Sunday, 1 June 2025
POLITICS NEWS

'อนุทิน' สั่ง!! ‘กรมการปกครอง’ จัดการเด็ดขาด หากพบขบวนการขึ้นโฆษณา 'ขายพาสปอร์ตผิดกฎหมาย'

(24 ก.ค. 67) ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) ถนนพระราม 6 กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีป้ายโฆษณาทำพาสปอร์ตหลายสัญชาติ ที่มีกระแสข่าวเบื้องหลังขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า การสอบสวนเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งขณะนี้การตำตรวจสอบก็เป็นไปตามขั้นตอน เมื่อวานได้มอบนโยบายให้กรมการปกครอง ว่าป้ายลักษณะเช่นนี้ได้มีการตั้งมาตรฐานแล้ว หากเป็นป้ายโฆษณาให้ไปทำพาสปอร์ตของประเทศใดก็ตามถือว่าผิด ประเทศไทยไม่ใช่เป็นที่ที่ใครจะมาอยู่แล้วทำสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ใช่ว่าไม่ได้ขายพาสปอร์ตไทยแล้วจะไม่ผิด เรื่องนี้ถือเป็นสามัญสำนึกที่ต้องรู้ว่าพาสปอร์ตไม่สามารถขายได้ และเมื่อรู้ว่าการกระทำนั้นผิดก็ต้องหยุดเสีย นั่นคือสิ่งที่เราได้ดำเนินการไปแล้ว

เมื่อถามว่า มีมาตรการอย่างไรในการรายงานผลความคืบหน้าความเคลื่อนคดีป้ายดังกล่าว นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานอยู่แล้วมองว่า ขณะนี้คงไม่ต้องรายงานแล้ว เพราะได้ไล่ปลดป้ายลงทั้งหมดแล้ว แต่ไม่พอแค่นั้น กรมการปกครองที่มีภารกิจเกี่ยวข้องในการออกวีซ่า และการตรวจคนเข้าเมืองของต่างชาติที่มาอยู่ในประเทศไทย ต้องไปร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบสวนถึงขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือเครือข่ายอะไรที่ทำเช่นนี้อยู่หรือไม่นั้น หากทราบที่มาก็ให้ไปกำจัดแค่นั้น

"อย่าไปใส่ความเครียดอะไรมาก ๆ ให้กับสังคม ให้กับประชาชน เรื่องบางเรื่องเมื่อเราไปจัดการก็จะจบไป" นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่า คนส่วนใหญ่กลัวว่าไทยจะเป็นมณฑลไท่กั๋ว เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของจีน นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่หรอก ประเทศไทยเรามีอธิปไตย อย่างที่ตนเคยบอกไป เราไม่รังเกียจคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยที่ทำถูกต้องตามกฎหมาย ตามสัมมาอาชีพ ซึ่งดีซะอีก เพราะบางอาชีพได้ขายของเอารายได้เข้าประเทศ พวกเราทุกคนก็เป็นต่างชาติทั้งนั้น

"ท่านชาดา ต่างชาติไหมล่ะ ก๋งผม อาม่าผม ก็คนต่างชาติทั้งนั้น ทุกคนก็ทำตามครรลอง มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และสร้างเนื้อสร้างตัวในประเทศไทย ถ้าใครทำผิดกฎหมายก็คงอยู่เมืองไทยไม่ได้ ก็แค่นั้นเอง" รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย กล่าว

'ทนายเคน' เอือม!! ใครได้อันดับดีกว่า 'นันทนา-อังคณา' เลวหมด ต้องเลือก 'พวกเจ๊' เท่านั้นหรือไม่ จึงจะเรียกว่า 'อิสระ'

(24 ก.ค. 67) นายณรงค์ ประดับสุข หรือ ทนายเคน อดีตผู้สมัคร สส.จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณี น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แสดงความไม่พอใจผลการเลือกประธานวุฒิสภา ว่า

ในวันที่มีการเลือกตั้ง สว. ระดับประเทศ รอบสุดท้าย ซึ่งพอประกาศผลคะแนนออกมา ‘เจ๊’ ได้อันดับที่ ๘ ของกลุ่ม ก็ออกมาแสดงความเห็นออกสื่อด้วยการด้อยค่า ว่าที่ สว.ท่านอื่น (ขณะนั้น) ว่า " ..จะร้องให้ กกต.ตรวจสอบคนที่ได้คะแนนอันดับที่ ๑-๗ ของทุกกลุ่มว่ามีการ 'ฮั้ว' คะแนนกัน.." เสมือนประมาณว่า คนอื่นที่ได้อันดับดีกว่าตนนั้น ‘เลวหมด’ ฉันดีเลิศประเสริฐศรีคนเดียว...!!!

