Saturday, 31 May 2025
POLITICS NEWS

'ก้าวไกล' เสนอแก้ ป.แพ่งและพาณิชย์ ห้ามผู้ปกครอง 'เฆี่ยนตีเด็ก' ยกผลวิจัยชี้การลงโทษรุนแรง 'เสียพัฒนาการเด็ก-สร้างปัญหาสังคม'

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) เกี่ยวกับการลงโทษเด็ก โดยแก้ไขจากการบัญญัติว่า “ผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิทําโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน” เป็น “ผู้ใช้อํานาจปกครองมีสิทธิทําโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร แต่ต้องไม่เป็นการกระทําทารุณกรรม หรือทําร้ายร่างกายหรือจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือทําโทษอื่นใดอันเป็นการด้อยค่า”

โดย ภัสริน รามวงศ์ สส.กรุงเทพฯ เขต 7 พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้อภิปรายเสนอหลักการและเหตุผล ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2519 เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีอยู่ และในกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review) รอบที่ 2 (พ.ศ. 2559-2563) ประเทศไทยก็ได้ตอบรับให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับแก้กฎหมายและควบคุมบทลงโทษด้วยความรุนแรงต่อบุตร แต่การแก้ไขก็ไม่เคยเป็นรูปธรรมเสียที

ภัสริน กล่าวว่า คำว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” หรือคำว่า “ไม้เรียวสร้างคน” ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยอีกต่อไปแล้ว ความรักของผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องแสดงออกผ่านความรุนแรง และมีข้อพิสูจน์มากมายว่าการตีเด็กไม่ได้ทำให้เด็กได้ดี อีกทั้งยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อเด็กไปจนจวบสิ้นชีวิตได้ 

ผลการศึกษาจากงานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันว่า การลงโทษเด็กด้วยการตีส่งผลกระทบเชิงลบต่อพัฒนาการของเด็ก รวมถึงกระบวนการสร้างคลื่นบริเวณเยื่อหุ้มสมองที่เป็นสัญญาณของการถูกคุกคามและหวาดกลัว การทำโทษบ่อยครั้งยังส่งผลต่อพัฒนาการของระบบประสาทในวัยรุ่น ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า งานวิจัยทั้งหมดแสดงให้เห็นตรงกันว่าการเฆี่ยนตีและทำร้ายเด็กไม่สามารถทำให้เด็กมีพัฒนาการได้อย่างสมควร และเด็กที่ถูกเลี้ยงมาในสภาพที่เต็มไปด้วยความรุนแรงในครอบครัว มักจบลงด้วยการแสดงออกที่ก้าวร้าวเสมอ

การลงโทษเด็กจนเสียชีวิตเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว โดยประเทศไทยยังคงมีช่องว่างเกี่ยวกับการลงโทษเด็ก ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ระบุให้ผู้ปกครองมีสิทธิลงโทษบุตรได้ตามสมควร, พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 61 ที่ระบุให้ผู้ปกครองลงโทษได้ตามสมควรเพื่อการอบรมสั่งสอน, กฎกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่าด้วยการลงโทษเด็ก พ.ศ.2548 ที่ระบุว่าหากจำเป็น ให้ผู้ปกครองลงโทษได้ตามสมควร

ภัสรินกล่าวต่อไปว่า จากรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ มีข้อกังวลหนึ่งที่คณะกรรมการสิทธิเด็กแสดงความกังวลต่อประเทศไทยมาโดยตลอด นั่นคือบทบัญญัติเรื่องการให้อำนาจผู้ปกครองตามมาตรา 1567 ประเทศสมาชิกหลายประเทศก็ให้ข้อเสนอแนะต่อประเทศไทยไม่ให้มีการลงโทษเด็กทุกรูปแบบและทุกสถานที่ ซึ่งรัฐบาลไทยก็ยอมรับมาโดยตลอดว่าต้องแก้ไขปัญหานี้ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายใดๆ อย่างเป็นรูปธรรม

