Monday, 19 May 2025
ECONBIZ NEWS

‘ทีวีดี โบรกเกอร์’ ผนึกกำลัง ‘กรุงไทยพานิชประกันภัย’ เปิดตัว ‘ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100 ปี’ รับสังคมผู้สูงอายุ

‘ทีวีดี โบรกเกอร์’ ในเครือ บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์ หรือ TVDH ผนึกกำลัง ‘กรุงไทยพานิชประกันภัย’ เปิดตัว ‘ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100 ปี’ ที่ได้สิทธิขายเพียงรายเดียว รับโอกาสประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ให้ความคุ้มครองตั้งแต่อายุ 20 - 75 ปี และต่อประกันได้ถึงอายุ 100 ปี ชูจุดเด่นไม่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ เพิ่มการคุ้มครองแบบ อบ.2 เต็มทุน ครอบคลุมกรณีเสียชีวิต อวัยวะ สายตา หู หรือทุพพลภาพ พร้อมรับสิทธิพิเศษจากโรงพยาบาลเครือข่าย 350 แห่ง เริ่มเปิดจำหน่ายแล้วผ่านช่องทางคอลล์เซ็นเตอร์ของทีวี ไดเร็ค เว็บไซต์ทีวีดี โบรกเกอร์ และตัวแทนขายประกัน ปักธงเบี้ยรายรับปีแรก 45 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของเป้าหมายเบี้ยรายรับรวม 350 ล้านบาทในปีนี้

ดร.อาทิตย์ น้อยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวีดี โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันภัย ในเครือบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVDH เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2566 บริษัทฯ เดินหน้าขยายธุรกิจนายหน้าประกันภัยอย่างเต็มรูปแบบเพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่ง หลังจากก้าวสู่บริษัทนายหน้าประกันภัยที่มียอดขายประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลผ่านช่องทางคอลล์เซ็นเตอร์ (ไม่รวมช่องทางอื่นๆ) ติด 1 ใน 3 อันดับแรกในปีที่ผ่านมา โดยมียอดขายรวมกว่า 35,000 กรมธรรม์ ดังนั้นแผนงานในปีนี้จะเปิดตัวประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพื่อสร้างการจดจำแก่บริษัทฯ และรับโอกาสจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย รวมถึงต่อยอดนำเสนอประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลดังกล่าวกับฐานลูกค้าของบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด ในเครือ TVDH ที่มีอยู่กว่า 7 ล้านรายในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่พร้อมตัดสินใจซื้อหากเจอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ 

ล่าสุดบริษัทฯ จึงผนึกความร่วมมือกับบริษัท กรุงไทยพาณิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ ‘ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100 ปี’ (ประกัน PA 100 ปี) ซึ่งบริษัทฯ ได้รับสิทธิการขายเพียงรายเดียวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยร่วมกันออกแบบกรมธรรม์และเงื่อนไขที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าและความคุ้มค่า แบ่งเป็น 

1) กลุ่มอายุ 20 - 75 ปี เบี้ยประกันเริ่มต้น 1,500 บาทต่อเดือน 
2) กลุ่มอายุ 76 - 80 ปี (ต่ออายุ) เบี้ยประกันเริ่มต้น 2,250 บาท 
และ 3) กลุ่มอายุ 80-100 ปี (ต่ออายุ) เบี้ยประกันเริ่มต้น 2,950 บาทต่อเดือน 

ทั้งนี้ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคล 100 ปี มีจุดเด่นด้านเงื่อนไขรับทำประกันที่ให้ลูกค้าสามารถต่อประกันได้ถึงอายุ 100 ปี โดยไม่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ รองรับผู้เอาประกันที่มีชั้นอาชีพ 1, 2 และ 3 กำหนดทุนประกันเริ่มต้นที่ 1 แสนบาท และสูงสุด 2 ล้านบาท   

นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิการคุ้มครองที่เหนือกว่า ได้แก่ การคุ้มครอง อบ.2 แบบคุ้มครองเต็มทุนเพิ่มเติม ครอบคลุมถึงการสูญเสียชีวิต อวัยวะ สายตา การรับฟังเสียง พูดออกเสียงหรือทุพพลภาพถาวร จากปกติผู้ทำประกันจะได้รับคุ้มครองเฉพาะ อบ.1 ได้แก่ การสูญเสียชีวิต มือ เท้า สายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ขณะที่ทุนประกันจะเพิ่มขึ้นปีละ 3% ในกรณีที่ต่ออายุประกันปีที่ 1 - 4 พร้อมรับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลกระดูกแตกหักเนื่องจากอุบัติเหตุ (จ่ายเพิ่มจากผลประโยชน์การรักษาพยาบาล ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง) เริ่มต้น 5,000 บาท ไม่ต้องสำรองจ่าย ค่ารักษาพยาบาลกรณีเข้ารักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่าย 350 แห่งทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน, โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 และ 2, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ 
ประชาชื่น, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง ฯลฯ อีกทั้งผู้เอาประกันสามารถใช้บริการเทเลเมดิคัล รับคำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านโทรศัพท์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100 ปี เริ่มจำหน่ายแล้ว มุ่งเจาะกลุ่มผู้สูงอายุ ลูกหลานที่ห่วงใยสุขภาพของพ่อ-แม่หรือญาติพี่น้องและบุคคลทั่วไป โดยขายผ่านช่องทางคอลล์เซ็นเตอร์ของทีวี ไดเร็ค เว็บไซต์ของทีวีดี โบรกเกอร์ และตัวแทนขายประกัน 50 ราย

“ความร่วมมือระหว่างทีวีดี โบรกเกอร์ และกรุงไทยพานิชประกันภัยครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยในรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ตอบสนองความต้องการทุกเจนเนอเรชั่น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่เริ่มมีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น โดยวางเป้าหมายมียอดเบี้ยรายรับประกันอุบัติเหตุ 100 ปีในปีแรกที่ 45 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของเป้าหมายยอดเบี้ยรายรับรวมทั้งบริษัทฯ 350 ล้านบาท” ดร.อาทิตย์ กล่าว

‘พงษ์ภาณุ’ อดีตปลัดคลังฯ ชี้ 1 มิถุนายนนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่มีเงินจ่ายข้าราชการ ชำระหนี้ และดอกเบี้ย

(28 พ.ค. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจของโลก ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00-08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 66 โดยระบุว่า ...

‘วิกฤตเพดานหนี้’ (Debt Ceiling) ของสหรัฐฯ เดินมาถึงฉากสุดท้ายยังหาข้อยุติไม่ได้ หากไม่จบ 1 มิถุนายนนี้ รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่เงินสดเพียงพอที่จะจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญข้าราชการ รวมทั้งชำระหนี้และดอกเบี้ยเงินกู้ที่ครบกำหนดได้

การผิดนัดชำระหนี้ที่จะเกิดขึ้นหลังวันที่ 1 มิถุนายน ถือเป็นวิกฤตการเงินของโลกครั้งใหญ่ เพราะตลาด Treasury ถือเป็นตลาดสินทรัพย์ทางการเงินที่ใหญ่ที่สุด นักลงทุนทั่วโลก ทั้งรัฐและเอกชน ลงทุนในพันธบัตรัฐบาลสหรัฐ โดยเชื่อว่าเป็นตราสารการเงินที่ไม่มีความเสี่ยง แต่ที่สำคัญวิกฤตเพดานหนี้สะท้อนภาพฐานะการคลังของรัฐบาลทั่วโลกที่อ่อนแอและน่าเป็นห่วง รวมทั้งฐานะการคลังของรัฐบาลไทย ปัญหาการคลังที่สะสมมาเป็นเวลานาน ยังไม่ได้รับการแก้ไข รายจ่ายมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากสังคมสูงอายุและดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

ขณะที่รายได้ภาษีอากรชะงักงัน ส่งผลให้ขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะสูงขึ้น ถือเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาดูแล การประชุมสุดยอด G7 ที่ Hiroshima ส่งสัญญาณเตือนจีนในเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจฝ่ายประชาธิปไตย การย้ายฐาน Supply Chain การบังคับขู่เข็ญทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการคุ้มครองเทคโนโลยีสำคัญ อาทิ อุตสาหกรรม Semiconductor ล้วนเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องสดับตรับฟัง เพราะมีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศและนโยบายอุตสาหกรรมของรัฐบาลใหม่

