Tuesday, 20 May 2025
ECONBIZ NEWS

‘พาณิชย์’ เล็งส่งสินค้าสูตรโซเดียมต่ำตีตลาดญี่ปุ่น สอดรับนโยบาย รบ.ญี่ปุ่น รณรงค์ลดบริโภครสเค็ม

(10 ส.ค. 66) นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าจากการติดตามสถานการณ์การค้าในต่างประเทศ ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาโดยต่อเนื่องนั้น ล่าสุดได้รับรายงานจากนายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถึงสถานการณ์สินค้าอาหารในญี่ปุ่น

โดยทูตพาณิชย์รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ได้ตั้งเป้าปริมาณการบริโภคเกลือของประชากรอายุ 20 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 7.0 กรัมต่อวัน ในปี 2567 ซึ่งเป็นเป้าหมายภายใต้โครงการ ‘ญี่ปุ่นสุขภาพดี 21’ หลังจากการสำรวจสุขภาพและโภชนาการของประชาชน พบว่า คนญี่ปุ่นบริโภคเกลือเฉลี่ยวันละ 10 กรัม ซึ่งเป็นสองเท่าของปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ โดยร้อยละ 70 ของการบริโภคเกลือของคนญี่ปุ่นมาจากเครื่องปรุง ไม่ว่าจะเป็น ซอสโชยุ เต้าเจี้ยวมิโซะ เกลือ ซุป ซอสต่างๆ ฯลฯ แหล่งการบริโภคเกลือของกลุ่มผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุบริโภคเกลือจากผักดอง กลุ่มคนหนุ่มสาวบริโภคเกลือจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องแกงกะหรี่ ซึ่งเป็นสินค้าอาหารแปรรูป เป็นต้น จึงคาดการณ์ได้ว่า สินค้าอาหารแปรรูปลดเกลือมีแนวโน้มความต้องการของตลาดสูงขึ้นในอนาคต

ซึ่งการบริโภคเกลือปริมาณมากเกินไปยังเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญในด้านความยั่งยืนของระบบประกันสังคม ซึ่งคนญี่ปุ่นช่วงอายุ 40 - 59 ปี 1 ใน 3 คน และคนที่อายุมากกว่า 60 ปี 1 ใน 2 คนเป็นโรคความดันสูง

นอกจากนี้ ในอดีตคนญี่ปุ่นเป็นเส้นเลือดในสมองตีบหรืออุดตันจำนวนมาก โดยมีสาเหตุจากการบริโภคเกลือมากเกินไป ความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย ฯลฯ การแก้ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาล ภาคเอกชน อาทิ ผู้ผลิตอาหาร ร้านอาหาร ฯลฯ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตอาหารของญี่ปุ่นพยายามวิจัยและพัฒนาสินค้าอาหารลดเกลือภายใต้คอนเซปต์ ‘อร่อย สุขภาพดี สะดวก’ สินค้ามีความหลากหลายออกจำหน่ายมากขึ้น ภายในซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งมีชั้นวางสินค้าที่รวบรวมสินค้าเหล่านี้เอาไว้โดยเฉพาะ แสดงให้เห็นถึงความสนใจของผู้บริโภคต่อสินค้าเกลือต่ำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดในการบริโภคเกลือ

“ประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าอาหารสำคัญของญี่ปุ่น หากผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตอาหารแปรรูปหรือวัตถุดิบที่ตรงกับความต้องการและแนวทางการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็อาจได้รับความสนใจจากผู้ซื้อมากยิ่งขึ้นและเป็นโอกาสในการขยายตลาดและมูลค่าการส่งออกสู่ประเทศญี่ปุ่นต่อไป” นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปญี่ปุ่นแล้วมูลค่ากว่า 59,243 ล้านบาท 

APCO โชว์งบครึ่งปีแรกโตดี รายได้ 151.67 ล้านบาท กำไรโต 80.71% Q3/66 แตกไลน์อาหารเสริมบำรุงสมอง ยอดส่งออกวัฒนชีวาเพิ่ม

APCO เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 151.76 ล้านบาท กำไร 58.42 ล้านบาท โต 80.71% ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์โตตามเป้า ทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2566 แนวโน้มดีต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์เรือธงหนุนยอดขาย แตกไลน์อาหารเสริมบำรุงสมอง ยอดส่งออกวัฒนชีวาเพิ่ม 

ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งแรกปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 151.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 113.91 ล้านบาท จำนวน 37.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.22% และมีกำไรสุทธิ 58.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32.33 ล้านบาท จำนวน 26.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 80.71% 

