Tuesday, 29 April 2025
ECONBIZ NEWS

“บิ๊กตู่” เปิดทำเนียบรัฐบาล ถกเอกชน รับฟังปัญหา-หามาตรการช่วย

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลามโหม จะเปิดทำเนียบรัฐบาล หารือร่วมกับผู้บริหารจากองค์กรภาคเอกชนหลายแห่ง ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เพื่อรับฟังปัญหา และสถานการณ์ปัจจุบันในการประกอบธุรกิจที่กำลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19

“ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในการปรับระยะเวลาการชำระเงินให้เร็วขึ้น เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องให้เอสเอ็มอีที่เป็นคู่ค้า ซึ่งที่ผ่านมาก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ปัจจุบันวิกฤติโควิดยาวนานขึ้น จึงต้องมีมาตรการในการช่วยเหลือเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นมาตรการที่ออกมาจาก ทั้งฝั่งของภาครัฐและมาตรการที่ภาครัฐจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติโควิดไปได้ โดยมาตรการที่จะขอความร่วมมือจากภาคเอกชนจะออกมาได้โดยเร็ว”

สำหรับแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบกับโควิดที่จะออกมาต่อจากนี้ มีทั้งมาตรการของรัฐซึ่งกำลังดูอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการช่วยเหลือการจ้างงาน (โค-เพย์เม้นต์) ส่วนมาตรการที่ภาครัฐจะขอให้เอกชนโดยเฉพาะเอกชนรายใหญ่ช่วยเหลือรายเล็กเช่น การช่วยซื้อสินค้าจากเอสเอ็มอีที่อยู่ในซัพพลายเชนการผลิตสินค้ามากขึ้น การช่วยเหลือเรื่องของช่องทางการจัดจำหน่าย รวมทั้งการให้รายใหญ่ที่ทำธุรกิจกับเอสเอ็มอีช่วยเจรจากับธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อซึ่งมีบางธุรกิจได้ช่วยเหลือกันในลักษณะนี้แล้ว

ขณะที่มาตรการการช่วยเหลือการจ้างงานที่ภาครัฐจะช่วยออกค่าจ้างแรงงานบางส่วนนั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างหารือกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในกลุ่มธุรกิจที่ควรได้รับการช่วยเหลือเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิดให้สามารถเดินหน้าธุรกิจไปได้

บอร์ด สมอ. เด้งกลับมาตรฐานสุรา จี้ กว. ทบทวนเกณฑ์สารเคมีที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ยันความปลอดภัยผู้บริโภคต้องมาก่อน หากได้รับในปริมาณมากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

บอร์ด สมอ. เด้งกลับมาตรฐานสุรา จี้ กว. ทบทวนเกณฑ์สารเคมีที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ทั้งแอลดีไฮด์ และเมทิลแอลกอฮอล์ รวมถึงซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เติมเข้าไป ที่เพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิมกว่า 2 เท่า ยันความปลอดภัยผู้บริโภคต้องมาก่อน หากได้รับในปริมาณมากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ด สมอ. (คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2564 ที่ผ่านมาว่า บอร์ด สมอ. ได้มีมติให้คณะกรรมการวิชาการรายสาขา (กว.) เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นผู้จัดทำมาตรฐานสุรา ทั้งสุรากลั่น และสุราแช่ ทบทวนเกณฑ์ด้านความปลอดภัยที่กำหนดในมาตรฐานฉบับแก้ไขใหม่ที่เพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิม เช่น สุรากลั่น กำหนดแอลดีไฮด์ จากเดิม ไม่เกิน 160 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็น ไม่เกิน 220 มิลลิกรัมต่อลิตร ในกรณีสุรากลั่นที่มีแรงแอลกอฮอล์ เกิน 40 ดีกรี และเมทิลแอลกอฮอล์ จากเดิม ไม่เกิน 420 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็น ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อลิตร สำหรับสุราแช่ ได้กำหนดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากเดิม ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็น ไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งบอร์ด สมอ. ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขข้อกำหนดเกณฑ์ด้านความปลอดภัยดังกล่าว

เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่มักจะดื่มสุราเป็นประจำ เป็นปริมาณมาก และต่อเนื่อง หากได้รับปริมาณเมทิลแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ประกอบกับข้อมูลทางการแพทย์พบว่า ผู้บริโภคที่ได้รับปริมาณเมทิลแอลกอฮอล์ หรือเมทานอลเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากเกินไป อาจมีผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีอาการตาพร่ามัว แพ้แสง ร่วมกับอาการอื่นๆ ด้วย เช่น ปวดเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย สับสน มึนงง ในบางรายอาจมีอาการชักหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะร่วมด้วย บอร์ด สมอ. จึงมีมติให้ กว. นำกลับไปทบทวนก่อนนำเข้าในการประชุมครั้งต่อไป

ทั้งนี้ มาตรฐานสุรา ได้ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2516 ต่อมาในปี 2544 ได้มีการทบทวนและยกเลิกมาตรฐานดังกล่าว และประกาศกำหนดเป็นมาตรฐานเรื่องใหม่ 3 เรื่อง คือ สุรากลั่น มอก.2088-2544 ไวน์ มอก.2089-2544 และเบียร์ มอก.2090-2544

ซึ่งในปีนี้ ได้มีการทบทวนมาตรฐานทั้ง 3 เรื่อง เพื่อให้มาตรฐานมีความทันสมัย สอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน ตลอดจนส่งเสริมผู้ประกอบการในประเทศให้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อการบริโภค และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าให้ผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้นด้วย โดยสาระสำคัญของการแก้ไขมาตรฐาน นอกจากจะทบทวนเกณฑ์ด้านความปลอดภัยข้างต้นแล้ว ยังได้แก้ไขชื่อมาตรฐานจาก ไวน์ เป็น สุราแช่ เพื่อให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์อีกด้วย

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “การประชุมบอร์ด สมอ. ในครั้งนี้ นอกจากจะให้ทบทวนมาตรฐานสุราแล้ว ยังได้เห็นชอบมาตรฐานอื่นๆ รวม 13 มาตรฐาน อาทิ มาตรฐานหน้ากากผ้า เบียร์ เส้นใยกัญชง ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ รถแทรกเตอร์ล้อยางเพื่อการเกษตร และอุปกรณ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและภาชนะรองรับอาหารที่ทำจากเหล็กกล้า อีกด้วย

รวมทั้ง เห็นชอบให้ สมอ. ดำเนินการกำหนดให้ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ เป็นสินค้าควบคุมต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และยังได้สั่งให้ทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐานที่ สมอ. ยึดอายัดและดำเนินคดีถึงที่สุดแล้วจำนวน 8 ราย มูลค่ารวมกว่า 19 ล้านบาท อาทิ เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็น ของเล่น ท่อพีวีซีสำหรับร้อยสายไฟ ท่อพีวีซีน้ำดื่ม ฝักบัว ก๊อกน้ำ ลำโพง หมวกกันน็อค เป็นต้น” เลขาธิการ สมอ. กล่าว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รอเลยลงทะเบียน “ยิ่งใช้ยิ่งได้” เริ่มเช้า 21 มิ.ย.นี้ 

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คลังเตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ วันแรก 21 มิ.ย.นี้ ตั้งแต่ 06.00-22.00 น. ของทุกวัน จนกว่าจะครบ 4 ล้านสิทธิ โดยคุณสมบัติต้องมีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อ รวมถึงใช้สิทธิคนละครึ่งระยะที่ 3 สำหรับผู้เคยรับสิทธิโครงการของรัฐแล้ว เช่น ชิมช้อปใช้ เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง เราชนะ ม.33 เรารักกัน และเราชนะ 

ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com และแอพพลิเคชั่นเป๋าตัง สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการ ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com เพียงอย่างเดียว