ในด้านความมั่นคง การประชุมที่ Hiroshima ซึ่งเป็นเมืองแรกในโลกที่ถูกทำลายด้วยระเบิด Atomic Bomb ประกอบการมาร่วมของประธานาธิบดี Zelenskyy แห่ยูเครน ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงรัสเซียที่ได้ขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ถึงภัยร้ายแรงของสงครามที่รัสเซียจะต้องรับผิดชอบในฐานะอาชญากรสงครามอีกด้วย

‘บิ๊กตู่’  ปลื้ม!! อาหารไทย ติดอันดับ 4 อาหารต่างถิ่นยอดนิยม มั่นใจ!! เป็น soft power ชูเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยสู่สากล

(27 พ.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีกับอาหารไทย ได้รับการชื่นชมว่าเป็นผู้นำด้านอาหารในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และติดอันดับ 4 ของอาหารต่างถิ่นยอดนิยมของชาวจีน รองจากอาหารตะวันตก อาหารญี่ปุ่น และอาหารเกาหลี จากรายงานการจัดอันดับร้านอาหารห้ามพลาดประจำปี 2565 ของเว็บไซต์ ‘เตี่ยนผิง’ (dianping) ซึ่งเป็นเว็บไซต์นำเสนอไลฟ์สไตล์คนเมืองในจีน สะท้อนความสำเร็จของเอกลักษณ์วัฒนธรรมอาหารไทย ที่ได้รับการยอมรับต่อเนื่อง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสอดรับกับการขับเคลื่อนนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากข้อมูลระบุว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนร้านอาหารไทยในปักกิ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า มีขนาดทั้งเล็กและใหญ่กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง และเสิร์ฟอาหารไทยสารพัดเมนู ตั้งแต่ตำรับชาววังจนถึงสตรีทฟู้ด โดยเฉพาะเมนูต้มยำกุ้ง ซึ่งสำนักข่าวซินหัว (Xinhua) ได้เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของคุณสุขุมาล ตู้ คนไทยที่ได้เปิดธุรกิจร้านอาหารไทยในเขตทงโจว กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมากว่า 20 ปี ทั้งร้านในชื่อ ‘ครัวคุณแม่’ และ ‘สองพี่น้อง’ รวมถึงล่าสุด ‘นกเอี้ยงและควาย’ (Bird & Buffalo) ซึ่งได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากกระทรวงพาณิชย์ เมื่อปลายปี 2022 เพื่อยืนยันว่า การประกอบอาหาร วัตถุดิบ และรสชาติของร้านนี้มีความ ‘ไทยแท้’ โดยคุณสุขุมาล กล่าวว่า มีลูกค้าแวะเวียนมาอย่างต่อเนื่อง โดยบางวันมีลูกค้าเข้ามาที่ร้านมากกว่า 50 โต๊ะ แม้ที่ตั้งร้านจะไกลจากใจกลางเมืองปักกิ่ง อีกทั้งยังเคยมีลูกค้าขับรถมาไกลกว่า 60 กิโลเมตร เนื่องจากอยากรับประทานต้มยำกุ้ง รวมทั้งยังซื้อน้ำซุปต้มยำกลับบ้านอีก 5 กิโลกรัมด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า การค้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างไทยและจีนยังมีพัฒนาการต่อเนื่อง ด้วยอานิสงส์จากแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) โดยชาวจีนสนใจอาหารไทยเพิ่มขึ้น ไปจนถึงการแวะเช็กอินร้านอาหารไทยและซื้อวัตถุดิบกลับไปทำกับข้าวด้วยตนเองที่บ้าน เนื่องจากปัจจุบันสามารถหาวัตถุดิบอาหารไทยในจีนได้สะดวก ทำให้สามารถฝึกทำอาหารไทยที่บ้านได้ ประกอบกับความเชื่อมั่นจากการให้ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากหน่วยงานไทย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคตามคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ว่า ร้านอาหารดังกล่าว จะต้องใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ร้านมีความสะอาด ถูกสุขอนามัย บรรยากาศภายในร้านสะท้อนความเป็นไทย รวมถึงเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการร้านอาหารไทยเพื่อยกระดับคุณภาพร้านอาหารให้มีมาตรฐาน สร้างโอกาสทางการตลาดให้เป็นที่รับรู้ในหมู่ผู้บริโภคอีกด้วย

