ นอกห้องเรียนผ่านการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนระบบรางที่มีมาตรฐานอย่างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และเด็ก ๆ จะได้สัมผัสการเรียนรู้นอกตำรา ผ่านกิจกรรมที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ซึ่งมีการจัดแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหลากหลายแง่มุม อาทิ วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ และการศึกษาเรื่องราวของร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาของไทยและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีแห่งการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้น้อง ๆ ต่อไป โดยกำหนดการจะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรม 'พี่หนูแดงพาน้องนั่งรถไฟไปเปิดโลกกว้าง ปี 2' ในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการเป็นองค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม โดยไม่เพียงแต่เป็นผู้ให้บริการขนส่งมวลชนระบบรางที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและโอกาสทางการศึกษาของเยาวชน เพื่อเป็นการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตต่อไปอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ จะดำเนินกิจการเคียงข้างประชาชน และจะมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเป็นผู้นำในการให้บริการรถไฟฟ้าด้วยมาตรฐานระดับสากล สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ รักษามาตรฐานการปฏิบัติงานในด้านการเดินรถ และซ่อมบำรุง รวมทั้งรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจขององค์กร ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมืองอย่างยั่งยืนต่อไป

สสส. ผนึก มสส.-มรพ. จัดนิทรรศการ ‘ศิลปินวัยใส ใส่ใจสุขภาวะ’ โชว์ผลงานศิลปะและสื่อ TikTok ดึงสื่อมวลชนด้านการ์ตูนนิสต์ทำงานร่วมกับสถานบันการศึกษาทั่วประเทศ 

สสส. ผนึก มสส.-มรพ. จัดนิทรรศการ ‘ศิลปินวัยใส ใส่ใจสุขภาวะ’ โชว์ผลงานศิลปะและสื่อ TikTok ดึงสื่อมวลชนด้านการ์ตูนนิสต์ทำงานร่วมกับสถานบันการศึกษาทั่วประเทศ ปั้นศิลปินตัวน้อยสู่เยาวชนนักสื่อสารสุขภาวะ ป้องกันปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ-สังคม

เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2568 ที่ Palette Artspace (ชั้น 4) ทองหล่อ กรุงเทพฯ มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน (มรพ.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดตัว นิทรรศการ : ศิลปินวัยใส ใส่ใจสุขภาวะ เพื่อแสดงผลงานศิลปะของเด็กเยาวชนในประเด็นลดปัจจัยเสี่ยง เหล้า บุหรี่ พนัน และอุบัติเหตุ จัดแสดงระหว่างวันที่ 13-18 ก.พ. 2568 เวลา 10.00 – 18.00 น. ที่ Palette Artspace  (ชั้น 4) ทองหล่อ กรุงเทพฯ มีผลงานทั้งภาพวาดการ์ตูนไทย และสื่อ TikTok รณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยง

​น.ส.รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (สสส.) ประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การสื่อสารสู่การหลอมรวมสื่อ (Convergence Media) ในทุกรูปแบบ ส่งผลให้แพลตฟอร์มออนไลน์กลายเป็นช่องทางหลักที่ดึงให้เด็กเยาวชนเข้าสู่กับดักของสินค้าที่ทำลายสุขภาพและสิ่งเสพติดมากขึ้น ทั้งบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า พนันออนไลน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สสส. ในฐานะองค์กรขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพและสังคม จึงให้ความสำคัญการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้อันตรายจากปัจจัยเสี่ยง โดยสานพลังร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาพ และเครือข่ายสื่อมวลชน นักการ์ตูนนิสต์ เครือข่ายละครเพื่อการเรียนรู้ และสถาบันการศึกษา มาร่วมออกแบบผลงานศิลปะและสื่อ TikTok เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กเยาวชนให้เท่าทันปัจจัยเสี่ยง ถือเป็นเป็นมิติใหม่ของการทำงานรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ในโทษภัยของสิ่งเสพติดและปัจจัยเสี่ยงทางสังคมเรื่องพนันและความปลอดภัยทางถนน

​นายอภิวิชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) กล่าวว่า มสส. ได้ขยายการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกับมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน (มรพ.) เพื่อเชื่อมประเด็นการทำงานเชิงประเด็นและเทคนิคการสร้างสรรค์และผลิตสื่อศิลปะการ์ตูน โดยนักการ์ตูนนิสต์ชื่อดัง ทั้งเซียไทยรัฐ (นายศักดา แซ่เอียว), พี่ขวดเดลินิวส์ (นายณรงค์ จรุงธรรมโชติ), ครูอ๋า เก่งคิดเก่งวาด (นายสิทธิพร กุลวโรตตมะ) ฯลฯ  เพื่อร่วมงานผ่านกิจกรรมค่าย We Win Wow ชนะมาร-ชนะใจ พัฒนากระบวนการเรียนรู้วิชาชนะมาร (เหล้า บุหรี่ พนัน) ให้กับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในพื้นที่การทำงานของเครือข่ายละครเพื่อการเรียนรู้ชนะมารของ มรพ. ใน 5 ภาค คือ ภาคเหนือ - อุตรดิตถ์, ภาคใต้ - สงขลา, ภาคตะวันออก - ชลบุรี, ภาคคะวันออกเฉียงเหนือ - โคราช และภาคกลาง - กรุงเทพฯ โดยภูมิรู้ด้านปัจจัยเสี่ยงและเทคนิคการสร้างงานศิลปะ จะเป็นสารตั้งต้นเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กนักเรียนเติบโตเป็นพลเมืองที่มีสุขภาวะที่ดีของสังคม

​นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์พนัน (มรพ.) กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงในเด็กเยาวชน พบว่าทั้งเรื่องเหล้า บุหรี่ไฟฟ้า และพนันออนไลน์ ล้วนเป็นธุรกิจสีเทา ที่พุ่งเป้ามาที่เด็กและเยาวชนเพื่อดึงให้เป็นนักดื่ม นักสูบ นักเล่นหน้าใหม่ ทดแทนกลุ่มลูกค้าเดิมที่อาจได้รับผลกระทบจนสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินไปแล้ว ซึ่งการจัดกิจกรรมค่าย We Win Wow ใน 5 ภาค เมื่อเดือนต.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นการฉีดวัคซีนความรู้เรื่องปัจจัยเสี่ยง เหล้า บุหรี่ไฟฟ้า และพนันออนไลน์ให้นักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ กว่า 50 แห่ง สอนเทคนิคการทำสื่อรณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยงในสาขาการวาดการ์ตูน และการผลิตคลิปสั้น TikTok ผลงานทั้งหมดถือเป็นพลังเสียงเล็ก ๆ ที่ส่งเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ถึงผู้ใหญ่ของบ้านเมืองว่า “ขอสังคมที่ปลอดภัย ปลอดปัจจัยเสี่ยง” ให้พวกเขาได้เติบโตอย่างมีอนาคต

ดร.ศิวัช บุญเกิด รองปลัดเมืองพัทยา จ.ชลบุรี หนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่ มรพ. ได้มีการลงพื้นที่ไปจัดค่าย We Win Wow กล่าวว่า เครือข่ายโรงเรียนและครูในสังกัดเมืองพัทยาให้ความสำคัญการมีส่วนร่วมสร้างภูมิรู้เท่าทันให้กับเด็กและเยาวชนให้ห่างไกลจากปัญหายาเสพติดและปัจจัยเสี่ยง ตามมาตรการโรงเรียนปลอดภัยเมืองพัทยา (Safety School) โดยส่งเสริมการศึกษาให้เยาวชนมีศักยภาพในการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาท้องถิ่นและบริบทของสังคมปัจจุบัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะที่ดี สร้างภูมิรู้เท่าทันการลดปัจจัยเสี่ยงทุกมิติ ทั้งเหล้า-บุหรี่-พนัน ที่แฝงมากับช่องทางสื่อออนไลน์และข่าวลวง (Fake News) ทั้งนี้ ความร่วมมือกับ สสส. เครือข่ายภาคีด้านสุขภาพ และเครือข่ายรณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยง ร่วมเป็นพันธมิตรให้พัทยาเดินทางไปสู่เป้าหมาย Smart City เมืองน่าอยู่และปลอดภัยได้