น.ส.กุลยา กล่าวว่า เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วจะได้รับเอสเอ็มเอสแจ้งสิทธิภายใน 3 วัน จากนั้นให้ยืนยันตัวตนเพื่อใช้แอพพลิเคชั่น เป๋าตัง และเติมเงินตัวเองเพื่อใช้จ่ายผ่านแอพ เป๋าตัง กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.64 เวลา 06.00-23.00 น. โดยวงเงินที่ใช้จ่ายจะคำนวณกลับคืนเป็นเงินอีวอเชอร์ ซึ่งหากใช้จ่ายถึง 60,000 บาท จะได้รับอีวอเชอร์คืนสูงสุด 7,000 บาท เข้าแอพกระเป๋าตังทุกวันที่ 7 ของเดือน

"สุวัจน์" ชี้ คำตอบ ของปัญหา โควิด-19 ขณะนี้ วัคซีนมาเร็ว เศรษฐกิจฟื้นเร็ว 

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ได้เขียนข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ-Suwat Liptapanlop ระบุว่า “ฉีดวัคซีนกันนะครับ” เมื่อ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกที่ได้ KICK OFF ให้คนไทยทั้งประเทศเข้าร่วมการฉีดวัคซีน ผมได้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรกที่ โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา วัคซีนที่ได้รับคือ AstraZeneca ก่อนไปฉีดก็ได้เตรียมตัวตามคำแนะนำของแพทย์ครับคือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ออกกำลังกายมากเกินไป ทานน้ำเยอะๆ หลังจากฉีดแล้วก็นั่งพักคอยเพื่อสังเกตอาการประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นก็กลับบ้านได้ อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนของผมก็ไม่ปรากฏอะไรมาก กลางคืนก็มีอาการตัวรุมๆเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นไข้ เช้าตื่นมาอาการก็หาย ทำงานได้ปกติ ช่วงหลังฉีดวัคซีนก็พยายามทานน้ำเยอะๆ ยังไม่ออกกำลังกายหนักๆ ครับ ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดครับ

การฉีดวัคซีนได้รับการประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ มีเป้าหมายที่จะฉีดให้คนไทยครบ 100 ล้านโดส ภายในปีนี้ คือฉีดให้ครอบคลุมประชากรของประเทศ ให้ได้ประมาณ 70% หรือประมาณ 50 ล้านคน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ตามหลักการแพทย์และ เป็นมาตรการที่ทุกประเทศพยายามทำให้ถึงเป้าหมาย โลกก็จะปลอดภัยจาก COVID ได้ระดับ หนึ่ง ขณะนี้ทั่วโลกฉีดแล้วประมาณมากกว่า 2,300 ล้านโดสแล้ว (12 มิ.ย. 64) จากประชากรทั้งโลกประมาณ 7,700 ล้านคน ประเทศไทยก็ฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 6 ล้านโดสครับ

เรามีเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ถึง 100 ล้านโดสในปีนี้ เพื่อให้สถานการณ์ COVID คลี่คลาย การใช้ชีวิตก็จะได้กลับมาเหมือนเดิม เศรษฐกิจก็จะเริ่มฟื้นตัว ความเดือดร้อนต่างๆ ของพี่น้องประชาชนก็จะค่อยๆทุเลาลง ปีหน้าเราจะได้กลับมาเข้มแข็งกันครับ

ตอนนี้ก็ต้องช่วยกันหาวัคซีนมาให้เพียงพอ รวดเร็ว และฉีดอย่างทั่วถึง เสมอภาคตามกลุ่มเป้าหมายต่างๆ วัคซีน คือคำตอบของการแก้ไขปัญหาในขณะนี้ วัคซีนมาเร็ว เศรษฐกิจก็ฟื้นตัวเร็ว ทุกชีวิตก็จะปลอดภัย ทุกท่านไปฉีดวัคซีนกันนะครับ ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นโควิดไปด้วยกันครับ
 

เคาะเปิด 4 เกาะรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก.ค.นี้

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า หลังจากที่ประชุม ศบค. เห็นชอบหลักการเปิดฟื้นที่นำร่องรับนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต วันที่ 1 ก.ค. 2564 และจังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า) เริ่มวันที่ 15 ก.ค. 2564 มั่นใจว่าตอนนี้มีความพร้อม โดยแผนการดำเนินการทั้งหมดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเสนอที่ประชุมครม. เห็นชอบในวันที่ 22 มิ.ย.นี้ จากนั้นจึง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จากนั้นในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ตนเองจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบความพร้อมขั้นสุดท้าย ก่อนที่นายกรัฐมนตรี และคณะจะเดินทางไปวันที่ 1 ก.ค.นี้ เพื่อไปต้อนรับนักท่องเที่ยวคนแรกที่เดินทางเข้ามาภูเก็ตด้วย