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าอาหารไทยจะเป็นอีก Soft power สำคัญในการเผยแพร่ความนิยมของเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยผ่านมิติด้านอาหาร โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญโดยไทยมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตและส่งออกวัตถุดิบต่าง ๆ สอดรับกับนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกของไทยซึ่งรัฐบาลผลักดันมาโดยตลอด เป็นการขยายโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งการสนับสนุนธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ตลอดจนการผลิตและส่งออกวัตถุดิบของไทยให้เป็นที่รู้จักและเข้าถึงผู้บริโภคในแต่ละประเทศมากขึ้น” นายอนุชา กล่าว

EVme จับมือ on-ion ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง เปิดสถานีชาร์จ EV ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน 1 มิถุนายนนี้

บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVme Plus) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรรายแรกของประเทศไทย พร้อมด้วย ออน-ไอออน (on-ion) ภายใต้บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EVme Charging Station) บนทำเลศักยภาพ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน (Siam Paragon) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV และสนับสนุนให้คนไทยใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้ EV เดินทางได้อย่างไร้กังวล โดยพร้อมเปิดให้บริการวันที่ 1 มิถุนายน 2566 นี้

นายสุวิชชา สุดใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด เผยว่า อีวี มี ดำเนินธุรกิจเพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร นอกเหนือจากการให้บริการแพลตฟอร์มเช่ารถยนต์ไฟฟ้า สถานีอัดประจุไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยรองรับการขยายตัวของตลาด EV และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคให้หันมาใช้งานรถ EV อย่างเต็มรูปแบบ ตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์กรในการเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเพื่อการขนส่งและการเดินทางอย่างยั่งยืนชั้นนำของอาเซียน

นายโทรณ หงศ์ลดารมภ์ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ EV Charger บริษัท อรุณ พลัส จำกัด กล่าวว่า การจับมือกับ อีวี มี ในครั้งนี้ เพื่อเสริมทัพขับเคลื่อนความมั่นคงด้านพลังงานแห่งอนาคต ส่งเสริมไลฟ์สไตล์การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาด โดย ออน-ไอออน ในฐานะผู้ร่วมให้บริการสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าบนพื้นที่สยามพารากอน ซึ่งเป็นศูนย์การค้าชั้นนำของประเทศ จะช่วยให้ผู้ใช้ EV เกิดความมั่นใจในการเดินทางอย่างไร้กังวล นอกจากนี้ รถ EV ที่ใช้บริการชาร์จไฟที่นี้จะได้รับพลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาดจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 100% และเป็นพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งผู้ใช้บริการนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการใช้รถ EV และพลังงานสะอาดแล้ว จะได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ อีกมากมายจาก ออน-ไอออน อีกด้วย

อีวี มี และ ออน-ไอออน พร้อมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและส่งเสริมการใช้ EV อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการขยายพื้นที่ให้บริการเครื่องอัดประจุไฟฟ้า ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยเป็นเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ (AC Charger) ขนาดกำลังไฟ 7 กิโลวัตต์ จำนวน 6 ช่องจอด ติดตั้งบริเวณชั้น 3A ฝั่งนอร์ท เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.00 น. สามารถรองรับรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV : Plug-in Hybrid) และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV: Battery Electric Vehicle) ได้ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ที่รองรับหัวชาร์จ Type 2 และควบคุมการใช้งานผ่าน on-ion Mobile Application ทั้งในระบบ Android และ iOS

'พีทีจี เอ็นเนอยี' กางแผนธุรกิจสถานี EV Charging ชู จุดเด่นตู้ชาร์จฟาสต์สปีด ชิมลาง 65 จุดทั่วไทยในปีนี้

(26 พ.ค. 66) นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานีอัดประจุไฟฟ้า EV Charging ของพีทีจีฯ ได้จับมือร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยดำเนินงานภายใต้ชื่อ EleX by EGAT Max ปัจจุบันเปิดให้บริการ 42 จุด โดยสาขาแรกที่เปิดอยู่ที่ เขาใหญ่ ปากช่อง 