นายศักดา แซ่เอียว (เซียไทยรัฐ) การ์ตูนนิสต์ วิทยากรหลัก ในการสร้างผลงานนิทรรศการในครั้งนี้ กล่าวว่า การสร้างเสริมสุขภาวะในเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในประเด็นปัจจัยเสี่ยง ผู้ใหญ่ไม่ควรไปสอนเด็กตรง ๆ แต่ควรเป็นเปิดพื้นที่ให้เด็ก ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ประเด็นปัจจัยเสี่ยงด้วยตนเอง และสร้างเครื่องมือการสื่อสารที่ตนเองเข้าใจและมีความรู้ด้วยตนเอง ผ่านผลงานศิลปะและสื่อที่ผลิตออกมา เพราะเด็กบางคนที่เข้าร่วมกิจกรรมก็มีประสบการณ์ตรงในการสูญเสีย หรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยเสี่ยง จึงมีการสื่อสารออกมาได้ตรงประเด็น สร้างสรรค์ และมีเสน่ห์ น่าสนใจ”

‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ ชง 6 มาตรการแก้ปัญหา PM 2.5 แนะแต่ละจังหวัดควรมี ‘Mr.ฝุ่น’ ช่วยอ่านทิศทางลม

‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ ชง 6 มาตรการแก้ปัญหา PM 2.5 ตั้ง 'คณะกรรมการลุ่มอากาศ'- กลไกการตลาดรวมพลังผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าเชื่อมแหล่งกำเนิดมลพิษ - ยกเว้นภาษีที่ดินให้พื้นที่ใช้พักฟาง แนะควรมี 'Mr.ฝุ่น' ในเมืองและเขตต่าง ๆ ถ้าทุกคนอ่านทิศเป็น เข้าใจเชื้อเพลิงได้ รู้ว่าแต่ละจังหวัดเป็นได้ทั้งเมืองต้นลมและปลายลม จะได้คุยหาทางออกร่วมกัน

ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานสภาลมหายใจกรุงเทพ กล่าวตอนหนึ่งในงานเสวนา Policy Forum : Policy Dialogue ฝ่าทางตัน 'วาระฝุ่น' 2568 ( 11 ก.พ. 68) โดยได้นำเสนอ 6 มาตรการในการแก้ปัญหาที่มองว่าสามารถทำได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ประกอบด้วย

1.ข้อมูลการตลาด ภาคประชาสังคมและพลังผู้บริโภคต้องเข้มแข็ง ด้วยการช่วยกันค้นหาเปิดเผยสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับแหล่งกำเนิดPM 2.5 และไม่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์นั้น เป็นการลดแหล่งกำเนิดจากการเผาต่าง ๆ เช่น จากโรงงานน้ำตาล 60 แห่งมี 20 แห่งที่ยังรับซื้ออ้อยที่มีการเผา ก็เปิดเผยชื่อโรงงานและยี่ห้อน้ำตาล เป็นต้น 

2.ลดแหล่งกำเนิดจากการใช้รถ เปลี่ยนจากการใช้น้ำมันEURO 5 เป็น EURO 6 ในราคาที่ไม่แพงมากนัก ร่วมกับการกวดขันและติดตามรถควันดำร่วมกับภาคประชาชนยกเว้นภาษีที่ดี พื้นที่พักฟาง

3.ภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีการพูดน้อยถึงว่าเป็นแหล่งก่อ PM 2.5 ควรมีการนำโดรนมาบินปลายปล่องโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อวัดปริมาณมลพิษที่ปล่อยออกมาแทนการใช้วิศวกรปีนขึ้นไปวัด

4.ขอให้กระทรวงการคลัง ออกระเบียบเรื่องภาษีที่ดิน ในการกำหนดพื้นที่ยกเว้นภาษีที่ดิน ให้กับพื้นที่พักฟาง ก็จะได้พื้นที่ว่างของภาคเอกชนมาให้เกษตรกรพักฟางทุกตำบลทั่วประเทศจะได้ไม่ต้องมีการเผาพื้นที่เกษตร แต่จะต้องมีการดูแลที่ดีไม่ให้ฟางเกิดไฟไหม้ และรอให้ผู้มาซื้อฟางไปทำอาหารสัตว์ หรือโรงงานไฟฟ้าชีวมวล