“เด็กที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง พวกเขารอไม่ได้อีกแล้ว การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ไม่ได้ห้ามการลงโทษ แต่สังคมต้องปรับวิธีคิดในการอบรมสั่งสอนลูก เราต้องสร้างนิสัยเชิงบวกให้ลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่อธิบายด้วยความรัก ความเข้าใจ และการอดทนอดกลั้น ขอให้มองว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นคือโอกาสที่พ่อ แม่ และลูกจะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน” ภัสรินกล่าว

'เฉลิม' ท้า!! ‘เพื่อไทย’ ขับพ้นพรรคตามระเบียบ หลัง 'อิ๊งค์-เศรษฐา' ไม่ปลื้ม ‘วัน’ โผล่เชียร์ 'บิ๊กแจ๊ส'

(10 ก.ค. 67) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายวัน อยู่บำรุง บุตรชาย ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เพื่อแสดงความรับผิดชอบกรณีที่มีภาพไปร่วมติดตามผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายกอบจ.ปทุมธานี ที่บ้านพักของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทราบว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รวมทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ แสดงความไม่พอใจนายวันในเรื่องนี้อย่างรุนแรง ถึงขั้นระบุว่าจะต้องหยุดทำงาน นายวันเลยทำหนังสือลาออกเองเลย

“เมื่อหนุ่ม (นายวัน) ลาออกแล้ว ผมจะอยู่ในพรรคเพื่อไทยต่อได้อย่างไร ก็เลยขอให้พรรคขับผมออกจากพรรคตามระเบียบพรรคการเมือง เพื่อจะได้ไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งขณะนี้มีพรรคการเมือง 2-3 พรรคติดต่อเข้ามาแล้ว ยืนยันว่าผมตกได้ แต่ผมต่ำไม่ได้“ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

‘จุรินทร์’ จวก!! รัฐบาลให้ความหวังแจก ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ไปวันๆ อ้างรอรายละเอียด แต่ไม่ถามกฤษฎีกา ปมดึงเงิน ธกส. มาใช้สักที

(10 ก.ค. 67) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นถึงกรณี ‘เงินดิจิทัล วอลเล็ต’ อีกครั้ง ว่า จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ถามกฤษฎีกาเรื่องการจะเอาเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่งมีไว้เพื่อดูแลเกษตรกรมาแจก ตามนโยบาย ดิจิทัล วอลเล็ต สามารถทำได้และถูกกฎหมายหรือไม่ 

ส่งผลให้ประชาชนยังไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าจะได้รับเงินคนละ 10,000 บาท ตามที่นายกรัฐมนตรีหาเสียงไว้ แม้รัฐบาลจะพยายามบอกว่าจะจัดให้มีการลงทะเบียนภายในเดือนกรกฎาคม และแจกได้ทันทีในไตรมาส 4 ของปีนี้ หรือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 67 เป็นต้นไปก็ตาม แต่เป็นแค่ไทม์ไลน์ที่รัฐบาลกำหนดขึ้นบนพื้นฐานว่าสามารถเอาเม็ดเงิน 172,300 ล้านบาทจาก ธกส. มาแจกได้ แต่ถ้าเกิดทำไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย รัฐบาลจะทำอย่างไร 

“จึงมีคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เร่งทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ปล่อยให้คลุมเครืออยู่เพื่ออะไร เพราะข้ออ้างรอความชัดเจนรายละเอียดปฏิบัติฟังไม่ขึ้น หรือรัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่ามันมีความเสี่ยงผิดกฎหมาย จึงใช้เทคนิคหาเสียงด้วยการซื้อเวลาช่วงนี้ เพื่อสร้างความหวังให้ประชาชนไปพลางก่อน แล้วค่อยไปเสี่ยงตายเอาวันข้างหน้า ซึ่งก็เหมือนซื้อเวลาสร้างความหวังให้ประชาชนไปวัน ๆ” นายจุรินทร์ กล่าว

‘นายกฯ’ รับมอบรางวัล ‘The President’s Award of Service’ ปฏิญาณตน “จะตั้งใจทำงานในหน้าที่นายกฯ ให้ดีที่สุด”