สำหรับจุดเด่นของสถานีอัดประจุไฟฟ้า EleX by EGAT Max ประกอบไปด้วย แท่นชาร์จไฟเป็นแบบควิกชาร์จ ใช้เวลาการชาร์จประมาณ 30-40 นาที โดยติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบชาร์จเร็ว (DC Fast Charge) ขนาด 125 kW สะดวก รวดเร็ว, คุณภาพการให้บริการ มาตรฐานต่าง ๆ ที่ร่วมกับ EGAT ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าจะไม่สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ของลูกค้า นอกจากนั้นแล้ว ระบบเครือข่ายการให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน EleXA ที่มีความเสถียร ใช้งานง่าย รองรับการชำระเงิน ครบจบที่เดียว ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีความแข็งแกร่ง

นายรังสรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนงานในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้าของธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า หากมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทฯ ก็พร้อมที่จะขยายธุรกิจ เราได้ทำการศึกษาหลายโมเดลธุรกิจ เกี่ยวกับสถานีอัดประจุไฟฟ้า ทั้งในกลุ่มรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถบรรทุก รถขนาดใหญ่ รวมไปถึงตู้สวอปแบตเตอรี่ ซึ่งหากตลาดมีการเติบโต มีความต้องการ เราในฐานะผู้ให้บริการถ้าลูกค้ามีความเชื่อมั่น ก็พร้อมขยายเข้าไป พร้อมลงทุน เราพร้อมทำทุกอย่างให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย ขณะเดียวกันอาจจะนำระบบสมาชิก หรือ มอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Max me ให้กับลูกค้าด้วย

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 15-16 พ.ค. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 22-26 พ.ค. 66

ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ในสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง 0.29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 75.71 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจถดถอยและถูกลดความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) หากการเจรจาขยายเพดานหนี้ (Debt Ceiling ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 31.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ) ระหว่างพรรค Democrat และพรรค Republican ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ หลังวันที่ 1 มิ.ย. 66

อย่างไรก็ดี การเจรจาระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Joe Biden (พรรค Democrat) และประธานสภาผู้แทนราษฎร นาย Kevin McCarthy (พรรค Republican) มีความคืบหน้า และทั้ง 2 ฝ่ายใกล้จะบรรลุข้อตกลงในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ โดยมีนัดหารือกันอีกในวันที่ 22 พ.ค. 66

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก

• กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ประกาศเข้าซื้อน้ำมันดิบเพื่อเติมคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ปริมาณ 3 ล้านบาร์เรล ส่งมอบภายในเดือน ส.ค. 66 หลังระบายน้ำมันจาก SPR ปริมาณ 180 ล้านบาร์เรล ในปี 2565 เพื่อบรรเทาสภาวะน้ำมันตึงตัว หลังผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

• รายงานฉบับเดือน พ.ค. 66 ของ  International  Energy Administration  (IEA) คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.21 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 102.01 ล้านบาร์เรลต่อวัน (เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อน 70,000 บาร์เรลต่อวัน)

• สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (National Bureau of Statistics) รายงานโรงกลั่นนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น (Refinery Throughput) ในเดือน เม.ย. 66 เพิ่มขึ้น 18.9% จากปีก่อน อยู่ที่ 14.87 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อเตรียมรองรับอุปสงค์ในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

• ผู้บริหารของบริษัทและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ 150 ราย อาทิ Goldman Sachs และ JP Morgan ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Joe Biden และประธานรัฐสภา เตือนว่าหากการเจรจาเพดานหนี้ไม่ได้ข้อสรุปทันเวลา สหรัฐฯ จะผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้สถานะของสหรัฐฯ ในระบบการเงินโลกอ่อนแอลง กระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ เป็นการส่งคำเตือนที่หนักแน่นที่สุดจากภาคธุรกิจในรอบหลายปีที่ผ่านมา บ่งชี้ความสำคัญของการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ 

• Energy Information Administration (EIA) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ที่สหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 พ.ค. 66 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 5.0 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ 467.6 ล้านบาร์เรล

ให้จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) วันที่ 13-14 มิ.ย. 66 ซึ่งล่าสุด ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นาย Jerome Powell กล่าวว่า FOMC อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 5.0-5.25% หากอัตราเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% สัปดาห์นี้คาดการณ์ราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวในกรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