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 68.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 57.87 ล้านบาท จำนวน 10.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.54 % และมีกำไรสุทธิ 25.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.01 ล้านบาท จำนวน 8.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47.66%

ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะนวัตกรรมวัฒนชีวาย้อนวัยชะลอวัย

สำหรับทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2566 แนวโน้มเติบโตดี จากผลิตภัณฑ์เรือธง ได้แก่ ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง ภูมิคุ้มกัน HIV/AIDS และนวัตกรรมย้อนวัยชะลอวัย รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ที่คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ บริษัทเริ่มทดลองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ MMM เสริมสร้างบำรุงระบบสมอง ในช่องทางที่เหมาะสมที่สุด โดยคาดว่าจะได้กระแสตอบรับที่ดี ซึ่งจากการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายพบว่ามีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ 

อีกทั้ง ได้รับคำสั่งซื้อล็อตแรกกว่า 10,000 ขวด จากผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ย้อนวัย 'วัฒนชีวา' ภายใต้แบรนด์ Youthlocked และ Youthlocked A เพื่อจัดจำหน่ายใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม 

‘รมย์ คอนแวนต์’ เปิดห้องซีรีส์ใหม่ 4 รูปแบบ หลังกวาดยอดขาย 1,400 ลบ. เน้นเรียลดีมานด์ ห้องใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน ชวนสัมผัสประสบการณ์ A Life Retreat Exhibition 8 ส.ค. - 22 ก.ย.นี้

บมจ.พราว เรียล เอสเตท (PROUD) เปิด 'รมย์ คอนแวนต์' เผยโฉมคอนโด Luxury Wellness แห่งแรกใจกลางเมืองบน ถ.คอนแวนต์-สาทร โชว์ห้องซีรีส์ใหม่ “ไซส์ใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน” ฟังก์ชั่นหลากหลาย ตอบรับเรียลดีมานด์ แถมอัดโปรโมชั่นแรงรับตั๋วเครื่องบินเที่ยวยุโรป ส่วนลดมูลค่ารวมกว่า 800,000 บาท หลังกวาดยอดขาย 1,400 ล้านบาท พร้อมจัดงาน A Life Retreat Exhibition นิทรรศการที่จะพาคุณรื่นรมย์ไปกับ 5 สัมผัส และการพักผ่อนเหนือระดับในที่พักอาศัยใจกลางเมือง ตั้งแต่ 8 ส.ค. - 22 ก.ย.นี้

นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  หลังจากเปิดตัวโครงการ รมย์ คอนแวนต์ Luxury Wellness Condominium แห่งแรกใจกลางเมืองบน ถ.คอนแวนต์-สาทร มีกระแสตอบรับดีเกินคาด หลังกวาดยอดขาย 1,400 ล้านบาท โดยเฉพาะห้องขนาดใหญ่อย่าง Sky Villa และห้อง 3 ห้องนอน เราเลยเข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัย ว่าต้องการใช้ชีวิตในห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทางโครงการจึงตอบสนองความต้องการของกลุ่มเรียลดีมานด์ โชว์ห้องซีรีส์ใหม่ 4 รูปแบบ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ เพดานสูงโปร่ง ฟังก์ชั่นหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ถือเป็นห้องรูปแบบ 2 และ  3 ห้องนอนขนาดใหญ่ที่หาได้ยาก และกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากในขณะนี้ ประกอบด้วย 

• LA FORÊT VILLA: ห้องขนาด 128 ตรม. ชั้น 3-11 ถือว่าเป็น Rare item ห้องสวยของโครงการ รับวิว 270 องศาที่เน้นให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ชิดกับธรรมชาติรายล้อมด้วยความเขียวชอุ่มจากยอดไม้ที่ได้จากพื้นที่สวนด้านล่างของโครงการ และสวนโดยรอบฝั่งโบสถ์คริสต์และอุโมงค์ต้นไม้ตลอดซอยคอนแวนต์  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากในราคาคุ้มค่า