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาภูเก็ตในช่วงแรกน่าจะมีไม่มาก ประมาณเดือนละ 1-2 หมื่นคน แต่จะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหวังว่าภูเก็ตจะเป็นตัวอย่างให้กับหลายๆ พื้นที่นำร่องที่จะเปิดตามมาในช่วงเดือนส.ค. คือเกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล ของจังหวัดกระบี่ 

เช่นเดียวกับเขาหลัก และเกาะยาว ในจังหวัดพังงา ส่วน ก.ย. จะมีพื้นที่อื่นๆ อีก 3 แห่ง คือ จังหวัดเชียงใหม่ ครอบคลุม อำเภอเมือง แม่ริม แม่แตง และดอยเต่า จะงหวัเชลบุรี ครอบคลุม เมืองพัทยา ใน 2 อำเภอ คือ บางละมุง และสัตหีบ และจังหวัดบุรีรัมย์ ครอบคลุมอพเภอเมือง และสนามช้างอารีนา เพื่อรับการแข่งขันโมโตจีพี และในช่วงเดือนต.ค. ซึ่งจะเปิดกรุงเทพฯ ชะอำ และหัวหิน ต่อไป

รมว.สุชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฟื้นฟูคนงานฯ ภาค 4 ขอนแก่น มอบนโยบายและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และผู้เข้ารับการฟื้นฟูฯ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานประจำภาค 4 ตำบลโคกสี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมี นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายประทีป ทรงลำยอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในโอกาสเดินทางมาประชุมเพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพจากศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานประจำภาค 4 จังหวัดขอนแก่น ว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการดูแลผู้ประกันตนอย่างใกล้ชิดในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 กรณี แม้ลูกจ้าง/ผู้ประกันตนประสบอันตรายหรือมีความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้น เราต้องดูแลอย่างใกล้ชิด จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้จัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานขึ้น เพื่อให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพแก่ลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 และผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 โดยหากมีการประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญเสียอวัยวะ สามารถที่จะเข้ารับการฟื้นฟูฯ ได้เต็มตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดไว้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้กลับไปมีชีวิตที่ดีเหมือนเดิม สามารถกลับเข้าทำงานในสถานประกอบการ ประกอบอาชีพอิสระ หรือดำรงชีวิตได้ด้วยตนเองไม่เป็นภาระแก่ครอบครัวและสังคม โดยจะให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบครบวงจร ทั้งในด้านอาชีพ ด้านจิตใจและสังคม 

ในโอกาสนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เยี่ยมชมโครงการ โคก หนอง นา โมเดล ของศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานประจำภาค 4 จังหวัดขอนแก่น ที่ให้ผู้ได้รับการฟื้นฟู ฝึกฝีมืออาชีพงานเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยใช้การปรับพื้นที่โคกเพื่อปลูกพืชใหญ่ พร้อมจุดเรียนรู้ 6 Step ขุดลอกหนองสระเดิมเพื่อสูบน้ำมาบนโคกโดยใช้พลังงานระบบแสงอาทิตย์ และการฝึกอาชีพโดยใช้พื้นที่นาปลูกข้าว ผัก พืชกินได้ ทั้งนี้ นายสุชาติ ได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานประจำภาค 4 จังหวัดขอนแก่น ที่ดูแลเอาใจใส่ผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม รวมถึงการส่งเสริมการฝึกอาชีพ จนประสบความสำเร็จ และขอเป็นกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ และผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานทุกคน ให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองในการเรียนรู้ เพื่อเอาชนะปัญหาอุปสรรคต่างๆ และพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการทำงานไม่แพ้คนปกติทั่วไป และตนพร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือการดำเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพในการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพแก่ลูกจ้างและผู้ประกันตน เพื่อจะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน เป็นกำลังของครอบครัวและประเทศชาติต่อไป