เมื่อวานนี้ (9 ก.ค. 67) ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้พบคณะผู้บริหารและผู้แทนจากมหาวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาแคลร์มอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา (Claremont Graduate University) และรับมอบรางวัล The President’s Award of Service ในฐานะศิษย์เก่าที่ทำคุณประโยชน์แก่สาธารณะ ส่งเสริมการพัฒนาของมนุษยชาติ และสนับสนุนสิทธิมนุษยชน

โดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เป็นศิษย์เก่าคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ซึ่งในวันนี้มีคณะผู้แทนจากมหาวิทยาลัย เข้าร่วมหารือรวม 14ท่าน และมีศิษย์เก่าชาวไทยที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากมายหลากหลายวงการเข้าร่วม

นายกฯ เปิดเผยความรู้สึกหลังจากได้รับรางวัลว่า รู้สึกแปลกใจ และแน่นอนว่ารู้สึกดีใจด้วย เนื่องจากไม่เคยได้รับรางวัลเหล่านี้มาก่อน ซึ่งการที่มาเป็นนายกฯ และได้รางวัลนี้ถือว่าเป็นรางวัลที่มีคุณค่ามากอย่างหนึ่ง แต่ส่วนตัวมองว่าการที่จะได้รับการยอมรับ เราจะต้องได้ทำอะไรมาบ้างพอสมควรแล้ว ซึ่งผมเองก็ต้องมีความซื่อตรงต่อตัวเองว่าภารกิจเรายังอยู่ระหว่างการดำเนินการ เนื่องจากเราเพิ่งเป็นรัฐบาลได้เพียงแค่ปีเดียว ก็หวังว่า หลังจากช่วงที่จบเทอมแล้ว ในเรื่องของความรู้สึกที่ได้รับรางวัลนี้คงจะมีความภูมิใจ มากกว่านี้

นายเศรษฐา เล่าย้อนความหลังสมัยที่ศึกษาที่ Claremont Graduate University ว่าช่วงนั้นหากใครที่จบปริญญาตรีแล้ว หลาย ๆ ท่านจะพยายามที่จะออกไปหาประสบการณ์ไปทำงานก่อน เพื่อจะได้มาสมัครเรียนมหาวิทยาลัยที่ดี ๆ ต่อ เนื่องจากอยู่ในข้อกำหนดของมหาวิทยาลัยว่าต้องมีประสบการณ์การทำงาน แต่ตัวผมเองในตอนนั้นผมอยู่ที่ต่างประเทศมานานมากแล้ว แล้วผมก็ไม่อยากที่จะทำงาน แล้วค่อยกลับไปเรียนต่อ ผมอยากกลับบ้าน กลับประเทศไทยทีเดียว

ผมเลยเลือกที่จะศึกษาต่อให้จบ ผมก็สมัครมาที่ Claremont Graduate University ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่ดี และในข้อกำหนดของทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องทำงานมาก่อน ก็ถือว่าเป็นโชคที่ดีในตอนนั้นที่เขารับและให้เข้าศึกษาได้

สำหรับบรรยากาศตอนนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่ดี อยู่นอกเมืองอยู่ห่างไกลจากย่านความเจริญแถบลอสแอนเจลิสถึงประมาณ 45 นาที ทำให้เราซึมซับบรรยากาศการใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างเต็มที่ ได้ใช้ชีวิตนักเรียนที่เหมาะสม ไม่ต้องอยู่กับแสงสีเสียง 

ที่สำคัญในย่านดังกล่าวเป็นจุดที่มีสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง 5 แห่งอยู่ในย่านใกล้ ๆ กัน ซึ่งแต่ละแห่งมีนักเรียนประมาณ 2-3 พันคน ซึ่งเป็นจำนวนที่กำลังเหมาะสม และถือว่าเป็น Ivy League of the west หรือกลุ่มของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของสหรัฐอเมริกา ในย่านดังกล่าวอีกด้วย