5.จัดตั้งคณะกรรมการลุ่มอากาศ ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทนจังหวัดที่อยู่ในทิศทางลมทั้ง 3 แบบคือ ลมหนาว, ลมตะวันตกเฉียงใต้ และลมตะเภาที่ส่งผลต่อการพัดพาฝุ่น PM2.5 โดยก่อนที่จะถึงช่วงเวลาของสภาพอากาศและทิศทางลมแต่ละแบบที่จะเกิดขึ้น คณะกรรมการนี้ก็มาบริหารจัดการร่วมกันภายใต้สูตร 8/3/1 โดยร่วมวางแผนลดปัญหาล่วงหน้า 8 เดือน ส่วนช่วง 3 เดือนที่สภาพอากาศปิดเป็นฝาชีก็ไม่ให้มีการเผา และ 1 เดือนหลังจากนั้นใช้ในการถอดบทเรียนเพื่อปรับในปีต่อไป

และ6.ส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งสภาลมหายใจให้เกิดขึ้นทุกจังหวัด ลงลึกถึงระดับพื้นที่ และนำไปสู่การจัดตั้งสภาลมหายใจCLMV เพื่อร่วมขับเคลื่อนปัญหาระหว่างประเทศ 

"สภาลมหายใจ เราเสนอว่าควรมี 'Mr.ฝุ่น' ในเมือง และเขตต่าง ๆ เพราะลมเปลี่ยนทิศ และป่าแห้งตามช่วงเวลา ซึ่งแต่ละจังหวัดเป็นได้ทั้งเมืองต้นลมและเมืองปลายลม ในขณะเดียวกัน ต้องทำให้ทุกคนรู้ด้วยว่า ถ้าเขาอ่านทิศทางเป็น เข้าใจเชื้อเพลิงได้ อย่างฝุ่นของเราเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาจากหมู่บ้านนั้นอำเภอนี้ จังหวัดนั้น แล้วที่จังหวัดนั้นเขาปลูกอะไร หรือเป็นช่วงเทศกาลอะไรอยู่ ทำให้เราต้องรับฝุ่นแบบนี้ จะได้คุยกับเมืองต้นลมถูก

ในเดือนมกราคม, มีนาคม และเมษายน อย่างน้อยทิศทางลมจะเปลี่ยน 3 หน จึงอยากชวนรัฐบาลกลางพิจารณาว่าควรจะตั้งคณะกรรมการที่ให้จังหวัดปลายลมและข้างเคียงรวมตัวเป็นฝ่ายหัวโต๊ะ แล้วชวนจังหวัดต้นลม ตั้งแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือลงมา มานั่งหัวโต๊ะ อธิบายให้เข้าใจว่าท่านกำลังปลูกอะไร แล้วอยากให้เมืองปลายลมช่วยอะไร เพราะถ้าจังหวัดปลายลมไม่อยากรับลมนั้น จะได้ระดมพลังประชาชนมาช่วยแก้กัน โดยต้องดำเนินตามหลัก '8-3-1' 

‘เอกนัฏ’ สั่ง!! ‘ทีมตรวจสุดซอย’ ลุยต่อเนื่องตรวจ 2 โรงงาน เชื่อมโยง!! ไฟไหม้โรงงานพลาสติกเถื่อน จ.สมุทรสาคร

(12 ก.พ. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งทีมตรวจสุดซอยลุยตรวจต่อเนื่อง นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ขยายผลเหตุเพลิงไหม้โกดังทลายเครือข่ายที่เคยพบเศษพลาสติกกว่า 6,900 ตัน พร้อมตรวจค้น 2 โรงงานที่มีความเชื่อมโยงกับโรงงานพลาสติกเถื่อน จ.สมุทรสาคร ที่ถูกสั่งปิด เมื่อวันที่ 1 ก.พ.68 ที่ผ่านมา

น.ส.ฐิติภัสร์กล่าวว่า ในที่เกิดเหตุเพลิงไหม้พบป้ายชื่อบริษัทที่ติดอยู่ คือ บริษัทเถิงฟา พลาสติก แอนด์ เมทเทิล จำกัด ตั้งอยู่ที่ 288/6 หมู่ที่ 4 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร มีนายฟู่ซิน หลัว เป็นหนึ่งในกรรมการจากการขยายผลพบอีก 2 บริษัทที่มีความเชื่อมโยงกัน คือ 1) บริษัท ยูนิโบร เมทัล (ไทยแลนด์) จำกัด ตั้งอยู่ที่ 288/6 หมู่ที่ 4 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร มีนายฟูควน ลัว และนายฟู่ซิน หลัว เป็นกรรมการ ประกอบกิจการคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตราย 2) บริษัทเถิงต๋า พลาสติก แอนด์ เมทเทิล จำกัด ตั้งอยู่ที่ 288/12 หมู่ที่ 4 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร มีนายฟูควน ลัว เป็นกรรมการ ประกอบกิจการคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต

จากการตรวจค้นทั้ง 2 บริษัท พบเศษพลาสติกสายไฟนำเข้าจากต่างประเทศ บางส่วนมีลักษณะคล้ายกับเศษพลาสติกสายไฟในโกดังที่เกิดเหตุไฟไหม้ โดยนายฟูควน ลัว กรรมการบริษัท ยูนิโบร เมทัล (ไทยแลนด์) จำกัด รับสารภาพเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ยังตรวจพบขยะอิเล็กทรอนิกส์และแผ่น PCB ถูกบดย่อยกองอยู่และในถุง big bags เป็นจำนวนมากในพื้นที่ ซึ่งมีบริษัท บี เค รีไซเคิล จำกัด เป็นเจ้าของ ส่วนการตรวจค้นบริษัท เถิงต๋า ที่ตั้งอยู่ติดกัน พบมีการลักลอบประกอบการโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนกกฎหมายไม่ปฏิบัติตามประกาศเรื่องสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว

พนักงานเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมและส่งตัวนายฟูควน ลัว กรรมการบริษัท ยูนิโบร เมทัล (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัทเถิงต๋า พลาสติก แอนด์ เมทเทิล จำกัด และบริษัทเถิงฟา พลาสติก แอนด์ เมทเทิล จำกัด ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ บก.ปทส. พร้อมทั้งดำเนินคดีกับผู้มีส่วนกระทำความผิดทั้งหมดอย่างถึงที่สุด

“หากประชาชนพบเห็นปัญหาหรือเหตุต้องสงสัยเกี่ยวกับการประกอบการอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้องหรือสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่าน ‘แจ้งอุต’ หรือไลน์ไอดี ‘traffyfondue’ เพื่อกระทรวงฯ จะเร่งส่งทีมสุดซอยลงพื้นที่จัดการกับปัญหาให้ประชาชนในทันที” น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

นาโอมิ โพสต์อินสตาแกรม ขอบคุณ ‘นายกฯ อิ๊งค์-ทักษิณ’ เผย!! รู้สึกตื่นเต้น ที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ในการร่วมผลักดัน แฟชั่นไทย ก้าวไกลสู่เวทีโลก

(12 ก.พ. 68) นาโอมิ เอเลน แคมป์เบลล์ (Ms. Naomi Elaine Campbell) นางแบบชื่อดังระดับโลก โพสต์อินสตาแกรมระบุว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เยือนประเทศไทยตามคำเชิญของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

การใช้พลังแห่งแฟชั่นในเชิงวัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่ฉันให้ความสำคัญมาโดยตลอด และฉันรู้สึกยินดีที่ได้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นวิสัยทัศน์ร่วมกันกับประเทศไทย

ขอขอบคุณ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกฯ และประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย สำหรับการพูดคุยอันมีคุณค่าเกี่ยวกับการนำเสนอเสน่ห์และพรสวรรค์อันโดดเด่นของไทยบนเวทีแฟชั่นระดับโลก

ด้วยประสบการณ์ในแวดวงแฟชั่นระดับนานาชาติของฉัน ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้มีส่วนร่วมในการสร้างเส้นทางที่เอื้อให้ความคิดสร้างสรรค์ของไทยก้าวไกลสู่เวทีโลก

‘รถยนต์ฝ่าไฟแดง’ ชน!! ม.3 ข้ามทางม้าลาย หน้าโรงเรียนสวนกุหลาบ ขณะ!! ‘ไฟเขียว’ ให้คนข้ามถนน ทั้งที่คนถือธงแดง โบกธงแล้ว

เผยว่า เมื่อช่วงหลังเลิกเรียนวันนี้ ผู้ปกครองแจ้งว่าเกิดเหตุนักเรียนสวนกุหลาบ (ม.310) โดนรถที่ขับฝ่าไฟแดงคนข้าม ชนบริเวณหน้าโรงเรียน เบื้องต้นน้องขึ้นรถพยาบาลไปกับครูประจำชั้นแล้ว หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป

นักเรียนที่อยู่ในจุดเกิดเหตุให้ข้อมูลว่า ไฟเขียวให้คนข้ามถนนและคนถือธงแดงโบกธงแล้ว จังหวะนั้นน้องกำลังจะพุ่งไปขึ้นรถเมล์ แต่รถยนต์คันสีแดงกลับเร่งความเร็วฝ่าไฟแดงเข้ามาชน เพื่อนน้องหลบทัน น้องหลบไม่ทัน จุดที่ถูกชนยังอยู่บนพื้นที่ทางม้าลายคนข้ามถนน และเป็นสัญญาณไฟเขียวให้คนข้าม

และรายงานล่าสุด เมื่อเวลา 16.30 น. ตอนนี้น้องปลอดภัย มีสติ พูดคุยรู้เรื่อง กำลังรอผลเอกซเรย์ และในเวลา 18.00 น. ผลเอกซเรย์ทุกอย่างไม่มีแตกหัก รวมถึงสแกนสมองเรียบร้อย คาดว่าไม่ต้องนอน รพ. วันนี้น้องเรียนวันสุดท้าย มีสอบอีก 2 วัน ก็จบ ม.3

‘เนติวิทย์’ โอด!! ไม่รู้ว่าควรขำหรือเศร้า วัฒนธรรมการลงโทษในจุฬาฯ ที่ยังคงอยู่

(12 ก.พ. 68) จากกรณี คณะกรรมการจัดงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์ – จุฬาฯ ครั้งที่ 75 ได้ประชุมร่วมกันทั้งธรรมศาสตร์และจุฬาฯ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดงาน ที่สมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยครั้งนี้สมาคมธรรมศาสตร์ฯ เป็นเจ้าภาพ ซึ่งการแข่งขันจะมีขึ้นในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ ทั้งนี้ นับเป็นการจัดการแข่งขันฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งแรกในรอบ 5 ปี หลังจากห่างหายไปตั้งแต่ปี 2563 และกิจกรรที่เป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของงานครั้งนี้คือเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสีสันให้กับงานบอลประเพณีมาตลอด

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ก.พ. นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อดีตนายกสโมสรนิสิตจุฬา ออกมาโพสต์ข้อความ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการฝึกซ้อมของหลีดและคฑากรจุฬาฯที่ยังคงมีการลงโทษที่ไม่เหมาะสมและระบบอาวุโสที่ควรจะหมดไปได้แล้ว พร้อมวอนไปถึงผู้บริหารของมหาวิทยาลัยควรเข้ามาจัดการและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Netiwit Chotiphatphaisal’ ว่า

"ไม่รู้ว่าควรขำหรือเศร้า ช่วงนี้เดินไปศาลเจ้าแม่ฯ บ่อยๆ ลัดหน้าจาม9 ไปทะลุออกประตูตลาดสามย่าน ก็จะเห็นพวกคฑากรและหลีดซ้อมอยู่ตรงหนัาจาม9 ตลอด วันนึงน้องที่เดินไปด้วยชวนหยุดยืนดูเขาซ้อม เราก็คิดว่าคงไม่มีอะไร สักพักรุ่นพี่ก็สั่งรุ่นน้องวิดพื้น หรือกระโดด เพราะทำคฑาตก ไม่น่าเชื่อว่ามีคนกำลังยืนอยู่และพื้นที่สาธารณะด้วย เขาก็กล้าทำโทษรุ่นน้อง เลยเอากล้องขึ้นมาถ่ายคลิปเป็นหลักฐาน พวกเขาเห็นคนถ่ายคลิป (โดยเฉพาะจากตัวร้ายอย่างผม) แทนที่จะหยุดก็ยังคงใส่ทำโทษท่าทางต่างๆต่อไป เหมือนจะโชว์ให้เราเห็นด้วยซ้ำ