ด้อยค่าคนอื่น แล้วใครจะเลือกให้เจ๊เป็นประธานวุฒิสภา ละครับ 555+
#สรุปแล้ว_พันธุ์ใหม่_คือพันธุ์อะไร ..???

และได้โพสต์ตอบโต้ นางอังคณา นีละไพจิตร สว. ที่ให้สัมภาษณ์ว่า “วันนี้ทำให้เห็นชัดเลยว่า วุฒิสภาไม่มีความเป็นอิสระจริงๆ” 

ต้องเลือก ‘พวกเจ๊’ เท่านั้น จึงจะเป็น ‘อิสระ’...??
#ตรรกะเดียวกับ_สส_บางพรรคเปี๊ยบเลย

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ย้ำจุดยืนพรรค ปมแก้ 'กฎหมายห้ามตีเด็ก' ใช้ทางสายกลาง-ทำโทษตามสมควร ส่ง 'จุติ' อดีต รมต.พม. ร่วม กมธ.

(24 ก.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.จังหวัดราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงมติการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า ในวันที่ 24 - 25 กรกฎาคม 2567 จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประเด็นที่สำคัญ คือ การแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  ซึ่งสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับการทำโทษเด็กและเยาวชน

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า เรื่องการทำโทษเด็กและเยาวชน โดยการตี เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ฉะนั้นกฎหมายฉบับนี้ถือว่าเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญและควรพิจารณาอย่างละเอียดและถี่ถ้วน

ร่าง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว จะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความปลอดภัยในร่างกายและจิตใจ แต่การห้ามอย่างเด็ดขาดนั้น ต้องใช้วิจารณญาณในทางปฏิบัติ เนื่องด้วยสังคมไทยยังมีความเชื่อมาอย่างยาวนานในอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน หากกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร จะมีการสั่งสอนและลงโทษโดยการตีเพื่อย้ำเตือนให้บุตรหลานอยู่ในกรอบความถูกต้อง ซึ่งในหลักการแล้วจะต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน

ดังนั้น การแก้ไข ร่าง พ.ร.บ. ควรยึดหลักทางสายกลาง คือ การลงโทษเพื่อสั่งสอนพอสมควรแก่เหตุ ไม่ลงโทษแบบทารุณกรรม หรือเป็นการทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง ต้องมีการสร้างวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมในการเลี้ยงดูบุตรหลานให้เข้ากับยุคสมัยและสอดคล้องกับบริบทของโลกในปัจจุบัน

เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นไปด้วยความรอบคอบ รับฟังความเห็นอย่างรอบด้านทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ลงมติ ส่งตัวแทน 3 ท่าน เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการในการพิจารณา ได้แก่...

1. นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อของพรรค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านการบริหารกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่หน้าที่ในการดูแลสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน 

2. ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ บุคลากรของพรรคที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเด็ก เยาวชน และสตรี

3. บุคคลภายนอกพรรคที่อยู่ในองค์กรเด็กและเยาวชนซึ่งทำกิจกรรมในการปกป้องเด็กและเยาวชนจากความรุนแรง อีกทั้งมีประสบการณ์ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน

"พรรครวมไทยสร้างชาติให้ความสำคัญ ใน ร่าง พ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเรื่องเด็กและเยาวชน ถือเป็นนโยบายหลักของพรรค ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้มีศักยภาพสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และเพิ่มขีดความสามารถของเยาวชนไปสู่ระดับนานาชาติ" นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

คนรัก 'ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์' ส้มจะขนานนามว่า 'สลิ่ม' คนรักพ่อแม่-เคารพครู ส้มก็จะว่าเป็นพวก 'ดัดจริต'

สังคมไทยเดินไปสู่ 'จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ' ก็ในวันที่มี 'พรรคการเมืองล้มสถาบัน' โผล่เข้ามาก่อความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองเรา ใครที่ปากบอกรักชาติ รักสถาบัน หรือมีศาสนาให้ยึดเหนี่ยว เข้าวัด เข้าวา กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะถูก 'พวกไร้ราก' เรียกขานเราว่าเป็น 'สลิ่ม' 