ชาติยุโรปคงความแข็งแกร่งดันสิงคโปร์ร่วงจากอันดับ 1 ด้านไต้หวันติดท็อป 10 ครั้งแรก

สถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development : IMD) จากสวิสเซอร์แลนด์ เผยผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก (World Competitiveness Rankings) ประจำปี 2021 พบว่าประเทศไทยขยับขึ้น 1 อันดับจากปีก่อนมาอยู่ที่อันดับ 28 จาก 64 เขตเศรษฐกิจในปีนี้

IMD ระบุว่าอันดับที่เพิ่มขึ้นของไทยเป็นผลมาจากการปรับปรุงในหลายด้าน อาทิ ตัวชี้วัดตลาดแรงงาน การเพิ่มขึ้นของกำลังแรงงาน ตลอดจนมีข้อสังเกตเชิงบวกอื่นๆ ในด้านการเงินสาธารณะ เช่น การขาดดุลของงบประมาณยังคงต่ำกว่า 5% และมีการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาในโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ซึ่งรวมถึงผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่สิงคโปร์ซึ่งเคยครองแชมป์ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 5 เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนการขาดดุลของงบประมาณและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น

ด้านประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างอินโดนีเซียขยับขึ้น 3 อันดับมาอยู่ที่ 37 และมาเลเซียขยับขึ้น 2 อันดับมาอยู่ที่ 25

โดยในปีนี้ไต้หวันติดท็อป 10 เป็นครั้งแรกขึ้นมาอยู่อันดับที่ 8 ตามหลังฮ่องกงซึ่งอยู่อันดับที่ 7 มาติดๆ สำหรับจีนขยับขึ้นถึง 4 อันดับมาอยู่ที่ 16 ส่วนคู่แข่งอย่างสหรัฐยังคงอันดับ 10 เท่าเดิม

ด้านชาติยุโรปคงความแข็งแกร่งด้วยการครอง 4 อันดับแรกของโลกโดยสวิสเซอร์แลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ตามลำดับ

ทั้งนี้ ผลจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ทำให้คะแนนสุทธิเฉลี่ยของทั้ง 64 เขตเศรษฐกิจลดลงจาก 71.82 จากคะแนนเต็ม 100 ในปี 2020 เหลือเพียง 63.99 ในปี 2021 ในขณะที่ในปีนี้ประเทศไทยยังคงมีคะแนนสุทธิสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยอยู่ที่ 72.52 ลดลงเล็กน้อยจาก 75.39 ในปีก่อน

 

ที่มา: https://www.posttoday.com/world/655841


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

IMD ประกาศขีดความสามารถแข่งขันไทยดีขึ้น 1 อันดับ 

“ธีรนันท์ ศรีหงส์” ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เปิดเผยผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 64 ว่า ประเทศไทยมีอันดับที่ดีขึ้น 1 อันดับจากปีก่อน มาอยู่ในอันดับที่ 28 จาก 64 เขตเศรษฐกิจในปีนี้ โดยผลจากวิกฤตการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ทำให้คะแนนสุทธิเฉลี่ยของทั้ง 64 เขตเศรษฐกิจลดลงจาก 71.82 ในปี 63 เหลือเพียง 63.99 จากคะแนนเต็ม 100 ในปี 64 ขณะที่ประเทศไทยยังคงมีคะแนนสุทธิในปีนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยอยู่ที่ 72.52 โดยลดลงเล็กน้อยจาก 75.39 ในปี 63 

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาผลการจัดอันดับของไทยในปัจจัยหลัก 4 ด้าน พบว่ามีผลการจัดอันดับดีขึ้น 3 ด้านเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน คือ ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ ดีขึ้น 3 อันดับ จากอันดับที่ 23 มาอยู่ที่อันดับ 20 ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจดีขึ้น 2 อันดับ จากอันดับที่ 23 มาอยู่ที่อันดับ 21 และด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดีขึ้น 1 อันดับ จากอันดับที่ 44 มาอยู่ที่อันดับ 43 

