Tuesday, 3 June 2025
POLITICS NEWS

‘วัน อยู่บำรุง’ ฉะ ‘สนธิ’ อย่าโม้เยอะ หลังลั่นในรายการเคยให้ 500 ล้านบาท ‘เฉลิม อยู่บำรุง’

(31 ก.ค. 67) นายวัน อยู่บำรุง สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า "ด้วยความเคารพ คุณลุงสนธิ ลิ้มทองกุล คุยทุกเรื่องกับสนธิ #อย่าโม้เยอะ"

ทั้งนี้โพสต์ของนายวัน สืบเนื่องจากนายสนธิ พูดในรายการ สนธิเล่าเรื่อง ทำนองว่า "ช่วงที่ผมมีเงินมาก เฉลิมอยากขยายพรรค มาขอเงินผม ผมหาเงินสด ๆ ให้เกือบ 500 ล้านบาท

ให้ตายเลยไปถามเฉลิมได้ถ้าผมโกหกให้ผมฉิบหาย และถ้าเฉลิมพูดไม่จริงขอให้เฉลิมตายวันรุ่งขึ้นเลย พอถึงวันเลือกตั้งนึกว่าเฉลิมจะได้สส. อย่างน้อยสัก 5-6 คน ปรากฏว่าเหลือหนึ่งคนเหมือนเดิม..."

ภัยคุกคามไทย ใต้เงื้อมมือพรรค 'กลิ้งกลอก-หลอกเด็ก-ย้อนแย้ง' อันตรายเหนือภัยอื่นจาก 'ก๊วนนักการเมืองสายล้มล้างสถาบัน'

ตั้งแต่ผมเกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทยจนอายุแตะเลข 5 ยังไม่เคยเจอนักการเมืองที่กล้าเปิดหน้าเป็นปฏิปักษ์ และเดินหน้ากระทำชั่วช้ากับสถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่รักของคนไทยได้เท่ากับนักการเมืองของพรรคสีส้มเลย 

อดีตที่ผ่านมา ถ้าจะมีนักการเมืองสักคนแหลมออกมาในทางดูหมิ่นสถาบัน ก็มักจะเป็นไปในเชิงไม่ตั้งใจ พลั้งเผลอ ไม่รอบคอบในคำพูด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และนานทีจะโผล่มาให้เห็นแค่คนสองคนก็หายเงียบไปนานจนลืม แต่จะไม่มีการแสดงออกในทางถ่อย ลามปาม จาบจ้วง หรือจริงจังถึงขั้นร่วมสมคบคิดกับต่างชาติหวังล้มล้างการปกครองไทย และเมื่อถูกจับได้ถึงขึ้นโรงขึ้นศาลจนโดนคดี 112 ก็จะพลิกลิ้น ตลบตะแลงว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นหาใช่การคิดไม่ดีกับสถาบัน แต่เพื่อเจตนาดี หวังให้สถาบันไปได้ดีกับความเป็นอยู่ของคนไทย 

คงมีแต่สมองในระดับ 'เกินควาย' เท่านั้นที่ยังเชื่อฝังชีพ บอดสนิททั้งสายตายันหัวใจ 

ทุกการกระทำของพรรคสีส้ม ซึ่งเป็นสีเดียวกับเปลวเพลิงระอุในขุมนรก ไม่เคยกล้าหาญยอมรับต่อการกระทำของตัวเองแบบแมน ๆ สักครั้งเดียว เป็นต้องดิ้นหลบเร้นให้ตัวเองดูดีราวกับว่าประชาชน 'นอก 14 ล้านเสียง' ที่ไม่ได้เขลา บาป และหลงของใหม่นั้นกินหญ้าแทนข้าว การกระทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ที่ทำกันเป็นขบวนการหวังล้มล้างสถาบันกษัตริย์ฉายภาพความน่ารังเกียจ ปนความชั่วช้าที่ซุกซ่อนอยู่ในใจจนหมดสิ้น 

ถ้าจะต้องถูกศาลสั่งยุบพรรค เพราะการกระทำเลว ๆ ของตนเองก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ถึงไม่ถูกยุบพรรคด้วยเหตุผลของศาล ก็ไม่ได้หมายความว่านักการเมืองที่กระหายการล้มล้างการปกครองเช่นนี้จะหลุดรอด 'ภาพลักษณ์เลว ๆ' นี้ไปได้เลย

คนไทยที่ไม่กตัญญูต่อสถาบันกษัตริย์ ผมพอจะเข้าใจได้ แต่คนไทยที่ถึงขนาดคิดล้มล้างการปกครองสถาบันกษัตริย์ ก็คือ คนไทยที่เนรคุณต่อแผ่นดินชาติของตัวเอง

เจองูพิษ เจอตำรวจชั่ว และเจอโจร พร้อม ๆ กับเจอนักการเมืองที่อกตัญญูต่อสถาบัน บางคนอาจจะเลือกตีงูพิษ ต่อยตำรวจชั่ว หรือกระทืบโจรก็ตามแต่ 

แต่สำหรับผมไม่มีสิ่งใดจะน่ารังเกียจและเป็นอันตรายไปกว่า...'นักการเมืองที่คิดล้มล้างสถาบัน'

คนจำพวกนี้อยู่ไปก็รกแผ่นดิน

'ลอรี่ รวมไทยสร้างชาติ' เผยเหตุผล 4 ข้อสำคัญ ไม่หนุนนิรโทษกรรม ม.112 ชี้!! ขัดแย้งหลักปรองดอง-เสี่ยงทำผิดซ้ำ แนะ!! ขออภัยโทษเป็นรายกรณี

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้เปิดเผย ผลการศึกษาของคณะ กมธ.นิรโทษกรรม ตลอดการประชุม19 สัปดาห์ว่า

ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 3 ท่าน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ที่จะไม่เห็นชอบให้มีการรวมนิรโทษกรรมคดี ม.112 และ ม.110 ได้แก่ นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส. ชุมพร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ, นายเจือ ราชสีห์ กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ และนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกคณะกรรมาธิการ

นายพงศ์พล กล่าวสรุปว่า ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นด้วยที่จะรวมคดีอ่อนไหวทางการเมืองอย่าง ม.112, ม.110  ในการนิรโทษกรรม ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้

1. ปัญหาเชิงคุณภาพ ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตั้งต้น ที่จะต้องการสร้างความปรองดองสังคม เพราะอาจเป็นการสร้างความขัดแย้งครั้งใหม่

2. ปัญหาเชิงปริมาณ ในแง่ของจำนวนคดีม.112 คิดเป็นจำนวนน้อย ไม่ถึง 2% เทียบกับคดีทั้งหมด แต่อาจทำให้การนิรโทษกรรมคดีที่เหลือ 98% มีปัญหาได้

3. กระทำผิดซ้ำ มีโอกาสในการกระทำผิดซ้ำสูง หลังการได้รับนิรโทษกรรม ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมถอย

4. คดีลักษณะเฉพาะ คดีม.112, 110 เป็นคดีลักษณะเฉพาะพิเศษ ไม่สามารถแก้โดยนิรโทษกรรมได้ คล้ายกับความผิดต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คดีม.135 ควรให้เป็นการพระราชทานอภัยโทษเป็นรายกรณีไป

คณะกรรมาธิการฯ ศึกษาแนวทางทางการตราพรบ.นิรโทษกรรม คดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ได้มีมติสุดท้าย ใช้กระบวนการ 'ผสมผสาน' นิรโทษกรรมโดยกรอบกฎหมาย ร่วมกับการมีคณะกรรมการ คอยวินิจฉัยและอุทธรณ์ 

ความเห็นคณะ กมธ.นิรโทษกรรม แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง โดยเป็นการบันทึกความเห็นอย่างมีอิสระ ไม่มีการโหวต

ผลความเห็นล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 67 จากคณะ กมธ.นิรโทษกรรม 36 ท่าน ไม่รวมประธาน 1 ท่าน และคณะกรรมาธิการถอนตัว 1 ท่าน เหลือ จำนวน 34 เสียง ดังนี้

-  ไม่นิรโทษ 112 จำนวน 13เสียง
-  นิรโทษ 112 จำนวน 3 เสียง
-  นิรโทษ 112 โดยห้ามกระทำผิดซ้ำ จำนวน 12 เสียง 

“โดยผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ เตรียมยื่นให้ประธานสภาฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาบรรจุเข้าในวาระการประชุมสภา ในลำดับต่อไป ฝากถึงพี่น้องคนไทยที่รักสถาบัน และเชื่อมั่นในความถูกต้อง ติดตามเรื่องนี้ไปด้วยกันอย่างใกล้ชิด” นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

อ่านเกม 'ทักษิณ' พยัคฆ์ติดเทอร์โบ บนผังอำนาจใหม่ ในวันที่ 'นายใหญ่' ไม่เหนือกว่า 'ครูใหญ่' อีกแล้ว

ต้องบันทึกไว้ในปฏิทินการเมืองว่าวันที่ 26 ก.ค.2567 วันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 75 ปี ย่างสู่ปีที่ 76 ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย หากย้อนคิดย้อนมองต้องบอกว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจไม่น้อย...

ทักษิณถูกรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.2549 ขณะไปประชุมยูเอ็นที่สหรัฐฯ ข้ออ้างหลักของรัฐประหารคือ รัฐบาลทุจริต-คุกคามสถาบัน...แทรกแซงองค์กรอิสระ ทักษิณต้องระเหเร่ร่อนอยู่ร่วมปีครึ่ง กระทั่ง 28 ก.พ.2551 ได้กลับบ้านมากราบแผ่นดินช่วง สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่ ก.ค.2551 ก่อนศาลฎีกานักการเมืองจะตัดสินคดีที่ดินรัชดา 'ทักษิณ' รู้แกวว่าจะติดคุก ขอเดินทางไปต่างประเทศดูกีฬาโอลิมปิก 'ปักกิ่งเกมส์' แล้วไม่กลับมาอีกเลย ตะลอนร่อนเร่เป็นสัมภเวสีอยู่ร่วม 17 ปี ถูกตัดสินคดีทุจริตอีก 3 คดี กระทั่งได้เดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อ 22 ส.ค.2566 เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อรับโทษ แต่ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงก็อ้างป่วยหนักไปนอนพักที่ รพ.ตำรวจ จากนั้นทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี...

นอนพักรักษาตัวจนได้รับฉายา 'นักโทษเทวดา' กระทั่ง 18 ก.พ.2567 ได้รับการพักโทษ ไม่ปรากฏอาการป่วยอีก กระทั่ง 26 ก.ค.2567 จัดงานฉลองวันเกิดครบรอบ 75 ปี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวชินวัตร (75 no place like home)

จากนี้นับถอยหลังไปวันที่ 22 ส.ค.จะถึงวันพ้นโทษ  ได้รับใบบริสุทธิ์ หรือใบสุทธิจากกรมราชทัณฑ์...คาดว่าทักษิณน่าจะเป็นพยัคฆ์ติดเทอร์โบ

ก่อนถึงวันคล้ายวันเกิด 26 ก.ค.ทักษิณไปพักผ่อนสังสรรค์และออกรอบที่รีสอร์ต-สนามกอล์ฟของ อนุทิน ชาญวีรกูล Rancho Charnvee Resort and Country Club ปากช่อง พร้อมนักการเมืองและเจ้าสัวพลังงานอย่าง สารัชถ์ รัตนาวดี เมื่อ19-20 ก.ค. 