'สลิ่ม' ที่แสนจะโง่เขลา ยอมเป็นเถ้าธุลีที่กระจายอยู่ใต้ตีนสถาบันเบื้องสูงที่ 'คนสีส้ม' เกลียดชัง 

สังคมไทยได้เดินมาถึงวันที่มีกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย และคนรุ่นเก่าที่เบาหวิวทางสามัญสำนึก ต้องการหาที่ยืนด้วยการหลงลืมรากเหง้าและโอกาสที่ได้เกิด อยู่ เติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทย เสาะแสวงหาแต่สิ่งใหม่ แต่ขาดการพิจารณาไตร่ตรองว่าที่ชูคอคิดจะล้มร่มเงาของชาติอยู่นั้น มีดีอย่างไรถึงคิดไกลจะอาจเอื้อมทำลายสิ่งที่ทำให้ 'ไทยเป็นไทย' ล้มหายไปจากแผ่นดินทอง

มันก็แค่แก๊งเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่มีความกตัญญูต่อสถาบัน มองไม่เห็นถึงความปลอดภัยที่คนไทยสักคนได้รับจากการได้ชื่อว่ามีสถาบันพระมหากษัตริย์คอยปกป้องดูแล และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งชาติ

ทุกวันนี้ ใครที่บอกรักพ่อ รักแม่ แสดงความเคารพครูบาอาจารย์ ยังถูกพวก 'เดนมนุษย์' เหล่านี้ เหน็บกัดว่าเป็นพวก 'ดัดจริต' เรียกว่าทำอะไรที่แสดงออกถึงความรัก ความซื่อสัตย์ การยกย่องยินดีต่อผู้มีพระคุณ จะต้องถูก 'มนุษย์สายพันธุ์อกตัญญู' กัดเซาะ เยาะหยันเป็นทุกที 

ไม่ผิด เรากำลังอยู่ในประเทศไทยที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว นานหลายปีแล้ว แต่ที่เหล่าคนโฉดเหล่านี้ยังรบไม่ชนะ นั่นเพราะเรายังมีประชาชนที่ 'คิดเป็น' อาศัยอยู่มากมายในแผ่นดินชาติของเรา 

รักกันไว้ให้มากเพื่อนเอ๋ย เรากำลังสู้อยู่กับพวกไร้ราก ไม่รู้จักคำว่าบุญคุณของชาติ และไม่รู้แม้กระทั่ง 'แกรนด์สปอร์ต' เป็นแบรนด์ของคนไทยมานานเกิน 60 ปี 

ถ้าวันข้างหน้าคนขี้หมาแบบนี้ใหญ่โตได้ในบ้านเรา เราจะมีเรื่องให้อับอายชาวโลกไม่เว้นวัน 

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' หนุน 'อนุทิน' สั่งตรวจสอบป้ายจีน 'ขายพาสปอร์ต-สัญชาติ' ชี้!! แรงงานจีนผิดกฎหมายฯ ทะลัก หวั่น!! กระทบคนไทยในภาคอุตสาหกรรม

(22 ก.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึง กรณีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ภาษาจีน มีข้อความเข้าข่ายโฆษณาขายพาสปอร์ต และ ขายสัญชาติโดยติดตั้งอยู่บริเวณแยกห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

ตนในฐานะประธาน กมธ. อุตสาหกรรม ได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจำนวนมาก ในขณะนี้มีผู้ประกอบการจากจีนมาตั้งกิจการในประเทศไทย มีการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก จากการโฆษณาขายพาสปอร์ต และ ขายสัญชาติประเทศ ภาษาจีนในย่านกลางเมืองเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่ามีขบวนการคนจีนในการทำผิดกฎหมายเรื่องคนต่างชาติที่จะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจริง โดยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและที่สำคัญแรงงานผิดกฎหมายจากจีนจะยิ่งไหลเข้ามาในประเทศซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบวิชาชีพรวมถึงแรงงานไทย

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยได้เปิดฟรีวีซ่าไทย-จีน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา จะมีระยะเวลาพำนักแต่ละครั้งไม่เกิน 30 วัน และรวมระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในช่วงเวลา 180 วัน มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบกับแรงงานไทยและผู้ประกอบการสัญชาติไทยเป็นอย่างมาก มีคนจีนเข้ามาแย่งงานจากคนไทย โดยเฉพาะในวิชาชีพต้องห้ามตามกฎหมายแรงงานที่เป็นข้อควรระวัง ต้องฝากไปยัง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน ได้เร่งบูรณาการร่วมกัน เพื่อเป็นการเร่งแก้ไขปัญหานี้