ขณะที่ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับลดลงถึง 7 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 21 โดยประเด็นสำคัญมาจากด้านการค้าระหว่างประเทศที่มีอันดับลดลงจากอันดับที่ 5 เป็นอันดับที่ 21 ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกภาคบริการที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักมีอันดับลดลงค่อนข้างมากจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19

ด้านภาพรวมในระดับโลก เขตเศรษฐกิจที่มีอันดับความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุด 5 อันดับแรกในปีนี้ อันดับ 1 สวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 2 สวีเดน อันดับ 3 เดนมาร์ก อันดับ 4 เนเธอร์แลนด์ และอันดับ 5 สิงคโปร์
 

รัฐบาล แก้หนี้ประชาชน ให้ 40 โรงจำนำของรัฐ ออกมาตรการลดภาระดอกเบี้ย จัดโปรฯ จ่ายคนละครึ่ง- 1รน 1สิทธิ์ ต่อ 1 ตั๋วจำนำ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยสถานการณ์หนี้ภาคประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน และถูกซ้ำเติมด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ประชาชนบางกลุ่มขาดรายได้ จนทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง จึงสั่งการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดแนวทางช่วยบรรเทาภาระหนี้ประชาชน โดยข้อมูลจากกรมบังคับคดีรายงานว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค. 63-เม.ย. 64) มีคดีแพ่งเข้าสู่การบังคับคดีจำนวน 138,997 คดี คดีส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น 80-90% เป็นหนี้ครัวเรือน คือหนี้บัตรเครดิต เช่าซื้อรถ รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม คดีที่เข้ามาสู่การบังคับคดีนั้นส่วนใหญ่ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นมาก่อนการระบาดของโควิด-19

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ตามข้อสั่งการนายกฯ หลายหน่วยงานได้ร่วมกันออกมาตรการแก้ปัญหามาระยะหนึ่งแล้ว อาทิ มหกรรมไกล่เกลียหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นความร่วมมือระหว่างทางธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานศาลยุติธรรม และกรมบังคับคดี ซึ่งประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก มีสินเชื่อที่ขอรับความช่วยเหลือแล้ว กว่า 7 แสนบัญชี เข้าเงื่อนไขได้รับการช่วยเหลือประมาณ 30% ผู้ที่สนใจยังสามารถขอไกล่เกลี่ยหนี้ฯได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย.นี้ และยังมี มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้เช่าซื้อรถยนต์ออนไลน์ เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานศาลยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พร้อมกับผู้ให้บริการ 12 แห่ง โดยผู้เช่าซื้อสามารถเจรจาปรับลดวงเงินรายเดือน ยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย หรือพักหนี้ได้หากจำเป็น นับตั้งแต่เริ่ม เมื่อ 1 มิ.ย. มีจำนวนผู้เช่าซื้อสนใจลงทะเบียนแล้ว 13,450 คัน และจะเปิดให้เข้าร่วมมหกรรมฯถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้ สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูล ได้ที่ 1213 ของธนาคารแห่งประเทศไทย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า รวมทั้ง สถานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือโรงรับจำนำของรัฐ ทั้ง 40 แห่ง ได้ออกมาตรการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระรายจ่ายดอกเบี้ย ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19 แล้ว เป็นการจัดโปรโมชั่น “จ่ายคนละครึ่ง” ลดดอกเบี้ย 50% แก่ผู้มาใช้บริการที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินจำนำไม่เกิน 5,000 บาท  เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2564 จำกัด 1 คน 1 สิทธิ์ ต่อ 1 รอบตั๋วจำนำ โดยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ สามารถส่งดอกเบี้ยที่ ณ สาขา หรือผ่านร้าน 7-11 หรือกรุงไทย NEXT ได้ 