หลังจากนั้นวันที่ 24 ก.ค.ซีอีโอของคิงส์ พาวเวอร์  อัยยวัฒน์ เปิดโรงแรมพูลแมน ย่านซอยรางน้ำ เลี้ยงวันเกิดล่วงหน้าให้อีกงาน ตามด้วยค่ำ 25 ก.ค.พบว่าบรรดาเจ้าสัว-นักการเมืองรัฐมนตรีไปร่วมกันจัดเลี้ยงล่วงหน้าให้อีกงานที่โรงแรมยูสาทร...มีเจ้าสัวพลังงานไปปรากฏตัวด้วย...

ทั้งหลายทั้งปวงก็เพียงต้องการบันทึกปรากฏการณ์นี้ไว้...

ที่จะวิเคราะห์ขีดเส้นใต้หมายเหตุไว้สั้น ๆ ณ โอกาสนี้มีเพียงว่า...ภายใต้ปรากฏการณ์นี้ดูเหมือนเส้นทางของ 'นายใหญ่' จะรื่นรมย์สมปรารถนาแทบทุกอย่าง แต่โดยแท้จริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่...

ด่านสำคัญยิ่งคือ ลุ้นระทึกว่า 14 ส.ค.ที่จะถึง 'เศรษฐา ทวีสิน' จะหลุดจากตำแหน่งหรือไม่...ถ้าหลุดว้าวุ่น...งานเข้าแน่นอน เพราะโอกาสที่เกมจะไหลไปถึงอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ นั้นมีค่อนข้างสูง ด้วยเหตุข้อจำกัดของ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร...หรือแม้กระทั่ง ชัยเกษม นิติสิริ...สองแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย

การบุกถ้ำ 'หนู อนุทิน' เมื่อ 19-20 ก.ค. จึงเป็นเกมเหนือชั้นเผื่อเหลือเผื่อขาดของทักษิณ แสดงให้เห็นถึงความแนบแน่นกับอนุทิน 'ลูกน้องเก่า'...ไม่ว่าอนุทินจะขึ้นเป็นนายกฯ หรือไม่ ทักษิณก็โชว์ให้เห็นว่าเป็นหนึ่งเดียวกับอนุทิน...

แต่ลึกลงไป...ทักษิณรู้ดีว่า เหนืออนุทินยังมี เนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่แห่งขั้วอำนาจสีน้ำเงิน ที่ว่ากันว่า...สามารถสถาปนาสภาสูงชุดใหม่ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด...ชนิดที่ 'ทักษิณ' เห็นแล้วแทบจะเป็นลม...

และอาจจะเป็นลมแบบไม่รู้ตัว หากได้ไปชมงานสุดสัปดาห์มหามงคลที่บุรีรัมย์ งานแสงสีเสียงอลังการ  บทบรรเลงของวงดนตรีซิมโฟนีออร์เคสตร้า กระหึ่ม...

ต้องฟันธงตั้งเอาไว้ตรงนี้เพื่อมาอธิบายขยายความในโอกาสต่อไปว่า...วันนี้ดุลอำนาจของขั้วน้ำเงินนั้นเริ่มเหนือกว่าขั้วแดงจันทร์ส่องหล้า ที่เหลือเพียงจำนวน สส.ที่มากกว่า และยังเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น เพราะหากกางผังอำนาจอย่างอื่น  รวมทั้งสภาสูงที่มีอำนาจพิเศษในการจัด วางองค์กรอิสระ...ต้องบอกว่าวันนี้ 'นายใหญ่' ไม่เหนือกว่า 'ครูใหญ่' อีกแล้ว...

นี่คือ ปฐมเหตุทำให้นายใหญ่...เล่นเกมถอย...ประนอมอำนาจกับขั้วน้ำเงิน...เพื่อซื้อเวลา ตั้งหลักแล้วรุกต่อบนกระดานอำนาจที่ไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว - ทราบแล้วเปลี่ยน!!

ความสัมพันธ์ 'ไทย-ซาอุดีอาระเบีย' กลับคืนปกติ-แน่นแฟ้นกว่าเก่า เพราะประเทศไทยเรา มีผู้นำชื่อ 'ลุงตู่' ที่ส่งไม้ต่อไปสู่ 'พีระพันธุ์'

ในอดีตไทยและซาอุดีอาระเบียเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การเมือง สังคม และวัฒนธรรม 

อย่างไรก็ตามภายหลังเหตุการณ์ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซาอุดีอาระเบีย ในปี 2532 และต่อเนื่องถึงปี 2533 ซึ่งเกิดขึ้นในไทย จากกรณีฆาตกรรมนักการทูตซาอุดีอาระเบีย ลักลอบขโมยเพชรของสมาชิกราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียโดยคนงานชาวไทย และคดีอุ้มฆ่าอัล-รูไวลี่ หนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์อัล-สะอุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียนั้น ได้นำมาซึ่งการระงับความสัมพันธ์ปกติเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี 

ผลลัพธ์บังเกิด!! ทำให้เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกันต้องหยุดชะงักลงตั้งแต่นั้นเรื่อยมา เพียงแต่ในช่วงดังกล่าว ไทยและซาอุดีอาระเบีย ก็ยังคงมีการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนทางอ้อมผ่านประเทศที่สามบ้าง ทำให้ไทยยังคงมีความน่าเชื่อถือพอเหลืออยู่ในหมู่ชาวซาอุดีอาระเบียบางพวกบางกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม จากการออกแบบและจัดการโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030 (Saudi Vision 2030) ของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันอย่างเดียวของประเทศ และเป็นการเพิ่มช่องทางการหารายได้ทางเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ซาอุดีอาระเบียต้องเปิดประเทศมากขึ้น และแสวงหาโอกาสในการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งต้องสร้างพันธมิตรใหม่และผูกมิตรกับประเทศต่าง ๆ มากกว่าเดิม