"ผมในฐานะ ประธาน กมธ. การอุตสาหกรรม ขอสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ที่ได้สั่งการตรวจสอบป้ายโฆษณาดังกล่าวโดยเร็ว และสั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อสอบสวนหาขบวนการในการซื้อขายสัญชาติและหนังสือเดินทางดังกล่าว เพื่อหามาตรการในการปราบปรามและป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ถ้ารัฐบาลไม่รีบดำเนินการในตอนนี้เกรงว่าถ้าปล่อยไว้ในอนาคต ประเทศไทยจะเป็นแหล่งรวมขบวนอาชญากรรมข้ามชาติ และส่งผลกระทบกับคนไทยในหลายภาคส่วนอย่างแน่นอน" นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

‘อนาคตไกล’ เดินหน้าช่วยเกษตรกร รับซื้อ ‘ปลาหมอคางดำ’ เพื่อนำไปกำจัด อัดใส่ ‘พิธา-ก้าวไกล’ ชี้!! มีตรรกะวิบัติ ที่คิดจะมีคนนำไปเพาะเลี้ยง

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.67) ที่พรรคอนาคตไกล นายภวัต เชี่ยวชาญเรือ โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวว่า ปัญหาการรุกรานของปลาหมอคางดำชื่อสามัญ Blackchin tilapia ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron Ruppell ปลาชนิดนี้สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ทำให้เจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อระบบนิเวศ สร้างความเดือดร้อนเสียหายเป็นวงกว้างให้กับเกษตรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมง

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกประกาศเรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 ห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ หากผู้ใดฝ่าฝืนทำการเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ มีความผิดตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ตามมาตรา 144 ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และหากนำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ  

ล่าสุด นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงออกประกาศกรมประมง เรื่อง ประชาสัมพันธ์ห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ ลงวันที่ 19กรกฎาคม 2567 โดยกรมประมงอยู่ระหว่างดำเนินการ ควบคุมกำจัดไม่ให้ปลาชนิดนี้ แพร่ขยายและเป็นการลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและลดความเดือดร้อนต่อเกษตรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมง จึงได้ประชาสัมพันธ์ต่อพี่น้องประชาชนห้ามทำการเพาะเลี้ยงและนำปลาหมอคางดำไปปล่อยในแหล่งน้ำอย่างเด็ดขาด

นายภวัต กล่าวต่อว่า พรรคอนาคตไกลพร้อมคณะทำงานได้เล็งเห็นความสำคัญและได้ติดตามปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ของประเทศ โดยให้ความสำคัญแก่พี่น้องเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและเดือดร้อนเสียหายจากแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่เกิดจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยเร่งด่วน ได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเปิดรับซื้อปลาหมอคางดำที่ตายแล้วที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยรับซื้อในกิโลกรัมละ 20 บาท จำนวน 20 ตัน เพื่อนำไปกำจัดทำลายหรือแปรรูปเป็นอาหารสัตว์หรือหมักทำลายปุ๋ยจุลินทรีย์ชีวภาพ โดยประสานที่ศูนย์ช่วยเหลือพรรคอนาคตไกล เบอร์โทรศัพท์ 081 226 5599

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกลและสส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลได้ให้สัมภาษณ์โดย ติงรัฐบาล คิดให้ดี แก้ปัญหาปลาหมอคางดำระบาดด้วยการรับซื้อ หวั่นคนเพาะเลี้ยงมากขึ้น นายภวัค โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวว่า ปลาหมอคางดำ เป็นสัตว์น้ำที่เป็นอันตรายโดยสภาพต่อระบบนิเวศและสัตว์น้ำประเภทอื่นโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกประกาศเรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ.2564 เพราะเป็นสัตว์น้ำอันตรายที่ขึ้นทะเบียนควบคุม ห้ามนำเข้าและส่งออก รวมถึงห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำเพราะมีโทษจำคุกหรือปรับในอัตราสูง โดยอยู่ในการกำกับ ควบคุมโดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อพี่น้องประชาชนทราบถึงภัยของปลาหมอคางดำสายพันธ์ุเอเลี่ยนสปีชีส์หรือชนิดพันธ์ุต่างถิ่นที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา กินสัตว์น้ำชนิดอื่นในแหล่งน้ำธรรมชาติเดียวกัน ส่งผลให้ระบบนิเวศเสียหาย ประกอบกับ ปลาหมอคางดำไม่มีราคาซื้อขายในตลาดการแข่งขัน โอกาสการเพาะเลี้ยงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะดุลยภาพการตลาดและราคาไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีตลาดรับซื้อ อุปสงค์ต่อความต้องการปลาหมอคางดำในตลาดของประชาชนไม่เกิดขึ้น อุปทานการผลิตย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยเพราะมีความเสี่ยงถูกดำเนินคดีอาญาสูง