ผมจำได้ว่าการตั้งชื่อถนนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อถนนอาทิ Cornell, Harvard, Yale เป็นต้น โดยถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่น่ารักและอบอุ่น ซึ่งในช่วงนั้นที่ผมได้เข้าไปศึกษาถือว่ายังเป็นเด็กอยู่ อายุประมาณ 22 ปี รู้สึกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่ดีอบอุ่น รู้สึกถึงความเป็นครอบครัว ที่เราสามารถเข้าถึงศาสตราจารย์ คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ได้เต็มที่ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี และความอบอุ่นนี้ทำให้เราปรับตัวได้ในตอนเรียนอย่างดีมาก ๆ

จากการหารือกับคณาจารย์ที่มาพบในวันนี้ก็เล็งเห็นว่า อยากให้มีการส่งเสริมนักเรียน-นักศึกษาไทยไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศมากขึ้น ผมเชื่อว่า ชื่อเสียงของ Claremont Graduateโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน MBA ที่มีสำนักของ Peter F Drucker ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านการจัดการบริหารองค์กรธุรกิจสมัยใหม่ ที่มีชื่อเสียงมาก ผมเชื่อว่าที่สถาบันแห่งนี้จะผลักดันนักเรียนได้อย่างดียิ่ง

ด้าน นาง Michelle Bligh ตำแหน่ง Executive Vice President Claremont Graduate University ระบุว่าเรามีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงมากมายทั่วโลก ประมาณ 24,000 คน แต่เห็นได้ชัดว่าการทำงานของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) เป็นการทำงานที่ยอดเยี่ยม เขากำลังแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่เราต้องการให้บัณฑิตของเราทุกคนมีในจุดนี้ คือในเรื่องของการตอบแทนสังคม และนั่นคือความสำคัญของรางวัล the president’s award of service

ซึ่งพวกเรารู้สึกภาคภูมิใจในนายกฯ เศรษฐา ที่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการขับเคลื่อน เปลี่ยนแปลงสังคม และถือเป็นผู้นำระดับโลก ในการพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราภาคภูมิใจมาก และเราภูมิใจกับนักเรียนไทยที่ได้ศึกษาที่ Claremont Graduate University ทุกท่าน

จากนั้น นายเศรษฐา เปิดเผยอีกครั้งว่า ดีใจและเป็นเกียรติมาก ๆ ที่ได้รับรางวัล President’s Award of Service จาก Claremont Graduate University และตนจะตั้งใจทำงานในหน้าที่นายกฯ ให้ดีที่สุด ให้ควรค่าแก่รางวัลที่ได้รับจากมหาวิทยาลัย และคู่ควรกับโอกาสที่ได้มาทำงานเพื่อพี่น้องคนไทยทุกคน

‘ปลอดประสพ’ กร้าว!! “กินทับลาน มีเรื่องกับผมแน่นอน” ร่วม #Saveทับลาน ค้านจัดสรรเป็นที่ดิน สปก.

“กินทับลาน มีเรื่องกับผมแน่นอน”

นี่เป็นประโยคที่ ‘ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี’ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ได้เขียนและโพสต์ลงในแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก พร้อมข้อความต่อมาว่า…

“รูปนี้ถ่ายที่อุทยานแห่งชาติทับลานเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ที่พกปืนเพราะกำลังมีเรื่อง ตอนนี้มีคนจะมาเอาทับลานอีกแล้ว ขอย้ำว่า อธิบดีกรมป่าไม้คนแรกที่ไปจับกุมการบุกรุกทับลานเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วชื่อปลอดประสพนะครับ ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนความคิดแน่นอน สงสัยคราวนี้จะต้องอาสาคุณประวัติศาสตร์ หัวหน้าอุทยานทับลานซึ่งเป็นลูกน้องเก่า ไปช่วยเฝ้าอีกเสียแล้ว”

นี้เป็นการประกาศจุดยืนชัดเจนของคนในพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับการถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน 265,000 ไร่ ไปจัดสรรเป็น สปก.