• 2 BEDROOM PLUS: ห้องขนาด 119.49 ตร.ม. ชั้น 3-20 เป็นรูปแบบ 2 ห้องนอนและ 1 ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ยืดหยุ่นต่อความต้องการของสมาชิกในครอบครัว 
• JUNIOR PENTHOUSE: ห้องขนาด 181.65 ตร.ม. ชั้น 23-27 ออกแบบสำหรับครอบครัวใหญ่ให้คุณได้สัมผัสความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และความลงตัวของทุกห้องที่สามารถชมวิวได้ในทุก ๆ ห้อง และเพิ่มพื้นที่ด้วยทางเข้าออกห้องแบบ 2 ทางแยกกัน แถมสิทธิจอดรถได้ถึง 3 คัน 
• PENTHOUSE 1-2: ห้องขนาด 418.61 - 469.85 ตร.ม. บนชั้น 28 - 29 จัดมาเพื่อความพิเศษที่สุดของความเหนือระดับ ด้วยพื้นที่การใช้งาน 2 ชั้นและสวนส่วนตัวลอยฟ้ารับวิวได้สุดสายตา แบ่งฟังก์ชั่นใช้งานไว้อย่างลงตัว พร้อมผู้เชี่ยวชาญให้ออกแบบตกแต่งเพิ่มเติมโดย PIA

ช่วง Grand Opening ยังมีโปรโมชั่นพิเศษมอบตั๋วเครื่องบิน กทม.-ยุโรป และส่วนลดสูงถึง 800,000 บาท พร้อมจัดงาน "A Life Retreat Exhibition" นิทรรศการที่จะพาคุณรื่นรมย์ในชีวิตผ่าน 5 สัมผัส SEE SOUND SCENT SENSE TOUCH ในโครงการ 'รมย์ คอนแวนต์' (ROMM Convent) สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ – 22 มิ.ย. 66

'รมย์ คอนแวนต์' เป็นคอนโด Luxury Wellness ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท ด้วยคอนเซปต์ CBD Retreat Residences ที่เน้นเชื่อมโยงให้ผู้อาศัยสัมผัสรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากกว่าได้ไปพร้อมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาว ไปกับการใช้ชีวิตใจกลางเมืองได้อย่างเต็มที่แต่ยังคงสามารถเข้าถึงการพักผ่อนเหนือระดับได้เมื่อเดินทางกลับมาที่รมย์ คอนแวนต์ ด้วยการออกแบบทุกพื้นที่ในห้องพัก Wellness Facilities บนพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2,000 ตร.ม. และบริการดูแลสุขภาพระดับบ VVIP จากโรงพยาบาล BNH, แอปพลิเคชั่น Bedee by BDMS และ Proud Health Butler 

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการรมย์ คอนแวนต์ (ROMM CONVENT) เว็บไซต์: https://bit.ly/RommConvent  , Facebook: https://bit.ly/fbproudrealestate หรือ โทร 02-026-8999

‘บิ๊กป้อม’ ย้ำ ‘ทส.’ ดูแล-ปกป้องสิ่งแวดล้อม คืนอากาศบริสุทธิ์ หนุนยกระดับท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

(9 ส.ค. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ที่ประชุมได้มีการพิจารณา เห็นชอบประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม 3 พื้นที่ (จ.กระบี่, จ.พังงา และ จ.สุราษฎร์ธานี) เพื่อควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม และให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างเท่าเทียม และได้เห็นชอบรายงาน EIA งานก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า จ.กาญจนบุรี ตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 2 รวมทั้งงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้ารองรับนิคมอุตสาหกรรม จ.กาญจนบุรี และเห็นชอบ EIA โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ปาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ลำปาง เพื่อจัดหาแหล่งน้ำให้กับราษฎร บรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตร และอุปโภคบริโภค

นอกจากนั้น ยังได้เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการเฝ้าระวังป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษอันเกิดจาก พีเอ็ม 2.5 ตั้งแต่ระยะเตรียมการ ระยะเผชิญเหตุ และระยะบรรเทา รวมถึงมาตรการตลอดทั้งปี เพื่อให้ทุกหน่วยงานบูรณาการแก้ปัญหาพีเอ็ม 2.5 ในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพในปีต่อไป

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับให้ ทส.และผู้เกี่ยวข้อง กำกับ ติดตามการดำเนินงานของเจ้าของโครงการที่ผ่านความเห็นชอบรายงาน EIA แล้ว โดยให้มีการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด พร้อมได้กล่าวชื่นชม ทส.และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ทุ่มเท เสียสละการทำงานอย่างเต็มที่ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล มีธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษที่เป็นภัยต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้เดินทางมายังประเทศไทยซึ่งมีจำนวนมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ จากรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมากในขณะนี้

‘เครดิตบูโร’ เปิด ‘หนี้เน่า’ ไตรมาส 2  ตัวเลขทะลุ 1 ล้านล้าน หนี้รถยนต์พุ่ง 18%

เครดิตบูโร เปิดข้อมูลหนี้เสีย ไตรมาส 2 พุ่งทะลุ 1ล้านล้าน จากไตรมาสแรกที่ 9.5 แสนล้าน คาดหนี้เสียเพิ่มต่อตัวต่อเนื่องหลังจากนี้ จากเศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เต็มที่ ห่วงหนี้เสียรถยนต์พุ่ง 2 แสนล้าน เพิ่มขึ้นถึง 18%