ส่วนที่นายพิธา ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เคยเห็นประเทศไหนทำ คือ การรับซื้อ เพราะจะทำให้เกิด Cobra Effect ยิ่งเปิดรับซื้อ คนอาจใช้โอกาสนี้เพาะเลี้ยงมากขึ้น ตนเห็นว่าเป็นการคาดคะเนและตรรกะวิบัติ เพราะปัญหาการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหนองน้ำ ลำคลอง แม่น้ำหรือทะเล ปลาชนิดนี้ทนต่อความเค็มได้สูง สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมของประเทศ กินทั้งพืช สัตว์หรือซากของสิ่งมีชีวิต และสามารถย่อยอาหารได้ดี ทำให้มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพน้ำจืด น้ำกร่อย หรือน้ำเค็ม

วิธีการแก้ปัญหาโดยการสร้างแรงจูงใจให้แก่พี่น้องประชาชนในการจับสัตว์น้ำ เป็นปัญหาจำเป็นเร่งด่วน โดยวิธีการรับซื้อเพื่อกำจัดทำลาย เพราะโดยสภาพปลาประเภทนี้ถือว่าเป็นวัตถุต้องห้ามและผิดกฎหมาย หากใครครอบครองเพาะเลี้ยงย่อมเป็นความผิด หากปลาหมอคางดำตายแล้ว จะต้องนำไปกำจัดหรือแปรรูป แต่ไม่ใช่นำไปให้พี่น้องประชาชนรับประทาน แต่สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์หรือปุ๋ยได้ ตรงนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญโดยกรมประมง รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายแก้ปัญหาโดยเปิดรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อกำจัด ในราคากิโลกรัมละ 15 บาท แก้ปัญหามาถูกช่องทางแล้ว

“พรรคอนาคตไกลโดยท่านหัวหน้าพรรค ดร.อภิสัณห์ ศรวัชรณัฏฐ์ พร้อมคณะทำงาน จึงได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือประชาชนโดยการรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อกำจัดทำลายอีกช่องทางหนึ่งเพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน” โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าว

‘อดีตสว.วันชัย’ ฟันธงชะตา ‘ทักษิณ’ หลังเดือนเกิด จะมีแต่ความยิ่งใหญ่ ชี้!! นี่คือกำลังเสริม เติมให้รัฐบาล ‘เปรี้ยงปร้าง’ อะไรก็รั้งฉุดไม่อยู่

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.67) นายวันชัย สอนศิริ อดีต สว. ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ...

ดวงคุณทักษิณ ชินวัตร กับราชาโชค คุณทักษิณเกิดวันที่ 26 ก.ค. 2492 เวลาก่อนเที่ยงตรงกับวันอังคารปีฉลู มีทั้งจันทร์เด่นและจันทร์ดับ มีทั้งคนรักคนเกลียด ตรงกับราศีเมษมีดาวพฤหัสกุมเกตุเป็นราชาโชค...ยังมีอีกหลายดวงดาวที่เกี่ยวพันกับดวงชะตา หลังจากเดือนเกิดต่อแต่นี้จะมีแต่แข็งและแรงขึ้น ยิ่งอยู่ในฐานของราชาโชค มีแต่โชคที่ยิ่งใหญ่ เคยดับอับแสงจะกลับมาสว่างไสวเจิดจ้าเป็นโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ไปสุด ๆ จะได้รับการยกย่องตามหลักโหราว่าเป็นปทุมเกณฑ์ ชนิดที่คิดและก็คาดไม่ถึง