คงหลับตาเห็นภาพเก่า ๆ ของปลอดประสพ ทั้งดุดัน และจริงจัง และเป็นคนคิดเปลี่ยนเครื่องแบบของข้าราชการกรมป่าไม้ อีกภาพที่จำได้ คือการยืนบนหัวเรือไล่ล่าจระเข้ หลุดจากฟาร์มเลี้ยง

พ้นจากข้าราชการประจำ ปลอดประสพก็กระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองในนามพรรคไทยรักไทยในยุคก่อตั้ง ในยุคทักษิณ ชินวัตร เรืองอำนาจ เมื่อไทยรักไทยถูกยุบ ก็แปลงร่างมาเป็นพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

แม้นการเพิกถอนพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติทับลานไม่ได้ริเริ่มขึ้นจากรัฐบาลเพื่อไทย ที่มีเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็ไม่ได้คัดค้าน แถมยังเดินหน้าต่อไป นายกฯ เศรษฐาเป็นคนให้สัมภาษณ์เองด้วยซ้ำว่าจะเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 

เป็นการประกาศเดินหน้าท่ามกลางเสียงค้านอื้ออึงทั้งในสื่อกระแสหลัก และในสื่อโซเชียล ที่ติด #saveทับลาน พร้อมรณรงค์ให้ร่วมกันลงชื่อคัดค้านการถอนป่าทับลาน

ไม่ใช่เป็นการคัดค้านเพราะรักและหวงแหนในผืนป่าอย่างเดียว แต่ยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่ดินที่นำไปจัดสรรเป็น สปก.นั้น จะตกถึงมือเกษตรกรจริงหรือ หรือจะตกไปอยู่ในมือของนายทุนกันแน่

ขอบคุณคุณปลอดประสพที่รักษาจุดยืนไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นแนวทางของรัฐบาลที่มาจากพรรคเดียวกันก็ตาม

'รวมไทยสร้างชาติ' ยัน!! ไม่รับร่าง ‘สื่อลามกเสรี’ พร้อมจี้หน่วยงานเกี่ยวข้อง กวดขันสื่อลามกผิด กม.

(10 ก.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ ในฐานะรองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า ในการประชุมในวันนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติและนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ได้ร่วมประชุม 

ทั้งนี้ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้จะมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติหลายฉบับ โดยที่ประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติ ดังนี้...

ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการห้ามทำร้ายร่างกายบุตรหลานและห้ามกลั่นแกล้งที่แสดงผ่านคำพูด (Bully) กับบุตรหลานในการเลี้ยงดูและสั่งสอนนั้น ที่ประชุมพรรคฯ มีความเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายหลายฉบับ อีกทั้งเกรงว่าจะไปละเมิดสิทธิเสรีภาพในครัวเรือนของผู้ปกครองที่มีความเป็นส่วนตัวในครัวเรือน ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเพิ่มเติม

นายพงศ์พล กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่สำคัญในการประชุม คือ การเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่มีสาระสำคัญคือการให้สื่อลามกที่มีนักแสดงอายุมากกว่า 20 ปีให้ถูกกฎหมาย ในที่ประชุม สส.พรรครวมไทยสร้างชาติล้วนแสดงความคิดเห็นในทิศทางเดียวกันคือไม่เห็นด้วย โดยทางพรรคฯ มีความเห็นว่า กรณีสื่อลามกในประเทศไทยถือว่าเป็นปัญหามาอย่างยาวนาน การทําให้สื่อลามกถูกกฎหมายจะเป็นจุดที่ยิ่งทำให้มีสื่อลามกผลิตเยอะมากขึ้น ทางพรรครวมไทย มีข้อเสนอแนะว่า ต้องเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้เอาจริงเอาจังกับการกวดขันสื่อลามกซึ่งผิดกฎหมาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีของประเทศ 

นอกจากนี้ทางพรรคจะมีการเสนอญัตติด่วน เกี่ยวกับการหาแนวทางการบริหารจัดการการดับเพลิงจากกรณีศึกษาเยาวราช เพื่อให้เกิดแผนปฏิบัติการในตลาด ชุมชนเก่าแก่ที่มีกระจายอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศเป็นการวางแผนแก้ไขปัญหาเชิงรุก เพื่อสร้างความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชนถึงความมั่นคงปลอดภัยในครัวเรือน