แน่นอนว่า ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ซาอุดีอาระเบียมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ แต่กระนั้น กว่า 30 ปี ของการระงับความสัมพันธ์ปกติระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียนั้น ก็ถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคดังกล่าว แม้รัฐบาลไทยทุกชุดทุกสมัยตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นจะพยายามหาทางรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียให้กลับคืนมาเป็นปกติ แต่ก็ไม่ประสบผล

ฉะนั้น การเกิดโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030 ขึ้น และซาอุดีอาระเบียก็ต้องการหาความร่วมมือกับประเทศใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อรองรับโครงการดังกล่าว แสงแห่งการสานสัมพันธ์อย่างแท้จริงของสองประเทศจึงเกิดขึ้นแบบจริงจัง ภายใต้ 'รัฐบาลลุงตู่'

วันแห่งประวัติศาสตร์!! เมื่อวันที่ 25-26 มกราคม 2565 ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และคณะผู้แทนระดับสูง ได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถือเป็นการเริ่มต้นเปิดศักราชความสัมพันธ์ปกติระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียอีกครั้งหนึ่ง 

‘ลุงตู่’ ได้เข้าเฝ้าฯ และพบหารือกับองค์มกุฎราชกุมาร โดยผู้นำทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้กลับสู่ระดับปกติอย่างสมบูรณ์ อันเป็นผลสืบเนื่องจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาอย่างยาวนาน 

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการดำเนินการภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระยะแรก และการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคี รวมถึงได้หารือการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อรื้อฟื้นความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ อีกทั้งมีการยืนยันความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรอบต่าง ๆ ตลอดจนการประกาศการสนับสนุนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo 2030 ของซาอุดีอาระเบีย

และในปีเดียวกันนั้นเอง ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายน เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ก็ยังได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของ ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยถือเป็นการเสด็จฯ เยือนไทยครั้งแรกในระดับราชวงศ์และระดับผู้นำของซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของ ‘ลุงตู่’ และการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้กลับสู่ระดับปกติอย่างสมบูรณ์ 

โดยในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท อีกด้วย ซึ่งการเข้าเฝ้าฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างพระบรมวงศานุวงศ์ของทั้งสองประเทศ

หากได้สังเกตโดยละเอียดแล้วจะพบว่า ผู้นำของซาอุดีอาระเบียได้แสดงออกถึงความชื่นชมและประทับใจในการวางตัวของ ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น ซึ่งมีบุคลิกท่าทางที่สุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตน ตลอดจนการแสดงออกถึงความยกย่องนับถือผู้นำของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทรงเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและสมาชิกสำคัญของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียด้วย กอปรกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือราชาธิปไตยเต็มรูปแบบ 

ดังนั้นสมาชิกของรัฐบาลส่วนใหญ่ จึงเป็นสมาชิกของราชวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีบทบาทนำทั้งในรัฐบาลและราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียชุดปัจจุบัน เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรี

ความชื่นชมและประทับใจดังกล่าวได้ส่งผลถึงความสัมพันธ์และมิตรภาพอันดียิ่ง และถูกส่งต่อมายัง ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้เคยเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีของ ‘ลุงตู่’ โดย ‘พีระพันธุ์’ ได้นำคณะข้าราชการและผู้เกี่ยวข้องกับกิจการพลังงานของไทยไปเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 15-17 กรกฎาคมที่ผ่านมา 

โดยฝ่ายซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนำโดยเจ้าชาย Abdulaziz bin Salman Al Saud รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับคณะของ ‘พีระพันธุ์’ เป็นอย่างดียิ่ง ทั้งได้จัดเครื่องบินพิเศษให้ ‘พีระพันธุ์’ และคณะได้ไปเยี่ยมชมการทำงานของ ‘Saudi Aramco’ บริษัทพลังงาน (มหาชน) อันดับหนึ่งของโลก ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ เมือง Dhahran จังหวัดตะวันออก (Eastern Province) 

ว่ากันว่า...สัมพันธ์อันดีของสองประเทศที่เกิดขึ้นได้นี้ ส่วนสำคัญมาจากการแสดงออกถึงความเป็นไทยของ ทั้ง 'ลุงตู่' และ 'ลุงพี' อันประกอบด้วย รอยยิ้ม ความสุภาพ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การแสดงออกถึงความยกย่องนับถือ ให้เกียรติ และจริงใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษ อันเป็นทั้งเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของคนไทยที่สร้างความชื่นชมและประทับใจให้กับชาวต่างชาติมากมาย 

สิ่งเหล่านี้ถือเป็น Soft Power ของประชาชนคนไทยโดยธรรมชาติ และเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งที่สังคมไทยต้องสืบทอดและรักษาไว้ให้อยู่คู่บ้านเมืองตลอดไป

'เพจดัง' เปิดไทม์ไลน์ 'สส.ไอซ์-ก้าวไกล' ปล่อยไก่หมดเล้า ล่าสุดโวยฝาท่อสูงเกินถนน ทั้งที่เขตยังก่อสร้างไม่เสร็จ

(30 ก.ค.67) เพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง' โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

#ทุกคนคะ ไก่หมดเล้า กับไอซ์ รักชนก

#ไก่ตัวแรก ทำหนังสือเอาหน้าขอให้งดแต่งชุดลูกเสือ ทั้ง ๆ ที่ กทม. ได้ประกาศไว้ก่อนแล้ว

#ไก่ตัวสอง อภิปรายของบอุดหนุนเด็กในสภาใหญ่ ความจริงต้องไปขอที่สภา กทม.