“นายกฯ มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้เบ็ดเสร็จ โดยมอบหมายคณะทำงาน ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ที่มีรองนายกรัฐมนตรี สุพัฒนพงศ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นผู้รับผิดชอบ โดยเน้นการขับเคลื่อน 3 เรื่องควบคู่กัน คือ การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน การกำกับดูแลเจ้าหนี้เพื่อให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม และการปรับโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สิน ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติจะประกอบด้วยมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว อาทิ การใกล่เกลี่ยหนี้สินลดการดำเนินคดี เช่น หนี้กยศ. หนี้สหกรณ์ การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ อาทิ สหกรณ์ สินเชื่อรายย่อยPICO และ NANO การส่งเสริมการแข่งขันให้ดอกเบี้ยถูกลง การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุน เป็นต้น ซึ่งความคืบหน้าการแก้ปัญหาจะมีการรายงานให้ท่านนายกทราบอย่างต่อเนื่อง” น.ส.รัชดา กล่าว

รัฐเร่งแก้หนี้ประชาชน โรงรับจำนำรัฐ นำร่องลดดอกเบี้ยผู้ถือบัตรคนจน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ห่วงใยสถานการณ์หนี้ภาคประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน และถูกซ้ำเติมด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19  ประชาชนบางกลุ่มขาดรายได้ จนทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง จึงสั่งการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดแนวทางช่วยบรรเทาภาระหนี้ประชาชน 

ทั้งนี้ ตามข้อสั่งการนายกฯ หลายหน่วยงานได้ร่วมกันออกมาตรการแก้ปัญหามาระยะหนึ่งแล้ว อาทิ มหกรรมไกล่เกลียหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นความร่วมมือระหว่างทางธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานศาลยุติธรรม และกรมบังคับคดี ซึ่งประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก มีสินเชื่อที่ขอรับความช่วยเหลือแล้ว กว่า 7 แสนบัญชี เข้าเงื่อนไขได้รับการช่วยเหลือประมาณ 30% ผู้ที่สนใจยังสามารถขอไกล่เกลี่ยหนี้ฯ ได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย.นี้ 

อีกทั้งยังมีมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้เช่าซื้อรถยนต์ออนไลน์ เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานศาลยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พร้อมกับผู้ให้บริการ 12 แห่ง โดยผู้เช่าซื้อสามารถเจรจาปรับลดวงเงินรายเดือน ยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย หรือพักหนี้ได้หากจำเป็น นับตั้งแต่เริ่ม เมื่อ 1 มิ.ย. มีจำนวนผู้เช่าซื้อสนใจลงทะเบียนแล้ว 13,450 คัน และจะเปิดให้เข้าร่วมมหกรรมฯถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้ สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูล ได้ที่ 1213 ของธนาคารแห่งประเทศไทย

รวมทั้ง สถานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือโรงรับจำนำของรัฐ ทั้ง 40 แห่ง ได้ออกมาตรการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระรายจ่ายดอกเบี้ย ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19 แล้ว เป็นการจัดโปรโมชั่น “จ่ายคนละครึ่ง” ลดดอกเบี้ย 50%  แก่ผู้มาใช้บริการที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินจำนำไม่เกิน 5,000 บาท เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2564 จำกัด 1 คน 1 สิทธิ์ ต่อ 1 รอบตั๋วจำนำ โดยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ สามารถส่งดอกเบี้ยที่ ณ สาขา หรือผ่านร้าน 7-11 หรือกรุงไทย NEXT ได้ 

“นายกฯ มอบหมายคณะทำงาน ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ หรือ ศบศ. ที่มีรองนายกรัฐมนตรี สุพัฒนพงศ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นผู้รับผิดชอบ โดยเน้นการขับเคลื่อน 3 เรื่องควบคู่กัน คือ การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน การกำกับดูแลเจ้าหนี้เพื่อให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม และการปรับโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สิน ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติจะประกอบด้วยมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว อาทิ การใกล่เกลี่ยหนี้สินลดการดำเนินคดี เช่น หนี้กยศ. หนี้สหกรณ์ การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ อาทิ สหกรณ์ สินเชื่อรายย่อย PICO และ NANO การส่งเสริมการแข่งขันให้ดอกเบี้ยถูกลง การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งความคืบหน้าการแก้ปัญหาจะมีการรายงานให้ท่านนายกทราบอย่างต่อเนื่อง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top