ทั้งนี้ ในที่ประชุมของทางพรรคยังได้มีการแสดงความเห็นถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติอื่น ๆ เช่น ร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ,ร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ค้างจากการพิจารณาในสัปดาห์ที่ผ่านมา 

‘กลุ่ม Clean Politic’ เดินหน้าฟ้อง ‘กกต.’ เอาผิดมาตรา 157 เหตุจัดการเลือกตั้ง ’สว.‘ มีมลทิน จ่อเอาใบแดงไปมอบให้พรุ่งนี้

(10 ก.ค.67) นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ เลขาธิการกลุ่ม Clean Politic เปิดเผยว่า ตนในฐานะอดีตผู้สมัคร สว.คนหนึ่ง และได้รับผลกระทบจากการจัดเลือก สว.ที่ผ่านมา เป็นการเลือกที่มีข้อครหามากมาย มีเรื่องร้องเรียนผ่าน กกต.กว่า 700 เรื่อง มีคนร้องเรียนผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน ตนเองไปร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้ไต่สวนฉุกเฉินและคุ้มครองการรับรองผลการเลือกของ กกต.

“ถ้าพิจารณากันอย่างใช้สามัญสำนึกธรรมดา การเลือก สว.ครั้งนี้ ไม่บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย ผมจึงเดินหน้าฟ้อง กกต.ฐานผิดมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”

โดยในวันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม เวลา 10.00 น. ตนจะเดินทางไปยังสำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการ อาคาร B เพื่อเอาใบแดงไปมอบให้ กกต.พร้อมกับข้อเรียกร้องให้อดีตผู้สมัคร สว.ทั่วประเทศมอบใบแดงให้กับ กกต.ด้วยการเดินหน้าฟ้อง กกต.ตาม ม.157 เหตุจัดการเลือกตั้งมีมลทิน ในการลงสมัคร ผู้สมัครเชื่อว่า กกต.จะจัดการเลือกให้บริสุทธิ์ โปร่งใส เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย กกต.ก็เคยออกมาบอกว่ารู้ข้อมูลทุกอย่าง จ้องจะฟันโน้นฟันนี้ แต่สุดท้ายไร้น้ำยาเหมือนเดิม เหมือนการจัดเลือกตั้ง สส.คนรู้กันทั้งประเทศว่ามีการซื้อเสียงทุกหย่อมหญ้า แต่ กกต.ไร้น้ำยา ทำอะไรใครไม่ได้เลย ปล่อย สส.มีมลทินเข้าไปเต็มสภา

นายจาตุรันต์ กล่าวอีกว่า การเลือก สว.ก็เหมือนกัน สุดท้ายได้ สว.ที่หนีไม่พ้นบ่วงกรรมวงจรอุบาทว์จากการเมือง ได้คนที่เชื่อมโยงกับกลุ่มก้อนทางการเมือง บางคนก็ไม่ใช่ตัวแทนของกลุ่มอาชีพที่แท้จริง

“กกต.เองก็พอจะรู้บ้างว่าอะไรเป็นอะไร การประชุมเพื่อพิจารณารับรองผลการเลือก สว.ถึงสองวัน จึงยังไม่กล้ามีมติออกมา ต้องให้ฝ่ายสำนักงานไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาชี้แจงอีก” นายจาตุรันต์ กล่าว

'สส.เพื่อไทย-ปทุมธานี' ลั่น!! ถูกกล่าวหารีดส่วยรถบรรทุก แจง!! ปชช. เดือดร้อนจากการบรรทุกดิน จึงลงไปตรวจสอบ

(9 ก.ค.67) นายมนัสนันท์ หลีนวรัตน์ สส.เพื่อไทย ปทุมธานี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่มีการแชร์คลิปสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตน ในประเด็นส่วนรถบรรทุก โดยระบุว่า…

จากกรณีที่มีการแชร์คลิปที่มีเนื้อหาไม่ครบถ้วนทั้งเหตุการณ์ จงใจสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผม 