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับ หนี้เสีย, หนี้มีปัญหา, หนี้ NPLs, หนี้ปรับโครงสร้าง โดยระบุว่า 

1. ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 จากการประมวลผลจากฐานข้อมูลสถิติที่เอาตัวตนออกไปแล้วของเครดิตบูโรพบข้อเท็จจริงว่า หนี้ครัวเรือนไทยทั้งก้อนหลังการปรับปรุงข้อมูลโดย ธปท. เรามีตัวเลขอยู่ที่ 15.96 ล้านล้านบาทคิดเป็น 90.6% ของ GDP ที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจของเรามีปัญหาในเรื่องนี้ 

“เรามีปัญหาแล้ว เรามีปัญหาอยู่เรามีปัญหาต่อ (อีกซักพัก) เรายังออกจากกับดักตรงนี้ไม่ได้ในเวลานี้”

2. ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทย 13.45 ล้านล้านบาทจัดเก็บอยู่ในระบบของเครดิตบูโรครับ ครอบคลุม 32 ล้านลูกหนี้ที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงินไทยกว่า 135 แห่ง

หนี้เสียไปแล้วรอการแก้ไขในตอนนี้กลับมาแตะระดับ 1 ล้านล้านบาทอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2566 ที่ระดับ 1.03 ล้านล้านบาทคิดเป็น 7.7% เมื่อไตรมาส 1 ปี 2566 มันอยู่ที่ 9.5 แสนล้านบาทครับ คำถามคือมันจะไปต่อหรือไม่ คำตอบคือมันต้องไปต่อแน่ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจแบบยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และทั่วถึง

ประกอบกับจะมีการชักคืนมาตรการช่วยเหลือออกตามแผน แล้วกลับไปใช้มาตรการตามปกติเดิมมารองรับ ตามการคาดการณ์จะไม่ไหลมาแบบรุนแรง แต่มีโอกาสเพิ่มแน่ ๆ ท่านที่สนใจพิจารณาได้จากกราฟสีแดงที่ปรากฏในภาพด้านล่างนะครับ

หนี้ตัวที่สองคือหนี้เสียที่เอาไปปรับโครงสร้าง เอาไปซ่อม เพื่อให้กลับมาเป็นหนี้ดี จ่ายได้ ตรงนี้มีจำนวน 9.8 แสนล้านบาทครับ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่อยู่ที่ระดับ 8 แสนล้านบาท

แน่นอนว่ามาจากการเร่งเข้าไปช่วยเหลือ, ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการที่ออกแบบมาโดย ธปท. 
ทุกท่านที่สนใจดูได้จากเส้นสีดำนะครับ ดูว่ากราฟมันเชิดหัวขึ้น ถ้าปรับแล้วรอดก็เป็นหนี้ดี, ถ้าปรับแล้วทำไม่ได้ ยังจ่ายไม่ได้ก็ต้องปรับอีกหรือปล่อยไหลเป็นหนี้เสีย

3. ไส้ในของหนี้ที่เสียไปแล้วหรือหนี้ NPLs ประกอบด้วย หนี้กู้ซื้อรถยนต์เกือบ 2 แสนล้านบาท หนี้กู้ซื้อบ้าน ที่อยู่อาศัย 1.8 แสนล้านบาท หนี้ Ploan 2.5 แสนล้านบาท บัตรเครดิต 5.6 หมื่นล้านบาท หนี้เกษตร 7.2 หมื่นล้านบาท เป็นต้น ที่น่าสังเกตคือหนี้กู้มาซื้อรถยนต์นั้นมันเพิ่มขึ้นจากกลางปีที่แล้ว มิถุนายน 2565 สูงถึง 18% อันนี้ต้องยอมรับว่ากลิ่นไม่ค่อยดี

แม้ว่าทุก ๆ คนกำลังรอกลิ่นแห่งความเจริญงอกงามทางเศรษฐกิจในอนาคตตามที่แต่ละคนวาดหวังแต่กลิ่นแห่งความเป็นจริงวันนี้และในระยะอันใกล้มันส่งผ่านตัวเลขออกมาแบบทำให้ไม่สบายใจ ไม่สบายเนื้อสบายตัวเอาเสียเลยในเวลานี้