‘กลุ่ม ASIAN’ ขู่ย้ายฐานผลิต หาก ‘รบ.ก้าวไกล’ ปรับขึ้นค่าแรง คาด อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม-เศรษฐกิจทั้งระบบ

(25 พ.ค. 66) จากกรณีที่ พรรคก้าวไกล ประกาศนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 450 บาททั่วประเทศ หากจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ พรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจิรญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 พร้อมด้วยทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล เข้าพบสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จับเข่าคุยปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็น 450 บาทนั้น

นายสมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ASIAN หรือ บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตอาหารแช่เยือกแข็ง และ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน (Shelf stable food) ประกาศเตรียมพร้อมลงทุนในประเทศเวียดนามหรือฟิลิปปินส์ เพื่อขยายโรงงานเพิ่มกำลังผลิต หรืออาจถึงขั้นเตรียมย้ายฐาน หากรัฐบาลใหม่นำนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวันมาใช้จริง คาดกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจทั้งระบบ

อีกทั้งยังเปิดทางให้ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มีความน่าสนใจกับนักลงทุนมากกว่า เนื่องจากเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรวัยทำงานมาก และมีต้นทุนค่าจ้างแรงงานคุ้มค่ากว่าประเทศไทย ตนก็อาจต้องยอมเอา Know-how เอาเงินทุนไปลง เพื่อให้ธุรกิจแข่งขันได้ในระยะยาว

‘อลงกรณ์’ ผนึกความร่วมมือ ‘ไทย-จีน’ สร้างโอกาสเศรษฐกิจ ดันอุตสาหกรรมอาหารของทั้ง 2 ชาติ สู่เวทีอาหารโลก

(25 พ.ค. 66) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวเปิดงาน การประชุมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารจัดโดย คณะกรรมการเทศบาลเมืองแต้จิ๋วแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐบาลเทศบาลเมืองแต้จิ๋ว และสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย-เอเซีย ที่ รร.อนันตารา กรุงเทพฯ

โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย นายหวัง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานทูตจีนประจำประเทศไทย, เหอ เสี่ยวจวิน เลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลประจำแต้จิ๋ว, เฉิน เสี่ยวตัน ผู้อำนวยการสำนักการค้าเทศบาลประจำแต้จิ๋ว, นายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ, ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์, นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานหอการค้าไทยจีน และนายวิชัย มณีกิติกุล รักษาการแทนนายกสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย และตัวแทนภาคเอกชนไทยและจีน

โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยและจีนในการขยายความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารไทยและอาหารจีน ซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ภายใต้แนวทางอาหารไทย อาหารจีน อาหารโลก โดยเฉพาะเมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้งเป็น 1 ใน 6 เมืองแห่งอาหารของจีน เมื่อผสมผสานศักยภาพของไทยในฐานะครัวไทยครัวโลกจะเพิ่มโอกาสของทั้ง 2 ฝ่าย

“จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยเช่นเดียวกับด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว ด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเสมือนกากี่นั๊ง ความร่วมมือระหว่างไทยกับเมืองแต้จิ๋วในครั้งนี้ จะเป็นอีกเสาหลักของการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างกันโดยกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนยินดีสนับสนุน ส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอาหารไทย-จีนแต้จิ๋วอย่างเต็มที่” นายอลงกรณ์ กล่าว

‘Thai Startup’ ผนึกกำลัง 200 องค์กร หนุนสตาร์ทอัพไทย ปรับโครงสร้างตลาด ดันไทยสู่ประเทศผู้นำนวัตกรรม-เทคโนโลยี

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 ในวาระครบรอบ 9 ปี สมาคม Thai Startup ประกาศผลงานความสำเร็จในการขับเคลื่อนระบบนิเวศน์สตาร์ทอัพ พร้อมจับมือพันธมิตรกว่า 200 องค์กรขับเคลื่อน เศรษฐกิจนักสร้าง (Makers Economy) นวัตกรรมไทย (Thai Innovation) และ การทำ Digital Transformation อย่างต่อเนื่อง