จะปล่อยให้คุณเศรษฐา ทวีสิน และพลพรรคเพื่อไทยขับเคลื่อนอยู่เช่นนี้ ยังไม่มีผลงานใดที่โดนใจประชาชน ได้แต่เต้นแร้งเต้นกาไปวัน ๆ ประชาชนก็เห็นแต่ท่าแต่ทางไปเท่านั้น ที่จะชื่นชมนิยมยกย่องยังไม่มีเลย ขืนปล่อยไปเช่นนี้ทั้งเพื่อไทยทั้งครอบครัวทั้งตัวคุณทักษิณ ก็จะถูกจันทร์ดับอับแสงไปด้วย จะอยู่ในที่มืดต่อไปคงไม่ได้ จันทร์ต้องออกมาส่องหล้าด้วยตัวของคุณทักษิณเอง 

สถานการณ์นี้คุณทักษิณต้องออกมาขับเคลื่อนให้เห็นเด่นชัดแบบตรงไปตรงมา เพราะดาวพฤหัสและราชาโชคเปิดโอกาสให้แล้ว ไม่ขยับตอนนี้แล้วจะไปขยับตอนไหน... ดูจากดวงดาวจึงต้องเป็นคุณทักษิณ ชินวัตร... ส่วนจะบริหารจัดการกับอำนาจอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จะต้องตัดสินใจกันเองให้เกิดความพอดีพอเหมาะ ร่วมมือร่วมใจ รัฐบาลก็เดินไปได้ คุณทักษิณก็เป็นกำลังเสริมเติมให้เปรี้ยงปร้าง...ดาวพฤหัสและราชาโชค มาถูกที่ถูกเวลากับชะตาของเขา...อะไรก็รั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่

‘สส.เท่าพิภพ’ เสนอแก้กฎหมาย เพื่อปลดล็อก ‘หนังโป๊-เซ็กซ์ทอย’ ชี้!! นำมาทำ ‘ให้ถูกต้อง-ได้มาตรฐาน’ จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.67) นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กรุงเทพมหานคร เขต 22 พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.287 เพื่อปลดล็อกสื่อผู้ใหญ่ ของเล่นผู้ใหญ่ โดยระบุว่า ...

ปลดล็อกอุตสาหกรรมผู้ใหญ่ เปิดสภาถกเถียง ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.287 ปลดล็อกสื่อผู้ใหญ่ ของเล่นผู้ใหญ่ ยันมีการควบคุมอยู่ ย้ำไม่ได้เสรี 

‘ร่างดังกล่าวมีการแก้ไขเพียงมาตรา 287 มาตราเดียว’ ซึ่งปัจจุบันห้ามสื่อลามก และของเล่นผู้ใหญ่ แบบ Total Ban ซึ่งผมได้แก้ไขใหม่ดังนี้

1. สื่อชนิดต่าง ๆ ให้กระทำได้ แต่ห้ามให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี และต้องไม่มีเนื้อหารุนแรง เช่น ฉากข่มขืน ใช้กำลัง เป็นต้น

2. ปลดล็อกของเล่นผู้ใหญ่ เพื่อที่จะให้มาตรฐานทางอุตสาหกรรม (มอก.) และองค์การอาหารและยา (อย.) สามารถออกประกาศมาควบคุมมาตรฐานได้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ และลักลอบ

ผมทราบดีคนส่วนใหญ่ในลานทัวร์ในคอมเมนต์หรือรีพลายคงไม่ได้อ่านมาถึงตรงนี้ แต่ถึงอย่างไรผมก็พร้อมน้อมรับ คำวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของเนื้อหาทางกฎหมาย และมุมมองอื่น ๆ

ส่วนตัวผมไม่ได้เป็นคนที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากสิ่งที่ผมจะปลดล็อก แต่ผมเองในฐานะผู้แทนราษฎรผู้มีหน้าที่ผลักเพดาน ความคิด และขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า คิดว่าการนำเสนอประเด็นนี้เป็นการที่ทำให้สังคมไทยได้เรียนรู้ซึ่งกันแล้วกัน ร่วมกันหาทางออกประเทศด้วยการถกเถียงอย่างตรงไปตรงมา ไม่ดัดจริตผ่านกลไกประชาธิปไตย และกลไกสภา

เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะอยากเห็นเหล่าเยาวชนเข้าถึงสื่อลามกง่ายขึ้น แต่อยากยกเรื่องนี้ขึ้นบนดิน เพื่อให้สิ่งนี้อยู่ในแสงสว่าง สามารถพูดถึงได้ วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบได้ตามครรลองเสียที เป็นทั้งประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจ ทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่สามารถควบคุมเนื้อหาได้ ความปลอดภัยของประชาชน