1.เหตุการณ์ในคลิปดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลา 23:47 น. วันที่ 11 มีนาคม 2567 

2.ก่อนหน้านี้ทางผู้ใหญ่บ้าน ทางเทศบาล และผม ในฐานะ สส.ปทุมธานี ได้รับการร้องเรียนทางวาจา และเป็นลายลักษณ์อักษรจากประชาชนในพื้นที่ ประมาณ 30 ราย ว่าได้รับความเดือดร้อนจากการบรรทุกดิน ทั้งผลกระทบจากฝุ่นละออง เสียงดังรบกวน และแรงสั่นสะเทือน จนทำให้บ้านเรือนประชาชนมีรอยแตกร้าว ชำรุดเสียหาย สร้างความเดือดร้อนรำคาญใจ ไม่สามารถนอนหลับพักผ่อนได้ 

3.ผมในฐานะตัวแทนพี่น้องประชาชนชาว จ.ปทุมธานี ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุ พร้อมผู้ใหญ่บ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งโทรศัพท์สอบถามข้อมูลไปยังนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ซึ่งเป็นบิดาว่าพื้นที่คลองหก ได้มีการขออนุญาตให้มีการบรรทุกดินหรือไม่ ซึ่งพบว่า ‘มีการขออนุญาตบรรทุกดิน’ แต่เป็นการกระทำการในยามวิกาล สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน อาจเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้

4.ต่อมาในวันที่ 12 มีนาคม 2567 กลุ่มคนดังกล่าวหยุดดำเนินการ พร้อมขนย้ายอุปกรณ์ออกจากพื้นที่ทั้งหมด 

5.คลิปที่มีการเผยแพร่นั้น ‘ถูกนำเสนอแค่บางช่วงบางตอน’ ในแคปชัน ยังมีการตั้งคำถามเชิงกล่าวหาว่า มีการรีดไถเงินหรือไม่ ซึ่งไม่เป็นความจริง คลิปดังกล่าวจงใจบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิดให้กับสังคม

หากไม่ยุติการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จดังกล่าว ผมจะขอใช้สิทธิดำเนินการตามกฎหมาย และขอเรียกร้องให้ผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลนี้ หยุดการกระทำดังกล่าวด้วยครับ 🙏

‘เศรษฐา’ ชี้!! ปมพื้นที่ ‘ทับลาน’ เป็นมติจากรัฐบาลก่อนใต้ปีก 'บิ๊กป้อม' แต่ยืนยัน!! นายทุนจะถือสิทธิ์ไม่ได้ ทุกอย่างต้องเดินตามกฎหมาย

(9 ก.ค.67) ณ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีปัญหาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนในอุทยานแห่งชาติทับลาน ในเรื่องพื้นที่อนุรักษ์กับพื้นที่ทำกินของประชาชน ว่า เรื่องนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้ชี้แจงไปแล้ว ตนคงไม่มีอะไรนอกจากจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นมติจากรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เคยกำกับดูแล เป็นเรื่องของสำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ที่ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

“สิ่งสำคัญต้องรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องประชาชนก่อนจะมีการเพิกถอน ซึ่งมีหลายกระบวนการที่จะต้องดำเนินการตามกระบวนการกฎหมาย และนำเสนอ ครม.ต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามว่าสังคมอ่อนไหวกับข่าวที่มีนายทุนเข้าไปครอบครองพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว นายกฯ กล่าวว่า ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย หากจะมาทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ ตนเข้าใจว่าพื้นที่ทับลานมีประชาชนที่เข้าไปอยู่กันอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าจำเป็นต้องยกเลิกมติครม.ปี 2566 หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มี อยู่ระหว่างการศึกษา ต้องดูให้ครบขั้นตอนก่อน และเรื่องของ One Map ก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาตรงนี้ด้วย

แอบทำกันเงียบๆ เอาป่าสงวนอุทยานทับลาน เข้าโครงการ One Map แน่ใจได้อย่างไร ว่าที่ดินจะตกถึงมือเกษตรกร ไม่ไปอยู่ในมือนายทุน?