โดยในงานมีสตาร์ทอัพไทย ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ มากกว่า 500 ราย และหุ้นส่วนพันธมิตรที่เกี่ยวข้องจากทางภาครัฐและเอกชนกว่า 200 รายที่มีส่วนในการขับเคลื่อนระบบนิเวศน์เข้าร่วม

ผศ.ดร. ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ นายกสมาคม Thai Startup เปิดเผยข้อมูลว่าปัจจุบันสมาชิกกว่า 200 รายของสมาคมมีผลประกอบการรายได้รวมกันมากกว่า 1 พันล้านบาท เติบโตโดยเฉลี่ย 2.5 เท่าต่อปี และมีผู้ใช้รวมกันมากกว่า 35 ล้านคน มียูนิคอร์น (มูลค่าบริษัทมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท) 3 คือ Flash Express Bitkub และ LINE MAN Wongnai และมีบริษัทที่มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคนอีก 11 บริษัท

ในส่วนของผลงานที่ผ่านในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมาของคณะกรรมการวาระ 2022-2023 สมาคมฯ ได้จัดกิจกรรมเพื่อสมาชิก และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยร่วมกับ 200 องค์กรไปแล้วกว่า 50 งาน

ด้านคุณแคสเปอร์-ธนกฤษณ์​ เสริมสุขสัน อุปนายกและประธานฝ่ายกลยุทธ์ ประกาศกลุยทธ์ 5 หา (HAHA) ในการช่วยขับเคลื่อนระบบนิเวศน์นวัตกรรมไทยร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร เพื่อช่วยบริษัทสตาร์ทอัพไทย และบุคคลที่สนใจขับเคลื่อนเศรษฐกิจผู้ผลิตนวัตกรรม ได้แก่

หาตลาด : จัดทำเครือข่ายเพื่อเชื่อมโยงตลาดในทุกภูมิภาคในประเทศไทย ต่อยอดเครือข่ายใน ASEAN และตลาด Emerging Market รวมถึงตลาดภาครัฐ (B2G)

หาทุน : ต่อยอด Grant Day สร้างศูนย์ข้อมูลทุนภาครัฐในการเริ่มต้นและสร้างธุรกิจ รวมถึงจัดทำเครือข่ายและฐานข้อมูลของนักลงทุน Angel และ VC

หาคน : จัดทำ Startup Talent Pool และพัฒนาบุคคลากรและผู้ประกอบการจากทั้งในและต่างประเทศ

หาเพื่อน : ขยาย community จัดทำ Thai Startup Regional Hub และ สภาสตาร์ทอัพ ASEAN & Emering Markets รวมถึงจัดกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายผู้ผลิตนวัตกรรมจากเอกชนและภาครัฐอื่น

หาทางออก : ขับเคลื่อนแก้กฏหมาย และนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ และจัดกิจกรรมเพื่อสังคมโดยใช้นวัตกรรมและกระบวณการทำ startup ต่อไป

หนึ่งในข้อเสนอที่สมาคมจัดทำและนำเสนอในงาน คือ Concept Paper ซึ่งรวบรวมข้อเรียกร้องที่ในนามสมาชิก นำเสนอไปยังภาครัฐเพื่อให้เป็นผู้สนับสนุน (Enabler) ในวงการสตาร์ทอัพ โดยคุณรับขวัญ ชลดำรงค์กุล อุปนายกและประธานฝ่ายกฎหมาย นำเสนอผลการศึกษาว่า ในปัจจุบันมีหน่วยงานกว่า 35 หน่วยงานที่ภายใต้กรอบกฎหมาย มีเครื่องมือพร้อมสนับสนุน Startup ทั้งในแง่โครงสร้างพื้นฐาน ตลาดภายใน-ต่างประเทศ การสร้างกำลังคน การสนับสนุนเงินให้เปล่า เงินลงทุน และสุดท้ายในแง่การกำจัดอุปสรรคด้านกฎหมาย พร้อมข้อเสนอ quick-wins ที่ทางสมาคมอยากนำเสนอ เช่น Open Data, 1 หน่วยงาน 1 Startup และ Guillotine กฎหมาย โดยสมาคมพร้อมสนับสนุนทุกโครงการที่ภาครัฐฯ จะทำและขับเคลื่อน