อีกวันนึงก็เจอพวกรุ่นพี่สั่งหลีดจุฬาฯวิ่งรอบสนามจุ๊บ 3 รอบ ท่ามกลางคนมากมาย นี่มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วหรือไง ก็เลยเดินเข้าไปถามพวกรุ่นพี่ คิดว่าพวกนี้มันต้องเด็กกว่าเราแน่ ก็เราเรียนถึง 8ปีเลยนี่ ผมบอกเขาว่าผมรหัส 59 น่ะ คุณรหัสอะไร รุ่นพี่ตอบกลับว่าผมรหัส 52 (คือเข้าจุฬาฯปี 2552) แค่นั้นผมก็อึ้งไปเลย ไม่ใช่ว่ากลัวอาวุโสอะไร แต่โอ้โหคิดเล่นๆน่ะ ยังมีคนเป็นบ้ากับมหาลัยได้มากกว่าผมอีกหรือ แหม คนก็มาด่าแต่เราเป็นมาเฟียสามย่าน หรือ เสี้ยนหนามของจุฬาฯก็ไม่รู้ (น่าให้รางวัลเชิดชูเกียรติพวกนี้จริงๆ) และอีกความคิดนึงที่ซีเรียสก็คือ ทำไมนิสิตรุ่นใหม่ถึงสยบยอมกับรุ่นพี่พวกนี้ได้ขนาดนี้ โอ้ บางคนเรียนคณะรัฐศาสตร์ด้วย โอ้ ระบบการศึกษาสิบกว่าปีที่ผ่านมา โอ้ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยสอนอะไร โอ้ human agency โอ้ human dignity นิสิตไม่ตั้งคำถามกับพวกเขาเลยหรือไงที่สั่งวิ่งสั่งลุกนั่ง จนหลายๆคนหอบกินก็ยังทำตามคำสั่งต่อไป

กลับมาอีกประเด็นเชิงเทคนิคหน่อยก็คือ หลีดจุฬาฯ คฑากร มันจะโทษรุ่นพี่พวกนี้ไปเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะระบบมันเลิกไปแล้ว 3-4 ปี และระบบมันฟังก์ชั่นนี้อยู่แล้วที่จะต้องทำตามคำสั่งอย่างเสียมิได้ เลยถูกกดดันให้ยกเลิกไปดีกว่าจะมาปรับปรุงที่ไม่มีทางเปลี่ยนได้จริงๆ

ที่มันกลับมาก็เพราะผู้บริหารจุฬาฯชุดปัจจุบันอยากให้มี (แบรนดิ้งไงล่ะ หลีดคฑากรคือแบรนด์ที่มหาลัยอยากให้สังคมรับรู้ ไม่ใช่คนอย่างพิรงรองหรือนักวิชาการเก่งๆ) ไม่งั้นมันจะซ้อมแบบนี้ได้หรือ ถ้าผมหรือใครไปขอซ้อมทำม๊อบประท้วง รปภ ไม่มาจับตาดูทุกวินาทีแล้วหรือ รวมถึงอาจไม่ให้พื้นที่ด้วย มันจะระดมรุ่นพี่กลับมาได้ยังไงถ้าไม่ถูกขอร้อง และผู้บริหารมหาลัยก็มีส่วนร่วมคัดตัวหลีดและคฑากรด้วยนี่ ผู้บริหารบางคนยิ้มแกล้มปรี่้เลยว่านี่คือการรื้อฟื้นสิ่งสำคัญที่หายไปกลับมา ดังนั้น ผู้บริหารนี่แหละที่เปิดพื้นที่อยากให้พวกนี้กลับมา และต้องรับผิดชอบด้วย

สุดท้าย ไม่อยากให้ใครสิ้นหวัง มันไม่มีอะไรเลย! ระบบมันยกเลิกไม่ยากเลย ผู้บริหารจุฬาฯบอกให้ยกเลิกได้ ออกมาพูดได้เลย อย่าลอยตัว พูดได้ไม่เอาแบบนี้แล้วในงานบอล นิสิตจุฬาฯทุกคนก็ช่วยกันผลักดันได้ เห็นลงโทษแบบนี่ก็ร้องเรียน ออกมาพูดเลย องค์กรนิสิตต่างๆก็กดดันอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้พื้นที่ในสื่อ/หรือไปร่วมคัดเลือก อาจารย์ก็บอกนิสิตให้ตั้งคำถามในห้องเรียน - ผมไม่เชื่อว่ามันยากจะเปลี่ยนจะเลิก- เพราะมันเคยยกเลิกไปแล้วด้วย - ถ้าเราไม่ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา normalization ถูกจับตาเฝ้ามองตลอด หลีดคฑากรอันแสนโหดนี่ก็จะเป็นเรื่องอดีตอีกครั้ง"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top