อยากเชิญชวนให้ทุกคนติดตามการพิจารณากฎหมายนี้ที่จะเข้าสภาไม่เกินสัปดาห์ สองสัปดาห์นี้ ฝากแสดงความคิดเห็นถกเถียงกันได้เต็มที่ครับ

‘พีระพันธุ์’ นักการเมืองผู้พยายามรักษาคำพูด 'ค่าไฟฟ้า' ยังคงที่ ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง

ปัญหาราคาพลังงานเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสสำหรับสังคมบ้านเรามาก ๆ เพราะเราต้องนำเข้าพลังงานเรียกว่า 'แทบทุกชนิด' แม้แต่การผลิตกระแสไฟฟ้าก็ต้องนำเข้า LNG เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าจนทุกวันนี้ การผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงหลัก เพราะแต่ก่อนใช้ถ่านหินซึ่งเคยเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ต่อมาเมื่อมีการใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าในบ้านเราได้ใช้ LNG จากแหล่งอ่าวไทยและเมียนมา 

ปัจจุบันปริมาณ LNG จากแหล่งอ่าวไทยมีปริมาณลดลงเรื่อย ๆ ทั้งเมียนมาเองก็มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในจนอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการจ่าย LNG เข้ามาในประเทศไทยได้ จึงต้องเพิ่มการนำเข้า LNG จากประเทศผู้ผลิตทั่วโลก แต่เมื่อเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนขึ้น ประเทศสมาชิกองค์การ NATO ซึ่งเคยนำเข้า LNG จากรัสเซียเพื่อใช้เป็นพลังงานในครัวเรือน ยกเลิกการซื้อ LNG จากรัสเซีย จึงทำให้ LNG ในแหล่งผลิตต่าง ๆ มีราคาพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่นั้นมา 

การที่ราคา LNG ในตลาดโลกราคาพุ่งสูงขี้นนั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อการกำหนดราคาค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะค่า Ft (Fuel Adjustment Charge (at the given time)) ซึ่งใช้ในการคำนวนเพื่อปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ เป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่การไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจะเป็นผู้พิจารณาปรับค่า Ft ทุก 4 เดือน แต่จนถึงทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ที่กำหนดราคาค่ากระแสไฟฟ้า 

คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. อันเป็นคณะบุคคลจำนวน 7 คน (ประธานฯ 1 คน กรรมการ 6 คน ซึ่งได้รับการคัดสรรและได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง) ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน อันหมายถึง กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการระบบโครงข่ายพลังงาน ดังนั้นการพิจารณาปรับขึ้นหรือลดอัตราค่าไฟฟ้าจึงไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานแต่อย่างใด นับตั้งแต่ ‘รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าตำแหน่งในรัฐบาลชุดนี้เมื่อ 1 กันยายน 2566 สิ่งที่ 'รองพีร์' ใช้ความพยายามมากที่สุดคือ 'การใช้กลไกและมาตรการต่าง ๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่ของกระทรวงพลังงานในการทำให้ราคาต้นทุนพลังงานที่นำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าลดลงให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดไม่ให้กระทบต่อค่า Ft ซึ่งจะทำให้สามารถตรีงหรือลดค่า Ft ได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทยให้ได้มากที่สุด'

ดังนั้น จึงทำให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. สามารถปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้ารอบเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม 2566 ในอัตรา 4.45 บาทต่อหน่วย ลงเหลือในอัตรา 4.10 บาทต่อหน่วย และในต่อมาเป็นอัตรา 4.18 บาทต่อหน่วยจนกระทั่งปัจจุบัน และเมื่อ 19 กรกฎาคม 2567 ‘รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เชิญประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และประธานคณะกรรมการบมจ. ปตท. (PTT) มาร่วมกันหารือกรณีค่าไฟฟ้างวดใหม่ กันยายน - ธันวาคม 2567 สืบเนื่องจากการที่กกพ.มีมติให้ขึ้นค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 6 บาทกว่า การหารือได้ข้อยุติที่จะตรึงค่าไฟงวดใหม่ไว้ในอัตรา 4.18 บาทต่อหน่วยตามเดิม โดยปตท.จะไม่รับเงินตอบแทนใด ๆ จากค่าไฟฟ้างวดนี้เลย เพื่อเป็นการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทย

โดยที่การช่วยเหลือพี่ประชาชนคนไทยนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าไฟฟ้าหรือราคาน้ำมัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงพลังงานเพียงหน่วยงานเดียว แต่กระทรวงพลังงานต้องประสานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงจะประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่มีเครื่องมือ โดยเฉพาะกฎหมายที่จะช่วยในการดำเนินการำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซทั้ง LPG และ LNG ถูกลง อีกทั้งรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่มีเชื้อเพลิงสำรองในมือเลย เพราะการสำรองเชื้อเพลิงเป็นเรื่องของเอกชนผู้ค้าน้ำมัน จึงทำให้ภาครัฐไร้ซึ่งอำนาจในการต่อรองใด ๆ กับภาคเอกชน ซึ่งหากมีการสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR) เกิดขึ้นแล้ว กระทรวงพลังงานก็จะถือครองเชื้อเพลิงที่เพียงพอต่อการใช้งานในประเทศได้ถึง 50-90 วัน ปริมาณน้ำมันสำรองจำนวนดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ภาครัฐสามารถต่อรองและถ่วงดุลระบบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้ เพราะเชื้อเพลิงที่สำรองใน SPR จะมีการจำหน่ายหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ภาครัฐจึงรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาเชื้อเพลิงทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG และ LNG ที่นำเข้ามาในประเทศได้โดยตลอด

การตรึงหรือลดค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง นับว่าเป็นภารกิจที่ยากมาก ๆ แต่ ‘รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ก็ทำด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ และเต็มใจ แม้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ง่ายเลย และอาจจะขัดผลประโยชน์ของคนบางพวกบางกลุ่ม จึงต้องใช้เวลาดำเนินการในทุกส่วนที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้เป็นการดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ตามความต้องการอันเร่งด่วนของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

‘ลิณธิภรณ์’ เผย ‘เศรษฐา’ มาแรงขึ้นนำอันดับ 1 ผลโพล ‘ไลน์ทูเดย์’  สะท้อน!! ปชช.เห็นผลงานรัฐ ใช้งบกลางแก้ปัญหาได้ตรงจุด 

(21 ก.ค.67) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้รับคะแนนความนิยมเป็นอันดับ 1 ของนักการเมือง ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2567 ซึ่งสำรวจโดยไลน์ทูเดย์ (LINE TODAY) จำนวน 8,742 คะแนน คิดเป็น 40.12% ว่า คะแนนนิยมนี้สะท้อนว่าประชาชนเห็นและสัมผัสได้ถึงผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นในการทำงานของรัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา ซึ่งสามารถจัดตั้งรัฐบาล นำพาประเทศพ้นภาวะสุญญากาศหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุด จนเข้าบริหารโดยปราศจากกฎหมายงบประมาณที่ล่าช้ามาแต่เดิม โดยยึดหลักสอบถามหารือ สั่งการ และติดตามต่อเนื่อง ก่อนที่จะมีการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ยิ่งเมื่องบประมาณ 2567 ได้รับการอนุมัติ อาทิ งบกลางในวงเงิน 7.6 พันล้าน ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รับมือน้ำท่วมปี 2567 และน้ำแล้งปี 2568 และวงเงินกว่า 272 ล้านบาท แก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน ลดฝุ่น PM2.5 ทั้งหมดมีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือ และบรรเทาความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างตรงจุด จนประชาชนสัมผัสได้ และสะท้อนผ่านคะแนนความนิยมในวันนี้

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ตนในฐานะ สส.พรรค พท. ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล นอกจากจะขอแสดงความยินดีแล้ว ต้องขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลไม่หยุดอยู่เท่านี้ แต่ต้องต่อยอดความสำเร็จต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่เตรียมจะเปิดให้ลงทะเบียน 1 สิงหาคมนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ทั้งระบบต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับผลโพลครั้งนี้ซึ่งมีผู้ตอบจำนวนมากและผ่านการยืนยันตัวตนที่แท้จริง คือกระจกสะท้อนหัวใจประชาชนที่ยอมรับผลงานรัฐบาลตั้งแต่ยังไม่ครบปีแรก และพร้อมสนับสนุนนายเศรษฐา ถือธงนำประเทศ ดำเนินนโยบายต่อไปให้สำเร็จ ในฐานะนักการเมืองที่ 1 ในใจคนไทยขณะนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top