#ไก่ตัวสาม ถ่ายรูปคู่กองขยะ หน้าปากซอย โวยวายลงโซเชียล ความจริงคือยังไม่ถึงเวลาเก็บ

#ไก่ตัวที่สี่ ล่าสุด ถ่ายรูปโวยวายฝาท่อสูงเกินถนน ความจริงคือ เขตยังก่อสร้างไม่เสร็จ ต้องมีการปรับพื้นถนนและฝาท่อให้เท่ากัน

ยังไม่นับเรื่องมารยาทในสภา เรื่องการนั่ง และท่าทางที่เหมือนสก๊อยเกรดล่าง ที่ออกมาขอโทษ บอกจะปรับปรุงตัวไม่รู้กี่รอบ

สมเป็น สส. คุณภาพ ตามมาตรฐานพรรคก้าวไกล และความภูมิใจของด้อมส้มจริง ๆ ค่ะ

‘ปลาหมอคางดำ’ กับ การรับมือสถานการณ์วิกฤต ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง กรมประมง ต้องหาความจริง!! ดำเนินการตามกฎหมาย กับผู้ที่สร้างความเสียหาย

(27 ก.ค.67) ปลาหมอคางดำ (Blackchin tilapia) หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Sarotherodon melanotheron Rüppell เป็น ปลาหมอ (ปลานิล) สายพันธุ์พื้นเมืองที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกตั้งแต่มอริเตเนียไปจนถึงแคเมอรูน มีสีค่อนข้างซีดแตกต่างกัน เช่น ฟ้าอ่อน ส้ม และเหลืองทอง โดยปกติจะมีจุดสีเข้มตรงคางของปลาที่โตเต็มวัย จึงถูกเรียกว่า ‘ปลาหมอคางดำ’

‘ปลาหมอคางดำ’ สามารถทนต่อความเค็มสูงได้ และพบได้มากในบริเวณป่าชายเลน และสามารถอพยพไปยังน้ำจืด เช่น ลำธารตอนล่าง และน้ำเค็ม ในแอฟริกาตะวันตก ปลาชนิดนี้จะอาศัยอยู่ใน ทะเลสาบ น้ำกร่อยและปากแม่น้ำเท่านั้น และพบมากในป่าชายเลน ซึ่งจะรวมฝูงกันและหากินเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าจะหากินในเวลากลางวันแต่ก็ไม่บ่อยนัก อาหารส่วนใหญ่จะเป็นหอยสองฝาและแพลงก์ตอนสัตว์ โดยจะกินอาหารด้วยการกัดกลืน 

การวางไข่จะเกิดขึ้นใกล้ชายฝั่งในน้ำตื้น ตัวเมียจะเกี้ยวพาราสีตัวผู้ ขุดหลุม และนำในการผสมพันธุ์ ในที่สุดตัวผู้จะตอบสนองในลักษณะค่อนข้างเฉื่อยชา แล้วคู่จะผสมพันธุ์กัน เป็นปลาที่ฟักไข่โดยใช้ปากของปลาตัวผู้ แต่ปลาตัวเมียสายพันธุ์หนึ่งในกานาก็สามารถฟักไข่โดยใช้ปากได้เช่นกัน ปัจจุบัน ‘ปลาหมอคางดำ’ ถูกจัดเป็นปลาพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive alien species) ในหลายพื้นที่อาทิ มลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ดูเหมือนว่า ‘ปลาหมอคางดำ’ จะถูกนำเข้ามาโดยอาศัยการลักลอบนำเข้าจากการค้าสัตว์น้ำ มีข้อสงสัยว่ามีการปล่อยปลาเหล่านี้โดยเจตนา ในบางพื้นที่พบ ‘ปลาหมอคางดำ’ คิดเป็น 90% ของค่าชีวมวลของปลาทั้งหมด ในมลรัฐฮาวายเรียกปลาชนิดว่า "ปลาหมอน้ำเค็ม" เนื่องจากปลาชนิดนี้สามารถอยู่รอดและขยายพันธุ์ได้ในน้ำทะเลได้ ตามเกาะต่าง ๆ จะพบ ‘ปลาหมอคางดำ’ บริเวณชายหาดและในทะเลสาบรอบเกาะโออาฮูและรวมถึงเกาะอื่น ๆ ด้วย ‘ปลาหมอคางดำ’ ถือเป็นศัตรูพืชในคลองและอ่างเก็บน้ำในฮาวาย เพราะขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

ฟิลิปปินส์ ซึ่งเรียกปลาชนิดนี้อย่างไม่เป็นทางการว่ากลอเรียหรือติลาเปียง อาร์โรโย ตามชื่อของอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย เนื่องจากปลาชนิดนี้มีขนาดเล็ก และมีเม็ดสีเข้มคล้ายไฝใต้ขากรรไกรล่าง ซึ่งคล้ายกับรูปร่างเตี้ยและไฝที่แก้มซ้ายของอดีตประธานาธิบดี เชื่อกันว่าในช่วงต้นปี 2015 มีลักลอบนำเข้า ‘ปลาหมอคางดำ’ เพื่อการค้า และแอบปล่อยสู่ธรรมชาติในแหล่งน้ำใกล้จังหวัดบาตานและบูลากัน ‘ปลาหมอคางดำ’ ถือเป็นภัยคุกคามต่อบ่อปลาเนื่องจากขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วและกินพื้นที่รุกล้ำปลาชนิดอื่นโดยเฉพาะปลากะพงเลี้ยง ถูกพบในอ่าวมะนิลาเช่นกัน