เส้นกราฟสีเหลืองคือหนี้ที่กำลังจะเสีย หนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษ หนี้ SM กราฟปักหัวลงจาก 6 แสนล้านบาท มาเป็น 4.75 แสนล้านบาท พระเอกยังคงเป็นหนี้กู้มาซื้อรถยนต์นะครับ 2 แสนล้านบาท

หนี้เสียต้องเร่งแก้ไข เริ่มต้นได้อย่างไรให้ยั่งยืน มาตรการที่ช่วยให้ยืน จะต้องคืนในปลายปี แล้วชีวีตจะเดินไปอย่างไร

'เซ็นทรัลฯ' ลุยปรับโฉมร้าน Family Mart พลิกโฉมเป็น Tops Daily ยัน!! แม้จะมีการเปลี่ยนชื่อร้านแล้ว แต่ 'โอเด้ง' ยังมีขายตามปกติ

เมื่อไม่นานมานี้ เซ็นทรัล รีเทล หรือ CRC ผู้บริหารเชนร้านสะดวกซื้อ Family Mart เริ่มทยอยปรับโฉมและเปลี่ยนชื่อร้าน Family Mart เป็น Tops Daily แล้ว เช่นสาขาในย่านปิ่นเกล้า ทั้งการเปลี่ยนป้ายหน้าร้าน และประโยคต้อนรับลูกค้าของบรรดาพนักงาน

อย่างไรก็ตาม สำหรับแฟนสินค้าเด่นของ Family Mart อย่าง ‘โอเด้ง’ ยังสบายใจได้ เนื่องจากพนักงานของร้านยืนยันว่า แม้จะมีการเปลี่ยนชื่อร้านแล้ว แต่โอเด้งยังมีขายตามปกติ

การเปลี่ยนแปลงนี้ คาดว่าเป็นไปตามแนวทางที่ CRC ประกาศเมื่อช่วงต้นปี 2566 นี้ ว่าจะปรับกลยุทธ์ของธุรกิจค้าปลีก ด้วยการใช้แบรนด์ Tops เป็นแกนกลาง ขณะเดียวกันความต้องการของผู้บริโภคยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย

โดยนายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล กล่าวในขณะนั้นว่า เทรนด์ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อในไทยเปลี่ยนแปลงไป ตลาดต้องการร้านที่ขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ร้าน Family Mart ซึ่งมีพื้นที่เฉลี่ย 120 ตร.ม. ไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ต่างจากร้านในแบรนด์ Tops ที่มีขนาดพื้นที่ร้านประมาณ 250-300 ตารางเมตร จึงมีความหลากหลายของสินค้ามากกว่า

พร้อมกันนี้ เซ็นทรัล รีเทล ยังปรับยุทธศาสตร์ด้านแบรนด์ด้วยการโฟกัสการใช้แบรนด์ Tops กับธุรกิจต่าง ๆ ในกลุ่มสินค้าอาหารเพื่อสร้างการจดจำ เช่น Tops, Tops Food Hall, Tops Fine Food, Tops Club และ Top Daily

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ร้าน Family Mart ในไทยมีสาขาลดลงต่อเนื่องจากจำนวนประมาณ 1,000 สาขา เมื่อปี 2560-2561 แต่ในช่วงปี 2564 ลดเหลือ 805 สาขา และปัจจุบันข้อมูลบนเว็บไซต์ของเซ็นทรัล รีเทล ระบุว่า บริษัทมีร้านสะดวกซื้อ 409 สาขา

สำหรับเส้นทางธุรกิจร้าน Family Mart ในประเทศไทยนั้น Family Mart เป็นร้านสะดวกซื้อสัญชาติญี่ปุ่น ภายใต้การบริหารของแฟมิลี่มาร์ทกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท อิโตชู จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาเปิดสาขาแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2536 ที่พระโขนง ตามด้วยสาขา 2 ที่สีลม ต่อมาเปิดสาขาแฟรนไชส์แห่งแรกที่เสนานิเวศน์ ก่อนจะมีสาขาครบ 100 สาขา ในธันวาคม 2542 ด้วยการเปิดสาขาลาดพร้าว 35 ตามด้วยสาขาในต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในจังหวัดชลบุรี คือ สาขาพัทยาวงศ์อมาตย์

สำหรับหนึ่งในสินค้าฮิตอย่างโอเด้งนั้น เริ่มขายใน 10 สาขาเมื่อสิงหาคม 2549 จากนั้น Family Mart เดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง โดยมีสาขาครบ 500 สาขาในปี 2551 และครบ 600 สาขา ในปี 2553 จากนั้น ปี 2555 เมษายนจึงเปิดสาขาลำดับที่ 700 และเปิดสาขาลำดับที่ 800 เมื่อปี 2556

ขณะเดียวกันบริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอรร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมเซ็นสัญญาลงนามในสัญญาร่วมทุน กับ บริษัท แฟมิลี่มาร์ท จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2555 และต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัดเมื่อปี 2556

ต่อมาในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด บริษัทย่อยของ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด ในอีก 49.00% ที่เหลืออยู่จาก แฟมิลี่มาร์ท ประเทศญี่ปุ่น ทำให้แฟมิลี่มาร์ทในไทยเหลือสถานะเพียงแฟรนไชส์ของแฟมิลี่มาร์ทญี่ปุ่น

‘รัฐบาล’ หนุน ‘การท่องเที่ยวเชิงรุก’ เจาะตลาด ‘ยุโรป-สหรัฐฯ-ตะวันออกกลาง’ กระตุ้นรายได้จากตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้า!! 1.62 ล้านล้านบาท ภายในปี 66

(7 ก.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลปรับแผนยุทธศาสตร์การทำงานเพื่อให้เป็นไปตามสถานการณ์ตลาดอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางแผนสนับสนุนตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะ จากยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลางให้เข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น กระตุ้นรายได้ตลาดการท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้ถึงเป้าหมายที่คาดการณ์ มูลค่ารวม 1.62 ล้านล้านบาท ในปี 2566

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น แบ่งเป็นตลาดการท่องเที่ยวระยะใกล้ และ ตลาดการท่องเที่ยวระยะไกล โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 มีนักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางเข้าไทย 2,933,660 คน อเมริกา 620,474 คน ตะวันออกกลาง 231,206 คน ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long haul) จากยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว รวมถึงเวลาที่พำนักอยู่มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ

โดยจากข้อมูลการวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศปี 2566 ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-มีนาคม) พบว่านักท่องเที่ยวจากยุโรป มีวันพักเฉลี่ย 19.40 วัน ใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 71,718 บาทต่อทริป นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง มีวันพักเฉลี่ย 16.17 วัน ใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 99,172 บาทต่อทริป และนักท่องเที่ยวจากอเมริกา มีวันพักเฉลี่ย 15.26 วัน ใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 76,297 บาทต่อทริป ด้วยปัจจัยการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง เมษายน-ตุลาคม ปีนี้ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จึงเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล จำนวนเกิน 7 ล้านคน ในปี 2566 สร้างมูลค่า 6.6 แสนล้านบาท 

นอกจากนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยวางแผนเปิดสำนักงานใหม่ที่ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา เพิ่มเติมจากเดิมที่มีสำนักงานอยู่ที่เมืองนิวยอร์ก และเมืองลอสแอนเจลิส โดยทำการตลาดด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติมในตอนกลางของอเมริกา และพื้นที่ตลาดแคนาดา เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวแบบเช่าเหมาลำมากขึ้น และตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางจะเปิดสำนักงานใหม่ ที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย เพื่อรุกทำตลาดนักท่องเที่ยวซาอุดีฯ อย่างเต็มที่ พร้อมดูแลและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น แอฟริกาตอนเหนือ ซึ่งมีความใกล้เคียงกันในเชิงวัฒนธรรมกับตลาดซาอุดีฯ ทั้งนี้ ตลาดซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยสถิติในช่วงวันที่ 1 มกราคม-10 กรกฎาคม 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสม 75,652 คน มากเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย โดยนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2565

“รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่มาอย่างต่อเนื่อง ประเมินตลาด ปรับเปลี่ยนการทำงาน พร้อมทั้งจัดกิจกรรมและนิทรรศการ ที่รองรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งปี ทั้งนี้ เพื่อให้ไทยอยู่ในกระแสความนิยมของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงพัฒนาแนวทางการท่องเที่ยวอย่างสมดุล และยั่งยืน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ ของประเทศอีกด้วย” น.ส.รัชดาฯ กล่าว

‘EA’ จับมือ ‘กรมอนามัย’ หนุนการใช้รถยนต์ EV ติดตั้งสถานีชาร์จแห่งแรกในกระทรวงสาธารณสุข

บจก.พลังงานมหานคร บริษัทย่อยในกลุ่ม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) จับมือกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมจัดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นองค์กรภาครัฐต้นแบบในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