โดยในงาน Makers United 2023 ได้มีกิจกรรมอื่นๆ ดังนี้

- เปิดเวทีให้ความรู้โดยเหล่าผู้คร่ำหวอดวงการใน startup แนะนำเทคนิคและเบื้องลึกวงการสตาร์ทอัพตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นจนถึงประสบความสำเร็จ (Idea to Exit)
- เปิดตัวหนังสือ The Startup Mindset  29 แนวคิด จาก Startup Founder โดยคุณแคสเปอร์ คนไทยคนแรกที่ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ Warren Buffett
- เปิดตัวโครงการ Scaleup 99 ในโอกาสครบรอบ 90 ปีหอการค้าไทย Thai Chamber และ 9 ปีสมาคม Thai Startup
- มอบรางวัล 1 Million Club ให้กับสมาชิกสตาร์ทอัพที่มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคน
- มอบรางวัล Friends of Makers Awards 10 สาขาให้กับพันธมิตรและบุคคลที่ทำงานร่วมกับสมาคมในการขับเคลื่อนระบบนิเวศน์ผู้ผลิตนวัตกรรมของไทย

งานนี้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของ สมาคม Thai Startup ในการเปลี่ยนประเทศไทยจากประเทศผู้บริโภคนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Nation of Users) ให้เป็นประเทศผู้ผลิตนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Nation of Makers) โดยได้รับการสนับสนุนจาก Globish โกลบิช ภาษาอังกฤษสำหรับวัยทำงาน, AIS The Startup, Accrevo, QGEN, DBC, A2D Ventures, really Corp. (The Startup Mindset Book), LawxTech, iNT Mahidol, iTAX, Beacon Venture Capital, สมาคม Thai Venture Capital Association - TVCA, QueQ, LINE Thailand - Official, Witsawa, Zipevent, Kudun and Partners, Datawow และ Zeek Nurse

ติดตามข้อมูลสาระสำคัญต่างๆ ได้ทาง
Website : www.thaistartup.org
Facebook : https://www.facebook.com/thaistartupofficial

‘สารัชถ์’ ทุ่ม 818 ล้านบาท ลุยซื้อ ‘GULF’ 17 ล้านหุ้น อาศัยจังหวะหุ้นร่วง เหตุกังวลนโยบายทลายทุนผูกขาด

‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ อาศัยจังหวะที่หุ้น GULF ร่วง -10% เพราะความกังวลนโยบาย ‘ทลายทุนผูกขาด’ ช้อนซื้อหุ้นบริษัทตัวเองเพิ่มอีก 17 ล้านหุ้น ด้วยเงินกว่า 800 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 66 นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) รายงานก.ล.ต.ว่าได้ใช้เงินประมาณ 818 ล้านบาทในการเข้าซื้อหุ้น GULF รวม 17.0898 ล้านหุ้น ในช่วง 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. 66 ซื้อจำนวน 6 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 47.79 บาท/หุ้น เป็นเงินประมาณ 286.74 ล้านบาท วันรุ่งขึ้นซื้ออีก 5 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 48.20 บาท เป็นเงิน 241 ล้านบาท และวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ซื้อเพิ่ม 6,089,800 หุ้น ราคาเฉลี่ย 47.62 บาท ประมาณ 290 ล้านบาท ทำให้มีหุ้นทั้งสิ้น 4,202,177,897 หุ้น

ทั้งนี้จากโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ พบว่านายสารัชถ์ถือหุ้นอันดับหนึ่ง จำนวน 4,185.09 ล้านหุ้น สัดส่วน 35.67% ด้านหุ้น GULF ราคาปิดที่ 48.50 บาท บวก 0.25 บาท หรือ +0.52% เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 66

ก่อนหน้านี้ 12 พ.ค. 66 ราคาหุ้น GULF ปิดที่ 52.50 บาท แต่เมื่อผลการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ออกมาพลิกล็อก พรรคก้าวไกลคว้าชัยชนะ มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมีนโยบายในการปรับลดค่าไฟฟ้า เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ส่งผลกระทบให้ราคาหุ้นกลุ่มไฟฟ้าทรุดตัวลงแรง ไม่เว้น GULF ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและกระจายธุรกิจเพื่อสร้างรายได้หลากหลายวันที่ 15 พ.ค. ราคาปิดที่ 48 บาท รูดลง 4.50 บาทคิดเป็น -8.57%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top