จากกรณีที่ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช บอกว่ายินดีรับฟังเสียงของประชาชน กรณี มติครม. จะเอาป่าสงวนอุทยานแห่งชาติทับลาน 265,286 ไร่ มาเข้าโครงการ One Map และยกที่ดินเข้าสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (สปก.) นั้น

หากลงในรายละเอียดแล้ว โครงการ One Map มีเป้าหมายให้ทุกส่วนราชการใช้แผนที่เดียวกันในการแก้ปัญหาข้อโต้แย้ง ที่เดิมต่างฝ่ายต่างมีแผนที่ของตัวเอง ซึ่งน่าจะเป็นผลดี แต่ในทางปฏิบัติเมื่อไปยึดสัดส่วน 1:4000 จึงก่อให้เกิดปัญหามีที่ดินเหลือ จึงจะยกให้ สปก.ไปจัดสรรให้เกษตรกรทำกิน 

แต่จะแน่ใจได้อย่างไร ว่าที่ดินจะตกถึงมือเกษตรกร ไม่ไปอยู่ในมือของนายทุน?

ในวงประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่ดินก็ตั้งข้อกังวลเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังจะเดินหน้าเพิกถอนพื้นที่บางส่วนของอุทยานแห่งชาติทับลาน เอาไปให้แจกจ่ายกัน

ประเด็นข้อสงสัยทำไมต้องยึดสัดส่วน 1:4000 เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าจะทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ไป 265,000 ไร่ ซึ่งตามหลักวิชาการ ต้องมีพื้นที่ป่าไม่น้อยกว่า 25% เมื่อหลายปีก่อนพบว่า เรามีพื้นที่ป่าไม่ถึง 18% เวลาผ่านมาหลายปี ไม่รู้ว่าเวลานี้เรามีพื้นที่ป่าเหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์ 

เราจึงไม่ควรสูญเสียพื้นที่ป่าไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มีเพียบจะร่วมกันรณรงค์ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า รณรงค์ให้ปลูกป่าเพิ่มขึ้น แต่ผู้ดูแลป่ากลับจะยกพื้นที่ป่าให้เอาไปทำลายกัน เป็นเรื่องที่คนไทยรับไม่ได้ และไม่ต้องอ้างว่า ต้นเรื่องมาจากรัฐบาลก่อน ถ้าไม่เห็นชอบก็ยกเลิกได้ แค่มติ ครม.

น่าแปลกใจว่าเรื่องนี้ ‘แอบทำกันเงียบ ๆ’ มาโผล่เป็นข่าวเมื่อต้องทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นของประชาชน เสียงค้านจึงอื้ออึงขึ้นพร้อมกันทั้งประเทศ ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะเอาพื้นป่าที่ดีที่สุดของชาติ ไปพัฒนาแบบผิด ๆ ป่าทับลานมีพื้นที่รวมกันถึง 1,398,000 ไร่ รัฐบาลจะเอาไปใช้ในชุดแรก 18.59%

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มรดกโลกกำลังถูกคุกคามครั้งใหญ่ ประชาชนเริ่มออกมาปกป้องกันแล้ว ถ้าไม่ออกมาอาจจะสายเกินแก้ ผลงาน สปก.ที่นายทุนเอามาทำรีสอร์ท กว่า 400 แห่งยังไม่สามารถรื้อถอนได้ทั้ง ๆที่มีคำสั่งศาลให้รื้อถอนแล้ว นี่คือการสะสมปัญหาใหม่ชัด ๆ

จากความพยายามให้ต่างชาติสามารถเช่าที่ดินไทยได้ถึง 99 ปีและยังจะให้ต่างชาติถือครองคอนโด ได้อีก 75% เรื่องนี้ยังไม่จบ จะมาเอามาทับลานไปพัฒนาอีกแล้วจะพัฒนาอะไรกันนักหนา ขยันผิดปกติไปหรือเปล่า?

ทรัพยากรป่าไม้ของเรา เหลือน้อยเต็มทีแล้ว อย่าให้ใครมาทำลายอีกเลย หาวิธีการแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นเถอะครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top