เมื่อวันนี้ 4 ส.ค. 66 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า “ในการเป็นประธานลงนามความร่วมมือโครงการสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าระหว่างกรมอนามัย และ บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด ณ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ว่า จากรายงาน Biennial update report ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปี 2565 พบว่า ก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศในประเทศไทยประมาณร้อยละ 70 มาจากภาคพลังงานและภาคขนส่ง โดยเฉพาะ PM2.5 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ทั้งนี้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงให้ความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมของประเทศ พร้อมสนับสนุนการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งนโยบายรถไฟฟ้า (EV : Electric Vehicle) ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่สำคัญของประเทศในภาคพลังงานและขนส่ง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษทางอากาศ และลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว”

“กรมอนามัย จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด วางโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน รวมทั้งจัดตั้งสถานีอัดชาร์จสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกของกระทรวงสาธารณสุข เพื่ออำนวยความสะดวกให้บุคลากรในกระทรวงสาธารณสุข และประชาชนทั่วไป ได้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ก่อนนำไปสู่การขยายผลให้ครอบคลุมพื้นที่อื่น ๆ รองรับการใช้งานของประชาชนในอนาคต ที่จะช่วยกันลดปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างอากาศที่บริสุทธิ์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยต่อไป” กล่าวปิดท้าย

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) กล่าวว่า “กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ ได้มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ ‘Green Product’ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานสะอาด มากกว่า 15 ปี ทั้งด้านพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน และปัจจุบัน EA ซึ่งเป็นบริษัทไทยบริษัทแรกที่มีการเริ่มต้นพัฒนานวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าด้วยฝีมือคนไทย ทั้งธุรกิจแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสถานีชาร์จ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า โดยปัจจุบัน EA เป็นผู้นำด้านการให้บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ภายใต้ชื่อ EA Anywhere มากกว่า 5 ปี เปิดให้บริการแล้วกว่า 490 สถานี รวม 2,460 หัวชาร์จ ทั้งสถานีระบบ Normal Charge และ EA ได้คิดค้นนวัตกรรมการชาร์จที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาเพียง 15 - 20 นาที ด้วยเทคโนโลยี Ultra-Fast Charge เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ ในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น สร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV ECOSYSTEM) ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าระดับสากล

ดังนั้น โครงการดังกล่าว จึงถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญ ที่ EA และ กรมอนามัย หน่วยงานราชการที่มีเจตนารมณ์เดียวกันกับบริษัทฯ ในการร่วมเดินหน้าส่งเสริมสถานีชาร์จสําหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าภายในพื้นที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงานสะอาด  ช่วยลดปัญหามลภาวะทางอากาศ และฝุ่น PM 2.5 ให้กับชุมชนและสังคม สร้างสุขภาพอนามัยที่ดีต่อทุกคน ทั้งยังส่งเสริมให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า อันจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคได้เร็วยิ่งขึ้น สนับสนุนขับเคลื่อนให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพสิ่งแวดล้อมไทยที่ยั่งยืน

‘บิ๊กตู่’ หนุน ศึกษาสร้างฐานปล่อยยานอวกาศในไทย หวังพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนแข่งกับนานาประเทศ

(6 ส.ค. 66) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งขับเคลื่อนนโยบายอวกาศของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกิจการอวกาศ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยได้สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ ในการสร้างจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย คือ ฐานสำหรับการส่งและรับยานอวกาศ (spaceport) เนื่องจากหากประเทศไทยมีท่าอวกาศยานของเราเอง จะก่อให้เกิดความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอวกาศ ทั้งยังเกิดการสร้างรายได้ทางตรงจากอุตสาหกรรมอวกาศ

ซึ่งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ หรือ ‘Aerospace Industry’ ถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ส่งผลไปถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ จึงเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ เน้นย้ำให้ศึกษารายละเอียดรอบด้าน อย่างรอบคอบและระมัดระวังที่สุด ทั้งความคุ้มค่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ตั้งแต่ปลายปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาอีกประมาณ 1-2 ปี โดยเบื้องต้นพบว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่มีความเหมาะสมถึง 5 คุณสมบัติ ได้แก่

1.) การอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีผลต่อการนำส่งอวกาศยานที่จะช่วยลดการสิ้นเปลืองของพลังงาน
2.) มีทะเลขนาบ 2 ฝั่งซ้าย-ขวา มีมุมปล่อยอวกาศยานได้หลากหลายแบบ
3.) มีแนวชายฝั่งที่เป็นคาบสมุทร สามารถกำหนดจุดหรือ Drop Zone ที่ไม่กระทบกับพื้นที่บนฝั่ง และยังสามารถออกเก็บกู้วัตถุที่ตกลงมาได้ง่าย
4.) มีระบบโลจิสติกส์ที่เข้าถึงง่าย หลายหลาย มีระบบท่าเรือน้ำลึกและท่าอากาศยาน
5.) ไม่มีภัยพิบัติรุนแรง ซึ่งทำให้ไทยมีโอกาสและแนวโน้มที่จะเกิดโครงการนี้ได้จริง