สำหรับบ้านเรา ‘ปลาหมอคางดำ’ กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงที่มีการกล่าวถึงในสังคมโซเชียล ปลาชนิดนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำเข้า ไม่ว่าการหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติจะเกิดจากใครก็ตาม กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่สืบสวนหาความจริง และดำเนินการตามกฎหมาย โดยการร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อเจ้าพนักงานเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้จะต้องมีผู้กระทำผิดที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งทางแพ่งและอาญา เนื่องจากพบการระบาดรุนแรงในหลายพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ผู้เลี้ยงปลาและกุ้งจำนวนมากได้รับความเสียหาย รัฐบาลโดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศว่าจะกำจัด ‘ปลาหมอคางดำ’ ให้หมดสิ้น โดยมาตรการการกำจัดอย่างหนึ่งคือ การปล่อยปลาล่าเหยื่อ เช่น ปลากะพงขาวสู่ธรรมชาติเพื่อควบคุมจำนวนประชากรของ ‘ปลาหมอคางดำ’ ซึ่งต้องติดตามผลการดำเนินการดังกล่าวต่อไป

สำหรับประเทศที่ประสบปัญหาลักษณะนี้มากที่สุดในโลกได้แก่ สหรัฐอเมริกา เพราะชาวอเมริกันจำนวนมากที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลกๆ สัตว์หายาก แต่เมื่อเบื่อหรือเลี้ยงไม่ไหวแล้วแทนที่จะกำจัดทิ้ง กลับแอบปล่อยสู่แหล่งธรรมชาติ ทำให้ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะมลรัฐฟลอริดา มีสัตว์พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานสัตว์พื้นถิ่นในระบบนิเวศอยู่มากมาย หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้คือ ‘สำนักงานบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ’(United States Fish and Wildlife Service : USFWS หรือ FWS) หน่วยงานรัฐบาลกลางในสังกัดกระทรวงมหาดไทย จึงมีมาตรการต่าง ๆ ที่มีความทันสมัยในการจัดการกับทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน ตัวอย่างของสัตว์พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในสหรัฐฯ ได้แก่ หอยแมลงภู่ Quagga และ Zebra สัตว์ฟันแทะ (Rodents) ปลาคาร์พหัวโต, สีเงิน, สีดำ และปลาคาร์พหญ้า (Bighead, Silver, Black และ Grass Carp) ซึ่งเป็นอันตรายต่อการประมง การพักผ่อนหย่อนใจ ฯลฯ โดยมูลค่าความเสียหายสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ปลาพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเหล่านี้เข้ายึดครองแหล่งที่อยู่อาศัยและคุกคามปลาสายพันธุ์พื้นเมือง และส่งผลกระทบต่อกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของชุมชนหลายแห่ง  

‘สำนักงานบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ’ จัดการกับปลาคาร์พพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเหล่านี้ โดยให้ผู้เชี่ยวชาญทำการวิจัยและให้ความช่วยเหลือด้านกลยุทธ์ ด้วยการพัฒนา “แผนการจัดการและการควบคุมสำหรับปลาคาร์ปหัวโต เงิน ปลาดำ และปลาคาร์พหญ้า ในสหรัฐอเมริกา” ซึ่งสามารถใช้เป็นพิมพ์เขียวระดับชาติในการจัดการปลาคาร์พพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานได้ ทั้งยังได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามที่เกิดจากช่วงชีวิตของปลาคาร์พพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในทุกช่วง (ไข่ ตัวอ่อน ลูกปลา และปลาตัวเต็มวัย) และปรับปรุงการตรวจจับตั้งแต่เนิ่น ๆ และมีกระบวนการตอบสนองที่รวดเร็ว

ปัญหาการระบาดของ ‘ปลาหมอคางดำ’ คนไทยทุกคนต่างมีส่วนเกี่ยวข้องได้รับผลกระทบทั้งสิ้น การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการระบุชนิดของสัตว์พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานจึงเป็นสิ่งสำคัญ การช่วยเหลือในการตรวจจับตั้งแต่เนิ่น ๆ การตอบสนองอย่างรวดเร็ว และความตระหนักรู้ของคนไทยทุกคนก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานระบาดแล้ว ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำจัดให้สิ้นซาก วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดจากสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานคือการป้องกันไม่ให้พวกมันเข้ามาในประเทศ เราท่านสามารถมีส่วนร่วมในการป้องกันสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานได้หลายวิธี อาทิ งดเว้นการเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ สัตว์หายาก แต่เมื่อเลี้ยงแล้วต้องระวังไม่ปล่อยให้พวกมันหลุดหนีไป เพราะสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานสามารถสร้างความเสียหายให้กับสัตว์พื้นเมืองและถิ่นที่อยู่ได้ เมื่อพวกมันหลบหนีหรือถูกปล่อยออกไป ต้องยอมมอบสัตว์เลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่สามารถดูแลมันได้อีกต่อไป ให้ทำอย่างมีความรับผิดชอบ แหล่งข้อมูลที่ดีเยี่ยมอื่น ๆ สำหรับวิธีป้องกันการแพร่กระจายของชนิดพันธุ์รุกราน 

กระบวนการในการจัดการตาม “แผนการจัดการและการควบคุมสำหรับปลาคาร์ปหัวโต เงิน ปลาดำ และปลาคาร์พหญ้า ในสหรัฐอเมริกา” ของ ‘สำนักงานบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ’ เป็นเรื่องที่กรมประมงสมควรได้เร่งนำมาพิจารณาและศึกษาเพื่อปรับใช้เป็นแนวทางและการปฏิบัติในการจัดการ การควบคุม และการกำจัด ‘ปลาหมอคางดำ’ ให้มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป

‘วันชัย’ ฟาดใส่ ‘เฉลิม’ น่าสมเพชเวทนา แก่หงำเหงอะ เลอะเลือน ชี้!! วันเวลาฆ่าแม้กระทั่ง ‘ดาวสภา-ขุนศึกฝั่งธน’ หมดคนเกรงกลัว

(27 ก.ค.67) นายวันชัย สอนศิริ อดีตสว. โพสต์ข้อความเรื่อง ‘อยู่ให้คนอิจฉา ดีกว่าอยู่อย่างน่าสงสาร’ ในเพจเฟซบุ๊กทนายวันชัย สอนศิริ เตือนสติ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย 

กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตอบโต้สั้น ๆ ‘สงสารเขา อายุเยอะแล้ว’ ระบุว่า นายทักษิณได้ตอบคำถามของนักข่าว ที่ถามถึงเรื่องร.ต.อ.เฉลิม ให้สัมภาษณ์และท้าดีเบตว่า ‘อย่าไปพูดถึงเขาเลย สงสารเขา ผมสงสารเขา เขาอายุเยอะแล้ว’ นั้นถ้าตนเป็นร.ต.อ.เฉลิม จะรู้สึกเจ็บจี๊ดเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจ ทะลุเข้าไปถึงตับไตไส้พุง เพราะคำพูดว่า สงสาร เขาอายุเยอะแล้ว มันเหมือนกับคำพูดที่ว่า สมเพชเวทนา แก่แล้ว หมดสภาพแล้ว ไม่อยากยุ่งด้วย ปล่อย ๆ เขาไปเถอะ

มีคำสั่งสอนที่พูดกันมานานว่า ต้องอยู่ให้คนอิจฉา อย่าอยู่อย่างน่าสงสาร หมายความว่าคนที่ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง มีฐานะมีตำแหน่ง มีเกียรติยศชื่อเสียง คนมักจะอิจฉาตาร้อนริษยานินทาว่ากล่าว น่าหมั่นไส้ แต่คนที่ยากจนข้นแค้นต้อยต่ำ ไม่มีฐานะตำแหน่งชื่อเสียงเกียรติยศ หมดสภาพ แก่หงำเหงอะ เลอะเลือน คนเขาก็จะสมเพชเวทนา ช่างน่าสงสารเสียจริง เป็นมนุษย์จึงต้องอยู่ให้คนอิจฉา อย่าให้คนสงสาร นายวันชัยระบุ

นายวันชัย ระบุต่อว่า คุณเฉลิม ออกมาคราวนี้ เสียงก็เหือดแห้ง แรงก็โหยหา น้ำยาก็หมด จะกระโชกโฮกฮากใส่ใครก็ไม่มีใครเกรงกลัว หลานอุ๊งอิ๊งก็ยังดีดออก คุณทักษิณก็บอกว่าสงสารเขา เขาอายุเยอะแล้ว คงไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรมากไปกว่านี้ วันเวลามันฆ่าทุกสิ่งทุกอย่าง ฆ่าแม้กระทั่งดาวสภา ขุนศึกฝั่งธน ฉลามและเฉลิม ผมละสงสารจับใจ ว่าง ๆ ไปกราบหลวงพ่อสัมฤทธิ์ประสิทธิโชค วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน บ้างก็จะดีนะ จะได้มีคนอิจฉา

‘สส.อัครเดช’ ชี้ ‘ค่าเช่าบ้านตำรวจชั้นประทวน’ ควรได้รับการดูแลจากรัฐบาล เพื่อสร้างตำรวจน้ำดี ลดเรียกรับส่วย ‘จุลพันธ์’ ตอบรับทันที มีแผนแก้ปัญหาแล้ว

(27 ก.ค.67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีในกรณีค่าเช่าบ้านของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ตอบกระทู้

นายอัครเดช อภิปรายว่า จากการลงพื้นที่พบปะกับพี่น้องข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ได้รับการร้องเรียนว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนพลตำรวจแล้ว การเลือกจังหวัดที่ต้องการเพื่อบรรจุแม้จะไม่ใช่จังหวัดภูมิลำเนาก็จะไม่มีสิทธิในการเบิกค่าเช่าบ้านตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม รัฐจะต้องดูแลพี่น้องข้าราชการตำรวจให้ดีเพื่อให้ประชาชนได้รับความยุติธรรม หากรัฐไม่สามารถดูแลพี่น้องข้าราชการตำรวจให้ดีได้ พี่น้องประชาชนจะสามารถคาดหวังความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร

ปัจจุบันตำรวจมักตกเป็นจำเลยของสังคมในเรื่องความโปร่งใส โดยเฉพาะกรณีการเรียกรับเงิน ซึ่งรัฐต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการดูแลพี่น้องข้าราชการตำรวจยังไม่ดีเท่าที่ควร หากสามารถบริหารจัดการเรื่องค่าเช่าบ้านซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีวิต หากรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้เชื่อได้ว่าพี่น้องประชาชนจะได้รับประโยชน์จากกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำก็คือข้าราชการตำรวจที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ได้กล่าวว่า คำถามที่ทางนายอัครเดชได้สอบถามนั้นตรงกับแนวคิดของนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายให้ดูแลพี่น้องข้าราชการโดยเฉพาะเรื่องที่อยู่อาศัย ลำดับแรกกรณีค่าเช่าบ้านพักนั้น ไม่ได้เป็นสวัสดิการสำหรับข้าราชการทุกคนแต่จะมีเฉพาะผู้ที่ถูกโอนย้าย และโอนเปลี่ยนที่ทำงาน จึงไม่สามารถเบิกค่าเช่าบ้านได้ ทางรัฐบาลได้มีแผนแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของพี่น้องข้าราชการ ผ่านการสร้างอาคารที่พักเพิ่มเติมผ่านงบประมาณซึ่งต้องใช้ระยะเวลากว่า 20 ปี จึงจะสามารถแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยได้ซึ่งเป็นไปอย่างล่าช้า โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ใช้กลไกอื่น ๆ ในการแก้ปัญหาที่พักข้าราชการผ่านธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจใต้การกำกับของกรมธนารักษ์ ซึ่งสามารถระดมทุนเพื่อสร้างบ้านพักอาศัยให้กับข้าราชการทั้งหมดได้เร็วยิ่งขึ้น 

หลังจากฟังคำตอบจากนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ นายอัครเดชกล่าวว่า “ขอขอบคุณรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของพี่น้องข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจชั้นประทวน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของข้าราชการจะประสบความสำเร็จโดยเร็ว”

โจทย์หนัก 'บิ๊กจ้อน' ประนอมอำนาจบ้านใหญ่-หยุดเกมรื้อ รธน. ในจังหวะ 'สว.พันธุ์ใหม่' ตีปี๊บมาแต่ไกล แต่สุดท้ายไม่ว้าว

ตามโผ...ตามคาด...ตามนัด...ผลการเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 23 ก.ค.67 

- ประธานวุฒิสภา นายมงคล สุระสัจจะ (159 คะแนน)
- รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ (150 คะแนน)
- รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 นายบุญส่ง น้อยโสภณ (167คะแนน)

คอลัมน์นี้ ขอบันทึกผลการลงคะแนนอย่างเป็นทางการเฉพาะตำแหน่งประธานไว้ ณ โอกาสนี้

- นายมงคล สุระสัจจะ 159 คะแนน
- ดร.นันทนา นันทวโรภาส 19 คะแนน
- นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ 13 คะแนน
(งดออกเสียง 4 บัตรเสีย 5)

ดูจากคะแนนที่ลงมติก็ต้องยืนยันตามที่ 'เล็ก เลียบด่วน' นำเสนอมาโดยลำดับว่า สว.สีน้ำเงินนั้น...ของแทร่...140 บวกลบ ท่านมงคลประเดิมที่ 159 เสียง (จาก 200) พล.อ.เกรียงไกร 150 เสียง และบุญส่ง 167 

ต้องบอกว่าเหตุที่คะแนนของ บุญส่ง มากกว่าใครเพื่อน ก็เพราะคู่แข่งไม่แข็งแรง และกลุ่มอิสระที่แต่เดิมนายบุญส่งไปเกาะเกี่ยวอยู่ด้วยเทเสียงให้มากเป็นพิเศษ...

และก็ต้องแสดงความเสียใจกับ สว.สีส้ม ที่แปลงโฉมมาในนามกลุ่ม 'สว.พันธุ์ใหม่' นำโดย ดร.นันทนา นันทวโรภาส ที่เอาเข้าจริงเหลือเพียง 15-19 เสียง  จากที่เคยตีปี๊บว่ามี 30 เสียง...แต่เอาเหอะ จะเหลือกี่เสียงก็ไม่สำคัญเท่ากับบทบาทที่จะกระทำนับจากนี้ไป ซึ่งเชื่อว่าหาก ดร.นันทนา ไม่ 'ส้มจี๊ด' จนเกินเหตุ บทบาทของเธอ ก็คงน่าติดตามเหมือนกัน...

ส่วนท่านประธานมงคลนั้น...ฟังจากวิสัยทัศน์ภายใต้คำยืนยันจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แล้ว ก็ต้องบอกว่า 'บิ๊กจ้อน' หรือ 'สหายจ้อน' ที่สื่อมวลชนเริ่มเรียกขานกัน เป็นคนที่นุ่มและลุ่มลึกทางความคิด...เพราะก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าช่วงหนึ่งของชีวิตหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ท่านมงคลเคยหลบภัยเผด็จการไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) บนเทือกเขาบรรทัด ประมาณ 6-7 เดือน...

ก็เหมือนๆ กับ สหายใหญ่...ภูมิธรรม เวชยชัย, สหายจรัส นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช ฯลฯ...นั่นแหละ  

ดังนั้นในมิติประสบการณ์ การตกผลึกทางความคิดที่จะให้วุฒิสภาเป็นสภาที่ประนอมอำนาจแก้วิกฤตประเทศตามที่แสดงวิสัยทัศน์เป็นประเด็นที่น่าติดตามยิ่ง...

อย่างไรก็ตามว่ากันตรงๆ สิ่งที่ประธานมงคลจะต้องเผชิญในชีวิตจริงเฉพาะหน้าก็คือ การประนอมอำนาจกับบ้านใหญ่บุรีรัมย์ที่มีธงทางอำนาจผ่านวุฒิสภาอย่างชัดเจน...ด้านหนึ่งเพื่อหยุดเกมรื้อรัฐธรรมนูญที่เลยเถิดของบางกลุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ธงอำนาจเรื่องการเลือกบุคคลในองค์กรอิสระ...อะไรคือ วาระของชาติ อะไรคือ วาระของบ้านใหญ่ เป็นเรื่องที่สหายจ้อนจะต้องยึดความถูกต้อง-ผลประโยชน์ของชาติให้ได้...

เฉพาะหน้า...วัดกันที่กระบวนท่าการจัดสรรเก้าอี้ประธานกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา 20 กว่าคณะ...ข่าวล่ามาเรือระบุว่า สว.สีน้ำเงิน จะกินรวบ แต่ไม่กวาดเรียบ...แปลไทยเป็นไทยว่า กมธ.ที่ตรงกับกระทรวงที่พรรคสีน้ำเงินดูแล และกมธ.เกรดเอ อย่าง กมธ.ปปช., กมธ.คมนาคม, กมธ.สื่อสาร ฯลฯ...สว.สีน้ำเงินขอจอง...

โชคดีครับท่านประธานจ้อน!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top