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า หากท่าอวกาศยานในประเทศไทย จัดตั้งได้สำเร็จจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางอวกาศขนาดใหญ่ นอกจากจะยกระดับวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาสแล้ว ยังส่งเสริมและผลักดัน ธุรกิจอวกาศ อุตสาหกรรมอวกาศ ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ อุตสาหกรรมการผลิตอุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นต้น เกิดอาชีพใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า300-400 อาชีพ อาทิ ช่างประกอบจรวด ช่างประกอบเพย์โหลด ช่างขัดท่อจรวด ช่างอิเล็กทรอนิกส์ระบบจรวด ช่างไฟฟ้าระบบจรวด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการนำเข้าจรวด พนักงานขายตั๋วเที่ยวบินไปอวกาศฯลฯ ซึ่งยังไม่เคยมีเกิดขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัย นำไปสู่ความการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน และยังทำให้ประเทศไทย เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจอวกาศแห่งภูมิภาคเอชีย-แปซิฟิกได้

สำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ริเริ่มวางรากฐานพัฒนาด้านอวกาศไทยมาโดยตลอด เช่น ผลักดันให้มี ร่างกฎหมายอวกาศหรือพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... และผลักดันให้เกิดแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ พ.ศ.2566 - 2580 (National Space Master Plan 2023 - 2037) ขึ้นเพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกิจการอวกาศเพื่อความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน ของประเทศไทย ให้แข่งขันกับนานาประเทศได้

เตือน!! อย่าคาดหวัง นทท. จีน อย่างเดียว ควรกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนอื่นเพิ่ม

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ประจำวันที่ 6 ส.ค.66 ในประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจกับการท่องเที่ยวไทย โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ใหญ่บ้างเล็กบ้าง จำกัดอยู่ในระดับประเทศบ้าง ระดับภูมิภาคบ้าง หรือเป็นวิกฤตระดับโลกบ้าง บางวิกฤตมีต้นเหตุมาจากภาคการเงินการธนาคาร ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคสาธารณสุข หรือจากการก่อการร้ายและสงคราม 

แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ภาคเศรษฐกิจจะเกิดการหดตัว การว่างงานพุ่งสูงขึ้น ภาคการเงินจะเกิดหนี้เสียสูงขึ้นมาก เป็นเหตุให้เศรษฐกิจภาพรวมฟื้นตัวได้ช้า และภาคธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว

นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อกว่า 25 ปีที่แล้ว ภาคการเงินการธนาคารไทยมีความเข้มแข็งและทนทานขึ้นมาก เมื่อเศรษฐกิจไทยหดตัวจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ระบบการเงินจึงไม่ได้รับความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ และไม่เกิดปัญหาหนี้เสียคงค้าง (Debt Overhang) เหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน ๆ จึงเชื่อกันว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้น ขณะที่ไทยก็น่าจะกลับมาเติบโตได้รวดเร็ว

ยิ่งเมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศเมื่อต้นปีนี้ จึงมีความคาดหวังสูงว่าไทยจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะจีนส่งนักท่องเที่ยวมาไทยมากที่สุด ถึงปีละประมาณ 10 ล้านคนก่อนโควิด-19 

แต่เหตุการณ์ต่อไป อาจหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวแรงแค่ไตรมาสแรกไตรมาสเดียว พอเข้าไตรมาสที่สองก็เริ่มชะลอตัวลงอีก จากภาระหนี้สินคงค้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังกลายเป็นตัวถ่วงการฟื้นตัวของการบริโภค 

สังเกตได้ว่านักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าการท่องเที่ยวในปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าที่ทางการกำหนดไว้ที่ 28.5 ล้านคนหรือไม่ ภายใต้การคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนกำลังเตรียมการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal Stimulus) เร็ว ๆ นี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจจีนไม่ให้ชะลอตัวไปกว่านี้ 

"ไทยไม่ควรฝากความหวังไว้ที่การท่องเที่ยวจากจีนเพียงอย่างเดียว ควรจะกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย และอาจเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดไม่ใหญ่นักที่มุ่งสนับสนุนการบริโภคการลงทุนในประเทศ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า" อ.พงษ์ภาณุ ฝากให้คิด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top